24 กุมภาพันธ์ 2550 17:59 น.
แก้วประเสริฐ
ฟ้าเพียงดิน
บทที่ ๕
“ แหม๋!!!...คงจะมีการต้อนรับและฉลองกันใหญ่นะซิ” ชายหนุ่มกล่าว พร้อมหันไปมองหน้าหญิงสาว
ภาพที่เขาแลเห็นหาได้เป็นดั่งคำพูดก็หาไม่ กลับเห็นหญิงสาวสะท้านเล็กน้อยก้มหน้าหยาดน้ำตาเล็กๆ
คลอยังเบ้าตาพร้อมเสียงที่สั่นเครือเล็ดรอดออกมาช่างแผ่วเบาเสียเหลือเกิน
“มิได้หรอกเจ้าค่ะ” หล่อนหยุดชะงัก......
“มีเพียงดิฉันคนเดียวเจ้าค่ะ”
“อ้าวๆๆไม่มีใครไปอวยพรกันบ้างเชียวหรือ” ชายหนุ่มสงสัยเพราะอย่างน้อยก็ย่อมมีพ่อแม่ญาติพี่น้อง
เพื่อนที่รักไปแสดงความยินดีบ้าง
“ดิฉันเหลือเพียงแม่คนเดียวค่ะ ก็อยู่ต่างจังหวัดไม่มีเงินทองพอที่จะมาร่วมงาน ส่วนคุณตาคุณยายเอง
ก็ชรามากแล้ว เพื่อนหรือความจนทำให้ไม่ค่อยมีเพื่อนกับเขาหรอกเจ้าค่ะ” หญิงสาวตอบด้วยเสียงสั่นๆ....
ได้เรียนจบก็ถือว่าเป็นบุญมากโขแล้วเจ้าค่ะ เสร็จก็กลับไปบ้านเลยเจ้าค่ะ” ร่างหล่อนสะท้านจนเห็นได้ชัด
ทำให้ชายหนุ่มเกิดความรักเอ็นดูขึ้นมาทันที เขาทราบดีเรื่องแบบนี้ย่อมเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจขึ้นเป็น
ธรรมดาโดยเฉพาะงานสำคัญเช่นนี้อย่างน้อยก็ย่อมต้องมีเพื่อนฝูงสนุกสนานแต่กลับเป็นงานที่เศร้าใจนัก
“ขอโทษนะที่ทำให้เธอสะเทือนใจเช่นนี้ อ้า!!!????...ทำงานเสร็จแล้วไปพบผมหน่อยนะจะขอคุยอะไร
สักหน่อย” ชายหนุ่มกล่าวพลางเดินไปยังบ้านพักของตน
“เจ้าค่ะ”
เสียงแผ่วเบาลอดออกมาพอได้ยิน
“เหลาเอ๋ย???.....เสร็จงานหรือยังอย่าลืมที่ยายสั่งนะ” เสียงตะโกนของยายผันแว่วกำชับมาอีก
“จ๊ะยาย...เกือบเสร็จแล้วจ้า” หล่อนร้องตอบ
ภายในบ้านพักของชายหนุ่ม หล่อนเห็นเขากำลังนั่งอ่านหนังสือบนโต๊ะหนังสือที่มีตู้หนังสือตั้งอยู่
ด้านหลังภายในมีหนังสือเล่มใหญ่ๆมากมาย พร้อมทั้งเห็นเขากำลังจดอะไรบางอย่างลงในสมุดตรงหน้า
หล่อนยืนนิ่งที่หน้าประตูห้อง กำลังใช้ความคิดว่าควรหรือไม่ควรอยู่ พลันได้ยินเสียงเรียกหล่อน
“อ๋อ???...เธอหรือเข้ามาซินั่งคอยก่อนนะ เดี๋ยวเดียวแหละ” ชายหนุ่มหันหน้ามาส่งยิ้มให้พลางก้มหน้าจด
บันทึกต่อ
“เจ้าค่ะ” หล่อนก้มตัวลงนั่งพับเพียบกับพื้นห้องทันที ชายหนุ่มเหลือบตามามองพลางกล่าวขึ้นอีกว่า
“ไม่ต้องนั่งกับพื้นหรอก นั่งบนโซฟานั่นแหละ” ชายหนุ่มกล่าว
นั่นแหละหล่อนจึงค่อยๆยืนขึ้นพลางก้มตัวเดินไปยังโซฟาที่ตั้งอยู่ด้านข้าง รอคอย......
สักครู่แลเห็นชายหนุ่มปิดหนังสือพร้อมละมือจากการเขียนบันทึก ลุกเดินมาเบื้องหน้าหล่อนพร้อมทรุดตัว
นั่งยังโซฟาตรงกันข้าม
“ผมได้ฟังคุณพูดถึงผลการเรียนชักสนใจ และมาหางานทำด้วย” ชายหนุ่มกล่าวพร้อมมองหน้าหล่อน
“เจ้าค่ะ หวังให้ยายช่วยมองหาลู่ทางอยู่ เคยไปสมัครงานทำแล้วแต่ยังไม่ได้เรียกตัวมาเจ้าค่ะ” หล่อนก้มหน้า
กล่าวขึ้น
“แต่ทางเขาบอกว่าต้องหาคนมาฝากและใบผ่านงานด้วย ซึ่งดิฉันไม่มีเพราะพึ่งสำเร็จมาใหม่ๆเจ้าค่ะ จึงกลับ
มาคอยงานที่บ้านคุณยายเจ้าค่ะ”
“อืมมๆๆๆ...สมัยนี้ก็แบบนี้แหละเล่นเส้นเล่นสายกัน เหมือนเพื่อนผมคนหนึ่งมัวแต่รับเส้นสาย งานถึงไม่ค่อยไป
ไหนกัน ยิ่งเป็นเด็กผู้ใหญ่ในวงราชการด้วยแล้ว มันบอกผมว่าลำบากใจจริงๆจะทำอะไรก็ไม่ได้ รับไว้เพียงแค่ใบผ่าน
ทางเท่านั้นจะไล่ออกหรือก็ไม่กล้าเลยคาร้าคาซังกันจนทุกวันนี้แหละ น่าอนาถใจจริงๆนะ” ชายหนุ่มรำพึงให้ฟัง
แต่หล่อนไม่ตอบเพียงแต่นั่งเฉยๆเท่านั้น ฟังชายหนุ่มกล่าว
“เห็นว่าสำเร็จทางบัญชีก็เลยคิดจะจ้างเธอไว้คอยช่วยเหลือผมตรวจสอบบัญชีของบริษัทเป็นการส่วนตัว เธอจะ
ขัดข้องไหมล่ะ” ชายหนุ่มมองหน้าหญิงสาวกล่าวขึ้น
หญิงสาวตะลึง รีบก้มลงกราบชายหนุ่มทันที
“เป็นพระคุณยิ่งแล้วเจ้าค่ะ”
“ผมชื่อ “พีระกานต์” เรียกผมว่า. “กานต์”เฉยๆก็พอ ส่วนคำว่าเจ้าคงเจ้าค่ะนั้นไม่ต้องเรียกอีกนะรู้ไหม
เพียงแค่”ค่ะ”เฉยๆก็เพียงพอแล้วล่ะ คนอื่นได้รับฟังแล้วไม่งามทำให้ผมตะขิดตะขวงใจ” ชายหนุ่มบอก
“ขอบคุณค่ะคุณกานต์” หล่อนกล่าว
“น๊านต้องเป็นนี้ซิค่อยสบายใจหน่อย” ชายหนุ่มกล่าวพลางหัวร่อเบาๆ
“อ้อ...อีกอย่างหนึ่งนะ คือว่า...????? ชายหนุ่มหยุดอ่ำๆอึ้งๆ
“อะไรหรือค่ะ???” หญิงสาวมองหน้าด้วยสงสัย
“เพียงแต่ว่าอยากจะขอร้องมากกว่านี้อีกนั่นแหละ”ชายหนุ่มเอ่ย
“พูดไปเถอะค่ะ หากสามารถช่วยได้ไม่เกินความสามารถก็ไม่เป็นไรค่ะ” หญิงสาวเอ่ย
“ขอบใจมากนะ คือว่า ผมอยากให้ช่วยดูแลบ้านหลังนี้แทนยายผันเพราะแก่มากแล้ว อีกอย่างหนึ่งต้องทำ
หน้าที่เป็นเลขาฯส่วนตัวผมนอกจากจะช่วยตรวจสอบบัญชีเท่านั้น ส่วนเรื่องเงินเดือนผมจะตั้งให้เองตาม
ความสามารถครับ” ชายหนุ่มจ้องหน้าหญิงสาวซึ่งก้มหน้าเหมือนจะใช้ความคิด
“หรือค่ะ...อ้า...หน้าที่เลขาฯด้วยหรือ?...แล้วจะดีหรือค่ะเพราะดิฉันแต่งตัวไม่เป็น เสื้อผ้าก็ไม่ทันสมัย
เดี๋ยวจะทำให้คุณขายหน้าได้นะค่ะ” หญิงสาวกล่าว
“เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอก เพราะผมเองก็ไม่ชอบคนแต่งตัวทันสมัย คุณดูผมซิแต่งตัวธรรมดาแบบคน
ทั่วๆไปแต่งตัวอยู่แล้ว อ้อ?...เรื่องเสื้อผ้าไม่สำคัญหากยอมรับงานก็ไปหาซื้อตามห้างฯตามใจชอบเรื่อง
เงินทองเดี๋ยวผมจะจัดการให้ หากเธอยอมรับทำงานนะ” เขากล่าว
เขามองเห็นหญิงสาวแสดงอาการอ้ำๆอึ้งๆ ก็เลยกล่าวสรุปเสียเลย
“ตกลงนะ หากมีปัญหาอะไรบอกผมได้ นึกว่าช่วยเหลือผมอีกทางก็แล้วกัน” ชายหนุ่มยิ้ม
“หากว่าไม่ทำให้คุณต้องเสียหน้า ก็เป็นพระคุณอย่างยิ่งค่ะ” หญิงสาวก้มหน้าตอบ
“เอาเป็นว่าตกลงกัน เริ่มตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ตอนแรกก็ดูแลความเรียบร้อยภายในบ้านก่อนเรื่องงาน
ผมจะบอกให้ทราบล่วงหน้าอีกครั้งหนึ่ง” ชายหนุ่มกล่าว
พลางลุกขึ้นยืน พลางนึกถึงคำกล่าวของมารดาที่ว่าเพื่อนของมารดาจะนำลูกๆให้มารู้จักเขา ซึ่งได้จังหวะ
พอดีที่เขาต้องการหาทางออก เพราะยังไม่อยากจะให้มีพันธะมาผูกพันแก่เขามากเกินไป ต้องการจะใช้ชีวิต
อย่างอิสระตามแบบสไตล์ตะวันตกที่เขาได้ศึกษาอยู่ ที่นั่นเขาเองแม้จะมีสาวๆมาติดพันมากมายแต่ก็เป็น
แค่เพียงเพื่อนไม่เคยคิดจะล่วงเกินให้มากไปกว่านี้จนเกิดปัญหาตามหลังได้ จนเพื่อนๆทั้งไทยเทศต่างสงสัย
จนกระทั่งเขาสำเร็จมา ใช้ชีวิตท่องเที่ยวไปทั่วอย่างอิสระตามหัวใจที่ปรารถนาจะมีบ้างก็เพียงหญิงสาวหากิน
เท่านั้น แต่ก็นานๆสักครั้งจนกระทั่งเกิดเบื่อหน่ายชีวิตแบบตะวันตก จึงได้เดินทางกลับบ้านเกิดเมืองนอน
เมื่อกลับมา ความเป็นหนุ่มโสดทำให้เกิดการเปลี่ยนความคิดของเขาไปด้วยสิ่งต่างๆนาๆจนกระทั่งเขาต้อง
แกล้งทำตัวแบบเชยๆขึ้น
“ค่ะๆๆ...งานบ้านวันนี้ดิฉันทำเรียบร้อยแล้วค่ะ จะเริ่มใหม่พรุ่งนี้ก็แล้วกัน ขอบคุณมากค่ะที่มอบงานให้ดิฉัน
ได้ทำไม่ต้องตกงานอีก ขอตัวก่อนนะค่ะ” หญิงสาวเอ่ยปาก
“ครับ แต่ว่าคุณต้องมาอยู่บ้านนี้ในตอนกลางวันด้วยนะครับถือว่าเป็นการทำงาน เพราะระยะนี้ผมจะต้องออก
ไปข้างนอกบ่อยหน่อย เปรียบเสมือนเป็นแม่บ้านก็แล้วกันนะครับ อย่าคิดอะไรมาก ผมจะบอกให้คุณพ่อคุณแม่
ผมทราบไว้ด้วย อ้อ พรุ่งนี้ผมเองก็ต้องไปรับมอบงานที่บริษัทฯจากคุณพ่อผม ต่อไปเห็นว่าคุณต้องติดตามผมไป
ที่บริษัทฯพร้อมกับผมด้วยนะครับ” ชายหนุ่มหันมากล่าว
“ค่ะแล้วแต่คุณเถอะค่ะ...” หญิงสาวหันมายิ้มรับตอบ
“ผมเองอาจจะกลับค่ำหน่อย หากคุณเสร็จธุระก็มาช่วยๆดูแลบ้านให้ด้วยนะครับ”
“ค่ะคุณ”
“ขอบใจมากครับ” ชายหนุ่มกล่าวพลางก้าวเดินออกไปจากบ้านทันที จนร่างชายหนุ่มลับสายตาไป
เมื่อร่างชายหนุ่มลับสายตาพ้นจากตัวตึกใหญ่ไปแล้ว หญิงสาวผุดลุกขึ้นรีบวิ่งไปบ้านพักตายายทันทีซึ่งอยู่ไม่ไกล
นักข้างๆกับบ้านพักของชายหนุ่ม ด้วยอาการแสนจะดีใจแทบจะสะดุดกระไดบ้านถลาเข้าไปกอดยายผันทันทีพลางเขย่าตัว
กล่าวอย่างระล่ำระลัก
“ยายๆๆๆ ฟ้าโปรดหนูแล้วจ๊ะยาย” หญิงสาวกล่าวด้วยอาการตื่นเต้น
“ฟ้าอะไรโปรดเอ็งอีกล่ะอีหนู เฮ้ยๆๆ!!!เบาๆหน่อยเดี๋ยวกระดูกกระเดี๊ยวหักหมดโว้ย” หญิงสาวถึงได้หยุดเขย่าพลางกล่าวว่า
“ก็คุณชายกานต์ซิจ๊ะยาย”
“อ้าวๆ...คุณชายกานต์ไปทำอะไรมึงหรือ????
“ไม่ได้ทำอะไรหลักหรอกจ๊ะ เพียงแต่ว่าเขาให้งานทำแก่หลักแล้ว โดยให้ไปทำตั้งแต่วันพรุ่งนี้”
หญิงสาวกล่าวด้วยความดีใจ
“เฮ้ยๆไปทำที่บริษัทฯคุณเลยหรือแล้วเสื้อผ้าจะใส่ล่ะ จะเอาที่ไหนหวา????”หญิงชรากล่าว
“ไม่หรอกยาย เขาให้หลักดูแลบ้านของเขาไปก่อน แล้วช่วยเขาตรวจสอบบัญชีบริษัทกับเป็นเลขานุการไปในตัวจ๊ะ”
“กูงงว๊ะ...ไม่เข้าใจมึงพูด ไหนๆค่อยๆพูดช้าๆให้เข้าใจหน่อยโว้ย”
“คืออย่างนี้จ๊ะ เขาให้เป็นแม่บ้านดูแลบ้านระหว่างไม่อยู่คอยติดตามเขาไปช่วยตรวจสอบบัญชีที่บริษัทฯจ๊ะยาย”
“เออบุญมึงแล้วล่ะที่จะได้งานทำมั่นคงเพราะต่อไปคุณชายก็จะเป็นผู้ดูแลงานทั้งหมด” หญิงชราเอ่ยขึ้น
“แล้วเขาให้เงินเดือนเอ็งเดือนล่ะเท่าไหร่ล่ะ อย่าไปเรียกร้องเขาน๊ะ”
“ยังไม่รู้เลย เขาบอกว่าต้องดูความสามารถก่อนถึงตั้งเงินเดือนให้จ๊ะ”
“เออดีแล้วล่ะถึงไม่ให้ก็ไม่เป็นไร เพราะเขามีคุณแก่ตายายมากนะอีหนู”
“จ๊ะยาย ขอให้มีงานทำเป็นหลักก็พอแล้วล่ะ เรื่องเงินหลักไม่เกี่ยงอยู่แล้วอีกอย่างได้อยู่ใกล้ๆกับตายายด้วยว่า
จะเขียนจม.ไปบอกแม่สักหน่อย”
“ตามใจเอ็งเถอะ ไปไป๊!!!...ไปอาบน้ำกินข้าวได้แล้วล่ะ”
“จ๊ะยาย “
หญิงสาวพลางลุกขึ้นเดินเข้าไปยังห้องพัก เปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่ออาบน้ำและมาทานข้าวร่วมกับตายาย......
ที่บริษัทอัศวราชินริมถนนสีลมภายในเนื้อที่เกือบสามไร่บนตึกสูงตระหง่านหลายสิบชั้น
รายล้อมด้วยพฤกษานานาพันธุ์ที่สูงใหญ่รายล้อมอาณาเขตบริษัทไว้ด้านหน้าจัดไว้ในการวางแบบแปลน
ที่สวยสดงดงามด้วยดอกไม้ต่างๆที่ออกดอกบานสะพรั่งทั้งหน้าบริษัทและริมทางเข้าออก ส่วนสถานจอดรถ
ถูกจัดไว้ด้านข้างทั้งสองด้านเต็มไปด้วยรถยนต์มากมาย
ชายหนุ่มก้าวลงจากรถยนต์เดินทอดน่องขึ้นไปยังบริษัท สู่บริเวณชั้นล่างถูกจัดแสดงไว้ด้วยบอร์ดแสดงรายการ
สินค้าและสินค้าบางชนิดโชว์ไว้แสดงแก่ผู้มาชม มุมหนึ่งเป็นเคาเตอร์ประชาสัมพันธ์และที่นั่งพักผ่อนจัดไว้ให้
ผู้มาชมได้นั่งพัก เขาเดินไปชมรายการต่างๆจนกระทั่งมีเจ้าหน้าที่เข้ามาทักทายพร้อมอธิบายสินค้างต่างๆให้เขา
ฟัง ชายหนุ่มหันมายิ้มยืนรับฟังการอธิบายต่างๆพอสมควร จึงได้สอบถามว่าห้องประชุมใหญ่อยู่ชั้นใด เมื่อ
พอได้รับฟัง เจ้าหน้าที่คนนั้นรีบน้อมตัวชี้แจงพร้อมรีบนำทางไปยังลิฟท์ ครั้นถึงชั้นที่ต้องการชายหนุ่มก็เดินชม
ไปเรื่อยๆผ่านห้องต่างๆหน้าห้องจะเขียนกำกับแผนกไว้มองไปภายในเห็นเจ้าหน้าที่กำลังทำงานกันอย่างขะมักเขม้น
เมื่อถึงห้องที่เขียนไว้เป็นห้องประชุมซึ่งมีเจ้าหน้าที่สาวนั่งประจำโต๊ะ ชายหนุ่มแสดงเจตนาว่าขอเข้าร่วมประชุม
เจ้าหน้าที่สาวคนนั้นมองเขาด้วยใบหน้าแปลกใจ พร้อมถามชื่อนามสกุล เมื่อชายหนุ่มแจ้งไปให้ทราบ หญิงสาวคนนั้น
ก็แสดงสีหน้าตกใจรีบยกมือไหว้ ชายหนุ่มรับไหว้ตอบพร้อมรีบเข้าไปรายงานทันที สักครู่หนึ่งเจ้าหล่อนออกมารีบก้มตัว
น้อมเชิญชายหนุ่มพร้อมทั้งเปิดประตูห้องเพื่อให้เขาเข้าไปข้างใน
ภายในห้องประชุมจัดไว้เป็นโต๊ะยาวเรียวกลม บนโต๊ะจัดเรียงด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ใช้สำหรับผู้เข้าร่วมประชุม
แต่ละคนเป็นผู้มีอายุมากเกือบทั้งสิ้น เขาเหลือบแลเห็นคุณพ่อนั่งอยู่บนหัวโต๊ะหันหน้ามองมาทางเขาพร้อมกวัก
มือเรียก ทุกๆคนหันมามองทางเขาเป็นจุดเดียวกัน ชายหนุ่มหันไปยกมือไหว้รีบเดินเข้าไปหาคุณพ่อ ซึ่งท่านแนะนำ
ให้ทุกๆคนทราบถึงเจตนารมณ์ของท่าน
“นี่คือ พีระกานต์ ลูกชายผม ซึ่งจะมาทำหน้าที่แทนผมต่อไปในวันข้างหน้า จึงขอฝากไว้ให้พวกท่านช่วยดูแลให้ด้วย”
คุณพ่อกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม พร้อมแจ้งให้เขานั่งลงยังโต๊ะเคียงข้างท่าน พร้อมหันหน้ากลับไปดำเนินการประชุมต่อ
5 มกราคม 2550 12:35 น.
แก้วประเสริฐ
บทที่ ๔
“ หรือลูกงั้นก็ตามใจลูกนะ พ่อคิดอยากจะให้ลูกไปยังบริษัทสักหน่อยเพราะเคยดำริในที่ประชุมไว้ก่อนลูกจะกลับมา
หากลูกกลับมาเมื่อไหร่จะมอบอำนาจการดูแลทั้งหมดให้แก่ลูก เมื่อลูกขอพักผ่อนก่อนก็ตามใจนะ” คุณอัศวโรจน์กล่าวขึ้น
“หากสบายใจเมื่อไหร่ก็บอกพ่อก็แล้วกันนะ” บิดาเอ่ยย้ำอีก
“ผมว่าให้ผมเพียงแค่ฝึกงานไปก่อนมิดีหรือครับ เมื่อผมรู้งานมากแล้ว คุณพ่อค่อยปล่อยวางนะครับ” ชายหนุ่มกล่าว
“แต่พ่อเชื่อในความสามารถ แกนะ” บิดาเอ่ยขึ้น
“ภาคทฤษฎีกับปฏิบัติไม่เหมือนกันนะครับ แต่คล้ายคลึงกัน” ชายหนุ่มอ้าง
“นั่นแหละถูกแล้วแต่ก็มาจากรากเง้าเดียวกันนั่นแหละ งานด้านธุรกิจอยู่ที่ไหวพริบปฏิภาณการตัดสินใจที่รวดเร็วความ
ละเอียดรอบคอบเป็นสำคัญของแต่ละคน” บิดาชี้แจง
“ก็ถูกอย่างที่คุณพ่อว่าแหละครับ แต่ผมยังมีประสบการณ์น้อยถึงแม้ว่าจะเคยแอบดูผลงานคุณพ่อมาบ้างก็ตามที”
ลูกชายหาข้ออ้างกล่าวกับบิดา
“ข้อนี่พ่อทราบเพราะเคยเห็นแกเข้าไปขลุกอยู่ในห้องหนังสือพ่อ ใช้เวลาเป็นหลายๆชั่วโมง ดีแล้วล่ะลูกการเริ่มต้น
ที่ดีย่อมเกิดจากการศึกษาข้อมูลต่างๆก่อนที่จะลงมือปฏิบัติจริงนะลูก” บิดาชี้แนะ
“ครับๆ...ผมว่าคุณพ่อยังไม่แก่เลยนี่นา ดูหนุ่มขึ้นอีกกว่าเดิมเสียอีก” ชายหนุ่มกล่าวพลางหัวร่อ กล่าวตัดบทสนทนาขึ้น
“เมื่อวานผมยังเห็นคุณพ่อยังเต้นรำคนหนุ่มยังสู้ไม่ได้เลยล่ะ”
“นั่นซิแม่เองยังชักสงสัยเหมือนกันว่า คุณพ่อลูกไปหัดเต้นรำมาจากไหนเสียอีก” คุณหญิงหันมาเสริมคำพูดลูกชาย
“อ้าวๆ!!! ชักจะหึงพ่อแล้วหรือ” คุณอัศวโรจน์หันมาทางคุณหญิงพลางหัวเราะร่วนๆ เขินแล้วหยิบถ้วยกาแฟยกดื่ม
“ไม่ใช่หึงหรอกคุณ!! เพียงแค่สงสัยจ๊ะ” คุณหญิงอมยิ้ม
“ปัดโธ่!!! พ่อก็นึกสนุกๆเพราะดีใจแหละคุณหญิง ดูในหนังนะซิเวลามีงานรื่นเริงเขามักจะเต้นกันแบบนี้นะ”
“อ้อๆๆๆ.....งั้นก็แล้วไปจ๊ะ แล้วลูกวันนี้จะไปไหนหรือเปล่าล่ะ” คุณหญิงหันมาถามลูกชาย
“ ไม่หรอกครับ ว่าจะนอนพักผ่อนสักหน่อย บ่ายๆค่อยออกไปข้างนอก” ลูกชายหันมากล่าวกับมารดา
“เห็นคุณหญิงผกามาศกับคุณฉวีวรรณเขาจะมาหาตอนบ่ายๆ อยากจะให้ลูกพบกับเขาหน่อยจ๊ะ” คุณหญิงตอบ
“เรื่องอะไรหรือครับมาพบผม ผมว่าอย่าดีกว่าครับ ระยะนี้ขอเที่ยวเมืองไทยสักพักก่อนครับ” ชายหนุ่มชักสงสัย
“ถ้าอย่างนั้นตามใจลูกนะ แม่คิดว่าคงไม่มีอะไรหรอก” หญิงผู้เป็นมารดากล่าวตัดบท
คุณหญิงเองก็ชักสงสัยว่าการมาของหญิงทั้งสองนี้คงจะหมายปองลูกชายตนเองเสียเหมือนกัน เดิมทีก่อนลูกชาย
จะกลับมา บ้านอัศวราชินมิเคยมีใครจะพาลูกสาวมาเยี่ยมเลย แต่ครั้งนี้คุณหญิงทั้งสองเกริ่นจะนำลูกสาวมารู้จัก
“งั้นตามใจลูกจ๊ะ ฮืมม!!!แม่เองไม่สนใจอะไรหรอก ถึงจะเป็นเพื่อนแม่เพียงแค่แปลกใจเท่านั้นจ๊ะ” คุณหญิงกล่าว
“ขอบคุณมากครับคุณแม่ ผมว่าจะออกไปข้างนอกสักหน่อยครับจะกลับเมื่อไหร่ไม่รู้” ชายหนุ่มหันมายิ้มกลับมารดา
“จ๊ะ ตามสบายลูกเถอะ แต่ให้ระมัดระวังตัวบ้างนะเดี๋ยวนี้บ้านเมืองเราไม่เหมือนก่อนอันตรายทุกหย่อมหญ้า”
“จริงๆนะลูกการเที่ยวเตร่เดี๋ยวเราไม่ไปหาเรื่องเขา แต่เขามาหาเรื่องเรา พ่ออ่านและฟังข่าวอยู่บ่อยๆ” บิดาเสริมคุณหญิง
“ ครับคุณพ่อคุณแม่ลูกไม่คิดเที่ยวสถานดังกล่าวหรอก ว่าจะไปต่างจังหวัดแถวชายทะเลสักหน่อย นัดเพื่อนๆไว้แล้วครับ”
“เออจริงๆซินะคุณหญิง เราไม่ได้ไปทะเลมานานแล้วนะเพราะมัววุ่นกับงานแทบไม่มีเวลาเลย” คุณอัศวโรจน์หันไปพูด
กับคุณหญิง
“นั่นซิคุณ ลูกพูดมาทำให้นึกถึงความเก่า จริงๆไหมคุณ” คุณหญิงหันไปยิ้มกับคุณอัศวโรจน์ หวานจ๋อย
“จ๊ะๆๆๆ คุณหญิงนึกถึงตอนเราสองยังหนุ่มสาวนะ” เขาหันไปทำตาหวานกับคุณหญิง
“พูดถึงลูกเราว่าหาวันเวลาไปกันทั้งหมดก็ดีเหมือนกันนะ” คุณอัศวโรจน์หันไปรำพึงกับคุณหญิง
“ ก็ดีจ๊ะ เราก็มีบ้านแถวชายทะเลเหมือนกันนี่นาแถวๆบางละมุง หรือแถวระยองก็ยังมีอยู่นี่นา” คุณหญิงกล่าวบ้าง
“แล้วตากานต์ว่าอย่างไรล่ะ หากพ่อแม่จะไป ลูกไปหรือเปล่าล่ะ” คุณหญิงหันมาถามลูกชาย
“ไปซิครับ โถๆๆๆ!!!! ไม่ไปได้ยังไงล่ะครับ จะได้ดูความรักของคุณพ่อคุณแม่อีกสักหน่อยครับ” ลูกชายหันมาหัวร่อ
“พูดถึงความรัก เดี๋ยวนี้เด็กๆไม่รู้เป็นอย่างไร เห็นรักเผื่อเลือกกันเยอะแยะนะ คุณว่าไง” คุณหญิงตอบแล้วหันมาทางคุณพ่อ
“นั่นซิคุณหญิง ผมเองเห็นแล้วให้รู้สึกสมเพชรเสียจริงๆ ยังไม่ทันไรก็เลิกรากันไปแล้วหากเป็นสมัยเราเรียกว่าฉีกผ้า
อ้อมกันไม่ทันเลยนะคุณหญิง” ชายผู้เป็นพ่อกล่าวขึ้นบ้าง
“เห็นเด็กในบริษัทเมื่ออาทิตย์ที่แล้วร้องห่มร้องไห้เสียยกใหญ่เพื่อนๆช่วยปลอบโยน ผมผ่านไปพบพอดีจึงเข้าไปถาม
ได้ความว่าถูกแฟนทิ้งไป พอวันพฤหัสบดีนี้ผมผ่านไปอีกเห็นนั่งหัวร่อต่อกระซิกจึงหันไปถามเลขาฯผม ได้ความว่ามีแฟน
ใหม่แล้วล่ะ เฮ่อๆๆๆเด็กสมัยนี้เปลี่ยนง่ายจริงๆนะคุณหญิง ไม่เหมือนรุ่นพวกเราต้องใช้เวลาเป็นเดือนเป็นปีกันทีเดียว”
“จ๊ะพ่อ หากเป็นรุ่นเราถ้าไม่ตายก็แทบไม่โตกันเลยทีเดียว” คุณหญิงกล่าวบ้าง
“ แล้วกานต์จะไปเที่ยวทะเลที่ไหนหรือลูก” คุณหญิงหันไปถามลูกชาย
“เห็นไอ้หนก มันบอกว่าจะไปสัปดาห์หน้านี่แหละครับ เขาเกริ่นว่าแถวๆระยองยังไงนี่แหละครับ ก่อนที่มันจะบินไปยุโรป”
ชายหนุ่มตอบมารดา
“นั่นซิแถวระยองหากเลยพัทยาไปน้ำทะเลสวยๆอากาศดีและสงบน่าเที่ยวจ๊ะ” คุณหญิงพูดขึ้นเสริม
“มันนัดไปเที่ยวในกลุ่มผม เห็นว่าจะเอาเพื่อนหญิงไปด้วยครับ” ชายหนุ่มกล่าว
“เห็นว่าเพื่อนๆแกมีแฟนกันเกือบทุกๆคน แล้วแกไม่เหงาหรือไงว๊ะกานต์” คุณอัศวโรจน์ถามลูกชาย
“ไม่หรอกครับคุณพ่อ ผมก็ไปมั่วนิ่มๆกับพวกมันซิครับ” ชายหนุ่มหัวร่อลั่น
“ดีเสียอีกตัวคนเดียวไปไหนสบายไม่ต้องคอยเป็นห่วงและต้องคอยเอาใจ อย่างไอ้โรจน์มันครับ” ชายหนุ่มหัวร่อกล่าว
“เออ!!!ก็ใช่อย่างแก่ว๊ะ สบายใจแต่ไม่สบายตัว” คุณอัศวโรจน์พูดพลางหัวร่อพลางหันไปมองคุณหญิงหลิ่วตา
“ผมยังไงก็ได้ครับ คิดว่าจะขออยู่ไปอีกสิบยี่สิบปีค่อยหาคนมากวนใจครับคุณพ่อ” ชายหนุ่มกล่าวบ้าง
“ให้มันจริงอย่างพูดเถอะว๊ะ พ่อว่าคงปีสองปีนี้แหละคงไม่แคล้ว จริงไหมคุณหญิง” ชายมีอายุหันไปถามภรรยา
“ตามใจเขาเถอะพ่อ เรื่องแบบนี้มันอยู่ที่วาสนาแต่ละคน แม่คิดอย่างนี้นะ เลี้ยงตัวนะเลี้ยงได้แต่เลี้ยงหัวใจไม่ได้หรอก”
คุณหญิงกล่าวบ้าง
“จ๊ะแล้วแต่แม่เถอะเรื่องลูกสะใภ้นะเป็นหน้าที่ของแม่อยู่แล้วนี่นาพ่อไม่เกี่ยว ไปก่อนนะจะรีบไปทำงานเดี๋ยวสาย”
คุณอัศวโรจน์กล่าวแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้เพื่อจะไปทำงาน
“ครับ!!!! ผมว่าจะไปนอนตบพุงสักหน่อยว่าบ่ายๆค่อยจะออกไป” ชายหนุ่มพูดขึ้นแล้วลุกตามบิดา
“ งั้นหรือก็ดีเหมือนกัน งั้นแม่ก็จะไปพักผ่อนเหมือนกัน” กล่าวแล้วคุณหญิงก็ลุกขึ้นบ้าง
ทั้งหมดต่างเดินออกจากห้องอาหารแยกย้ายกันไปทำธุระส่วนตัวกันและกัน คุณอัศวโรจน์ก็นั่งรถออกไปทำงาน คุณหญิง
ก็เข้าห้องพัก ส่วนชายหนุ่มก็ก้าวออกจากบ้านหลังใหญ่ เดินลัดเลาะไปตามสวนดอกไม้ที่ปลูกไว้กำลังบานสะพรั่งส่งกลิ่น
หอมโชยพัด ชายหนุ่มเดินไปยังต้นกุหลาบขาวที่ออกดอกเป็นพุ่มประมาณสักสิบกว่าดอกได้ พลางก้มลงดมกลิ่นหอมที่มี
กลิ่นหอมเย็น หวนประหวัดไปถึงหญิงสาวที่สวนของแม่แย้มนึกถึงใบหน้าสดสวยแบบธรรมชาติ แปลกๆเขาคิดทำไมสมอง
เขานี้จึงเฝ้าวนเวียนคิดถึงได้ นึกถึงร่างที่เดินหันหลังก่อนออกจากประตูบ้านนั้น ช่างมีรูปทรงสวยตระการตายิ่งนัก เมื่อก่อน
เราก็ไม่เคยคิดถึงเรื่องแบบนี้
หรือว่า!!!!!.........จะบ้าแล้วหรือเราเป็นไปไม่ได้หรอกพึงแค่เห็นเพียงครั้งเดียวเท่านั้น พลางชายหนุ่มสะบัดศีรษะเบาๆ
แล้วเอื้อมมือเด็ดดอกกุหลาบขาวพวงนั้น เดินก้าวไปสู่บ้านหลังเล็กพร้อมยกขึ้นสูดดมความหอมของดอกกุหลาบนั้น ร่างพลัน
ต้องหยุดชะงักเมื่อสายตาแลเห็นร่างของเด็กสาวคนหนึ่งไว้ผมยาวอายุอานามประมาณยี่สิบเห็นจะได้ ซึ่งยืนหันหลังกำลังหมกมุ่น
อยู่กับการรดน้ำต้นไม้แถวหน้าบ้านหลังเล็ก
“ใครหว่า ลูกเต้าเหล่าใคร” เขายืนหยุดนิ่งรำพึง สักครู่หนึ่งจึงเดินไปทางด้านหลังหญิงสาวซึ่งถือสายยางรดน้ำอยู่
พลางกระแอมเบาๆ ร่างของหญิงสาวสะดุ้งตกใจพลางหันหน้ามาทางชายหนุ่ม ทิ้งสายยางน้ำทันทียกมือขึ้นทาบทรวงอก
“ อุ๊ย!!!????...คุณชายนี่เอง พลางน้อมตัวก้มลงยกมือไหว้ชายหนุ่มทันที ด้วยเมื่อเข้ามาว่าบ้านหลังนี้เป็นของลูกชาย
เจ้าของบ้านหลังใหญ่ใช้พักอาศัยแยกตัวมาต่างๆหาก หล่อนจึงเดาว่าคงเป็นคุณชายลูกชายเจ้าของแน่นอน เพราะทราบว่า
บริเวณแถวนี้ใครจะเข้ามายุ่มย่ามไม่ได้ ยกเว้นหญิงชายชราทั้งสองเท่านั้น
ชายหนุ่มตะลึงใบหน้ากลม ดวงตาโต แก้มทั้งสองข้างมีลักยิ้มรับกับดวงตาที่สุกใส คลอรับกับผมยาวที่ผูกโบว์พาดมาข้างหน้า
ใบหน้าที่ตื่นตกใจทำให้เป็นภาพความงามตามธรรมชาติยากจะหาดูได้กำลังเงยหน้ามองมาทางเขาอยู่
“โทษเถอะ...เธอเป็นใครหรือมาทำอะไรแถวๆนี่นะ” ชายหนุ่มสอบถามทันที แต่ใบหน้ากับจ้องใบหน้ากลมๆนั้นอย่าง
สนอกในใจ
หญิงสาวรีบนั่งยองๆทันทีพลางหันไปปิดน้ำที่สายยางแล้วตอบขึ้นว่า
“ อิฉัน...มาช่วยคุณยายรดน้ำต้นไม้เจ้าคะ” หญิงสาวตอบ
“เหรอๆ...อ้าวแล้วเป็นหลานใครล่ะ ผมไม่เคยเห็นหน้าเลยนี่น๊ะ” ชายหนุ่มยิ้มตอบ
“ไม่ต้องยกมือพนมไหว้หรอก ยกมือลงได้แล้ว ตอบมาก่อนว่าเป็นหลานใคร” ชายหนุ่มถามด้วยความสงสัย
หญิงสาวยกมือลงแต่ยังคงนั่งยองๆเงยหน้าตอบชายหนุ่ม
“พึ่งมาเยี่ยมยายเมื่อวานนี้เองเจ้าค่ะ เข้ามาตอนมีงานอยู่จึงหลบเลี่ยงๆมาหายาย
“ผมถามว่า ยายน๊ะยายไหนกันล่ะ” ชายหนุ่มเอ่ยเพราะหญิงสาวตอบไม่ตรงประเด็น
“หลานยายผันเจ้าค่ะ พักกับลุงแจ้งที่บ้านหลังเล็กถัดจากบ้านนี้เจ้าค่ะ” หญิงสาวตอบ
“อ้อๆๆๆ....หลานยายผันนี่เอง” ชายหนุ่มพึ่งเข้าใจ ทันใดนั้นเสียงตะโกนดังขึ้นมาเรียกหญิงสาว
“หลักเอ๋ย!!!!....รดน้ำต้นไม้เสร็จมาหายายหน่อยนะ” เสียงตะโกนเรียกดังแว่วๆมา เป็นเสียงเรียกของยายผัน
ซึ่งมีหน้าที่ดูแลบ้านเขาอยู่
“ค่ะยาย...???” หญิงสาวร้องขานรับ
“ เอ็งเสร็จแล้ว เข้าไปดูบ้านคุณชายหน่อยนะ เพราะเมื่อคืนนี้คุณชายท่านเมามากอ๊วกรดบนที่นอน เอ็งเข้าไปเก็บกวาด
แล้วนำผ้ามาให้ยายด้วยเพื่อจะเอาไปซัก เออ!!!...แล้วเอ็งก็จัดการทำให้สะอาดเรียบร้อยด้วย ผ้าผ่อนอยู่ในตู้เล็กเอ็งไปปูที่นอน
แล้วฉีดน้ำหอมด้วยล่ะ “ เสียงร้องสั่งดังมาอีก
“จ๊ะยาย....หญิงสาวร้องขานตอบ” พลางเงยหน้ามองชายหนุ่ม ใช้สายตามองดั่งจะขออนุญาตชายหนุ่ม
“คุณชายเจ้าค่ะ...ขออนุญาตไปทำความสะอาดก่อนน๊ะเจ้าค่ะ” หญิงสาวเอ่ยปากกับชายหนุ่ม
ชายหนุ่มยืนตะลึงอีกครั้งเป็นใบหน้าที่แสนจะบริสุทธิ์ผุดผ่องยิ่งนัก ไม่มีวี่แววเสแสร้งแต่ประการใดให้นึกย้อนไปถึงใบ
หน้าอีกใบหน้าหนึ่งซึ่งเขาพบมาก็มีความบริสุทธิ์ใกล้เคียงกัน เพียงแต่อายุอานามคงแตกต่างกันไม่มากนัก ทำให้ชายหนุ่ม
นึกเปรียบเทียบใบหน้าทั้งสองทันที อีกคนหนึ่งรวยอีกคนหนึ่งจน เอ๊ะแปลกเราเป็นอะไรไปหรือ ชายหนุ่มรำพึงกับตัวเอง
“งั้นเราไปพร้อมๆกันนี่แหละ” ชายหนุ่มกล่าว
“งั้นๆ!!!!...หลักว่าให้เสร็จก่อนมิดีหรือเจ้าค่ะ” หญิงสาวบอกขณะที่ยังนั่งอยู่
“ อ้อๆๆๆ...ขอโทษจ๊ะที่ให้นั่งอยู่ ยืนขึ้นได้แล้วจะขอถามอะไรหน่อยนะ” ชายหนุ่มพึ่งนึกได้
“เจ้าค่ะ” หญิงสาวรับคำพลางลุกขึ้นยืนแต่เอามือประสานไว้ก้มตัวตอบ
“เธอ...ชื่อหลักอย่างเดียวหรือเห็นยายผันเรียกอย่างนั้น” ชายหนุ่มถาม
“ชื่อ สลักเสลา เจ้าค่ะ” หญิงสาวเอ่ยตอบ
“ สลักเสลา ชื่อแปลกดีนะ ฟังดูหนักแน่นดีจัง แล้วแปลว่าอะไรล่ะ” ชายหนุ่มอมยิ้มถาม
“อ้าๆๆ...เขาบอกว่าแปลว่าลวดลายที่สลักไว้ให้สวยงามเจ้าค่ะ” หญิงสาวอ้ำอึ้งตอบ
“อืมม!!!! ช่างตั้งคำนี้ได้สมจริงๆนะ” ชายหนุ่มรำพึง เมื่อพิจารณาใบหน้าและรูปร่างของหญิงสาว
“แล้วไม่ได้เรียนหนังสือหรือ” ชายหนุ่มถามอีก
“เรียนจบแล้วเจ้าค่ะ แต่หางานทำไม่ได้ แม่ให้มาหายายเผื่อว่ายายจะช่วยฝากให้ทำงานเจ้าค่ะ” หญิงสาวก้มหน้าตอบ
“อ้าว!!!แล้วเรียนจบจากไหนล่ะ เรียนทางไหนนะ” ชายหนุ่มสอบถามอีก
“เรียนจบบัญชี เจ้าค่ะ จากมหา’ลัย......พึ่งได้รับใบปริญญามาเจ้าค่ะ”
“โอ้เก่งจริงๆนะ มหา’ลัยท่าพระจันทร์ เขาว่าเรียนจบยากน๊ะ” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น
หญิงสาวยิ้มกับชายหนุ่มแต่ไม่กล่าวแต่ประการใด จนชายหนุ่มต้องเอ่ยปากถามต่อ
“ คงจะจบมาแบบเขาสงสารนะซิ” ชายหนุ่มแกล้งกระเซ้ากล่าว
“เจ้าค่ะคงสงสารกระมังเจ้าค่ะเลยให้จบๆ แค่กิตติมศักดิ์แค่นั้นเองเจ้าค่ะ” หญิงสาวตอบเสียงอ่อยๆ
“กิตติมศักดิ์???????......แค่นั้นเองหรือ” ชายหนุ่มอุทานพร้อมตาเบิกโพลง
“เจ้าค่ะ แค่นั้นเอง ได้รับปริญญาคนแรกด้วยเจ้าค่ะ” หญิงสาวก้มหน้าตอบ
“รับปริญญาคนแรกของคณะหรือ?????” คราวนี้ ชายหนุ่มยิ่งตกใจเมื่อได้รับฟังหญิงสาวตอบ
28 ธันวาคม 2549 11:32 น.
แก้วประเสริฐ
บทที่ ๓
เมื่อเรื่องของลูกชายคุณ พิริยะวดีผ่านเข้ามาบรรดาคุณหญิงคุณนายก็เริ่มวิพากษ์วิจารณ์กันขึ้นทันที ว่าคงจะไป
ติดสาวๆกระมัง ป่านนี้แล้วยังไม่เห็นมาคงแน่ๆทีเดียว เพราะปกติแล้วหากไม่มีเรื่องเล่นไพ่ เรื่องอวดแหวนเพชร
ก็มักจะชอบเอาเรื่องโน้นบ้างนี่บ้างมาคุยกัน บ้านโน้นเป็นอย่างนี้บ้านนี้เป็นอย่างโน้นเสมอๆ และมักจะเป็นในวงไพ่
หากไม่มีเรื่องนี้แล้วก็จะเป็นเรื่องผิดปกติไปทันที ดังนั้นเมื่อข่าวนี้เริ่มวิพากษ์วิจารณ์ คนที่นำลูกสาวมาก็จะรีบไป
รายงานข่าวให้กับบรรดาสาวๆรู้ ข่าวจึงได้แพร่สะพัดไปในกลุ่มผู้ที่มาในงานทันที
เวลาผ่านไปสักครู่หนึ่ง ยามหน้าประตูบ้านก็วิ่งเหยาะๆเข้ามาหาคุณหญิงพิริยะวดีพร้อมทั้งยกมือวันทยหัตถ์แล้วรายงานว่า
“ประทานโทษครับคุณหญิง มีชายหนุ่มคนหนึ่งแต่งตัวไม่ค่อยสุภาพนั่งรถแท็กซี่จะเข้ามาในบ้าน กระผมไม่ยอมให้เข้ามา
เขาบอกว่าจะมาหาคุณหญิงกับคุณอัศวโรจน์ มีเรื่องสำคัญจะขอพบครับกระพ้ม” แล้วยกมือที่วันทยหัตถ์ลงข้างตัว
“หรือจ๊ะ ไม่เป็นไรหรอกปล่อยให้เขาเข้ามาได้จ๊ะ ขอบใจมากนะ” คุณหญิงกล่าวกับหัวหน้ายาม เพราะรู้แล้วว่าเป็นใคร
“ครับพ้ม” หัวหน้ายามยกมือวันทยหัตถ์อีกครั้งแล้วหันหลังกลับวิ่งเหยาะๆ จากไปพร้อมยกมือถือแจ้งไปยังยามที่ประตู
หน้าบ้านสั่งงานทันที
ต่อมาสักครู่มีรถแท็กซี่สีเขียวเหลืองวิ่งเข้ามาช้าๆมาจอดยังบริเวณหน้าบ้าน ร่างชายหนุ่มก้าวลงมาจากรถแท็กซี่ผมเผ้า
กระเซิงใส่เสื้อแขนยาวสีเทาปล่อยชายไว้นอกกางเกงยีน ใส่รองเท้าแตะยาง หันมามองกลุ่มที่มาในงานเล็กน้อยแล้วหันหน้า
กลับหมายเดินเลี่ยงไปข้างบ้านหลังใหญ่
ทันใดนั้นผู้ที่มาในงานทุกๆคนต่างมองดูเป็นจุดเดียว ที่อยู่ๆมีรถแท็กซี่วิ่งเข้ามาในงานผ่านเข้าสู่หน้าบ้านใหญ่ ซ้ำผู้ที่ก้าวลง
มาก็แต่งกายรุ่มร่ามมิได้สนใจใยดีกับงานนี้ผ่ากลางงานเข้ามา
ร่างพลันหยุดชะงักทันทีเมื่อเสียงเรียกชื่อเขา
“นี่ๆพ่อกานต์!!! จะรีบไปไหนมาหาแม่ก่อนซี??”
เสียงเรียกลูกชายของคุณหญิงพิริยะวดีดังขึ้น
ร่างนั้นยืนสักครู่ก็ก้าวเดินมาหาคุณหญิงอย่างช้าๆ พลางส่ายหน้าไปทางซ้ายทีขวาที จนร่างคุณหญิงก้าวมาถึงตัวเขา
“งานอะไรหรือครับคุณแม่?” ชายหนุ่มหันมาทางคุณหญิงแล้วดึงร่างคุณหญิงไปสวมกอดจูบที่แก้มทันที
“ก็งานเลี้ยงการกลับมาของลูกนะซิ คุณพ่อเขาจัดขึ้นไม่มีใครหรอกนอกจากคนสนิทๆเท่านั้นเอง” คุณหญิงยิ้มตอบ
“โน่นๆ!!! คุณพ่อเขาเดินมาแล้วล่ะ”
ชายหนุ่มหันไปมองพร้อมผละจากการสวมกอดคุณหญิง วิ่งเข้าไปยกมือไหว้ พร้อมสวมกอดคุณอัศวโรจน์ทันที
พร้อมก้มศีรษะหอมแก้มซ้ายขวา เล่นเอาคุณอัศวโรจน์เผยอยิ้มไม่ยอมหุบทีเดียว คุณอัศวโรจน์ดึงร่างลูกชายให้ถอยห่างไป
พร้อมมองตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า พลางหัวเราะลั่น
“ เออๆๆๆให้ได้มันอย่างนี้ซิว๊ะ ไอ้ลูกรัก ดีดี...ไปไป..ไปหาเพื่อนๆพ่อหน่อย ไปอย่างนี้แหละ”
คุณอัศวโรจน์กล่าวอย่างชอบใจ เมื่อแลเห็นการกระทำของลูกชาย ดึงร่างลูกชายแล้วหันไปทางคุณหญิงหัวร่อลั่น
“ไปอย่างนี้หรือคุณ” คุณหญิงหันไปกล่าวกับสามี
“ก็ไปอย่างนี้แหละ เก๋ไก๋ดี ฮ่าๆๆๆ” คุณอัศวโรจน์หัวร่ออย่างถูกอกถูกใจ
“โถเอ๊ย...ช่างเหมือนกันเลยนะพ่อลูกคู่นี้” คุณหญิงหัวร่อ แต่ก็มิได้ว่าอะไรอีก พลางหันไปทางลูกชาย
“ถ้าอย่างนั้น ไปทั้งหมดกันนี่แหละ” คุณหญิงกล่าวพลางดึงร่างพ่อกับลูกเพื่อจะเดินไปในงาน
“จะดีหรือครับคุณพ่อคุณแม่” ชายหนุ่มหัวร่อ ที่เห็นบิดามารดาชอบใจในการกระทำของเขา
คราวนี้เขารู้สึกเขินขึ้นเหมือนกัน ผิดความคาดหมายไปอย่างสิ้นเชิง เขารีบมองตัวเองทันที
เอาล่ะเป็นไงเป็นกัน เขาคิด
งานครั้งนี้เขารู้แล้วว่าจะมีการจัดงานต้อนรับเขา คุณพ่อกับคุณแม่ก็มิได้แจ้งให้เขารู้แต่ประการใดจึงเกิดความคิดสนุกๆขึ้นเมื่อ
เขาโทรศัพท์ไปที่บริษัทฯ เลขาส่วนตัวคุณพ่อแจ้งว่ากลับไปบ้านแล้วไปงานเลี้ยงต้อนรับลูกชายที่กลับมาจากต่างประเทศ
เขาจึงจัดเปลี่ยนซื้อผ้าใหม่หลังจากกลับจากบ้านแม่นม ทำเผ้าผมกระเซิงไม่ได้หวีให้เรียบร้อย
เพราะต้องการจะดูอากัปกิริยาของผู้ที่มาในงาน และคุณพ่อคุณแม่ด้วย หวังให้เกิดเซอร์ไพร์สขึ้น
โดยแวะไปที่บ้านเพื่อนที่ชื่อกนก แจ้งความประสงค์กับแม่บ้าน ซึ่งก็ได้รับการช่วยเหลือเป็นอย่างดี
แม่บ้านแจ้งว่าคุณหนกเดินทางมาในงานเรียบร้อยแล้ว
“ครับ โอ้ เวอรี่กู๊ดส์ๆๆๆจริง ฮ่าๆๆๆๆ” เขาหัวร่อเสียงดังๆโดยแกล้งดัดเสียงกระดี๊กระด้าสำเนียงฝรั่งขึ้นทันที
เล่นเอาคุณอัศวโรจน์กับคุณหญิงต่างมองหน้ากันและกันแล้วก็พากันหัวร่อร่วนเปลี่ยนอากัปกิริยาความชราหายไปทันที
ต่างเข้าประกบลูกชายไว้กลางและพากันเต้นรำแบบฝรั่งเข้าไปสู่งาน ท่ามกลางงุนงงแก่ผู้มาร่วมงาน
ที่เห็นอากัปกิริยาของเจ้าของบ้านกระทำเช่นนี้ ส่วนดีเจที่จัดเพลงก็รีบเปลี่ยนเพลงประสานรับจัดเพลงแนวลาตินอเมริกัน
บรรเลงเพลงการเต้นรำแบบโบราณที่พวกฝรั่งมังค่าทั้งหลายเวลามีงานปาร์ตี้มักจะเต้นรำเสมอๆๆ
ยิ่งทำให้สามพ่อแม่ลูกยิ่งสนุกสนานกันกระหย่องกระแหย่งเต้นไปสู่งาน เมื่อบรรดาผู้มาร่วมในงาน
ครั้นเห็นเจ้าของบ้านกระทำเช่นนี้ ก็เกิดอาการร่วมสนุกต่างชูแก้วและเต้นวนไปรอบๆโต๊ะที่ตั้งไว้
ทำให้เกิดบรรยากาศครึกครื้นรื่นเริง
บรรดาคุณหญิงคุณนายที่ถือตัวต่างอ้าปากตาค้างไปตามๆกัน ฝ่ายกลุ่มผู้ชายเมื่อเห็นดังนี้ก็เข้าไปโค้งฝ่ายหญิงสาว
ที่จับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์ มีบ้างก็เข้าร่วมเต้น ส่วนผู้ที่ไม่ยอมก็ถูกกลุ่มที่เต้นวนไปรอบๆจนอดรนทนมิได้ก็ร่วมด้วย
เนื่องจากถูกเพื่อนต่างคะยั้นคะยอทำให้เกิดความเป็นกันเอง งานนี้เลยเป็นงานปาร์ตี้ที่สนุกสนานไปโดยปริยาย
หลังจากที่คุณอัศวโรจน์นำลูกชายไปแนะนำให้เพื่อนๆรู้จักเพื่อการทำงานต่อไปในอนาคตซึ่งเขาจะมอบทุกสิ่งทุกอย่าง
ให้ลูกชายดำเนินกิจการแทน และขอให้เพื่อนๆช่วยสนับสนุนด้วย ซึ่งก็ได้รับปากกันเกือบๆทุกๆคน
ตอนแรกบรรดาเพื่อนๆบางคนที่ยังถือตัวเพียงแต่แค่รับไหว้เฉยๆใช้สายตาเมียงมองแต่ตอนหลัง
เมื่อทราบว่าเขาเรียนจบด้านบริหารธุรกิจถึงขั้นกิตติมศักดิ์สูงสุดของสถาบันที่มีชื่อเสียงในต่างประเทศเป็นที่ยอมรับ
ของคนทั่วโลก ก็เกิดความสนเท่ห์จึงให้ความสนใจขึ้น
หลังจากนั้น เขาก็ถูกคุณหญิงนำไปให้เพื่อนๆได้รู้จัก ชายหนุ่มแสร้งทำเป็นคนเชยๆ หลุกหลิกๆไปหา
แต่ทุกๆคนก็หาได้สนใจไม่เพราะทราบเป็นอย่างดีว่าถึงจะทำตัวอย่างไรแต่งกายอย่างไรแต่เงินที่รองรับเขา
เป็นเกราะกำบังได้เป็นอย่างดีต่างก็ให้ความสนิทสนมถึงขั้นเรียกกันว่าลูกๆทุกๆคน บ้างก็นำลูกสาวมาให้รู้จัก
เขาแกล้งทำตัวเหมือนฝรั่งเข้าไปจับมือแล้วยกขึ้นจูบหลังมือตามธรรมเนียมฝรั่งทุกประการ
ยิ่งสร้างความกระดี๊กระด๊าแก่สาวๆ บ้างแสร้งทำสะเทิ้นอาย บ้างก็ถึงกับจูงมือแล้วโอ้อวดแก่เพื่อนๆกันทำตัวสนิทสนม
ยังกับจะเป็นเจ้าของ ผ่านไปสักพักชายหนุ่มก็ขอตัวเดินไปหาเพื่อนสนิทที่ยืนจับกลุ่มแต่มองมา
ทางเขามิคลาดสายตาพากันส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงการกระทำของเขา
ชายหนุ่มที่ชื่อกนกและสยามต่างก็เดินเข้ามาหาพลางยื่นแก้วเหล้าส่งให้เขา พร้อมเอ่ยปากทัก
“ ร้ายจริงๆนะโว้ยไอ้ห่ากานต์ มึงนี่ร้ายจริงๆแต๊ะอั๊งสาวๆไปทั่ว โอ้ยกูชักอิจฉาเสียแล้วซี” หนุ่มที่ชื่อสยามเอ่ยปาก
“กูแกล้งไปยังงั้นๆเองแหละว๊ะ มึงดูหน้าซิว่าพอกแป้งยังกับพวกงิ้วแถวเยาวราชแน๊ะ” กล่าวจบชายหนุ่มก็หัวร่อลั่น
“เออมึงทำตัวแบบฝรั่ง คนมีเงินอย่างมึงใครจะไปรังเกียจล่ะ จริงไหมว๊ะไอ๊หยาม” ชายที่ชื่อกนกหันไปทางเพื่อน
“ช่างกูเฮอะ ตอนนี้น้ำขึ้นโว้ยไม่รีบตักไปตักที่หลังกูก็เป็นข่าวใหญ่โตซิว๊ะ จริงไหมว๊ะไอ้โรจน์”
เขาหันไปหาเพื่อนอีกคนหนึ่งที่ยืนยิ้มอยู่ เขาชื่อวิโรจน์เป็นเพื่อนร่วมมหา’ลัยด้วยกัน
แต่ไม่ค่อยสนิทสนมเท่ากับกนกและสยาม แต่มาร่วมด้วยอีกคน
“อืมมๆ!!!ก็ว่างั้นแหละกานต์ เราเห็นแต่แรกแล้วที่แกยังไม่มา แต่ก็สวยๆดีนี่” ชายหนุ่มชื่อวิโรจน์ยิ้มตอบ
“จริงหรือเปล่าว่า ไอ้รุจน์” เขาหันไปถามเพื่อนอีกคนหนึ่งซึ่งมัวแต่ดื่มแต่เหล้ากำลังหยิบของขบเคี้ยวเข้าปากตุ๋ยๆ”
“ ก็ว่างั้นแหละว๊ะ กูไม่สนหรอก กูสนแต่เหล้าอย่างเดียวไม่มีปัญหาว๊ะ อีกอย่างอ้ายห่าเมียกูดุฉิบหายเลย
ขนาดเพื่อนพาสาวมาหาที่บ้านกูเพียงให้ความสนใจหน่อยเดียว พอมันกลับไปบ้าน โอ้ยไอ้กานต์มึงเชื่อไหมว๊ะ
บ้านกูเกือบไม่เป็นบ้านเชียวล่ะ แม่งมันส์!!!ฝากรอยจารึกบนหัวแก่กูจนถึงทุกวันนี้แหละ”
มันว่าพลางก้มหัวให้เขาดู ซึ่งหัวมันผมน้อยออกจะล้าน ยังมีรอยแผลเป็นให้เห็นอยู่
“นั่นซิไอ้รุจน์กูถึงไม่ยอมข้องเกี่ยวกับหญิงมากนักโว้ย มึงดูไอ้หนกกับไอ้หยามซิ อีกหน่อยมันจะรู้สึกว่านรกมีจริงฮ่าๆๆๆ”
ชายหนุ่มหัวร่อลั่น
“เฮ้ยพวกมึงดูขนาดกูพูดไม่ขาดคำ มึงดูอ้ายหยามซิมันไปโน่นแล้วล่ะ”
ทุกๆคนมองตามชายหนุ่มชี้นิ้ว เห็นร่างเพื่อนที่ชื่อสยามเดินไปอยู่ในกลุ่มสาวๆต่างส่งเสียงหัวเราะกันเจี้ยวจ๊าวดังลั่น
“ไอ้หนกอีกคน มึงเชื่อไหมว๊ะแอร์โฮสเตสเอาใจมันยังกะอะไรดี คิดว่ามันคงฟันมาแล้วมากกว่าว๊ะ”
ชายหนุ่มหันไปบอกกับเพื่อนที่ชื่อวิโรจน์
“ ไม่รู้ซิ กูเองก็แทบจะเอาตัวไม่รอดเหมือนกัน เมื่ออาทิตย์ที่แล้วแม่งมันส์ตื้อกูจนต้องหนีไปต่างจังหวัดตั้งเป็นเดือน”
หนุ่มที่ชื่อวิโรจน์เอ่ยปากบอกเพื่อน
“มึงก็อีกคนเหมือนกัน ไอ้ห่าเจ้าชู้ดีนัก ได้ข่าวแม่มึงจะจัดการหมั้นลูกสาวแม่กิมย้งให้มิใช่หรือ” ชายหนุ่มถาม
“นั่นซิไอ้กานต์กูกลุ้มใจทุกวันนี้แหละ กูไม่ได้รักนางหม๋วยมันหรอกว๊ะ ก็ไอ้รุจน์เองแหละมันว่ากูไม่แน่จริง
แดกเหล้าเข้าไปพนันกับกูว๊ะ หากกูฟันอีนางวิจิตราได้เมื่อไหร่มันจะกราบตีนกู คนหยั่งกูไม่มีปัญญา ไอ้ห่าพอกูฟันมันไป
ครั้งเดียวไหง๋ดันท้องเสียได้ แม่มันไปฟ้องแม่กูถึงต้องระเห็จไปต่างจังหวัดว๊ะ” ไอ้โรจน์ทำหน้าเศร้าๆ
“แล้วมึงจะทำยังไงว๊ะไอ้โรจน์”
“มึงก็รู้ว่ากูรักแม่กูขนาดไหน กูก็ต้องตามใจแม่กูซิ เสียดายความโสดว๊ะ พูดแล้วเศร้าว๊ะ มึงอย่าพูดเรื่องนี้เลยว๊ะ
เดี๋ยวงานไม่สนุกโว้ย” ชายหนุ่มพูดตัดบท
“ก็ดีแล้วนี่หว่า ได้เป็นเจ้าของร้านทองแถวเยาวราช เป็นเฒ่าแก่ไม่ดีหรือว๊ะ จริงไหมไอ้รุจน์”
เขาหันไปทางหนุ่มชื่อรุจน์ ที่กำลังยกแก้วเหล้าขึ้นดื่ม
“อืมมๆๆๆกูก็ว่ายังงั้นแหละ เวรใครเวรมันโว้ย”
ชายหนุ่มตอบพร้อมที่แก้มทั้งสองมันยังมีของเต็มทั้งสองข้าง
“ งั้นกูขอตัวไปเข้าบ้านก่อนนะโว้ยรำคาญรองเท้าแตะยางเสียจริงๆว๊ะ เดี๋ยวกูออกมา”
ชายหนุ่มหัวร่อแล้วรีบเดินจากไปทันที
บริเวณงานเต็มไปด้วยความครึกครื้นสนุกๆสนานนับแต่ลูกชายเจ้าของบ้านกลับมา ซึ่งทุกๆคนคิดว่าเขาคงจะวางตัวเหมือน
กับนักเรียนนอกทั่วๆไป แต่เมื่อทั้งเจ้าของบ้านและลูกชายทำตัวเป็นกันเองไม่มีการถือตัวเหย่อหยิ่ง
งานนี้จึงมีบรรยากาศที่เสมือนงานปาร์ตี้ที่สนุกๆ บ้างก็ออกไปเต้นรำกัน ที่ไม่มีคู่ก็กับได้คู่สนทนากัน
บรรดาคุณหญิงคุณนายทั้งหลายต่างก็ไม่ทำตัวเสมือนดังหงส์ ต่างพากันหัวร่อสนทนากัน
จนงานผ่านไปเกือบเที่ยงคืน งานจึงได้ค่อยๆยุติลง เมื่อต่างคนต่างลาเจ้าของบ้านกลับ
คงเหลือแต่กลุ่มชายหนุ่ม เพียง 5 คนที่ยังนั่งจับกลุ่มดื่มสุราสนทนาเรื่องสัมพะเรเหระส่วนใหญ่มักจะเป็นเรื่อง
เกี่ยวผู้หญิงเป็นส่วนมาก ต่างกระเซ้าเหย้าแหย่กันจนถึงเวลาเกือบตีสามจึงได้จากไป
ภายในบริเวณบ้านจึงกลับคืนสู่ปกติอีกครั้งหนึ่ง มีเพียงบรรดาผู้รับใช้ต่างช่วยกันเก็บสิ่งของที่วางเกลื่อนกราด
นำไปเก็บและจัดการทำความสะอาดบริเวณบ้านให้ดูเรียบร้อย
ชายหนุ่มเดินตุปัดตุเป๋อ้อมบ้านหลังใหญ่เดินไปยังบ้านเล็กระหว่างทาง เขาได้คายสิ่งที่กินเข้าไปยามหัวค่ำเสียเกือบหมด
ทำให้รู้สึกสิ่งที่ทำให้อึดอัดแน่นไปทั่วค่อยๆคลายลง ร่างกายรู้สึกสดชื่น กระปรี่กระเป่าขึ้น
เมื่อไปถึงที่พักแล้วก็รีบไปชำระล้างร่างกายเพื่อผ่อนคลายนึกถึงเหตุการณ์ต่างๆ สิ่งหนึ่งผุดขึ้นมาทำให้เขา
รู้สึกชักสงสัยตัวเองขึ้นมา คือภาพของหญิงสาวคนหนึ่งที่แต่งกายเรียบๆไม่หวือหวานุ่งผ้าถุงธรรมดาแต่ไม่ธรรมดา
ในลักษณะของการวางตัวคำพูดที่ดูออกจะฉาดฉานระหว่างการสนทนากับแม่แย้มของเขา ที่เขาหรี่ตาแอบมองดู
เขารีบสะบัดศีรษะเบาๆให้ความคิดได้หลุดพ้นออกไป แต่ก็ยังวนเวียนอยู่ตลอดเวลา จึงรีบลุกขึ้นหยิบยาแก้ปวดศีรษะมาทาน
และเข้าไปนอนพักผ่อนจนกระทั่งผล๊อยหลับไป
จนถึงเช้าวันรุ่งขึ้นต่อมาหลังจากอาบน้ำชำระล้างร่างกายเรียบร้อยแล้ว เขาก็ก้าวออกไปสู่บ้านใหญ่เพื่อเข้าร่วมรับทานอาหาร
ร่วมกับคุณพ่อคุณแม่ ซึ่งนั่งคอยเขาอยู่จึงได้รีบกล่าวขอโทษทันที
“คอยผมนานไหมครับ ขอโทษนะครับ” ชายหนุ่มกล่าว
“ไม่นานนักหรอกลูก พึ่งมานั่งได้สักครู่เท่านั้นเองแหละ” คุณอัศวโรจน์เอ่ยปากบอกลูกชาย
“เมื่อคืนนี้ผมหนักไปหน่อยครับ กว่าจะหลับได้ก็เกือบสว่าง” ชายหนุ่มบอกแก่บิดา
“ช่างเถอะ!!! วันนี้จะไปไหนหรือเปล่าล่ะลูก!!???” บิดาถามขึ้น
“คงจะไม่ครับ ผมว่าจะพักผ่อนก่อนสักสองสามวัน เมื่อคืนนี้ไอ้โรจน์มันก็ชวนไปเที่ยวเหมือนกัน” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น
25 ธันวาคม 2549 09:48 น.
แก้วประเสริฐ
บทที่ ๒
“ใช่จ๊ะแม่ “
“อ้าวแล้วอีกคนล่ะหายไปไหนหรือลูก” หญิงชราถามถึงอีกคน
“อ้อไอ้หยามหรือแม่ ”
“นั่นแหละ ใช่แล้ว เด็กตัวผอมๆเกร็งนั่นแหละ”
“ตอนนี้มันกลับมาเปิดบริษัทใหม่จ๊ะ เห็นว่าเป็นบริษัทเกี่ยวกับการส่งของเข้าออกในประเทศจ๊ะ” เสียงชายหนุ่มแผ่วเบา
หญิงชราเสยผมเบาๆบนศีรษะชายหนุ่มก้มหน้ามองใบหน้ายาวเล็กน้อยผมหยิกหยักศกน้อยๆด้วยความรักใคร่เอ็นดู
ใบหน้านี้เมื่อก่อนเป็นเด็กเล็กที่แกเลี้ยงดูมากับมือเป็นใบหน้ากลมๆขี้อ้อนงอแง บัดนี้กลับเป็นหนุ่มใบหน้าคมสันรูปงาม
หาเล่นละครจัดได้ว่าเป็นพระเอกรูปงามได้คนหนึ่งเชียว แกรำพึงในใจหรือบางทีจะสู้วงหน้าที่นอนหนุนตักแกไม่ได้
เพราะแกเองเป็นคนที่ชอบดูละครมากคนหนึ่ง เนื่องจากมีเวลาว่างมากนั่นเอง อยู่กับคนสองสามคนที่มาช่วยดูแลสวน
เท่านั้น ส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้ทำอะไรนอกจากไปสั่ง ให้ลุงแช่มกับยายเป้าสองสามีภรรยาทำโน่นทำนี่เท่านั้น ส่วนใหญ่
แล้วมักจะขลุกกับการดูแลต้นไม้ดอก บ้านหลังนี่จึงอยู่เพียงคนเดียว ส่วนสามีภรรยาก็อยู่เรือนถัดไปใกล้จึงมีเวลาว่างมาก
หญิงชรามองดูใบหน้าที่กำลังหลับตาพริ้มแล้วส่งเสียกรนเบาๆ ป้าแย้มรู้สึกเมื่อยเหมือนเหน็บชาจะกินขาแก จึงเบี่ยงตัว
เอี้ยวหยิบหมอนพิงมาค่อยๆวางหนุนศีรษะชายหนุ่มแล้วชักขาแกออก ลุกขึ้นสะบัดแข้งขา เดินไปหยิบผ้าห่มผืนบางๆในตู้
นำมาห่มร่างแล้วหันหลังเข้าครัวเตรียมจัดหาอาหารไว้คอยต้อนรับ เมื่อลูกชายที่แกเลี้ยงมาตื่นขึ้น ขณะที่มัวขลุกอยู่ในเรื่อง
ทำอาหาร เสียงร้องเรียกดังขึ้นที่ประตูหน้าบ้าน จึงรีบหันตัวออกมาดู
“ป้าแย้มค่ะ ป้าแย้ม อยู่หรือเปล่าค่ะ เอ๊ะ????” เสียงร้องเรียกขาดหายไป
“ป้าอยู่นี่จ๊ะ หนู พิมพ์หรือ” เสียงหญิงชราขานตอบ พร้อมเดินไปหา
“ใครหรือจ๊ะป้า ที่นอนอยู่นั่น” เสียงหญิงสาวไต่ถาม
“อ้อลูกชายป้าเองแหละจ๊ะ
“อ้าวไหงเขาว่าป้าตัวคนเดียวนี่นา ไหนมีลูกล่ะจ๊ะ?” หญิงสาวถามด้วยความสงสัย
“อ้อ ลูกกานต์หรือ ป้าถือว่าเป็นลูกเพราะเลี้ยงมาตั้งแต่เล็กๆจ๊ะ เขาพึ่งกลับมาจากเมืองนอกแน๊ะ” หญิงชราอธิบายให้ฟัง
“งั้นหรือจ๊ะป้า นี่ขนมหนูซื้อเอามาฝากเห็นป้าชอบจ๊ะ” หล่อนกล่าวแล้วเดินไปหาพร้อมส่งถุงใส่ขนมให้
แต่อดมิวายเหลือบสายตามองดูร่างที่นอนอยู่อย่างสนเท่ห์ใจ นี่หรือนักเรียนนอกไหงแต่งตัวธรรมด๊า ธรรมดาจริงน๊ะ
หล่อนรำพึงในใจ ไม่เห็นมีเค้าวี่แววเสียเลย ด้วยหล่อนพบมามักจะเหย่อหยิ่งและแต่งตัวภูมิฐานยิ่งนัก
“ขอบใจจ๊ะ แล้วหนูพิมพ์อยู่เป็นเพื่อนป้าก่อนซิจ๊ะ อย่าพึ่งไปไหนนะ ว่างมิใช่หรือเย็นนี้ทานข้าวด้วยกันนะ” หญิงชรากล่าว
“ป้ามีแขกแล้วนี่จ๊ะ เห็นจะไม่หรอกป้า ไว้วันหลังก็ได้นะ เพราะต้องรีบไปจัดเอกสารจะเข้าประชุมพรุ่งนี้ด้วยล่ะ
เห็นท่านประธานเรียกประชุมใหญ่จ๊ะ” หล่อนกล่าว แล้วหันมายิ้ม พลางถอยหลังอดที่จะเพ่งใบหน้าชายหนุ่มเสียไม่ได้
“ฮึๆๆ หล่อจัง” หล่อนรำพึงในใจ แล้วหันหลังเดินจากไป
“พรุ่งนี้แวะมาใหม่นะจ๊ะ ขอบใจมากจ้าสำหรับขนมนะ” หญิงชรากล่าว แล้วหันหลังเดินกลับไปยังครัวทันที
ชายหนุ่มลืมตาขึ้นทันทีเมื่อร่างของแม่แย้มเดินเข้าไปในครัว ทุกๆคำพูดเขาได้ยินชัดเจนเพียงแต่แกล้งทำเป็นนอนหลับ
เพราะไม่อยากทำให้การสนทนาขาดชะงักไป หันไปมองร่างของหญิงสาวที่กำลังเดินผ่านออกไปจากรั้วบ้าน
“อืมม!!!” เราก็มาหลายๆครั้งแล้วแค่จากไปไม่กี่ปีนี่นา หล่อนเป็นใครหรือรู้สึกสนิทสนมกับแม่แย้มจริงๆ เขารำพึง
รีบกระวีกระวาดลุกขึ้นเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตา เสร็จแล้วเดินเข้าครัวเห็นแม่แย้มกำลังวุ่นอยู่กับการทำอาหาร
ตอนแรกคิดจะลากลับเพราะนี่ก็มานานแล้ว เดี๋ยวคุณแม่คุณพ่อซึ่งคอยที่บ้านจะเป็นห่วงเห็นหายไป แต่ก็ต้องเกรงใจหญิงชรา
ที่อุตส่าห์ทำอาหารไว้คอย จึงเดินไปแล้วส่งเสียงกระแอมเบาๆ
“ทำอะไรอยู่ครับแม่” ชายหนุ่มเสไสแสร้งถาม
หญิงชราสะดุ้งหันมาพลางร้องถาม
“อ้าวตื่นแล้วหรือลูกกานต์ แม่กำลังทำอาหารให้ทานนี่ก็เสร็จแล้วเหลือนิดหน่อยเท่านั้นเอง”
“โถๆๆแม่ไม่ต้องทำก็ได้ผมจะรีบกลับนี่ก็มานานแล้วเดี๋ยวคุณแม่คุณพ่อเป็นห่วง เมื่อลงเครื่องก็รีบมาหาแม่แย้ม
ก่อนใครเลยล่ะคิดถึงแม่จริงๆจ๊ะ” ชายหนุ่มตอบพลางอมยิ้ม
“นั่นซิน่ารักจริงลูกแม่ ไม่ได้น๊ะต้องทานข้าวก่อนนิดๆหน่อยๆก็ยังดี” หญิงชราหันมายิ้มหน้าบาน
“จ๊ะๆๆดีเหมือนกันไม่ได้ทานอาหารแม่มานานหลายปีแล้วล่ะ” พลางเข้าไปสวมกอดหญิงชรา พร้อมหยิบอาหาร
ในจานที่จัดเรียงไว้ยกขึ้นใส่ปากทันที
“นี่แน๊ะ” ว่าพลางหญิงชราก็ตีมือแปะ
“เดี๋ยวก็ได้ทานแล้ว เสร็จพอดี”
“ผีมือแม่ไม่ตกเลยนะ อร่อยเหมือนเดิม” ว่าแล้วเอื้อมมือจะไปคว้าหยิบอีก แต่หญิงชราปัดมือเสียก่อน
“ทำตัวเป็นเด็กเล็กๆไปได้ นี่โตแล้วนา” หญิงชราหัวร่อ
“กี่ปีโตอย่างไรผมก็เป็นเด็กเล็กๆแม่เสมอล่ะ” ว่าแล้วเขาหัวร่อรีบถอยหลังทันเมื่อแม่แย้มยกฝ่ามือทำท่าจะตีเอา
ทั้งสองต่างกระเซ้าเย้าแหย่ส่งเสียงหัวร่อ บรรยากาศสุขสดชื่นมืนต่างคนต่างป้อนอาหารให้แก่กันเล่าถึงสิ่งต่างๆแต่ละคน
ให้ฟังกันในระหว่างทานอาหารบนโต๊ะอาหาร จนได้เวลาชายหนุ่มก็รีบขอตัวกลับก่อน บอกว่าจะรีบกลับมาอีกครั้ง
ก่อนจะจากไปเขาหันมาถามแม่แย้มว่า
“แม่ครับ แล้วคนที่มาหาแม่นั้นเป็นใครหรือครับ?” ชายหนุ่มถามด้วยความสงสัย
“อ้อๆ...หนูพิมพ์เป็นลูกสาวคนเดียวของคุณแม้น เจ้าของสวนทุเรียนเกือบทั้งหมดในสวนเมืองนนท์นี่แหละจ๊ะ
รู้สึกว่าจะมีฐานะมั่งคั่งกว่าใครๆทุกๆคนในแถบนี่แหละ ถามทำไมหรือจ๊ะ?” หญิงชราชักสงสัย
“ไม่มีอะไรหรอกแม่ ถามดูไปอย่างงั้นๆอย่างงั้นเองแหละ เห็นสนิทสนมกับแม่มาก” ชายหนุ่มหันมายิ้มพลางลุกขึ้น
เดินออกไป
“ไปล่ะนะแม่ หากว่างพรุ่งนี้จะมาใหม่ครับ สงสัยจะโดนคุณพ่อคุณแม่บ่นแน่เลยล่ะ” ชายหนุ่มโบกมือแล้วรีบ
เดินออกไป
“อ้าวเดินไปหรือ เดี๋ยวให้ลุงแช่มขี่มอเตอร์ไซค์ไปส่งไม่ดีกว่าหรือลูก” หญิงชราเป็นห่วง
“ไม่ต้องหรอกแม่เดินเดี๋ยวเดียวก็ถึงถนน แล้วนั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างไปหารถแท็กซี่จ๊ะ บายๆไปล่ะแม่” ว่าแล้ว
ชายหนุ่มรีบสาวเท้าเดินจากไปอย่างรีบเร่ง
หญิงชรายืนมองดูลูกชายที่แกเลี้ยงมาเดินหายไปตามทางถนนบนทางเดินตามร่องสวนจนร่างนั้นลับสายตาไป
จึงได้หันกลับไปเก็บจานบนโต๊ะเพื่อนำไปล้างในครัว พลางรำพึงในใจว่าชายหนุ่มช่างสูงใหญ่มากจริงหลังจากกลับ
จากต่างประเทศมาผิดกับพ่อแม่ราวฟ้ากับดินเชียว อืมมๆๆเด็กสมัยนี้ช่างโตเร็วจังเลยด้วยท่าทีกิริยาอิ่มอกอิ่มใจยิ้มน้อย
ยิ้มใหญ่ที่สำคัญเด็กคนนี้ก่อนไปและหลังกลับก็ไม่เปลี่ยนแปลงนิสัยใจคอเอาเสียเลยทำให้แกภาคภูมิใจยิ่งนัก............
ณ บ้านอัศวราชิน ที่ปลูกภายในเนื้อที่ประมาณ 5 ไร่กว่าเห็นจะได้ รูปทรงบ้านผสมผสานสมัยเก่าสมัยใหม่
อารยะธรรมตะวันตกตะวันออกกลมกลืนกัน เป็นบ้าน 3 ชั้นด้านล่างออกในลักษณะทรงจีนสมัยเก่าใหม่ ชั้นสองเป็น
แบบทางตะวันตกและชั้นบนสุดเป็นลักษณะบ้านทรงไทยแต่ทั้งสามแบบนี้ผสมผสานในลักษณะกลมกลืนกันยิ่งนัก
หน้าบ้านมีบริเวณเป็นครึ่งวงกลมรอบๆทำเป็นซุ้มปลูกกุหลาบหนูต่างสีสันต์ออกดอกบานสะพรั่งทอดยาวออกสู่
ประตูหน้าบ้านซึ่งติดถนนสัญจรไปมาตรงครึ่งวงกลมมีทางให้รถยนต์ออกได้สองทางทั้งซ้ายและขวาเป็นครึ่งวงกลม
เช่นเดียวกันตัดกันคล้ายๆกลับวงกลมสามวงซ้อนกันแต่เป็นเพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น รอบข้างหน้าบ้านเป็นลานที่ปลูก
ด้วยหญ้าที่ถูกตัดไว้เตียนทั้งสองข้างตรงกลางเป็นบ่อน้ำพุมีรูปนางฟ้าแบบฝรั่งทั้งชายหญิงรินเทน้ำใส่ยังน้ำพุที่พุ่งขึ้นสูง
ประมาณสองสามเมตรเห็นจะได้รอบๆบ่อน้ำพุเลี้ยงปลาหลากหลายตัวโตหลากสีว่ายไปมา ส่วนทางด้านขวาก็เช่นเดียว
กันเป็นรูปนางฟ้าไทยและจีนในลักษณะเดียวกัน ด้านกำแพงบ้านมีซุ้มนั่งเล่นผสมผสานอารยะธรรมทั้งสามแบบเหนือ
ซุ้มปลูกต้นการเวกที่ออกดอกผสมกับดอกกุหลาบที่บานสะพรั่ง ทุกๆสิ่งทุกๆอย่างผสมผสานอารยะธรรมตะวันออกและตก
ทั้งสิ้น ส่วนด้านหลังบ้านนั้นเป็นสวนดอกไม้นานาพันธุ์ หลังสวนดอกบ้านมีบ้านหลังเล็กๆแบบเรียบง่ายในลักษณะเดียวกัน
จัดลักษณะคล้ายคลึงบ้านใหญ่ทุกประการ กลับเป็นที่พักประจำของคุณพีระกานต์ซึ่งไม่ยอมไปพักที่บ้านหลังใหญ่ ใช้เป็น
ที่พักอาศัยส่วนตัวแยกจากบ้านใหญ่ต่างหาก บ้านใหญ่จึงมีเพียงคุณอัศวโรจน์และคุณหญิงพิริยะวดีกับคนใช้ส่วนตัวเท่านั้น
เขามักจะอ้างกับคุณพ่อคุณแม่ว่า อยากอยู่อย่างสงบเสรีอิสระส่วนตัวไม่อยากวุ่นวายนัก เพราะบ้านหลังใหญ่มักจะมีเพื่อนของ
คุณพ่อคุณแม่มาเยี่ยมเยียนเสมอๆ ซึ่งคุณอัศวโรจน์และคุณหญิงฯตามใจเขามานานแล้วจึงอนุญาตเพียงแต่ว่าเวลาทานข้าวขอให้
มาทานอาหารร่วมกันเท่านั้น ดังนั้นจะพบกันก็ต่อเมื่อเวลาอาหารเช้าและค่ำเท่านั้นที่จะมานั่งสนทนาปราศรัยซึ่งกันและกัน
ส่วนใหญ่ชายหนุ่มมักจะขลุกอยู่แต่ภายในบ้านหลังเล็ก ซึ่งมีตาแจ้งกับยายผันสองสามีเท่านั้นที่คอยดูแลทำความสะอาด
บางครั้งตลอดจนอาหารพิเศษคอยรับใช้ปรนนิบัติเสมอ เหตุดังนี้บ้านเล็กหลังนี้จึงได้ถูกตัดขาดจากบ้านใหญ่มิกล้ามีผู้ใดเข้า
มาย่างกรายจนถือได้ว่าเป็นเขตหวงห้ามไปโดยปริยายเป็นที่รู้กันในหมู่ผู้รับใช้ทั้งหลาย ยกเว้นสองสามีภรรยาที่สามารถเข้าออก
บ้านนี้ได้
วันนี้เป็นวันในกรณีพิเศษ บริเวณหน้าบ้านหลังใหญ่จึงเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ด้านซ้ายมือของน้ำพุจัดวางไว้ด้วย
ซุ้มอาหารประมาณ ห้าหกซุ้ม มีทั้งเครื่องดื่มนานาชนิดที่ผู้รับใช้ ใช้สำหรับเสริฟอาหาร ส่วนด้านขวามีโต๊ะเก้าอี้จัดวางไว้รอบๆ
ซุ้มดอกไม้นานาพันธุ์ เพื่อต้อนรับบรรดาแขกสนิทมิตรสหายต่างๆ หน้าบ้านจึงเต็มไปด้วยรถยนต์นานาชนิดจอดเรียงราย
เป็นระเบียบเรียบร้อย หน้าประตูบ้านซึ่งทำไว้ใหญ่โตผสมผสานกันไว้มียามรักษาการณ์ตรวจเข้มตลอดเวลา ปกติแล้วจะมี
ยามรักษาการณ์ทั้งกลางวันและกลางคืน แต่วันนี้จึงมียามมากกว่าปกติคอยให้บริการเกี่ยวกับรถยนต์ไว้ด้วยและความปลอดภัย
เพื่อใช้เลี้ยงต้อนรับการกลับมาของลูกชายคนเดียวเจ้าของบ้าน นับแต่บัดนี้ยังไม่ปรากฏร่างของลูกชายเจ้าของบ้านขึ้นมาแต่
ประการใด อากาศก็มืดสลัวๆ หน้าบ้านจึงเปิดไฟส่องสว่างจ้า แขกพากันนั่งบ้างยืนบ้างรับประทานอาหารกัน เป็นกลุ่มๆบ้าง
ต่างสนทนากันอย่างครื้นเครง ส่วนคุณหญิงก็อยู่ในกลุ่มแม่บ้านกัน คุณอัศวโรจน์ก็อยู่ในกลุ่มของพวกนักธุรกิจการค้ากัน
พวกหนุ่มๆสาวๆต่างก็แต่งตัวประชันโฉมอย่างกับมีงานประกวดนางสาวไทยก็มิปาน บรรดาลูกสาวลูกคุณหญิงคุณนาย
ทั้งหลายต่างก็มาเพื่อหวังใกล้ชิดคุณพีระกานต์ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนเดียวเจ้าของบ้านดั่งรจนาเลือกคู่ ด้วยต่างรู้
ดีว่าหากได้เป็นศรีสะใภ้บ้านนี้แล้วเปรียบเสมือนได้เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้และเข้ามานั่งอยู่บนกองเงินกองทองซึ่งเป็นจำนวน
เงินนับหมื่นๆล้านเชียว บรรยากาศภายในบ้านจึงครึกครื้นรื่นเริงเสียงจ๊อกแจะจอแจดังเซ็งแซ่ไปทั่ว คลอด้วยเสียงเพลงทาง
เครื่องเสียงขนาดใหญ่บรรเลงเพลงของสุนทราภรตลอดงาน
“เฮ้ยไอ้หนก!!! ไอ้กานต์มันหายหัวไปไหนว่ะ กูยังไม่เห็นหน้ามันเลยว๊ะ????..” เสียงเพื่อนยืนจิบค้อกเทลถาม
“นั่นซิไอ้หยาม มึงก็อยู่กับกูนี่แหละยังไม่เห็นมันเหมือนกัน” คนที่ชื่อกนกเอ่ยขึ้นเช่นกัน
“กูว่ามึงไปสอบถามคุณแม่ไม่ดีกว่าหรือว๊ะ ไอ้ห่าป่านนี้มุดหัวไปไหนหว่า??” คนทีชื่อสยามเอ่ยบอก
“เออดีเหมือนกันว่ะ งั้นมึงกับกูไปถามพร้อมๆกันดีกว่านะ” เพื่อนที่ชื่อสนับสนุนทันที
“เฮ้ยๆๆๆมึงดูพวกสาวๆพวกนี้ซิว่าหน้าหลอกแหล๋กๆ ยังกับอีวอกไม่ผิดเชียว” คนที่ชื่อสยามชี้มือให้เพื่อนดู เมื่อเห็น
บรรดาสาวๆทั้งหลายปากสนทนากันแต่สายตาคล้ายมองหาคนบางคนกันเดี๋ยวไปทางซ้ายทีขวาทีวุ่นไปหมด
“เออๆๆๆ....จริงของมึง ไอ้ห่านี้ตาสับปะรดเชียวนะมึง” พูดลางหัวร่อพลางพร้อมจูงมือเดินจากกลุ่มเพื่อนๆเข้าไป
หาคุณหญิงพิริยะวดีทันที ซึ่งคุณหญิงกำลังยืนสนทนากับเพื่อนๆอยู่ เมื่อไปถึงชายหนุ่มทั้งสองยกมือไหว้พร้อมสอบถาม
“ขอโทษครับ คุณแม่ ทำไมผมไม่เห็นหน้าเจ้ากานต์เลยครับนี่ก็เกือบจะทุ่มแล้วครับ” ชายหนุ่มชื่อกนกเอ่ยปากขึ้น
ทุกๆคนในกลุ่มชะงักทันที คุณหญิงหันมามองพร้อมยกมือไหว้รับตอบ
“นั่นซิพ่อกนก เห็นเขาบอกว่าไปประเดี๋ยวเดียว ชั้นหรือก็ลืมสอบถามไปเสียด้วยซิว่าไปธุระอะไร” คุณหญิงเอ่ยตอบ
“ครับคุณแม่..ผมก็เห็นนี่นานแล้วยังไม่พบเลย คุณแม่มีเบอร์โทรศัพท์มือถือไหมครับเดี๋ยวผมจัดการเอง”
หนุ่มชื่อกนกถาม
“เออๆๆจริงซินะคุณหญิง ตั้งแต่มานี่ยังไม่เห็นพ่อกานต์เลยนี่นา” บรรดาคุณหญิงคุณนายหันมาถามเหมือนจะนึกได้
เพราะมัวแต่คุยกันเพลินไป
“อ้าว แล้วนี่คงเป็นเพื่อนคุณกานต์ทั้งสองคนใช่ไหมจ๊ะ หน้าตาดีนี่ทั้งสองคน” คุณนายที่รวมอยู่ด้วยหันมาสอบถาม
“ใช่แล้วแม่พัช...ทั้งสองคนนี้เป็นเพื่อนลูกกานต์มานานแล้วล่ะตั้งแต่สมัยยังเรียนมหา’ลัยมาที่นี่บ่อยๆจ้า”
คุณหญิงพิริยะวดีหันมาตอบ ชายหนุ่มทั้งสองเลยต้องหันมายกมือไหว้คุณหญิงคุณนายทั้งหมด
“ มีจ๊ะแต่เขาไม่ได้เอาเครื่องไป ทิ้งไว้ในเป๋าเดินทางนี่แหละ มีคนโทรมาหาเหมือนกัน บอกว่าไม่อยู่” คุณหญิงตอบ
“ขอบคุณครับเห็นจะต้องรอๆกันต่อไปนะครับ ” ชายหนุ่มกล่าวจบก็ขอตัวเดินจากไป
“นั่นซิแล้วงานนี้มิเป็นหมันไปหรือ คุณหญิง” กลุ่มเพื่อนคุณหญิงสอบถาม
“แล้วพ่อโรจน์รู้หรือยังล่ะจ๊ะ” เพื่อนอีกคนหนึ่งถาม
“คงจะรู้แล้วล่ะจ๊ะ เห็นพ่อเขายังเฉยๆนี่นา” คุณหญิงพิริยะวดีตอบ เพราะรู้นิสัยใจคอพ่อลูกคู่นี้ดี
21 ธันวาคม 2549 10:30 น.
แก้วประเสริฐ
** ฟ้าเพียงดิน **
บทที่ ๑
“ พีระกานต์ อัศวราชิน “
หนุ่มลูกชายคนเดียวของนักธุรกิจที่ประกอบการค้าทั้งในและนอกประเทศ
เชื้อสาย จีนปนไทย กิจการครอบครัวร่ำรวยมหาศาลเป็นที่ยอมรับของคนในสังคมวงการทั่วๆไป
เขาจึงเป็นชายหนุ่มเนื้อหอมที่ได้รับการสนใจจากหญิงสาวในตระกูลคหบดีทั้งหลาย หมั้นหมายปอง
ที่จะเข้ามาสู่ตระกูล “อัศวราชิน” ซึ่งพึ่งสำเร็จการศึกษาจากต่างประเทศระดับปริญญาเอกกิตติมศักดิ์สูงสุด
ด้านบริหารธุรกิจระหว่างประเทศของสถาบันที่มีชื่อเสียงทำให้ครอบครัวอัศวราชิตได้รับการต้อนรับการไป
มาหาสู่จากต่างตระกูลมากผิดปกติ ด้วยความเป็นหนุ่มโสดลูกชายคนเดียวที่จะครอบครองสมบัติมหาศาลต่อไป
วันนี้เป็นวันอาทิตย์..............
เป็นวันที่เขาต้องเดินทางกลับเมืองไทยหลังสำเร็จการศึกษามาหมาดๆและท่องเที่ยวพักผ่อนมาพอประมาณ
ที่ห้องต้อนรับภายในสนามบินซึ่งเนืองแน่นไปด้วยคนทั้งหลายที่มาต้อนรับผู้ที่จะเดินทางมาในเที่ยวบินนี้
เมื่อเสียงเครื่องบินครางกระหึ่มเข้าจอดยังรันเวย์ตรงตามวันเวลาดังกล่าวไม่ผิดพลาดเวลาของเที่ยวบินมาถึง
ในห้องพักผู้รับโดยสารเจ้าหน้าที่สนามบินประกาศเที่ยวบินดังกล่าวมาถึงแล้ว ผู้โดยสารกำลังเช็คอินท์อยู่
ภายในห้องจึงเกิดเสียงดังจอแจเซ็งแซ่ ผู้โดยสารทั้งหมดต่างก็ทยอยออกมาจากประตูพร้อมลากขน
สิ่งของสัมภาระผ่านไปคนแล้วคนเล่า บางกลุ่มก็แสดงความดีอกดีใจสวมกอดกันและกันบางคนก็หาได้มีคนมา
ต้อนรับไม่ ทุกๆคนต่างกระวีกระวาดเดินผ่านกลุ่มของผู้ที่มาต้อนรับชายหนุ่มพีระกานต์ซึ่งยืนคอยเป็นกลุ่มใหญ่
มีทั้งชายหนุ่มและหญิงสาวต่างแต่งตัวประกวดโฉมกันในมือซึ่งมีพวงมาลัยประดับสวยงามถือไว้
จนกระทั่งห้องผู้รับผู้โดยสารเหลือเพียงแต่กลุ่มของคุณหญิงพิริยะวดีเท่านั้นที่ยังยืนรอคอยการกลับมาของเขาอยู่
เมื่อเหตุการณ์ผ่านไปนานจนผิดสังเกตุ ก็มีคนในกลุ่มเดินไปสอบถามเจ้าหน้าที่เพื่อเช็คผู้โดยสารที่มากับเครื่องบิน
เที่ยวนี้ว่ามีคนชื่อพีระกานต์เดินทางมากับเที่ยวบินนี้หรือไม่ เมื่อได้รับการตอบยืนยันก็เข้ามาแจ้งกับคุณหญิงทันที
“ไม่ผิดพลาดหรอกค่ะ.. คุณอา” หญิงสาวแต่งกายฉูดฉาดทันสมัยกล่าวขึ้น
“เจ้าหน้าที่แจ้งว่าคุณพีระกานต์เดินทางมาในเที่ยวบินนี้แน่นอนค่ะ เจ้าหน้าที่เขายืนยันพร้อมให้ดูเอกสารด้วย”
คุณหญิงพิริยะวดี หันมาส่งยิ้มให้แล้วกล่าวขอบใจหญิงสาวดังกล่าว
“ขอบใจมากจ้า...แม่นุช เดี๋ยวคงจะออกมากระมังคงติดขัดข้องบางอย่างล่ะ”
เวลาได้ผ่านไป คนกลุ่มดังกล่าวก็เกิดความกระวนกระวายขึ้นทันที เสียงคุยกันก็เริ่มจะเงียบเสียงไป
ป่านนี้แล้วยังไม่ปรากฏเขาเดินออกมา จนเวลาล่วงผ่านไปคนบางคนก็ขอลากลับไปบ้าง และบ้างชวนคุณหญิงกลับ
แต่ได้รับการยืนยันจากคุณหญิงว่าจะรอสักครู่ให้ผู้มีธุระกลับกันไปก่อน คงมีอะไรผิดพลาดจะขออยู่เพื่อสอบถาม
ให้แน่ใจก่อน เวลาก็ผ่านลุล่วงไปอีกนานจนคนที่เหลือต่างก็มาลาคุณหญิงขอกลับก่อนจนหมด คุณหญิงก็ส่งยิ้ม
พลางขอบใจผู้มารอรับ คงเหลือไว้เพียงคุณหญิงและเด็กสาวที่ช่วยถือของยืนอยู่ข้างๆคงมองจ้องไปที่ประตู
ขาเข้าผู้โดยสาร เพื่อความแน่ใจคุณหญิงก็เดินไปสอบถามเจ้าหน้าที่อีกเมื่อได้รับการยืนยันก็กลับมานั่งคอยอย่างสงบ
สักครู่ใหญ่ต่อมา ก็ปรากฏร่างชายหนุ่มรูปร่างขาวสูงไว้ผมยาวแต่ผมถูกขมวดไว้ด้านหลังมัดด้วยโบวสีแดง
เดินคู่มากับชายหนุ่มอีกคนแต่งกายเป็นพนักงานในเครื่องบิน ต่างสนทนากันอย่างครื้นเครงแต่หาได้มีสิ่งสัมภาระใดๆ
ไม่นอกจากกระเป๋าเดินทางสะพายพาดห้อยไว้บนไหล่เท่านั้น เมื่อเขาแลเห็นคุณหญิงก็หันไปกล่าวกับเพื่อนซึ่งเดินมา
“เฮ้ยไอ้หนก!!!...แม่กูมาคอยรับโน่นขอตัวก่อนโว้ย” ชายหนุ่มหันไปกล่าวกับเพื่อน
“ไอ้กานต์...แน่ะนำให้กูด้วย กูไม่ได้พบท่านมานานแล้วโว้ย” ชายหนุ่มอีกคนกล่าวขึ้น
“เออๆ งั้นมึงมากับกู ไปด้วยกันว่ะ” เขากล่าว พร้อมนำหน้าเพื่อนเดินไปจนถึงหน้าคุณหญิง
“คุณแม่คอยผมนานไหมครับ ผมมัวแต่ไปคุยกับไอ้หนกมันอยู่บนเครื่อง ให้คนเขาผ่านไปก่อน ขี้เกียจเบียดคนครับ”
ชายหนุ่มกล่าวขึ้นพร้อมยกมือกราบบนทรวงอกคุณหญิงทันที พร้อมหันไปแนะนำเพื่อนให้คุณหญิงรู้จัก
“สวัสดีครับ..คุณแม่” ชายหนุ่มรูปงามอีกคนยกมือไหว้
“สวัสดีจ้าพ่อหนุ่ม ทำงานบนเครื่องบินหรือ” คุณหญิงหันมายกมือไหว้ตอบพร้อมซักถาม
“ครับ..คุณแม่ผมเป็นนักบินที่สองรองกัปตัน อ่านรายชื่อผู้โดยสารเห็นมีชื่อ ไอ้กานต์มันเดินทางกลับเมืองไทย
จึงได้ชวนมันคุยด้วยครับจึงช้าไปหน่อยครับ” ชายหนุ่มน้อมกายตอบ
“นั่นซิถึงได้คอยช้าจังเลย เป็นห่วงพ่อกานต์เขา เมื่อได้รับการยืนยันจากเจ้าหน้าที่ว่าเขามาเที่ยวบินนี้ คนมารับ
อื่นๆก็ต่างพากันกลับไปหมดแล้วเหลือเพียงฉันและหนูอัญชลีนี้แหละจ๊ะ” หญิงสูงอายุตอบ
“ผมบอกแม่แล้วไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอก ผมกลับเองได้ไม่นึกว่าแม่จะมาด้วยครับแม่ก็รู้นิสัยผมดีผมไม่ชอบ
พิธีเอิกเกริกอะไรๆทั้งสิ้นชอบอิสระทำตัวสบายๆสำคัญชอบไปคนเดียวเสมอๆแหละครับ” ชายหนุ่มผู้เป็นลูกกล่าวตอบ
“นั่นซิพ่อกานต์ข้อนี้แม่รู้ดี แต่พวกสาวๆซิขยั้นคะยอว่าจะมาคอยต้อนรับแก แม่เองทนรบเร้าไม่ได้จึงได้มานี่แหละ”
“ใครหรือครับพวกสาวๆนั้น” ชายหนุ่มแสดงสีหน้าสงสัย
“ก็ลูกสาวคุณอภิรักษ์ คนหนึ่งล่ะ ลูกสาวคุณหญิงผกามาศอีกคนแล้วก็ลูกสาวคุณฉวีวรรณ ซึ่งเคยเรียนมหาวิทยาลัย
เดียวกับลูกๆจำมิได้หรือ” คุณหญิงหันไปตอบ
“อ้อๆๆ...ยายหน้าไข่เจียว ยายหน้าเต้าหู้และยายหน้าขนมเค้กหรือครับแม่” เขากล่าวแล้วพลางหัวเราะลั่น
“จำได้นะจำได้ครับ เป็นอย่างไรบ้างล่ะตอนนี้ ได้ข่าวว่าสังคมจัดไม่ใช่หรือครับ”
“จะบ้าหรือตากานต์ดูซิ ไปว่าลูกสาวเขาหน้าอย่างโน้นอย่างนี้ เดี๋ยวเขาได้ยินเข้าจะว่าอย่างไรล่ะ” คุณหญิงอมยิ้ม
“เชอะๆๆผมไม่สนหรอกครับคุณแม่ เมื่อก่อนนี้นะหยิ่งจะตายไปถือว่าพ่อแม่ร่ำรวย เมื่อก่อนผมไปมหา’ลัย
เขานั่งรถเก๋งไปผมนั่งรถประจำทางไปถือตัวดีนัก “เรียกผมไอ้ตี๋หน้าจืด” ผมยังจำได้ครับ” เขาอมยิ้มรำลึกความหลัง
“ช่างเถอะๆ...ไปกลับบ้านกันดีกว่า พ่อหนุ่มไปด้วยกันนะไปทานข้าวที่บ้านด้วยกัน” คุณหญิงหันมาทางเพื่อนลูกชาย
“ไม่หรอกครับคุณแม่ ผมต้องไปรายงานผลการเดินทางก่อนครับ ไว้ว่างๆผมจะแวะไปกราบคุณแม่ครับ” ชายหนุ่มตอบ
“เฮ้ยไอ้หนก มึงเสร็จงานแล้วเย็นนี้แวะไปบ้านกูด้วยนะโว้ย เรียกไอ้หยามไปด้วยบอกกูมาไปนั่งถองเหล้าสักหน่อย”
“เออๆ...แล้วกูจะบอกให้ ไปก่อนนะโว้ยไอ้กานต์” ชายหนุ่มนักบินตอบ พร้อมหันไปยกมือไหว้คุณหญิงพร้อมเดินจากไป
ระหว่างเดินทางกลับออกมาจากห้องพักผู้โดยสารภายนอกคุณหญิงหันไปถามลูกชาย
“แม่จำไม่ได้เพื่อนลูกคนนี้คลับคล้ายคลับคลานะลูก” คุณหญิงเดินพลางถามพลาง
“อ้อ!!! ไอ้หนก ก็คือ กนก ส่วนไอ้หยาม คือ สยาม เพื่อนลูกที่เรียนมหา’ลัยเคยไปมาหาสู่ที่บ้านเราเมื่อครั้งยังเรียน
อยู่มีสามคนแม่จำไม่ได้หรือครับ
“อ้อๆๆจำได้แล้วล่ะ ตอนนั้นไม่สูงใหญ่เหมือนอย่างนี้นี่นา” คุณหญิงรำพึง
“ครับ หลังสำเร็จมันไปเรียนการบินต่อแล้วไปสมัครงานสายการบินทำงานเป็นนักบิน บินระหว่างกรุงเทพ-ยุโรปครับ”
ชายหนุ่มกอดเอวแม่ขณะก้าวเดินตอบ
“แล้วสยามล่ะลูกเป็นอย่างไรบ้าง” หญิงผู้เป็นแม่ถาม
“ไอ้หยามมันจบมาก็ไปต่อที่อังกฤษได้ปริญญาโท แล้วมันก็กลับมาช่วยพ่อมันทำธุรกิจการค้าได้ข่าวว่ามันเปิดบริษัท
ใหม่อยู่ครับ ส่วนผมก็งมงายเรียนจนจบนี่แหละยังไม่เป็นโล้เป็นพายสักที” ชายหนุ่มหัวร่อร่วนตอบมารดา
ทั้งหมดเดินมาถึงที่จอดรถยนต์ ตาแจ้งรีบเข้ามายกมือไหว้ชายหนุ่ม พลางกล่าวว่า
“สวัสดีครับคุณชาย โอ้โฮ???...หล่อจังครับสูงใหญ่เสียด้วย”
“สวัสดีครับลุงแจ้ง...ยังหนุ่มเหมือนเดิมนะ ฮ่าๆๆๆ” ชายหนุ่มหัวร่อพลางเดินเข้าไปตบไหล่ชายชรา
“ดีใจจังที่คุณชายกลับมา” ชายชราหัวร่อจนเหงือกบาน
“ไปได้แล้วล่ะตาแจ้ง” คุณหญิงหันมากล่าวตัดบท
ชายชรารีบเดินไปเปิดประตูหลังรถเก๋งคันงาม คุณหญิงจูงมือลูกชายหวังให้ไปนั่งด้วยกัน แต่ถูกดึงมือกลับพร้อม
เขากล่าวขึ้นว่า
“คุณแม่กลับไปก่อนนะครับ ให้ผมไปทำธุระสักพักก่อนแล้วจะตามไปบ้านที่หลัง” ชายหนุ่มดันคุณหญิง
ให้เข้าไปนั่งในรถทันทีพร้อมกับเด็กสาวที่ไม่เคยกล่าวอะไรเลยตามไปนั่งข้างหน้าข้างคนขับ
“อ้าวไม่กลับพร้อมแม่หรือ? แล้วจะไปไหนอีกล่ะลูกพึ่งมาถึงนะ ไปอาบน้ำอาบท่าก่อนมิดีหรือ”
“ผมต้องไปธุระสักพักก่อนนะครับ น่าๆๆๆแม่ผมไม่ให้แม่ต้องคอยนานหรอกครับ” เข้ากล่าวพร้อมก้มหน้าลง
ไปหอมแก้มคุณหญิงเพื่อประจบ
“เป็นอย่างนี้ทุกทีเลย โถแม่อุตส่าห์มารับนึกว่าจะไปด้วยกัน” คุณหญิงหันมาค้อนลูกชาย แต่ก็ต้องปล่อยตามใจ
เพราะตามใจมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยไม่เคยขัดใจลูกคนนี้สักทีเพราะทนสายตาออดอ้อนเสียไม่ได้
“รีบไปรีบมานะแม่จะคอย พ่อเขาก็คอยรับอยู่ที่บ้านด้วยล่ะ”
“ครับๆๆๆผมรีบไปรีบกลับครับไม่นานหรอก” ชายหนุ่มตอบ พร้อมโยนเป๋เดินทางใส่ไว้ข้างตัวมารดา พลางเดิน
ไปที่รถแท็กซี่ของสนามบินแล้วเปิดประตูเข้าไปนั่ง ซ้ำยังหันมาโบกมือไหวๆกับมารดา
เมื่อรถทั้งคู่ขับออกมานอกสนามบิน พอถึงทางแยกต่างก็พากันไปคนละทางจนลับสายตาหายไป
บ้านเรือนไม้สองชั้นปลูกอยู่ภายใต้ร่มมะม่วงในบริเวณเนื้อที่สวนที่แน่นขนัดไปด้วยไม้ผลดอกนานาพันธุ์
ทอดเป็นแนวยาวออกไปทางหลังบ้านภายในเนื้อที่ประมาณ 5ไร่กว่าๆ บริเวณหน้าบ้านเป็นลานกว้างมีรั้วไม้ขัดแตะ
เตี้ยๆรอบๆรั้วจัดปลูกไว้ด้วยพืชไม้ดอก ข้างๆรั้วจัดเป็นซุ้มจัดตั้งไว้ด้วยเก้าอี้โยกได้บนซุ้มปลูกด้วยไม้ดอกการเวก
ข้างๆมีกระถางใบใหญ่ใส่กุหลาบที่กำลังออกดอกบานสะพรั่งวางไว้ทั้งสองข้างทางเดินเข้าสู่บ้านปลูกด้วยไม้ดอก
เตี้ยๆส่งกลิ่นหอมโชย
ร่างชายหนุ่มตัดผมรองทรงกำลังเดินผ่านประตูรั้วเตี้ยๆเข้ามา เสียงสุนัขเห่าเสียงขรมวิ่งเข้ามาประมาณ
สองสามตัว ครั้นวิ่งมาถึงร่างชายหนุ่มพลันชะงักเข้าดมแล้วกระดิกหางเสมือนจะจำได้ บางตัวก็กระโดดโลดเต้น
ไปมารอบๆร่างเขา หน้าประตูบ้านยืนไว้ด้วยหญิงชราค่อนข้างอ้วนท้วมกำลังส่งเสียงเรียกสุนัข แต่มันไม่ยอมกลับ
กลับกระโดดไปๆมาๆ ขณะที่ชายหนุ่มสาวเท้าเดินเข้ามาหาเมื่อเห็นหน้าเขาก็ยิ้มและรีบวิ่งเข้ามาหาพร้อมกับโอบ
ร่างเขาทันที
“สบายดีหรือแม่แย้ม ไม่ได้เจอกันเสียนาน หลายปีแล้วล่ะ” เสียงชายหนุ่มกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ค่ะ!! มาถึงเมื่อไหร่ล่ะคุณกานต์” หญิงชรากล่าวด้วยอาการดีใจพร้อมเขย่าตัวไปมา
“เมื่อเช้านี้เองแหละจ๊ะ คิดถึงแม่แย้มจังเลยพอลงเครื่องก็รีบมานี่แหละ” ชายหนุ่มโอบกอดพร้อมยกตัวหญิงชรา
ลอยขึ้น
“อุ้ยๆ..ปากหวานจังคุณกานต์ ปล่อยๆเถอะแน่ะ หายใจไม่ออกแล้ว” หญิงชรากล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
ชายหนุ่มวางร่างหญิงชราลงกับพื้นพร้อมประคองเดินเข้าไปในบ้าน แม่แย้มหรือนางแย้มอดีตเป็นแม่นมของ
ชายหนุ่มซึ่งแกเลี้ยงดูมาตั้งแต่ยังนอนเบาะ เป็นสาวแก่ไม่มีลูกมีผัวเมื่อชายหนุ่มโตเข้ามหา’ลัย แกก็ขอตัวลากลับบ้าน
คุณหญิงพิริยะวดีกับคุณอัศวโรจน์พยายามอ้อนวอนขอให้อยู่ แกบอกว่าพ่อแก่มากแล้วต้องไปช่วยดูแลไม่มีใครดูแล
สวนและใครปรนนิบัติจนกระทั่งพ่อเสียชีวิตมอบสวนให้แก คุณกานต์หรือพีระกานต์มักจะติดตามแกมาอยู่เสมอๆ
เมื่อยามปิดภาคการเรียน ส่วนใหญ่มักจะดูหนังสือที่นี่เพราะเป็นสถานที่เงียบสงัดเหมาะแก่การทำวิทยานิพนธ์ดูตำรา
ต่างๆ จนกระทั่งชายหนุ่มเดินทางไปต่างประเทศเพื่อทำปริญญาต่อจึงขาดหายไปหลายปี แต่ก็ได้รับจดหมายจากคุณกานต์
อยู่เสมอๆมิได้ขาด นิสัยคุณกานต์จึงมาทางแม่แย้มมากคือมีนิสัยสมถะชอบสันโดษไม่ฟุ้งเฟ้อทะเยอทะยานทั้งๆที่ฐานะ
ทางบ้านก็ถือได้ว่าร่ำรวยมหาศาล แม้แต่ไปเรียนมหาวิทยาลัยทางบ้านจะซื้อรถยนต์ให้เขาไม่ยอมบอกว่า
ไม่สมควรใช้เพราะยังเป็นนักศึกษาอยู่ ยังหาเงินหาทองไม่ได้ หากทำงานแล้วนั่นแหละจึงสมควร
ควรจะทำตัวให้ลำบากไว้บ้างเพื่อเป็นการฝึกนิสัยตนเองด้วย คุณอัศวโรจน์จึงภูมิใจลูกชายคนนี้ยิ่งนัก เมื่อก่อน
คุณอัศวโรจน์ก็มิได้มีฐานะมั่งคั่งเช่นปัจจุบันนี้ เพียงแต่เข้าช่องทางค้าขายถูกจึงทำให้กิจการรุ่งเรืองมาจนบัดนี้ เมื่อเห็น
ลูกชายคนเดียวมีนิสัยมาทางแก ก็ทำให้เกิดความเชื่อมั่นต่อลูกชายคนนี้มากและมักจะให้โอกาสแสดงความคิดเป็นของ
ตัวเองยิ่งได้แม่นมซึ่งเป็นญาติห่างๆมาช่วยเลี้ยงดูอบรมด้วยก็ยิ่งสบายใจ มุ่งมั่นในทางการทำมาหากินอย่างเดียว
เมื่อทั้งสองเข้าไปในบ้าน ชายหนุ่มก็รีบดึงตัวแม่แย้มของแก ให้นั่งลงพร้อมกับนอนหนุนบนตักบอกว่า
“แม่กานต์ขอนอนแบบนี้สักพักนะแม่ ไม่ได้นอนมานานแล้วตั้งใจว่ากลับมาเมื่อไร จะมานอนให้ได้อย่าขัดใจนะแม่”
“เมื่อคืนทั้งคืนก็ไม่ได้ค่อยได้นอน มัวแต่คุยกับไอ้หนกมันบนเครื่องอยู่ แม่จำได้ไหมไอ้หนกก็คนรูปร่างค่อนข้างดำ
ผมหยิกๆนั่นแหละ” ชายหนุ่มหลับตาพูด
“อ้อๆ..เด็กซนคนนั้นหรือที่ชอบปีนต้นไม้ ...ใช่ไหมลูก” หญิงชราตอบ คงปล่อยให้เขานอนหนุนตัวมิได้ขัดขืนอย่างใด