26 มกราคม 2552 23:09 น.

** เวิ้งว้างอารมณ์. **

แก้วประเสริฐ


                                  **  เวิ้งว้างอารมณ์  **

     ช่างประหลาดเสียเหลือเกิน ทำไมวันนี้ฉันเองรู้สึกหงอยเหงาวังเวงหัวใจยิ่งนัก
จะด้วยบรรยากาศที่ฉันนั่งคนเดียว มองสายน้ำที่กระฉอกแตกซ่านเป็นฟองฝอย
บางครั้งกระทบกับตัวเป็นละอองเล็กๆ  ปกติฉันเองจะเป็นคนมีอารมณ์ร่าเริงแจ่มใส
สนุกสนานกับสิ่งแวดล้อมเสมอมาหรือว่าอากาศในค่ำคืนนี้และความเวิ้งว้างของท้อง
น้ำถึงมาดแม้นจะมีแสงจันทร์สาดส่องเป็นนวลใย ดวงหนึ่งลอยอยู่บนท้องฟ้า แต่อีก
ดวงหนึ่งกับอยู่บนผิวน้ำสั่นไหวไปตามกระแสน้ำที่สาดเข้าหาฝั่ง  เพื่อนๆสนุกสนาน
เฮฮากันเสียงกระเซ้าเย้าแหย่ล่องลอยมา   ฉันถือขวดเหล้าไวท์และแก้วใบหนึ่งเดินทอด
น่องหนีห่างไร้ซึ้งความสนุกสนานอย่างที่เคยมีมา  ห้วงหัวใจในส่วนลึกๆช่างว้าเหว่
ความสนุกสนานห่างหายจางไปเสียสิ้นจะว่าฉันพลาดพลั้งต่อความรักหรือก็หาไม่แต่
ไม่รู้ซิ วันนี้มันเกิดขึ้นจากภายในจนฉันอดสนเท่ห์ตัวเองเสียมิได้จึงต้องเดินหนีห่าง ใจ
ที่เบื่อหน่ายเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน  ฉันเดินทอดน่องไปตามชายหาดห่างไปๆจนลับสาย
ตาจากเพื่อนๆถึงแม้เสียงดนตรีจะดังแว่วๆมาก็ตาม ฉันพยายามจะหนีให้ห่างไปไกล
อยากจะอยู่คนเดียว หามุมสงบอันเป็นเหลือบหินนั่งลงมองคลื่นปล่อยอารมณ์ไปเรื่อยๆ
บางครั้งก็จ้องมองดวงจันทร์หากระต่ายน้อย ตามคำเล่าขาน บางครั้งมองเป็นรูปกระต่าย
บางครั้งมองเป็นหญิงชรากำลังตำข้าว แต่ที่แน่ๆจันทร์อีกดวงหนึ่งที่สะท้อนบนผิวน้ำนั้น
ซิมันหวั่นไหวเสมือนดังหัวใจของฉัน สายลมทะเลเย็นๆกระทบร่างกายทำให้จิตใจสงบ
ลงได้บ้าง  หยิบขวดไวท์รินลงใส่แก้วยาวธรรมดา ค่อยๆอมไว้แล้วค่อยๆกลืนลงยังลำคอ
ทำให้รู้สึกชุ่มชื่นขึ้น เอนกายลงพิงก้อนหินยืดเท้าปล่อยอารมณ์ตามสบาย เปรียบดังโลก
นี้เป็นของฉันเพียงคนเดียว  หลายสิ่งหลายอย่างพุ่งขึ้นมายามบรรยากาศอันเงียบสงบมี
หลากหลายนานัปการทำให้ความคิดอ่านนำมาทดสอบบทเรียนชีวิตที่ผ่านพ้นมาใช่มีทั้ง
ดีและเลวผสมผสานกัน เป็นละครชีวิตบทหนึ่งที่ฉันได้แสดงและผ่านมาแล้วทั้งดีเลว
สถานที่ท่องเที่ยวฉันผ่านมาจนจะเรียกได้ว่าเกือบทุกๆที่ นอกจากชีวิตของธรรมชาติ
แล้วที่ฉันเองรู้สึกว่าล้วนแล้วแต่สิ่งที่ดีงดงามเสมอ ส่วนชีวิตสังคมเมืองนั้นมันช่างวุ่นวาย
ดุจดังใส่หน้ากากเข้าหากัน อะไรล่ะเป็นต้นเหตุ ฉันยกไวท์ที่เหลือในแก้วขึ้นจิบอีกเสมือน
ระบายสิ่งภายในออกมา  จะมีอะไรเล่า นอกจาก ชื่อเสียง เกียรติยศ เงินตราเท่านั้นที่ทุกๆคน
พยายามขวนขวายใช้เล่ห์เหลี่ยมหลอกล่อกันและกัน หรือว่า ????....สิ่งเท่านี้ทำให้ฉันเกิด
ความเบื่อหน่ายยามอายุล่วงวัยมากขึ้นๆ  แน่ล่ะทุกๆสิ่งล้วนแล้วแต่ความสามารถของคน
ที่จะค้นคว้าหาพบ ดิ้นรน ต่อสู้กับเกมส์ชีวิต ใครที่ฉลาดกว่ามากกว่าย่อมเป็นผู้ชนะแต่ใน
ที่สุดทุกๆอย่างก็สร้างจิตใจผู้นั้นจะมากน้อยล้วนแล้วแต่การกระทำของตนเองทั้งสิ้นยามใด
ที่แสดงออกมาจะเกิดความเศร้าสร้อยเสียใจต่อการกระทำนั้นๆ
     โอ้ว???....ภาพต่างๆล้วนทยอยออกมามิได้จางหายไปไหนทั้งๆที่บางครั้งฉันลืมไปนาน
แสนนานแล้วก็ตาม แต่ตอนนี้ท่ามกลางธรรมชาติที่สงบเยือกเย็น ทำให้เกิดการย้อนกลับ
สภาพเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี ที่ละขั้นตอนตั้งแต่วัยหนุ่มจนถึงปัจจุบัน ทำให้เกิดความสะท้อน
ต่อการกระทำนั้นๆทั้งๆที่ไม่อยากจะกระทำแต่เหตุการณ์บังคับมิฉะนั้นแล้วจะเกิดภัยทันที
นี่หรือชีวิตของคนเราภายใต้โลกใบนี้ที่จะต้องแข่งขันชิงดีชิงเด่นกันและกัน ไม่เหมือน
สภาพของธรรมชาติล้วนแล้วไร้ซึ้งมารยาถึงแม้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปบ้างแต่ก็คงสภาพ
ไว้เหมือนเดิม    บางครั้งกลับดีเสียอีกหากนำมาเปรียบเทียบกับชีวิตของคนเราที่ต้องไขว่คว้า
หาได้หยุดนิ่งบางครั้งก็สิ้นสูญสลายไปโดยไร้ประโยชน์เสียเลย  ยิ่งคิดยิ่งมากจนต้องสะบัด
หัวตนเองเพื่อลบเลือนไป แต่ทว่ามันกลับเพิ่มมากขึ้นอีกหรือว่านี่แหละคือชีวิตคนที่ต้องคน
ไปเรื่อยๆตราบจนกว่าจะสิ้นลมหายใจ  ฉันทอดถอนหายใจพยายามหลีกเลี่ยงโดยการมองไป
ยังท้องน้ำที่คลื่นทยอยเข้ากระทบฝั่งคล้ายดั่งชีวิตคนเรามิปาน ดวงจันทร์ที่ลอยเด่นบนท้องฟ้า
จะค่อยๆเคลื่อนไป แต่จันทร์ที่ลอยบนท้องน้ำเล่าก็พลิ้วสั่นหวั่นไหวไปตลอดเวลาคล้ายๆกับ
ชีวิตคนเรามิปาน   ฉันรินไวท์ใส่แก้วอีกครั้งแล้วยกขึ้นดื่มๆคราวนี้ดื่มมากกว่าเก่าหลับตาลง
แต่ในห้วงแห่งใจกลับวุ่นวายสั่นไหวมิได้สงบดั่งที่ตั้งใจไว้เลย กลับทยอยฟุ้งซ่านต่างๆนาๆ
ช่างเถอะฉันคิดระบายออกเสียมั่งก็ดีเหมือนกันจะได้ไม่ต้องเก็บไว้อีกต่อไป ปล่อยให้เวิ้งว้าง
ตามแต่อารมณ์นั้นๆจะแสดงออกมา  ทุกๆอย่างเงียบสงบนอกจากเสียงคลื่นที่กระทบฝั่ง
เป็นเสียงดังต่างๆนาๆคล้ายเสียงดนตรีขับกล่อมแต่เป็นเสียงที่แสนจะไพเราะตามธรรมชาติ
มอบไว้ให้ ฉันคิดดีกว่าเสียงดนตรีทั่วๆไปที่คนแสดงไว้มากกว่ากันมากนัก ทำให้นึกถึงคำ
พูดของชาวต่างชาติที่เคยเขียนว่าดนตรีนั้นย่อมเกิดจากธรรมชาติทั้งสิ้นตามสถานการณ์
ที่เกิดขึ้นนั้นๆด้วยการเลียนเสียงเลียนแบบใส่ภาษาลงไปแล้วมาแสดงกันให้คนทั้งหลายฟัง
กัน เลยเกิดการมองย้อนมุมกลับลงไปอีกหากคนเราทำตัวให้เสมือนธรรมชาติย่อมเกิดความ
สุขดิ้นรนต่อสู้ไขว่คว้าพอเพียงในสิ่งที่เรามีอยู่ก็จะเกิดความสุขสบายไม่จำเป็นต้องเก็บไว้
ให้มากนัก หากทุกๆคนรู้จักแค่พอกินพอใช้ไม่แสดงตนเองให้เก่งไปกว่าคนอื่นๆก็จะมีสิ่ง
เหล่านี้ที่ธรรมชาติให้แก่เรามา แม้แต่เราเกิดมาก็มาตัวเปลือยเปล่าหาได้นำสิ่งอื่นๆมาก็หาไม่
แน่ล่ะความวุ่นวายที่เกิดขึ้นก็ล้วนแล้วแต่ความไม่รู้จักพอเพียงเกิดความต้องการมากขึ้น ใคร
มีมากก็ได้รับความนับถือของคนแต่เวลาตายไปซิทุกๆคนย่อมตายจะเอาอะไรไปก็หาได้ไม่
     ฉันหยิบขวดไวท์หมายจะรินอีก...อ้าวๆๆหมดไปเมื่อไหร่ หมดโดยมิรู้ตัวจึงลุกขึ้นเดิน
ย้อนกลับไปยังที่พัก ที่นั่นยังคงสนุกสนานต่างเต้นกันตามแบบเพลงสมัยใหม่ โยกไปโยกมา
หัวเราะกัน บ้างกระเซ้าเหย้าแหย่กัน บางก็กอดกัน ฉันเดินเลี่ยงๆหมายกลับไปพักผ่อนแต่
เสียงดังทำให้เกิดความคิดใหม่ จึงรวบรวมเสื่อผ้าห่มหมอนที่นอนห่อแล้วเดินหมายจากไปยังที่เดิม
แต่ก็ไม่ลืมหยิบไวท์ที่แช่เย็นไว้ไปด้วย 
     “เฮ้ยๆๆๆ...ไอ้โรจน์มึงจะไปไหนหรือ  เสียงร้องทักจากเพื่อนดัง อ้าวแล้วเอาผ้าจะไปไหน
ล่ะหรือว่าได้ทีเด็ดโว้ย” เสียงทักจากเพื่อน ทุกๆคนหันมามองฉัน หญิงสาวสวยคนหนึ่งเดิน
เข้ามาเกาะแขนไปด้วยคนซิ “พี่โรจน์”
“อย่าเลยดา วันนี้พี่อยากอยู่คนเดียว สนุกๆกับเพื่อนๆเถอะ ไม่ไกลหรอกแถวๆนี้แหละครับ”
“อ้าว....เป็นอะไรหรือทุกครั้งเห็นสนุกๆกับพวกเรา ทุกๆคนยังถามถึงอยู่เลย”
“ ไม่รู้ซิ ดา พี่เองก็ยังไม่รู้เหมือนกันแต่ใจอยากอยู่คนเดียวนะ” ฉันตอบหล่อนพลางแกะมือ
เธอออก
“แปลกโว้ย!!!.....วันนี้ไอ้โรจน์มันแปลกปล่อยมันเถอะเรามาสนุกกันดีกว่า” เพื่อนอีกคน
กล่าว แล้วหันไปเต้นต่อ  ส่วนหญิงสาวสวยดามองหน้าฉันเหมือนจะค้นหาอะไรอยู่
“ถามจริงๆเถอะพี่โรจน์ โกรธใครหรือ เดี๋ยวดาจัดการให้” หล่อนกล่าว
“ไม่มีจริงๆนะดา พี่รู้สึกเวิ้งว้างว่าเหว่ใจชอบกล อยากจะอยู่คนเดียว เท่านั้นเอง ดาไปสนุก
กับเพื่อนเถอะ”
“ไม่งั้นดาจะไปเป็นเพื่อนกับพี่โรจน์นะ พี่ไปไหนดาไปด้วยก็แล้วกัน”
“พี่ขอร้องเถอะพี่อยากอยู่คนเดียวจริงๆนะ ไว้พรุ่งนี้ก็แล้วกันแต่วันนี้ พี่ขอร้องเถอะ อยากหา
ความสุขตามธรรมชาติมาก จริงๆน๊ะดา”
“แล้วพี่กลับมาสนุกด้วยกันนะ ดาขอร้องล่ะ”
“ดูก่อนดา อาจบางทีพี่อาจจะนอนแถวชายหาดแหละ เช้าค่อยเจอกันก็แล้วกัน   ฉันตัดบท
แล้วรีบเดินจากไป  ทุกๆคนหันมามอง เฮ้ยวันนี้ไอ้โรจน์มันจะบ้ามั้ง ไม่เหมือนเก่าเลยหรือ
ว่ามันจะอกหัก เสียงลอยมาตามหลัง  ฉันรีบเดินหนีกลับไปที่เดิมแต่ไม่วายนำปลาหมึกสำเร็จ
รูปติดไปด้วย
     ณ ที่เดิมฉันจัดการปูเสื่อที่นอน แล้วนอนมองจันทร์ที่เคลื่อนคล้อยไปเกือบปลายฟ้า ฟัง
เสียงน้ำ ความมืดเข้ามาครอบงำกว่าเก่า ฉันปล่อยอารมณ์ให้ล่องลอยไปเรื่อยๆตามความฝัง
ไว้ในห้วงจิตใต้สำนึกค่อยผ่อนคลาย พร้อมจิบไวท์และปลาหมึกสำเร็จรูป ไม่คิดอะไรอีกแล้ว
นอกจากฟังเสียงดนตรีธรรมชาติที่แสนจะไพเราะ    โอ้ว...ช่างเป็นความสุขสงบเสียจริงๆ
ฉันคิด ได้ยินเสียงน้ำและเสียงกิ่งสนริมหาดเสียดสีส่งทำนองประสานกัน ช่างเสนาะจริงๆ
อีกด้านหนึ่งของจันทร์แสงระยิบระยับของดวงดาวส่องประกายสุดขอบฟ้า นานแล้วซินะ
ที่ฉันจะสบายใจดังเช่นนี้และก็นานอีกเหมือนกันที่เห็นดาวตก หรือชาวบ้านเรียกว่าผีพุ่งใต้
ฉันนำเอาสถานที่ของเพื่อนๆที่บ้านพักมาเปรียบเทียบกับที่ฉันพักในตอนนี้ช่างแตกต่างกัน
ยังกับโลกคนละใบกันทีเดียว ด้านหนึ่งครึกครื้นปราศจากความเงียบ อีกด้านหนึ่งกลับสงบ
เยือกเย็นอากาศแสนบริสุทธิ์ผุดผ่อง  ดุจดังชีวิตของคนเราระหว่างคนรวยและคนจนก็มิปาน
แต่ความสงบในความสงบกับให้ปรัชญาชีวิตแก่เรามากกว่าชีวิตที่คนเขาไขว่คว้าหากัน หาก
ทุกๆคนมองสภาวการณ์และคิดได้นำมาเปรียบเทียบสรรค์หาความสุขอันแท้จริงก็จะไม่
เกิดการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันและกัน  โลกใบนี้ก็จะสวยสดงดงามยิ่งขึ้น ฉันทานไปมองไป
คิดไปทำให้เกิดความรู้ ความจริง แก่นแท้ของชีวิตได้ ในความเวิ้งว้างแห่งอารมณ์ของฉัน
ฉันคิดต่อจากนี้ไปจะปรับปรุงชีวิตที่เป็นอยู่เสียใหม่ จะเริ่มต้นชีวิตอีกครั้งเพื่อตัวของตัวเรา
เอง หาความสุขอันแท้จริงเสียที จะมอบชีวิตให้แก่ธรรมชาติ ให้ธรรมชาติเป็นครูอบรมจิตใจ
ฉันพอกันทีสำหรับชีวิตที่ผ่านๆมา นานเท่าไหร่ฉันไม่รู้ปล่อยอารมณ์ให้ลอยละล่องไปกับ
ธรรมชาติและหลับไปเมื่อไหร่ไม่รู้   มารู้ตัวอีกครั้งยามได้ยินเสียงเอะอะโวยวายของเพื่อนๆ
ที่ออกตามหาของตะวันยามรุ่งอรุณวันใหม่  ผมยืนขึ้นยกมือผายปอดเพื่อรับอากาศอันแสน
สดชื่นของวันใหม่ และสัญญากับตัวเองว่าจะเลิกสิ่งต่างๆจะมอบไว้ให้แก่เธอผู้เดียวคือ
เธออันเป็นที่ปรารถนาของฉัน “โอ้วๆๆๆๆ ธรรมชาติที่รัก”

                                    ***   แก้วประเสริฐ.   ***


flower005.gif				
26 ตุลาคม 2551 16:29 น.

*** รักเอย...ใยเป็นเช่นนี้ ***

แก้วประเสริฐ



                รักเอย....ใยเป็นเช่นนี้.

ขออุทิศให้กับทุกคนที่อยู่กับคนที่ตัวเองรัก.....
ลองอ่านดูแล้วหันไปดูคนข้างๆ
บอกรักให้เขารู้ว่าเขาเป็นคนสำคัญแค่ไหน....ให้เขารู้ว่าคุณรักเขาแค่ไหน

เรื่องนี้ผมไม่รู้ใครแต่ง........แต่ผมอยากให้มันอยู่ในกระทู้ของผม...
 เพื่อจะมีคนอ่านมันมากขึ้นสักคนก็ยังดี.....ขอบคุณครับ

'รักครั้งแรกใช่จะผิดหวังเสมอไป

มีคนเคยบอกว่า ความรักมีอยู่ 3 แบบ

1. รักเพราะหลง

2. รักเพราะอ่อนไหว
3. รักเพราะเข้าใจ
และยังมีคนบอกอีกว่า

รักครั้งแรกส่วนมากจะเป็นรักเพราะหลงและมักจะไม่สมหวัง

แต่สำหรับผมแล้วรักครั้งแรกเป็นรักที่เป็นความทรงจำที่ดีที่สุดในชีวิตของผม

ผมชื่อ แทน เรียนปี 3

อยู่มหาลัยแห่งหนึ่ง

ผมต้องทำงานไปเรียนไป
เพราะพ่อแม่ผมเสียชีวิตโดยอุบัติเหตุเมื่อปีก่อน
ตอนนี้ผมจึงเหมือนอยู่ตัวคนเดียว


ผมก็เงียบมาตลอดไม่ค่อยคุยกับเพื่อนคนไหนเลย ส่วนเธอ

เธอชื่อ ซี ......... ซีเป็นลูกคนรวย เรียนปี 3
เหมือนผม และคณะเดียวกับผม
โดยความคิดของผมแล้วนั้นลูกคนรวยส่วนมากจะชอบทำตัวเว่อร์ ๆ
แต่สำหรับซี
แล้วเธอไม่ใช่ ซีเป็นคนเรียบร้อย ร่าเริง เรียนเก่ง

แล้วยังเป็นที่รักของเพื่อนๆ

ด้วย ซึ่งต่างกับผมราวฟ้ากับดิน
ผมแอบมองซีมาตลอดตั้งแต่เข้ามาเรียนปี 1

แต่ตอนนี้ผมคงไม่มีเวลาคิดเรื่องนั้นแล้ว

ตั้งแต่พ่อแม่ผมเสีย
ผมก้อไม่ค่อยมีเวลาอยู่กับเพื่อน ๆ เลย
ดังนั้นเลิกฝันถึงซีไปได้เลยครับ

เช้าวันนึง
เข้าเรียนคาบแรก

อาจารย์สั่งให้ทุกคนนำงานที่สั่งมาส่ง
ผมไม่รู้เรื่องเลยว่าอาจารย์สั่งงานตอนไหน

สงสัยสั่งตอนที่ผมแอบหลับในห้องเรียนมั้ง

ผมทำอะไรไม่ถูก

แทน? เสียงผู้หญิงเรียกชื่อผม ผมหันไปมอง

ซีเป็นคนเรียก
ซีพูดต่อว่า ?ซีทำรายงานมาให้ ซีรู้ว่าแทนไม่ได้ทำมา
เพราะเมื่อวานแทนหลับในห้องเรียนตอนอาจารย์สั่งงานพอดี?

พอพูดเสร็จซีก้อวางรายงานไว้บนโต๊ะ
แล้วก้อเดินกลับไป หลังเลิกเรียน
ผมเดินเข้าไปบอก ขอบคุณซี
แต่ซีพูดกลับมาว่า ?
เปลี่ยนจากคำขอบคุณเป็นข้าวมื้อเที่ยงได้มั้ยค่ะ ?
ผมดีใจไม่คิดเลยว่าผมจะมีโอกาสได้นั่งกินข้าวกับซี

ผมเลยตอบกลับไปว่า
ได้ครับ?
หลังจากนั้นเราก้อเดินไปกินข้าวที่โรงอาหารของมหาลัย
เธอดูเรียบร้อยมากเวลาทานข้าว

พอทานเสร็จ ซีก้อพูดขึ้นมาว่า ?ซีรู้นะ
ว่าแทนไม่ค่อยรู้เรื่อง
ไม่ค่อยมีเวลาทบทวนเรื่องที่เรียนไป

เอาเป็นว่าเวลาแทนว่าง
ซีจะติวให้แทนดีมั้ย?

ความหวังดีจากหญิงคนนึงที่ผมเคยแอบมองมาตลอดนั้นมันเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก

หลังจากวันนั้นผมกับซี

ก็จะมานั่งติวหนังสือกันทุกวัน
จนเรียนจบมหาลัย
ผมก็มีบริษัทมารับเข้าทำงาน 2 บริษัท
บริษัทแรกทำงานในกรุงเทพ
ส่วนอีกบริษัททำงานที่ระยอง
 
ผมปรึกษากับซีว่าจะเลือกบริษัทไหนดี ซีบอกว่า
ตามใจแทนเถอะ ชีวิตเป็นของแทนนะ?
ผมได้ยินดังนั้นผมก้อไม่ลังเลที่จะเลือกทำบริษัทที่
2
ถึงผมจะต้องไปทำที่ระยอง
แต่มันเป็นอนาคตที่ดีสำหรับผม
ผมไปทำงานอยู่ที่ระยอง 1 อาทิตย์ผมจะโทรหาซี 2 -3 ครั้ง
1 เดือนผมจะเข้ากรุงเทพ 1 - 2 ครั้ง
เวลาผ่านไป 4 ปี ผมได้ย้ายเข้ามาทำงานในกรุงเทพ
เพื่อมารับงานในตำแหน่งผู้จัดการบัญชี
พอผมมาถึงกรุงเทพ
ทางบริษัทให้ผมลาพักร้อนได้ 1 อาทิตย์
ผมจึงตัดสินใจชวนซีไปเที่ยวเป็นครั้งแรก
ผมโทรเข้ามือถือซี ผมชวนเธอไปที่สวนสามพราน
เพราะซีชอบดอกไม้
ซีตอบกลับมาว่า ?จริงหรือแทน
ซีไม่เคยไปไหนกับใครนอกจากพ่อและแม่เลย
แทนจะพาซีไปวันไหนค่ะ?
ผมบอกกลับไปว่า ?พรุ่งนี้โอเคมั้ย
พาไปเที่ยวเสร็จแล้วซีไปดูคอนโดเป็นเพื่อนแทนหน่อยนะ
แทนจะซื้อคอนโดใกล้บ้านซี?

ซีตอบมาว่า ้ค่ะ
แล้วเจอกันนะค่ะ?

เช้าวันรุ่งขึ้นผมไปรับเธอที่บ้าน
หลังจากนั้นผมก้อนั่งรถแท็กซี่ไปสวนสามพราน
ระหว่างที่ดูดอกไม้นั้นซีดูมีความสุขมาก
ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผมได้สัมผัสมือซี
หลังจากที่คุยกันมานานถึง 6 ปี

พอบ่ายผมก้อไปดูคอนโดที่อยู่ใกล้บ้านซีที่สุด
แล้วก้อเซ็นสัญญาซื้อผ่อนทันที
ตกเย็นซีชวนผมไปบ้านของเธอ ซีบอกว่า
คุณพ่อของซีอยากเจอแทนค่ะ
เลยให้ซีชวนแทนมาทานข้าวที่บ้าน?
ผมไม่ปฎิเสธครับ พอไปถึงบ้านนั่งลงที่โต๊ะ
คุณพ่อของซีดูเป็นผู้ใหญ่มาก
ท่านพูดขึ้นมาว่า ?เธอเองหรือชื่อแทน
แล้วซีเล่าให้พ่อฟังอยู่บ่อย ๆ
ซีบอกกับพ่อว่า เธอเป็นคนขยัน
ว่าไงสนใจมาทำงานกับพ่อมั้ย
มาทำที่บริษัทพ่อ?
ผมอึ้งไม่คิดเลยว่าท่านจะพูดกับผมแบบนี้

ผมรู้สึกดีใจตอนนี้ผมรู้สึกเป็นส่วนนึงในชีวิตของซียังไงไม่รู้ครับ
ผมตอบตกลงทันที
หลังจากวันที่ผมไปบ้านซี
2 วัน
ผมก้อเริ่มงานในบริษัทของพ่อซี
ตำแหน่งที่ผมได้เข้ารับคือตำแหน่ง
ผู้จัดการฝ่ายบัญชี
งานส่วนใหญ่จะใช้สมองซะมากกว่า หลังจากนั้นก้อว่าง
วันนึงพ่อของซีก้อเดินมาที่โต๊ะทำงานผมแล้วก้อบอกว่า
แทนถ้าว่าง
ก้อพาซีไปเที่ยวก้อได้นะ พ่อฝากดูแลซีด้วย?
ผมตอบตกลงไป
ผมและซีในเวลานี้มีความสุขที่สุด
ผมมีเวลาให้ซีมากขึ้น แต่พอผมว่างมากขึ้น
ผมก้อพูดกับซีว่า ? ซี....
แทนเบื่อแล้ว
แทนอยากทำงาน
แต่ไม่ได้หมายความว่าแทนเบื่อซีนะ
แทนจะรับงานตรวจสอบบัญชีจากบริษัทอื่นมาทำด้วยนะ
ซีเห็นด้วยมั้ย?
ซีตอบกลับมาว่า ?ถ้ามันเป็นความต้องการของแทน
ซีก้อเห็นด้วย? 
ผมก้อรับงานจากบริษัทอื่นเข้ามาทำ
เวลาว่างที่ผมเคยมีให้ซีก้อค่อย ๆ
หมดลงไป

ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าผมจะต้องพยายามทำงานให้มากเพื่อที่จะเทียบเท่าหรือใกล้เคียงซีมากขึ้น
ตอนนี้มันยังไม่ถึงเวลาที่ผมจะบอกว่ารักเธอ

แต่ในใจแล้วผมรู้สึกได้อย่างไม่ต้องสงสัยแล้วว่าซีคือคนที่ผมอยากอยู่ด้วย

วันนี้เป็นวันเกิดของซี
ผมทำงานจนลืมไปเลยว่าวันนี้วันเกิดของเธอ
วันรุ่งขึ้นซีโทรมาหาผมแล้วพูดว่า
แทนไม่เคยลื มเลยนะ
แต่ปีนี้แทนลืม
เมื่อวานเป็นวันเกิดของซีนะ? 
แล้วเธอก้อร้องไห้
ในเวลานั้นผมเครียดเรื่องงานมาก
ผมเลยพูดออกไปอย่างไม่คิดว่า ?ไร้สาระน่ะซี
แทนต้องทำงานนะ แทนไม่ว่างเหมือนซีนะ?
เธอเงียบไปสักพักแล้วซีก้อพูด ?ขอโทษนะแทน

ซีไม่อยากทะเลาะกับแทนซีอยากจะใช้เวลาที่เหลืออยู่อย่างมีความสุขโดยมีแทนอยู่เคียงข้างนะ?

ผมโกรธที่เธอพูดแบบนี้มาก
แต่เงียบไม่ต่อว่าอะไรเธอไป ซีพูดต่ออีกว่า
อีก2วันซีจะไปอเมริกากับแม่ ซีอยากให้แทนไปด้วย
ซีขออนุญาตคุณพ่อแล้วนะ
คุณพ่อบอกว่าให้แทนไปด้วยได้ แทนจะไปกับซีมั้ย?

ผมตอบกลับไปว่า ?ช่วงนี้งานยุ่ง
ซีไปกับแม่ให้สนุกเถอะ? แล้วซีก้อวางหู
ซีเดินทางไปอเมริกากับแม่ 1 เดือน ในเวลาระหว่าง 1 เดือนนี้
ผมไม่ได้ติดต่อกับซีเลย
พอซีกลับมากรุงเทพ
ผมก้อไม่ได้ไปรับ
หลังจากกลับมาจากอเมริกา
ผมกับซีก้อห่างเหินกันไม่ค่อยได้เจอกันเลย 1
เดือนจะได้เจอหน้ากันสัก 2 ? 3 ครั้ง
ไม่ได้โทรคุยกันเลยเพราะผมงานยุ่งมาก
ผมทำงานที่บริษัทพ่อซีมา 3 ปีแล้ว
ตอนนี้ผมคิดว่าผมพร้อมทุกอย่างแล้ว
มีเงินพอที่จะซื้อบ้าน ซื้อรถ
และทุกสิ่งทุกอย่างที่ซื้อได้ด้วยเงิน

วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ผมจึงตัดสินใจที่จะขอซีแต่งงาน
แล้วคืนก่อนวันที่ 14
ซีก้อโทรมาหาผมที่บ้าน
แทนซีถามอะไรแทนหน่อยได้มั้ย? ผมตอบว่า ?ได้สิ?
ซีถามต่อ ?แทนทำไมถึงขยันทำงานขนาดนี้
แทนขยันเพื่อใคร เพื่ออะไร?
ผมไม่ตอบกับคำถามของซี แต่พูดกลับไปว่า
พรุ่งนี้แทนจะบอก
แทนจะตอบทุกคำถามขอซี
พรุ่งนี้ซีไปสวนสามพรานกับแทนนะ?
ซีตอบมาว่า ?ได้?
เช้าวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ผมรีบไปที่เต้นท์โชว์รูม ฮอนด้า
ทำสัญญาออกรถป้ายแดง
ออกมาแล้วก้อขับไปรับซีที่บ้าน
ผมนึกว่าซีจะตกใจที่ผมขับรถไปรับเธอ
แต่ไม่เลยเธอดูอ่อนเพลียเหมือนคนไม่สบาย หน้าซีด
ผมจึงบอกซีว่า
ไว้วันหลังก้อได้นะซี? ซีตอบกลับมาว่า ?วันนี้แหละ
ซีอยากไปวันนี้?

ก่อนขับรถออกจากบ้านซีผมเห็นแม่ซีดูเหมือนจะร้องไห้แต่ก้อไม่ได้คิดอะไร

พอมาถึงสวนสามพราน ผมเดินจูงมือซีดูดอกไม้
เดินได้สักพักผมก้อพาซีมานั่งที่ม้านั่งริมสระน้ำ
ซีซบไหล่ผมแล้วพูดกลับผมว่า
แทน ซีรู้นะว่าแทนรักซี
แต่ซีอยากให้แทนบอกซีเองจะได้มั้ย แทนบอกซีด้วยว่า
แทนทำไมถึงขยันทำงานขนาดนี้ แทนขยันเพื่อใคร
เพื่ออะไร?

แล้วคราวนี้ผมก้อบอกเธอทุกอย่างว่า
ซี.........แทนรักซีนะ
ทุกอย่างที่แทนขยัน
แทนทำเพื่อซี
แทนไม่อยากให้ซีโดนใครดูถูกว่ามาคบกับแทน
แล้ววันนี้แทนมีพร้อมทุกอย่างแล้ว
วันนี้แทนคิดว่าแทนใกล้เคียงพอที่จะขอซีแต่งงานแล้ว
ซีแต่งงานกับแทนนะ'

แล้วผมก้อหยิบแหวนแต่งงานที่แอบซื้อไว้หมายจะสวมเข้าที่นิ้วของซี
ผมจ ับมือของซีขึ้น เธอไม่ตอบสนองต่อสิ่งที่ผมทำ
ผมจับตัวเธอเขย่า
เธอไม่รู้สึกอะไรเลย
ผมจึงอุ้มร่างซีขับรถไปที่โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด
แล้วแล้วระหว่างนั้นผมก้อโทรบอกทุกคนที่เกี่ยวข้องกับซี
มาถึงโรงพยาบาล หมอรีบพาซีเข้าห้อง
ไอซียู

ผมไม่รู้เรื่องอะไรเลยถามหมอว่าซีเป็นอะไรหมอก้อไม่ยอมบอก
ไม่นานพ่อกับแม่ซีก้อมาถึงโรงพยาบาล
ผมถามแม่ซีว่าซีเป็นอะไร
แม่ซีบอกกับผมว่า
ซีเป็นโรคหัวใจ เป็นมาตั้งแต่เด็กแล้ว?

ผมอึ้งทำไมผมมันโง่อย่างนี้ผมไม่เคยรู้อะไรเลย
ไม่เคยรู้ว่าซีเป็นโรคหัวใจ
ผมนั่งภาวนาอยู่หน้าห้องไอซียูว่าขออย่าให้ซีเป็นอะไรเลย
ถ้าซีหายผมจะแต่งงานกับเธอ
จะไม่ทิ้งให้เธอเดียวดายอีกต่อไป 
ซีอยู่ในห้องไอซียูนานถึง 5 ชั่วโมง
หมอก้อเดินออกมาจากห้อง
ผมรีบวิ่งเข้าไปเขย่าตัวหมอแล้วถามว่า
ซีไม่เป็นไรใช่ไหมหมอ?
หมอเงียบสักพักแล้วตอบว่า
ผมเสียใจด้วยนะครับ?
ผมได้ยินคำนี้ถึงกับทรุดตัวลง
แล้วก้อนั่งร้องไห้ออกมา

หลังจากนั้นงานศพของซีของถูกจัดขึ้นท่ามกลางแขกหลายคน
รวมทั้งเพื่อนของซีด้วย
วันนี้เป็นวันสุดท้าย เป็นวันเผาศพ
แม่ซีแทนเข้ามาหาผมแล้วก้อยื่นซองเอกสารสีน้ำตาลให้ผม
แล้วพูดว่า
ของที่อยู่ข้างในเป็นของที่ซีเขียนจดหมายไว้ให้แม่
บอกให้แม่มอบให้แทน?
ผมค่อย ๆ แกะซองนั้นออกข้างในมีสมุดเล่มเล็ก ๆ
กับม้วนวีดีโออยู่
หลังจากพีธีเผาศพเสร็จผมนั่งอยุ่ด้านหน้าจนแขกในงานกลับไปกันหมด
พ่อซีเดินเข้ามาหาผมแล้วพูดกลับผมว่า
ซีรักแทนมากนะ? แล้วพ่อก้อเดินกลับไป

ผมขับรถกลับมาคอนโด
ด้วยรอยคล้ำใต้ตา
ผมเดินไปหยิบม้วนวีดีโอเทปแล้วนำมันไปเปิด
ผมเห็นซีในชุดสีขาวเหมือนชุดในโรงพยาบาลไม่มีผิด
gt
ซีพูดว่า ?แทน .......
ถ้าแทนได้ดูม้วนวีดีโอนี้แล้วแสดงว่าซีไม่ได้อยู่แล้วนะ
ตอนนี้ซีอยู่ที่โรงพยาบาลในอเมริกา
แม่ซีพาซีมาหาหมอเพื่อที่จะผ่าตัดครั้งสุดท้าย
ถ้าผ่าตัดครั้งนี้ไม่สำเร็จ
หมอบอกว่าซีจะอยู่ได้อีกไม่ถึง 2 ปี
แต่ซียอมเสี่ยงเพื่อที่จะได้อยู่กับแทนตลอดชีวิต
ซีไม่โกรธแทนนะที่แทนไม่มาอเมริกากับซี
แต่แทนอย่าโกรธซีนะที่ซีไม่ได้บอกว่าซีเป็นโรคหัวใจ
ซีแค่ไม่อยากให้แทนกลุ้มใจ
ซีเห็นแทนพยายามในสิ่งที่แทนต้องการ
แค่นี้ซีก้อมีความสุขแล้ว
ซีรู้นะว่าแทนพยายามทำเพื่อใคร
แทนทำเพื่อซีใช่มั้ย
ถ้าคิดไปเองก้อขอโทษนะ 
ซีอยากให้แทนรู้นะว่าซีรักแทนมาก มากที่สุดด้วย?
สัญญาณภาพก้อหายไป
น้ำตาขอผมออกมาชำระความโง่เขลาของตัวเอง
ทำไมผมไม่เอะใจกับคำพูดของเธอที่ว่า ?ขอโทษนะแทน

ซีไม่อยากทะเลาะกับแทนซีอยากจะใช้เวลาที่เหลืออยู่อย่างมีความสุขโดยมีแทนอยู่เคียงข้างนะ?
ผมน่าจะรู้ว่าเธอไม่สบาย
ผมน่าจะไปอเมริกากับเธอ
ผมนั่งคิดสักพักแล้วก้อหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน
ในนั้นเขียนว่า
ถึงแทนที่ซีรัก อย่าโทษตัวเองนะที่ไม่มีเวลาให้ซี
อย่าโทษตัวเองนะว่าผิด
เรื่องนี้ไม่มีใครผิด และก้อไม่มีใครถูก ซีรักแทน
แทนก้อรักซี ถึงเรา 2
คนจะไม่พูดแต่ซีก้อรู้สึกนะ
ถึงซีจะไม่อยู่แล้ว
แต่ซีก้อยังคงอยู่ในใจแทนนะ
ซีรักแทนมาก มากเกินกว่าที่จะเขียนลงไปได้
ซีอยากจะบอกกับแทนว่ารักจากปากของซีเอง 
แต่มันคงไม่มีเวลาแล้ว
หลังจากที่ซีไปผ่าตัดแล้วผลออกมาล้มเหลว
ซีก้อป่วยมาตลอด ซีไม่ได้โกรธแทนนะ
แต่ซีไปหาแทนไม่ไหว ซีไม่อยากจะบอกให้แทนรู้
เพราะแทนกำลังตั้งใจกับงานที่ทำอยู่
สุดท้ายนี้ซีอยากจะบอกกับแทนว่า
ซีขอโทษซีอยู่กับแทนได้แค่นี้ ระยะเวลา
9 ปีที่ซีอยู่กับแทนถึงมันจะน้อยแต่ซีรู้สึกมีความสุขมากนะ
ลาก่อนแทนที่ซีรัก?
ผมอ่านจดหมายเสร็จ
ผมก้อนั่งร้องไห้และคิดอยู่ตลอดเวลาว่า
ตอนนี้ผมมีทุกอย่าง
มีทุกสิ่งที่จะซื้อได้ด้วยเงิน
แต่ผมกลับซื้อเวลาที่จะอยู่กับซีไม่ได้
แต่ถ้าผมซื้อเวลาคืนมาได้
1 นาที ผมจะบอกว่าให้ซีรู้ว่า ผมรักเธอมากแค่ไหน
1 ชั่วโมง
ผมจะรีบขับรถไปหาเธอแล้วบอกเธอว่าขอโทษที่จำวันเกิดไม่ได้นะที่รัก
1 วัน ผมจะอยู่กับเธอในวันเกิดที่ผมลืม
1 เดือน ผมจะไปดูแลเธอที่อเมริกา
และ 1 ปี ผมจะขอเธอแต่งงานและอยู่กับเธอ
ถึงแม้จะเป็นเวลาแค่ 1 ปีก้อตาม
ในชีวิตของคน ๆ นึง
จะมีสักครั้งมั้ยที่จะได้พบรักแท้ในรักครั้งแรก
ชีวิตเราเกิดมาเพื่อใคร และเกิดมาทำไม
อย่างน้อยชีวิตของผมที่เกิดมา
ก้อได้รู้ว่าเกิดมาเพื่อใครและพยายามเพื่อใคร 
สำหรับรักครั้งแรกของผมนั้นผมคิดว่าจะเป็นรักครั้งเดียวในชีวิตของผมที่ดีที่สุด
ถึงแม้ผมจะไม่ได้บอกกับซีว่า
ผมรักซี
แต่ตอนนี้ผมจะบอกผ่านโพสต์นี้ไปถึงซีว่า
ผมรักซีมาก รักตั้งแต่วันแรกที่เจอ
ซีคือทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมมีได้ในวันนี้
เพราะฉะนั้นผมจะไม่รักใครอีกนอกจากเธอ?
ซีจากผมไป 1 ปี กับ อีก 4 วัน
แต่เมื่อวานซีก้อยังทำให้ผมร้องไห้อีกจนได้ครับ
เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อวานตอนเย็น ผมกลับมาที่คอนโด
เพื่อเปลี่ยนชุดไปงานเลี้ยงของบริษัทที่ผมทำงานอยู่
หรือบริษัทของพ่อซี )
ผมเลือกเสื้อสูทที่จะใส่ไปงาน
ในขณะที่ผมเลือกอยู่ผมก้อเหลือบไปเห็นเสื้อสูทสีม่วงผ้ากำมะหยี่
ผมเลยนึกขึ้นได้ว่าเสื้อตัวนี้
ซีเป็นคนซื้อให้ผมก่อนที่เธอจะไปรักษาตัวที่อเมริกา
แต่ผมไม่เคยใส่มันเลย
เพราะเคยลองใส่ดูแล้วมันดูเหมือนนักสนุ๊กเกอร์อย่างไรไม่รู้
ผมเลยไม่ชอบ
แต่วันนี้ผมคิดถึงซีมาก
ผมเลยหยิบสูทตัวนี้ขึ้นมาใส่
พอใส ่เสร็จผมมีความรู้สึกว่ามีของอยู่ในกระเป๋า
ผมจึงล้วงลงไปหยิบและเอามันขึ้นมาจึงรู้ว่ามันเป็นเทปคาสเซ็ทม้วนหนึ่ง
ด้วยความอยากรู้ว่ามันเป็นเพลงอะไรผมจึงตรงไปที่เครื่องเสียงแล้วเปิดมัน
เสียงแรกที่ผมได้ยินเป็นเสียงของ ซี
เธออัดเสียงของเธอลงในเทป
ต่อไปนี้จะเป็นคำพูดที่เธอพูดในเทปนะครับ
' สวัสดีค่ะ แทน นั่นแน่
แทนได้ฟังเทปแล้วแสดงว่าแทนแพ้พนันซีแล้วนะ
เพราะแทนบอกว่าจะไม่มีวันใส่สูทตัวนี้ (เธอหัวเราะเบา ๆ )
ในที่สุดแทนก้อใส่สูทตัวนี้จนได้ เฮ้อ ( เธอถอนหายใจ )
ตอนนี้เราจากกันนานหรือยังนะ
ขอโทษที่ซีพูดอย่างนี้นะ
ซีคิดว่าแทนคงได้ฟังเทปนี้ตอนที่ซีไม่ได้อยู่กับแทนแล้ว
แทนคิดถึงซีมั้ย
คงคิดถึงล่ะสิ
แทนอยากรู้มั้ยว่าตอนนี้ซีอยู่ที่ไหน
ถ้าอยากรู้ทำตามที่ซีบอกนะ
แทนเปลี่ยนเทปไปฟังที่ต้นหน้า B นะค่ะ '
แล้วเสียงซีก้อเงียบลง ผมจึงรีบกรอไปที่ต้นหน้า B 
แล้วเปิดฟัง
' แทนค่ะ แทนทำตามที่ซีบอกนะค่ะ แทนหลับตาลงนะ '
แล้วผมก้อได้ยินเสียงคลื่น
แล้วก้อมีเสียงเธอพูดขึ้นว่า ' แทน
ซีว่าเปลือกหอยอันนี้สวยจังเลยนะค่ะ
แล้วเธอก้อพูดขึ้นมาว่า '
รู้มั้ยว่าตอนนี้เราอยู่กันที่ไหน '
ผมตอบกับตัวเองว่าทำไมจะจำไม่ได้
เพราะเสียงที่ผมได้ยินนั้นมันมาจากม้วนวีดีโอ
ที่เราไปถ่ายตอนไปเที่ยวที่ พัทยา
แล้วเทปที่มีเสียงของซีก้อยังคงเล่นต่อไป
ซีเปิดวีดีโอ มีเสียงที่อยู่ตามสถานที่ต่าง ๆ
ที่
ผมกับเธอไปเที่ยวกัน
เสียงของเธอในเทปก้อพูดขึ้นมาว่า
' ตอนนี้แทนรู้ยังค่ะว่า ซีอยู่ที่ไหน
ซีอยู่ในใจแทนนะ
เวลาที่แทนคิดถึงซี
แทนก้อเปิดวีดีโอ หรือ รูปถ่ายของเราดูก้อได้นะ
และวันนี้ซีก้อจะรักษาสัญญากับแทนอีกเรื่องหนึ่งนะค่ะ
แทนจำได้มั้ย
แทนเคยร้องเพลงให้ซีฟัง ซียังจำได้นะ
แต่จำชื่อไม่ได้ว่าเพลงอะไร
แต่จำเนื้อร้องได้ท่อนนึงนะ ท่อนที่ว่า '
เส้นทางชีวิตของฉัน
ถึงแม้ว่ามันไม่โรยด้วยกลีบดอกไม้
แต่มันเป็นทางที่ฉันเลือกเดินด้วยหัวใจ
เส้นทางชีวิตสายนี้จะขอพิสูจน์ด้วยแรงและกำลังใจ '
และอะไรต่อจำไม่ได้แล้วค่ะ
ร้องได้แค่นี้ค่ะ
พอแทนร้องเสร็จ
แทนก้อบอกให้ซีร้องให้ฟังบ้างแต่ซีไม่ได้ร้อง
แทนเลยโกรธ แต่วันนี้ซีจะร้องให้ฟังนะ
แทนฟังให้ดีนะ
ซีอาจจะร้องไม่เพราะเท่าไรนะค่ะ
ซีจะฝากบทเพลงนี้ไว้แทนใจนะ
เมื่อไรที่แทนเหงาแทนจงฟัง
เพราะมันจะเป็นบทเพลงสุดท้ายไว้แทนใจ
เพราะตอนนี้เราคงต้องห่างไกลกันนะ ซีร้องแล้วนะ (
แล้วเธอก้อร้องเพลง )
' วันคืนที่เนิ่นนาน
อาจผ่านชีวิตคน
อาจเปลี่ยนใจคนให้เวียนหมุนไป
ทำเราจากกันนาน
ไม่เคยโทษใคร
มันเป็นเงื่อนไขของกาลเวลา
วันวานของเรา
แม้มันไม่คืนกลับมา
แต่อยากจะบอกให้เธอรู้ว่า
ฉันยังห่วงใย
ใจก้อยังคิดถึงเธอ
เหมือนแต่ก่อนเป็นมาเสมอ
แม้ว่าเธอจากฉันไป
ฉันยังเฝ้าดู
และอยากจะรู้ความเป็นไป
เพราะว่าฉันรักเธอดั่งเดิม เดิม
ถึงจะนาน
นานเท่าไร
ฉันขอพอใจขอเป็นอย่างเดิม
ไม่ต้องการจะทนเห็นเธอต้องเหนื่อย
ไม่ต้องการจะทนเห็นเธอลำบาก
ได้แต่คอยเอาใจช่วยเธอทุกอย่าง
อยากให้เธอมีโลกที่สวยงาม
รักเธอเสมอ

http://www.imeem.com/people/_pRjaBd/music/GkusleFf/maleewan_raktursamur/
 
ยังไงซีก้อรักแทนนะค่ะ '
สุดท้ายยย ( 
เสียงของเธอผมรู้สึกได้เลยครับว่าเธอกำลังร้องไห้เพราะเสียงของเธอสะอื้น )
ซีอยากจะบอกแทนว่า แทนอย่าปิดกั้นตัวเองเพราะซีนะค่ะ

ซีอยากให้แทนเจอคนดีดี
อย่าจบชีวิตตัวเองโดยไม่ใคร แทนเป็นคนดี
แทนต้องได้เจอคนดีดี
ซีเชื่อว่าต้องเป็นเช่นนั้น
ซีจะไม่โกรธถ้าแทนจะมีใครสักคน
แต่ซีจะโกรธถ้าแทน ปิดกั้นชีวิตเพราะซี แทนค่ะ
แทนอย่าทำให้ซีต้องเป็นห่วงนะค่ะ
แทนสัญญากับซีนะค่ะ
ว่าจะไม่ปิดกั้นตัวเอง
ถึงซีจะไม่ได้ยิน 
ซีจะเงียบให้แทนพูดนะค่ะ .......
ไม่มีเสียงจากเทปครับ ผมก้อเลยพูดออกไปตามอารมณ์นั้น
แทนสัญญา

ผมก้อนึกว่าเทปคงหมดหน้าแล้วจึงเอื้อมไปปิด
ผมถึงกลับสะดุ้งและขนลุกทันที
ที่ได้ยินเสียงของซีออกมาจากเทปแล้วพูดว่า
 ขอบคุณนะค่ะ
ถึงซีจะไม่ได้ยินแต่ซีเชื่อว่าแทนคงจะรักษาสัญญากับซีนะค่ะ
ว้าเทปหมดแล้วนะค่ะ ซีรักแทนนะค่ะ.................

ช่วงเวลาที่ผมได้ยินคำขอบคุณจากเธอ
ผมยังรู้สึกว่าเธอยังอยู่ข้าง ๆ ผมเลย
ผมคิดถึงเธอมาก
ผมนั่งคิดว่าทำไมซีถึงเข้มแข็งได้ขนาดนี้

ผมนั่งร้องไห้ไปตั้งแต่ได้ยินเสียงคลื่นจากทะเลของวีดีโอแล้ว
แต่เสียงเพิ่งมาร้องไห้ ตอนร้องเพลงให้ผมฟัง 

ทั้งๆที่รู้ว่าตัวเองจะต้องตาย
ทำไมเธอไม่เคยบ่นว่าทรมานให้ ทำไมเธอถึงพูดได้ขนาดนี้
ผมฟัง
แล้วทำไมเธอยังเป็นห่วงชีวิตผมอีก
แล้วอย่างนี้ผมจะลืมเธอได้มั้ย
ผมจะเจอคนที่เป็นห่วงและรักผมได้อย่างนี้อีกมั้ย
แต่อย่างน้อยผมก้อยังรู้สึกได้ว่าเธอไม่ได้จากผมไปไหนไกล
แต่เธอยังอยู่กับผมใกล้ ๆ ในใจผมเสมอ
และแล้วผมก้อไปไม่ทันกล่าวพิธีเปิดงานเลี้ยงจนได้

พ่อของซีโกรธใหญ่เลย อิอิ

ท่านถามผมว่าไปทำอะไรมา
ผมแอบอมยิ้มแล้วตอบกับท่านว่า '

ผมนั่งฟังคนที่ผมรักพูดอยู่ครับ '
พ่อซีได้ยินเท่านั้นแหละทำหน้างงเป็นไก่ตาแตกไปเลยครับ
อิอิอิอิ
สายลมพัดไปแล้วไม่หวนมา
เหมือนกับชีวิตคนตายไปแล้วก้อไม่ฟื้นขึ้นมา

ขึ้นอยู่กับว่าโลกสำหรับคนที่ตายนั้นมันเป็นอีกโลกนึง

แต่โลกสำหรับคนที่อยู่นั้นมันเป็นโลกแห่งความจริง 
อย่ายึดติดกับสิ่งที่ไม่มีตัวตน

และอย่าปิดกั้นในสิ่งที่เรียกว่ารักแท้

แต่จงยึดมั่นและเก็บความรู้สึกที่ดีไว้ให้กับรักแท้จะดีกว่า


มีพบก้อมีจากมันเป็นธรรมดา


C love Tan never die and forever but Tan forget me not .
Because C will alive in your heart.
นั่นคือจดหมายฉบับสุดท้ายที่ซีเขียนให้ผมและแนบไว้ในกล่องใส่เทปคลาสเซ็ท


ป.ล.ถ้าคุนไม่ส่งจดหมายฉบับนี้ต่อไปแสดงว่าคุนไม่ได้รู้สึกถึงความรักของผมและซีเลย

ถ้าคุนเห้นแก่ความรักของผมและซีกรุณาส่งเรื่องทั้งหมดนี้ต่อไปอีกอย่างน้อย
10 คนแล้วความรักของคุนจะประสบผมสำเร็จ
แค่ 10 คนเท่านั้นแหละ

และถ้าจดหมายฉบับนี้ได้กลับมาถึงคุนแสดงว่ายังมีคนที่รักคุนอีกมาก

448537w6ugnpkbpv.gif				
23 กุมภาพันธ์ 2551 13:33 น.

** หมาขี้เรื้อน **

แก้วประเสริฐ


                               **  หมาขี้เรื้อน  **

     เป็นของดีที่เพื่อนส่งมาให้อ่านเห็นว่าดีจึงนำมาให้อ่านกันครับ

ลูกชายนักธุรกิจใหญ่มีชื่อเสียงระดับประเทศคนหนึ่งเพิ่งสำเร็จการศึกษากลับมาจากเมืองนอก
ยังไม่ทันทำงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันก็ถูกผู้เป็นแม่ขอร้องให้บวชเรียนเสียก่อน
เพื่อเห็นแก่แม่..บัณฑิตใหม่หมาดๆจากเมืองนอกจึงบวชอย่างเสียไม่ได้
เมื่อบวชที่วัดใหญ่ในกรุงเทพฯแห่งหนึ่งเสร็จแล้ว
ผู้เป็นแม่จึงพาไปฝากให้จำพรรษาอยู่กับพระวิปัสสนาจารย์รูปหนึ่งที่วัดป่าแถวภาคอีสาน
พระหนุ่มการศึกษาสูงมาจากตระกูลผู้ดีมีแต่ความสุขสบาย
เมื่อมาอยู่วัดป่ากว่าจะปรับตัวได้จึงใช้เวลานานเป็นแรมเดือน
แต่ก็นั่นแหละกว่าจะนิ่งก็ทำเอาพระร่วมวัดหลายรูปพลอยอิดหนาระอาใจไปตามๆกัน
ปัญหาที่ทำให้พระทั้งวัดเหนื่อยหน่ายจนนึกระอาก็เพราะพระใหม่มีนิสัยชอบจับผิด
และชอบอวดรู้ยกหู ชูหางตัวเองอยู่เป็นประจำ
วันแรกที่มาอยู่วัดป่าก็นึกเหยียดพระเจ้าถิ่นทั้งหลายว่าไม่ได้รับการศึกษาสูงเหมือนอย่างตน
ออกบิณฑบาตได้อาหารท้องถิ่นมาก็ทำท่าว่าจะฉันไม่ลง
เห็นที่วัดใช้ตะเกียงน้ำมันก๊าดแทนไฟฟ้าก็วิพากษ์วิจารณ์เสียเป็นการใหญ่หาว่าล้าสมัย
ไม่รู้จักใช้เทคโนโลยี่ ตอนหัวค่ำมีการทำวัตรสวดมนต์เย็นก็บ่นว่า
ท่านรองเจ้าอาวาสทำวัตรนานเหลือเกินกว่าจะสิ้นสุดยุติได้ก็นั่งจนขาเป็นเหน็บชา
ครั้นพอถึงเวรตัวเองล้างห้องน้ำเข้าบ้างก็ทำท่าจะล้างอย่างขอไปทีล้างไปบ่นไป
ประเภทตูจบปริญญาโทมาจากเมืองนอกต้องมาเข้าเวรล้างห้องน้ำร่วมกับใครก็ไม่รู้
โอ้ชีวิต! ความสำรวยหยิบโหย่งทำให้พระใหม่ไม่พอใจสิ่งนั้นสิ่งนี้ถือดี
ว่าตัวเองมีชาติตระกูลสูง มีการศึกษาสูงกว่าใครในวัดนั้น
ผิวพรรณก็ดูสะอาดสะอ้านชวนเจริญศรัทธากว่าพระรูปไหนทั้งหมด
มองตัวเองเปรียบกับพระรูปอื่นแล้วช่างรู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่าทุกประตู
นึกแล้วก็ยิ้มกระหยิ่มอยู่ในใจกลับเข้ากุฏิเมื่อไหร่ก็เอาปากกามาขีดเครื่องหมายกากบาทบนปฏิทิน
นับถอยหลังรอวันสึกด้วยใจจดจ่อ
อยู่มาได้พักใหญ่พระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็สังเกตเห็นว่าท่านเจ้าอาวาสวัดป่าแห่งนี้ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา
ซ้ำนานๆครั้งจะออกมาให้โอวาทกับลูกศิษย์เสียทีหนึ่ง
วันๆไม่เห็นท่านทอะไรเอาแต่กวาดใบไม้ เก็บขยะ
ซักผ้าเอง (เณรน้อยก็มีไม่รู้จักใช้) สอนก็ไม่สอน
การบริหารวัดก็มอบให้ท่านรองเจ้าอาวาสเป็นคน
จัดการไปเสียทุกอย่าง เห็นแล้วเลยนึกร้อนวิชา
เสนอให้ปรับโน่นลดนี่สารพัดที่ตัวเองเห็นว่าไม่เข้าท่าล้าสมัย
รวมทั้งให้เสนอให้วัดใช้ไฟฟ้าแทนตะเกียงด้วยอีกข้อหนึ่งเพราะตนเห็นว่ายุคสมัยก้าวไกลมามากแล้ว
ไม่ควรจะทำตนเป็นคนหลังเขาให้คนอื่นเขาดูถูก
อีกหนึ่งในข้อวิจารณ์จุดด้อยของวัดทั้งหลายเหล่านั้นพระใหม่เสนอให้
หลวงพ่อเจ้าอาวาส
มีปฏิสัมพันธ์กับพระลูกวัดให้มากขึ้นกว่านี้ สอนให้มากขึ้นเทศน์ให้มากขึ้น
และแนะนำว่าคนระดับผู้บริหารไม่ควรจะทำงานอย่างการซักจีวรเองเป็นต้นด้วยตนเอง
ควรจะกระจายอำนาจมอบงานให้คนอื่นทำดีกว่า
เย็นวันนั้นเป็นวันพระสิบห้าค่ำ
หลวงพ่อเจ้าอาวาสมานั่งทำวัตรที่โบสถ์ธรรมชาติกลางลานทรายด้วย
ท่านไม่ลืมที่จะหยิบข้อเสนอแนะจากพระใหม่มาอ่านให้พระหนุ่มสามเณรน้อย
ทั้งหลายฟังแต่ท่านไม่บอกว่าพระรูปไหนเป็นคนเขียน
อ่านจบแล้วหลวงพ่อก็ยิ้มอย่างมีเมตตาพลางหยิบไมโครโฟนขึ้นมา
แล้วชี้ให้ภิกษุหนุ่มสามเณรน้อยทั้งหลายดูหมาขี้เรื้อนตัวหนึ่ง
ที่นอนอยู่ใต้ม้าหินอ่อนตัวหนึ่งจากใต้ต้นอโศกที่อยู่ ใกล้ๆ
เธอทั้งหลายเห็นหมาขี้เรือนตัวนั้นหรือไม่ เจ้าหมาตัวนั้นน่ะมันเป็นขี้เรื้อน
คันไปทั้งตัว ฉันเห็นมันวิ่งวุ่น ไป มาทั้งวัน
เดี๋ยวก็วิ่งไปนอนตรงนั้นเดี๋ยวก็ย้ายมานอนตรงนี้
อยู่ที่ไหนก็อยู่ไม่ได้นานเพราะมันคัน แต่พวกเธอรู้ไหม
เจ้าหมาตัวนั้นน่ะมันไปนอนที่ไหนมันก็นึกด่าสถานที่นั้นอยู่ในใจ
หาว่าแต่ละที่ไม่ได้ดั่งใจตัวเองสักอย่าง นอนที่ไหนก็ไม่หายคัน
สถานที่เหล่านั้นช่างสกปรกสิ้นดี
คิดอย่างนี้แล้วมันจึงวิ่งหาที่ที่ตัวเองนอนแล้วจะไม่คัน
แต่หาเท่าไหร่มันก็หาไม่พบสักที
เลยต้องวิ่งไปทางนี้ทางโน้นอยู่ทั้งวัน เจ้าหมาโง่ตัวนั้นมันหารู้สักนิดไม่ว่า
เจ้าสาเหตุแห่งอาการคันนั้นหาใช่เกิดจากสถานที่เหล่านั้นแต่อย่างใดไม่
แต่สาเหตุแห่งอาการคันอยู่ที่โรคของตัวมันเองนั่นต่างหาก
พูดจบแล้วหลวงพ่อก็วางไมโครโฟนลงเป็นสัญญาณให้รู้ว่า ได้เวลาภาวนาหลังการทำวัตร
สวดมนต์เย็นแล้ว
ขณะที่ทุกรูปนั่งหลับตาภาวนาอย่างสงบนั้น
ในใจของพระใหม่กลับร้อนเร่าผิดปกติ นอกสงบ แต่ในวุ่นวาย
นึกอย่างไรก็มองเห็นตัวเองไม่ต่างไปจากหมาขี้เรื้อนที่หลวงพ่อชี้ให้ดู
ยิ่งนั่งสมาธินานๆ ยิ่งคันคะเยอในหัวใจ ทั้งอายทั้งสมเพชตัวเอง
นับแต่วันนั้นเป็นต้นมาพระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน
จากคนพูดมากกลายเป็นคนพูดน้อย จากคนที่หยิ่งยโสกลายเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน
จากคนที่ชอบจับผิดคนอื่นกลายเป็นคนที่หันมาจับผิดตัวเอง
เมื่อออกพรรษาแล้วโยมแม่มาขอให้ลาสิกขาเพื่อกลับไปสืบต่อธุรกิจจากครอบครัวท่านก็ยังไม่ยอมสึก
" อาตมาเป็นหมาขี้เรื้อน
ขออยู่รักษาโรคจนกว่าจะหายคันกับครูบาอาจารย์ที่นี่อีกสักหนึ่งพรรษา "
โยมแม่ได้ฟังแล้วก็ได้แต่ยกมืออนุโมทนาสาธุการกราบลาพระลูกชาย
แล้วก็เดินออกจากวัดไปขึ้นรถพลางนึกถามตัวเองอยู่ในใจว่าคำว่า
หมาขี้เรื้อน ของพระลูกชายหมายความว่าอย่างไรกันแน่หนอ
ถ้าเรา ยังเป็น โรค อยู่ในใจ ไม่ว่าเราย้ายงาน ไปที่ไหน
เราก็บ่นว่าสถานที่เหล่านั้น สกปรก สิ้นดี
				
25 สิงหาคม 2550 12:02 น.

** โธ่เธอ **

แก้วประเสริฐ


                                               **  โธ่เธอ  **

       ท่ามกลางฝนโปรยปรายละอองสัมผัสใบหน้าแทบจะทั่วเรือนร่างที่ยืนเหม่อมองสายตาผ่านทิวไม้
ไปสู่ปลายขอบฟ้าไกลแสนไกล หาได้แยแสต่อสายฝนที่สัมผัสแม้จะมีเสียงดังอย่างน่ากลัวของสายฟ้า
ที่แปลบปลาบตลอดเวลา
     ลมพัดกระโชกเป็นบางครั้ง สายลมพัดทำให้รวงข้าวลู่ไหวเอนไปๆมาๆ  แม้นเวลาใกล้ๆจะพลบค่ำ
แล้วก็ตาม ร่างที่ยืนกอดอกมิไหวพลิ้วตามลม บางครั้งเพียงแต่แหงนหน้ามองท้องฟ้า ละอองน้ำหยาดริน
จากเส้นผมลงสู่ใบหน้าที่กร้านของเนื้อสองสีร่างที่สูงใหญ่ล้ำสัน อะไรหรือที่ทำให้เขาเป็นไปได้ฉะนี้มิ
ใยต่อฟ้าฝนที่คะนองมิคำนึงถึงความปลอดภัย ประดุจไร้สิ่งใดๆทั้งสิ้นมากั้นขวางต่อการกระทำนี้ได้
     เสียงพึมพรำเบาๆลอดออกมาจากปากที่ได้รูปรอยมิกว้างใหญ่หรือเล็กเกินไปจัดได้ว่าสวยงามสมกับ
ร่างกายที่สง่าของชายลูกทุ่ง  เสียงร้องมอๆๆของเจ้าทุยที่ได้ยินเป็นบางครั้งมิห่างไกลนักของกระท่อม
หลังคาจาก เสมือนจะเรียกนายมันให้กลับเข้ามาบ้านเสียที   เสียงนั้นเบาๆเคล้ากับสายฝนที่โปรยปราย
จนกระทั่งร่างนั้นสั่นสะท้านเบาๆ  เสียงนั้นจึงหันหลังกลับเข้ามายังคอกควายที่ปลูกไว้ใต้บ้านที่ยกสูง
เว้นช่วง  ห่างจากคันไถที่แขวนไว้ใกล้ๆกับฟองฟอนหญ้าและกาบมะพร้าววางเรียงเป็นระเบียบเรียบร้อย
      เขาเดินไปที่เตาที่ก่อขึ้นไว้เพื่อสุมไฟจากกาบมะพร้าวเพื่อไล่ริ้นยุงที่คอยตอมเจ้าทุยในคอกที่เบิ่งตา
จ้องมองเขาเสมือนจะพูดคุยกับเขาด้วย แต่เสียงที่พูดเพียงเป็นแค่เสียง มอๆๆ มอๆๆ เท่านั้น เขายิ้ม
พลางเดินไปลูบไล้บนหัวมัน พลางกล่าวเบาๆว่า
     “ ดำ...เห็นจะมีเอ็งเท่านั้นแหละที่ยังรักภักดีต่อข้า เป็นเพื่อนข้าเสมอๆๆ” เสียงนั้นหยุดชะงักหายไป
      “มาดแม้นว่าเขายังเหมือนเจ้า  ข้าคงจะไม่โดดเดี่ยวเดียวดายเช่นนี้หรอก  มีเราสองเท่านั้นที่ยังต้อง
ทนต่อไป  ข้าคิดจะไปตามหรือก็ให้เป็นห่วงเอ็ง มิมีผู้ใดจะคอยดูแลเอ็งกับเจ้าด่าง”   
     เจ้าด่างคือหมาตัวผู้ที่นอนอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ส่งสายตาจ้องมองดูเขา   ร่างนั้นผละจากเจ้าทุยเดินก้าวขึ้น
กระไดที่พาดไว้ชั้นบน สักครู่หนึ่งจึงก้าวลงมาพร้อมนำอาหารเท่าที่มีมานำใส่ในอ่างดินเผา เหมือนจะรู้
เจ้าด่างพลันกระโดดลงมาเคลียคลอส่งเสียงร้องอึ๊งๆๆ เขาเคาะอาหารใส่ลงเพื่อให้เจ้าด่างมันกิน เมื่อเสร็จ
กิจธุระ    พลางเปลี่ยนเสื้อผ้านุ่งผ้าขาวม้าแล้วนำขันเดินไปนอกชายคาซึ่งบัดนี้ฝนเริ่มตกหนักมากๆ
พลางแหงนหน้ารองรับน้ำฝนที่ไหลรินจากหลังคาจากเพื่อชำระล้างร่างกายพร้อมกับถูสบู่ไปพึมพรำไป
เมื่อจัดการทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว จึงผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่  ก้าวขึ้นบันไดที่พาดไว้ พร้อมชักบันได
ขึ้นวางไว้บนชานเรือน  นั่งมองฝนที่กำลังตกหนักย้อนกลับถึงอดีตที่ผ่านมา

     “พี่เมฆอย่าทิ้งนวลนะจ๊ะ”  เสียงนี้ยังแผ่วก้องกังวานประสานกับสายฝน ณ ริมต้นไม้ใหญ่ที่ปกคลุมใบหนา
     “จ๊ะพี่ให้สัญญากับนวล  แต่พี่สังหรณ์เหลือเกิน นวลจ๋าว่าความจนของพี่จะทำให้นวลอยู่กับพี่ไม่ได้ซิน๊ะ”
     “ไม่หรอกพี่  พี่ก็รู้ว่านวลเป็นคนอย่างไร นิสัยเช่นไรมิใช่หรือ”
     “ถูกล่ะถึงแม้พี่จะเชื่อคำของนวล แต่ฐานะล่ะนวลมันแตกต่างกันมากนะ  พ่อแม่นวลเป็นคนมีเงินทองทั้ง
ยังเป็นถึงผู้ใหญ่บ้าน  จะมานับอะไรกับพี่เล่าที่ไร้ญาติพี่น้องมีเพียงตัวคนเดียว จึงทำให้พี่สังหรณ์ใจเสมอๆจ๊ะ”
      “ถึงแม้ว่าจะเป็นอย่างไรก็ช่างเถอะ คนที่นวลรัก นวลย่อมรัก แม้ว่าจะยากจนอย่างไรพี่  นวลจะอยู่กับพี่
ไปจนวันตายจ๊ะ”
     “ สาธุๆๆ...ขอให้เจ้าทุ่งเป็นพยานด้วยเถิด “  ชายหนุ่มยกมือขึ้นไหว้เหนือหน้าผาก

     วันคืนผ่านไป การคบหาสมาคมระหว่างเขากับนวลยังสัมพันธ์แนบแน่นกันดีตลอด แต่แล้วก็มีเหตุการณ์ผัน
เปลี่ยนไปเมื่อ   ปรากฏคณะที่มาจากกรุงมาเยี่ยมเยียนพ่อผู้ใหญ่บ้านพร้อมชายหนุ่มรูปงามทั้งหมดคุยกันอย่าง
สนุกสนาน เขาจับความได้ว่าเคยเป็นเพื่อนรักกันมาแต่เก่าก่อนและมาแยกกันไปทำมาหากัน ต่างก็มีฐานะร่ำรวย
ซึ่งกันและกัน  และแล้วยามเมื่อเขากลับไป นวลก็ติดตามคณะกรุงไปด้วย จนบัดนี้เวลาผ่านมาหลายๆปี หล่อน
จากไปไม่หวนกลับมา   เสียงคำสัญญายังแว่วในความทรงจำเขาตลอดมา เขานั่งซึมทำได้เพียงแค่ส่งสายตาส่งใจ
ไปกลับสายฝนและลมที่กระโชกผ่านต้องร่างเป็นบางครั้งเท่านั้น  ครั้นจะติดตามไปค้นหาพยายามเลียบเลียงเสาะ
ค้นหาจากคนในบ้านพ่อผู้ใหญ่ เพียงแค่ทราบว่าเขาไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ 
     โอ้กรุงเทพฯ  ชั่วชีวิตนี้เขาเพียงแค่ได้ยินแต่มิเคยจะย่างก้าวไปแม้แต่สักครั้งเดียว นอกจากผืนนาท้องทุ่งและป่าเขาลำเนาไพรเท่านั้น  หากไปก็แสนที่จะห่วงใยเจ้าทุยควายตัวเดียว
และเจ้าด่างหมาผู้ซื่อสัตย์คอยติดตามเขา
ตลอดมา
     “นี่หรือคือคำสัญญาว่ารัก  นี่หรือคำมั่นที่ให้ไว้ว่าความยากจนหาใช่เหตุให้ความรักต้องแปรผัน   โอ้น้ำใจหนอ
น้ำใจ”  เขาอุทานออกมาท่ามกลางฝนเริ่มซาลงแทบเกือบจะหมดไปพร้อมกับความมืดที่ย่างกรายเข้ามา เขาปล่อย
ให้มืดคลอบคลุม เพียงแต่สะบัดผ้าขาวม้าไล่ยุงเป็นบางครั้ง   
     เสียงกบเขียดร้องระงมหากเป็นปกติแล้วเขาจะต้องออกหาปลากบเพื่อกักตุนไว้เป็นอาหารต่อไปแต่ทว่าวันนี้
เขารู้สึกหงอยเหงาละเหี่ยใจยิ่งนัก  โอ้เมื่อไหร่หนอจะมีเหตุการณ์เกิดขึ้นเหมือนเดิมอีกหนอ เขาเฝ้ารำพันเบาๆ
คนเดียว  ป่านฉะนี้เจ้าหล่อนจะเป็นอย่างไรบ้าง  จะคิดถึงเขาอยู่อีกหรือเปล่าได้ยินว่าเมืองหลวงนั้นศิวิไลซ์ยิ่งนัก
บางที่ความรักที่เขามีอยู่อาจจะเปลี่ยนไปก็ได้  ความเจริญรุ่งเรืองย่อมเปลี่ยนจิตใจคนเราได้  เพราะเขาได้ยินมา
ว่า อีนางแจ๋วบ้านคุ้งน้ำโน้นหายไปกรุงเทพฯพอกลับมาเปลี่ยนไปเป็นคนละคนทำตัวลืมท้องทุ่งหมดเดิน
กรีดกรายอย่างนางพญาเห็นชาวบ้านแล้วทำหน้าเบ้ เสมือนหนึ่งมิเคยเห็น  แล้วนวลของเขาล่ะหากหล่อนกลับมา
จะเหมือนนางแจ๋วไหมหนอ  ยิ่งคิดเขายิ่งฟุ้งซ่านจนลืมความหิวไปเสียสิ้น

          วันจะออกพรรษาย่างกรายมาถึงทางวัดตาลตะโนดมีงานทำบุญเทศน์มหาชาติและทำบุญตักบาตรเทโวกัน
เขาก็เข้ามาร่วมช่วยเหลือทางวัดและใส่บาตร  เขารีบตื่นแต่เช้าหุงข้าวพร้อมปลาย่างที่หามาตากแดดไว้เพื่อไปใส่
เท่านั้นอย่างอื่นไปมี  เป็นงานบุญที่ทุกๆคนในหมู่บ้านต้องร่วมมือร่วมใจเขาเพียงตัวคนเดียวย่อมจะช่วยเหลือ
ทางวัดด้วยกำลังเท่าที่จะมีได้  ใครมีเงินทองมากก็ทำบุญกันมากส่วนตัวเขาเล่ามีแค่เพียงเล็กๆน้อยพอประทัง
ชีวิตไปวันๆหนึ่งจะมีเก็บบ้างก็เพียงเล็กน้อยเผื่อยามเจ็บไข้ได้ป่วยเพื่อหาหมอเท่านั้นเอง ขณะที่เขากำลังช่วย
พระดูแลเก็บของคนที่มีติดกัณฑ์เทศน์นำไปส่งยังกุฎีท่าน  ต้องรอญาติโยมมาร่วมทำบุญซึ่งส่วนใหญ่ประกอบ
ด้วยผลไม้และเครื่องอัฐถบริขารเพื่อถวายพระในกัณฑ์ต่อไปเขาทราบว่าเป็นกัณฑ์มัทรีซึ่งผู้ใหญ่บ้านเป็นเจ้า
ของกันเทศน์กันนั้น  เขายืนจ้องเพื่อจะได้ช่วยเหลือในกรณีจำเป็น  คณะผู้ใหญ่บ้านมีมามากรวมทั้งคนกรุงด้วย
          เขายืนตะลึงเมื่อแลเห็นสาวหนึ่งจำไม่ผิดว่าคือนวลนั่นเองแต่ทว่าผิดกับนวลคนเดิมไปเสียสิ้นแต่งกาย
ทันสมัยผิดชาวบ้านทั่วๆไปกำลังกระจุ๋งกระจิ๋งกับหนุ่มชาวกรุงอย่างออกหน้าออกตาทีเดียว หล่อนหันมามอง
ไปรอบๆพอสบตากับเขา หล่อนเพียงแค่ยิ้มแล้วหันกลับ  เขายืนตัวชาดิกแทบจะไม่เชื่อสายตาตนเอง  เขาอยาก
จะเข้าไปไถ่ถามทุกข์สุขดิบแต่สภาพเขาช่างแตกต่างกันสิ้นดี  หล่อนเปลี่ยนไป  เปลี่ยนไปจริงๆเสียด้วยเปลี่ยน
อย่างที่เขาคิดไม่ถึง ย้อนรำลึกถึงวันเก่าๆใต้ร่มไม้ที่เราสองพลอดรักกัน เขาเพียงยืนจดจ้องๆคอยหาโอกาสเพียง
แค่คุยสักหน่อยเท่านั้น  
         จนเมื่อพระเทศน์เสร็จ เขามีหน้าที่คือเข้าไปเก็บของกัณฑ์เทศน์เพื่อนำไปส่งพระ  ในระหว่างนั้นคือโอกาส
ที่ใกล้ชิดกัน เขาเอ่ยปากถามนวลทันที
        “นวลๆๆ  สบายดีหรือ “
หล่อนหันมาจ้องหน้าเขาแล้วตอบว่า
         “สบายดี มีอะไรหรือเมฆ” แล้วสะบัดหน้ากลับไป   แหนะยังจำชื่อเขาได้ เขาอึ้งไปจะพูดต่อแต่คำพูดติดอยู่แค่ลำคอตัวชาดิก หน้าชาทันทีพร้อมทั้งยกมือขึ้นลูบหน้าและขยี้หู  เผื่อหูจะฝาดไปเป็นไปไม่ได้แต่ก็เป็นไปแล้ว
โธ่เธอหนอเธอ  ช่างเปลี่ยนไปจริงๆ  นี่หรือคำว่ารักมีมอบให้กันและกัน นี่หรือสิ่งที่เคยออดอ้อนรำพันตลอดมา
ที่อยู่ร่วมกัน นี่หรือความสัมพันธ์ทั้งกายและใจ หมดสิ้นแล้ว  หมดสิ้นจริงๆเขาอึ้ง ด้วยทิฐิของความเป็นชาย
ทำให้เขาต้องทำใจ  
         “ขอโทษครับ ไม่มีอะไรหรอก  เพียงเห็นว่าเคยรู้จักกันเท่านั้นเอง” เขาเพียงกล่าวได้เท่านั้นรีบขนของพระ
เพื่อนำไปส่งยังกุฎีท่านทันที   เมื่อเสร็จกิจธุระเขาเดินกลับอย่างละโหยโรยแรงเดินไปคิดไปต่างๆนาๆ ขาแข้ง
รู้สึกจะหมดเรี่ยวแรง  นี่หรือความรักที่เขามอบไว้ให้แก่สาวนวลบัดนี้มันหมดไปแล้วหมดไปจริงๆความศิวิไลซ์
ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้  เขาเดินกลับถึงบ้านเมื่อไหร่ไม่รู้ตัว น้ำตารินหลั่งหมดไปเท่าไหร่มิอาจจะรู้
รู้แต่เพียงว่าเขาอยากจะร้องไห้ยิ่งนัก   สิ้นแล้วสิ่งที่รอคอย สิ้นแล้วความหวังที่มอบไว้ให้ สิ้นแล้วความหมาย
ที่มีต่อกัน โธ่เธอหนอเธอ.

                                                     ***   แก้วประเสริฐ.   ***
				
28 กุมภาพันธ์ 2550 10:48 น.

** รักชั่วนิรันดร์ **

แก้วประเสริฐ


                              **  รักชั่วนิรันดร์ **

     เป็นเรื่องจริงที่ผมได้รับทางเมล์จากเพื่อนอ่านแล้วสุดซึ้งจริงๆครับ จึงขอ
นำมาลงไว้ทั้งในกลอนและที่นี่เพื่อช่วยเผยแพร่ออกไป  หวังความช่วยเหลือ
จากผู้อ่านทั้งหลายเท่าที่สามารถทำได้ครับ ขอขอบคุณล่วงหน้าไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ

                        ***   แก้วประเสริฐ. ***

         นับถอยหลังไปอีกเพียงไม่กี่วัน ก็จะถึงวันวาเลนไทน์ 
วันซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการแสดงออกถึงความรัก 
ที่ใครหลายคนให้ความสำคัญกับวันนี้ ไม่ว่าใครจะนิยามความรักว่าเป็นของคู่กัน 
ความเหมือน ความพอดี ความลงตัว หากแต่นิยามความรักของตาลอบ ที่มีต่อยายทองนั้น 
กลับมองว่าวันวาเลนไทน์ที่จะมาถึงนั้น ไม่เคยมีความหมายต่อตาและยายเลย 
เพราะชีวิตรักที่ตาและยายได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมากว่า 50 ปี 
นั้นไม่เคยมีวันไหนที่ความรักของตาที่มีต่อยาย 
และยายมีต่อตานั้นลดน้อยลงไปตามกาลเวลาเลย 
หากแต่ความรักของทั้งคู่กลับเพิ่มพูนขึ้น สวนทางกับสังขารที่เริ่มจะโรยรา 

สำหรับตาวันนี้มันก็เป็นแค่วันธรรมดาๆ วันหนึ่ง ไม่มีความหมายอะไรเลย 
ดอกกุหลาบมันจะสู้สิ่งที่เราทำดีให้กันทุกวันได้ยังไง มันเทียบกันไม่ได้หรอก 
ตาไม่เห็นว่ามันจะสำคัญกับชีวิตตรงไหน เพราะถึงไม่มีวันนี้ 
ยังไงตาก็ยังรักยายเท่ากันทุกวัน 

อมร สีสุภเนตร หรือที่ชาวบ้านในอำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย รู้จักกันในนามของ  
ตาลอบ ส่วนภรรยาคู่ทุกคู่ยากชาวบ้านเรียกขานกันว่า ยายทอง 
พื้นเพเดิมยายทองเป็นคนอำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก ส่วนตาลอบเป็นคนเชียงคาน 
จังหวัดเลย ปัจจุบันสองตายายอาศัยอยู่ที่บ้านหลังเล็กๆ สภาพเก่าๆ 
หลังหนึ่งตามลำพังสองคนโดยมีลูกๆ คอยดูแลอยู่ห่างๆ เมื่อมองเข้าไปในบ้าน 
จะสังเกตุเห็นว่าบ้านของตา เสมือนเป็นโรงพยาบาลขนาดย่อมๆ เพราะอุปกรณ์ 
ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ในการดูแลยายนั้น ตาได้ดัดแปลงให้เหมือนกับทางโรงพยาบาล 
ทั้งนี้ก็เพื่อจะได้ดูแลยายได้อย่างเต็มที่ 


ย้อนไปเมื่อ 50 ปีที่แล้วตาลอบ ซึ่งเป็นช่างตัดผมหนุ่มฐานะยากจน 
ได้พบรักกับยายทอง แม่ค้าขายอาหารที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสาวงามประจำหมู่บ้าน 
ในงานรำวงสร้างโบสถ์ที่วัดป่ากลาง อำเภอเชียงคาน 
หลังจากที่ทั้งคู่คบหาดูใจกันมา 5-6 ปีจนมั่นใจในความรักที่มีให้ต่อกัน 
ชายหนุ่มจึงเอ่ยปากขอหญิงสาวที่เขารักแต่งงาน เป็นงานแต่งงานที่เรียบง่าย 
ไม่มีพิธีกรรมใหญ่โตอะไร ไม่มีเงินสินสอดทองหมั้นมากมาย 
หากแต่มีเพียงคำมั่นสัญญา ที่ชายหนุ่มมอบไว้ให้กับหญิงสาวที่เขารักว่า 
จะครองรักและดูแลกันตลอดไป 
ทั้งในยามทุกข์และยามสุขจนกระทั่งวันสุดท้ายของชีวิตจะเดินทางมาถึง 

เวลาผ่านมา 50 ปี ทั้งคู่ครองรักกันจนกระทั่งแก่เฒ่า และตลอดเวลาที่ผ่านมา 
ความรักของคนทั้งคู่ที่มีให้กันก็มากพอ 
และสม่ำเสมอพอที่จะทำให้ชีวิตรักของคนคู่นี้กลายเป็นตำนานรักแท้ที่น่าจดจำ 
แต่จะเป็นเพราะสวรรค์บัญชา หรือฟ้ากำหนด จู่ๆ ปี 2538 
ยายทองก็ล้มป่วยลงด้วยการเป็นอัมพฤกษ์ทางด้านซ้าย 
ซึ่งก็พอจะช่วยเหลือตัวเองได้บ้าง แต่เมื่อ 6 ปีที่ผ่านมา 
อาการของยายทองก็กำเริบทรุดหนักลงไปอีก จากอัมพฤกษ์กลายเป็นอัมพาต 
ไม่สามารถพูดคุยกับตาลอบได้อีก นอกจากส่งเสียงร้องไห้ 
ซึ่งบางครั้งก็มีแต่เสียงร้อง บางครั้งก็มีแต่น้ำตา 
ซึ่งดูเหมือนจะเป็นการสื่อสารเพียงอย่างเดียว 
ที่ตาลอบรับรู้และเข้าใจเสมอว่ายายต้องการอะไร 

ยายเขาร้องไห้ เพราะว่าเขาอยากจะพูดกับเรา แต่เขาพูดไม่ได้ 
เขาจึงบอกเราด้วยการร้องไห้ออกมา พอตาได้ยินเสียงไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ 
ตาก็จะเดินไปพูดกับเขา หรือไม่ก็ต้องส่งสียงตอบกลับไป ส่วนใหญ่ตาจะบอกเขาว่า 
 อย่าร้องเลย เราอยู่ตรงนี้แล้ว  บางทีก็บอกยายว่า  เราจะอยู่กับเธอ 
จะดูแลเธอไปจนกว่าจะตายจากกัน 
ที่บอกอย่างนี้เพื่อให้ยายรู้ว่าตาอยู่ใกล้เขาไม่ได้หนีไปไหน ปฏิเสธไม่ได้ว่า 
น้อยครั้งนักที่เราจะได้เห็นภาพฝ่ายชายดูแล ปรนนิบัติฝ่ายหญิง 
หากแต่สิ่งที่ตาทำนั้น 
ได้พิสูจน์ให้โลกรู้ว่าความรักของตาที่มีต่อยายนั้นเป็นตำนานความรักอันยิ่งใหญ่ 
ที่ใครๆ ต่างก็แสวงหา 

ตาอยากใช้ชีวิตอยู่กับยายจนวินาทีสุดท้าย เราจะต้องไม่ทอดทิ้งกัน 
เราต้องมั่นคงต่อกัน ตาสัญญากับยายว่า จะดูแลยายให้ดีที่สุดจนวินาทีสุดท้าย 
ตาตั้งใจรักษายายให้ดีที่สุด ตาทุ่มเทชีวิตให้ยายทั้งหมดเลย 
เพราะว่ายายมีความหมายกับตาสุดชีวิตเลย ทุกวันนี้ตายังมีความหวังอยู่ว่า 
ยายจะอาการดีขึ้นและกลับมาพูดกับตาได้เหมือนเคย เราต้องอยู่แบบมีความหวัง 
เพราะความหวังนี่แหละ ที่จะทำให้เรามีกำลังใจดูแลยายต่อไป 
จนกว่าจะตายจากกันไปข้างหนึ่ง หากก่อนที่จะจากกันไปในชาตินี้ใจลึกๆ 
ตาลอบก็อยากให้ปาฏิหาริย์นั้นมีจริง เพราะอยากให้ยายฟื้นขึ้นมาอีกซักครั้ง 
เพื่อที่จะถามข้อข้องใจ ที่ชายคนหนึ่งเก็บไว้มาหลายปี 
ว่าที่ผ่านมาเขาทำดีพอที่สามีคนหนึ่ง จะทำให้ภรรยาที่เขารักที่สุดได้หรือไม่ 

ถึงแม้ว่าบั้นปลายชีวิตอันแสนสุข จะถูกพรากไป และแทนที่ด้วยความทุกข์ทรมาน 
จากอาการเจ็บป่วยของอีกฝ่ายหนึ่ง คำมั่นสัญญาทุกคำ 
ที่ตาลอบเคยมอบไว้ให้กับยายทองก็ยังไม่มีคำใด 
หรือตัวอักษรตัวใดเปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย ตลอดระยะเวลา 12 ปีที่ยายทองล้มป่วย 
แทบจะทุกนาทีของชีวิต ตาลอบได้มอบให้กับการเฝ้าดูแล 
ประคบประหงมยายทองอย่างใกล้ชิด ไม่เว้นแต่ยามหลับหรือยามตื่น 

ตาดูแลยายไม่เคยห่าง ตาต้องดูแลทุกอย่างไม่ว่าจะเรื่อง อาบน้ำ เช็ดตัว 
ไปจนถึงเรื่องการเช็ดอึ เช็ดฉี่ อาหารการกิน อาการเจ็บป่วยต่างๆ 
เราต้องคอยสังเกตุตลอดเวลา เวลาทำอะไรตาก็จะนึกถึงยายก่อนเสมอ 
ถ้ายายยังไม่นอนตาก็ยังไม่นอน หรือถ้ายายยังไม่ได้กินข้าวตาก็จะยังไม่กิน 
เพราะต้องป้อนยายก่อน การดูแลปรนนิบัติยาย ตาลอบจะทำเพียงคนดียวทุกครั้ง 
และตาจะใส่ใจในรายละเอียดเล็กน้อยป็นอย่างดี 
แม้แต่แพมเพอร์สตาก็จะไม่ใส่ให้ยายเพราะเกรงว่าจะอับชื้น 
และทำให้เป็นแผลกดทับได้ ตาจึงไม่เคยเบื่อกับการที่ต้องคอยเช็ดอึ 
เช็ดฉี่อยู่ตลอดทั้งวัน เสื้อผ้าของยาย ตาก็จะไม่ซักผงซักฟอก 
เพราะกลัวยายจะแพ้และเป็นผื่น ฯลฯ ทุกวันนี้ตากลัวว่ายายจะทิ้งตาไป 
ไม่อยากให้ยายตายเลย อยากให้อยู่เป็นเพื่อนกัน อยู่เป็นคู่รักกันตลอดไป 
ตาไม่เคยคิดอย่างคนอื่นเลยว่า ตายไปภาระจะได้หมดลงไม่คิดเลย  

ภาพที่ชาวเชียงคานเห็นจนชินตา คือภาพชายชราวัย 73 ปี 
ปั่นรถจักรยานที่มีเตียงพยาบาลพ่วงติดอยู่ด้านหน้า 
โดยมียายนอนลืมตาแน่นิ่งอยู่บนเตียงเคลื่อนที่ไปตามถนนหนทางต่างๆ 
รถคันนี้เป็นรถที่ตาลอบประดิษฐ์ขึ้นมาเองกับมือ 
เพราะถ้าจะซื้อเตียงแบบโรงพยาบาลนั้น ก็เกินกำลังที่ตาจะมีได้ 
ด้วยความที่ตาเคยมีความรู้ทางช่าง 
จึงต่อเตียงพยาบาลขึ้นมาและดัดแปลงต่อเติมให้เตียงนั้นเคลื่อนที่ได้ 
และมีหลังคาคอยคุ้มแดดคุ้มฝน และมีมุ้งคอยกันยุงและแมลงต่างๆ 
ที่ตาทำเช่นนี้หวังเพื่อให้ยายอยู่ใกล้กับตาตลอดเวลา 
เพราะเกิดอะไรฉุกเฉินขึ้นมา ตาจะได้ช่วยเหลือยายได้ทัน 
ดังนั้นเวลาตาจะไปไหนก็จะพายายไปด้วยเสมอ 
ใครที่เห็นรถของตาต่างก็อดไม่ได้ที่จะไม่เหลียวหลัง 
และต่างก็ตั้งข้อสงสัยไปต่างๆนานา บ้างก็นึกว่าเป็นรถซาเล้ง รถขายของ 
รถเก็บของเก่า บ้างก็ว่ารถขนศพ แต่ถึงอย่างไรตาลอบก็ไม่สนใจคำครหาเหล่านั้น 
เพราะสิ่งสำคัญที่ตาพายายออกมาอย่างนี้ ก็เพื่อให้ยายออกมารับอากาศข้างนอก 
ให้ยายได้รับการทักทาย พูดคุยจากผู้คนต่างๆ เพื่อกระตุ้นให้ยายรู้สึกตัวมากขึ้น 
นอกจากนี้ ตายังรู้ใจยายดีว่ายายชอบให้ตาพาเที่ยวไปตามที่ต่างๆ 
ตาจึงมักปั่นเตียงเคลื่อนที่คู่ใจคันนี้ พายายไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ 
ที่มีความสำคัญๆ ในอดีต ไม่ว่าจะเป็นสถานที่พบรักกัน สถานที่ๆ ทำมาหากินด้วยกัน 
ทั้งนี้ตาทำเพื่อพายายไประลึกถึงความหลังอันงดงาม เพื่อกระตุ้นความจำ 
ความรู้สึกของยาย และอย่างน้อยความหลังเหล่านี้ 
เสมือนเป็นน้ำหล่อเลี้ยงความเศร้าหมองของชะตากรรม 
ที่ทั้งคู่ต้องเผชิญอยู่ได้ไม่มากก็น้อย 

บ่อยครั้งเวลายายมีอาการป่วยมาก ตาต้องพายายไปรักษาที่โรงพยาบาลเชียงคาน 
โดยมากตาจะปั่นเตียงพยาบาลเคลื่อนที่ พายายไปที่โรงพาบาล 
ทันทีที่ไปถึงจะเป็นอันรู้กันกับเจ้าหน้าที่ว่าเตียงประดิษฐ์ของตาคันนี้ 
สามารถใช้แทนเตียงของโรงพยาบาลได้เป็นอย่างดี 
และเมื่อพยาบาลเห็นคนไข้รายนี้ทีไรก็อุ่นใจได้ว่า 
ไม่ต้องมาดูแลยายทองอะไรมากนัก เพราะตาลอบจะเป็นคนดูแลยายเองทุกอย่าง 
โดยที่ไม่ต้องให้พยาบาลเข้ามายุ่งเลย 
เพราะตาลอบคิดว่าเจ้าหน้าที่คงจะดูแลไม่ดีเท่ากับตัวเอง 
ซึ่งนั่นเป็นเพราะตาลอบทำด้วยหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก 

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา 
ตาลอบได้พิสูจน์ให้เราเห็นว่าสัญญาที่ชายหนุ่มมอบไว้กับหญิงสาวอันเป็นที่รัก 
เมื่อ 50 กว่าปีที่แล้วนั้น ไม่ใช่แค่ลมปาก หรือถ้อยคำหวานหู ตามแรงปราถนา 
หากแต่เป็นถ้อยคำที่ออกมาจากความรู้สึกข้างในหัวใจ 
ที่มีที่ว่างให้เพียงแค่หญิงสาวที่เขารักเพียงคนเดียว 
คำมั่นสัญญาที่ตาลอบมอบให้ จึงเป็นพันธะสัญญาที่ถูกจารึกลงบนหินผา 
ที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไร ก็ไม่มีวันลบเลือน 
และยังทำอย่างซื่อตรงสม่ำเสมอ ไม่ต่างอะไรกับการขึ้นลงของดวงตะวัน 
ที่จะเป็นอยู่เช่นนั้นชั่วนิรันดร์ 
หากท่านใดประสงค์จะช่วยเหลือครอบครัวของคุณตา คุณยาย 
สามารถร่วมช่วยเหลือได้อาจโดยการโอนเงินผ่าน 
บัญชี ธนาคาร ออมสิน 
บัญชี ออมทรัพย์ 
สาขาเชียงคาน 
เลขที่บัญชี 115 - 602 - 200 - 232 - 881 
ชื่อบัญชี นายอมร สีสุภเนตร 
ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงมา ณ โอกาสนี้ด้วยค่ะ 
(ฝากส่งต่อด้วยนะคะ) 

 				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟแก้วประเสริฐ
Lovings  แก้วประเสริฐ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟแก้วประเสริฐ
Lovings  แก้วประเสริฐ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงแก้วประเสริฐ