29 มกราคม 2553 13:23 น.

ลุ่มลึกอิสราวดี 2

แก้วประเสริฐ


        ลุ่มลึกอิสราวดี  2

     ชายหนุ่มจ้องมองฟังเสียงสนทนาระหว่างแม่ทัพกับนายกอง 
ก็ให้คิดด้วยความอยากรู้ว่า   ใครกันนะที่ทั้งสองได้พยายามค้น
หามาตั้งนมนานแล้ว  เขาคอยจนกระทั้งขบวนทั้งหมดได้เลยไป
จนลับตา    จึงยืนขึ้นบิดตัวเองด้วยความปวดเมื่อย   แล้วหันตัว
กลับหวังจะคืนสู่ที่พัก    
        แต่แล้วเขาต้องเบิ่งตาด้วยความตกใจ
ทางที่เขาเคยเดินมาสู่ที่นี้กลับเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม  ทางเส้น
เดิมหายไปหมด   คงเหลือเพียงแนวป่าและขุนเขาดำทะมึน
เต็มไปด้วยแมกไม้นานาพันธุ์  เขาขยี้ตาตัวเองนึกว่าเขานัยน์ตา
เพี้ยนไป   พร้อมทั้งหันรีซ้ายทีขวาทีเพื่อให้แน่ใจว่าเขามิได้มอง
ผิดเพี้ยนไปและหยิกเนื้อตัวเองก็รู้สึกว่าเจ็บ    ด้วยความตกใจจึง
ร้องอุทานออกมา
     “เฮ้ๆ!!!...อะไรกัน...ทำไมถึงเกิดพิสดารอะไรเช่นนี้...?????
     “แล้วเราจะกลับที่พักได้อย่างไรกัน มันช่างเปลี่ยนแปลงเสีย
หมด”  ชายหนุ่มร้องเสียงหลงค่อนข้างดังด้วยความตกใจแทบ
สุดขีด  ด้วยความไม่เชื่อนึกว่าสายตาหลอน   จึงได้เดินเข้าไปยัง
แนวขุนเขา พลางเอื้อมมือไปหมายเด็ดใบไม้ที่ดูแปลกตานัก
      “เอ๊ะ????....มันเป็นจริงนี่หว่า....???? “  ชายหนุ่มอุทานเสียหลง
      “ตายล่ะหวา  พรุ่งนี้ก็นัดเขามารับงานแล้ว จะทำอย่างไรดี
นี่กับมีเหตุการณ์ประหลาดมาขวางทางเดินกลับเสียหมด
แล้วหนทางเดิมไปไหนหมดล่ะ” ชายหนุ่มรำพึงในใจ
     ด้วยความไม่เชื่อในสายตา จึงได้ยกมือขึ้นหยิกเนื้อที่ใบหน้า
ด้วยความแรง
    “อุ้ยๆ...???   เจ็บนี่หวา   ทั้งหมดนี้ก็เป็นจริงซิ”
     ชายหนุ่มตะลึงถึงกับขาอ่อน ทรุดร่างลงกับพื้น
     “แล้วเราจะกลับได้อย่างไรกัน ในเมื่อมีภูเขาขึ้นเรียงราย ส่วน
ด้านหลังก็เป็นแม่น้ำสายใหญ่กว้างขวางนัก   โอ้ยๆๆ???? ปวดหัว
จัง”  ชายหนุ่มถึงกับกุมศีรษะ
     “แล้วเราจะทำอย่างไรดี   หรือว่าหากพ้นภูเขาที่ขวางหน้าไปอาจ
จะพบทางกลับได้กระมัง  “  เขาคิดรำพึงรำพันกับตัวเอง
     “เอาล่ะอะไรจะเกิดให้มันเกิดไป เดี๋ยวฟ้าสางพระอาทิตย์ขึ้นอาจจะ
เปลี่ยนแปลงก็ได้”  ชายหนุ่มคิดแต่ก็ไม่วายคิดถึงเหตุการณ์เมื่อสักครู่
ถึงการแต่งกายแปลกๆ  ที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ฝูงม้ามันมาจากไหน
คนก็ยังใช้ดาบ หอก ธนู กันอยู่   ยุคเรามันหมดไปนานแล้วนี่นา เขา
ใช้ปืนกันหมดแล้ว  เฮ้!!!!...เราประสาทหลอนหรือเปล่านะ
     ชายหนุ่มนั่ง งุนงง ต่อเหตุการณ์เหล่านี้  

     สักครู่ดูเหมือนเขาจะตัดใจได้แล้ว  จึงล้มตัวนอนคอยฟ้าสางพระอาทิตย์
มาบ่งบอกเหตุการณ์อีกครั้งหนึ่ง   เขาหลับตาและคิดว่าหากหลับไปอีกที
เมื่อตื่นขึ้นมาก็คงเข้าสู่สภาวะเดิม  ทุกอย่างก็คงจะหมดสิ้นไปแหละ เขาคิด
     แล้วเขาก็ผล๊อยหลับไปอีกครั้ง  ก็ต้องสะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงนกร้องเจื่อน
แจ้ว    เสมือนเรียกพวกพ้องให้หากินอาหาร


     พระอาทิตย์เริ่มทอแสงยามเช้าตรู่  อากาศช่างสดใสยิ่งนัก เขานอนมอง
พระอาทิตย์สีแดงกลมโต กำลังโผล่ขึ้นขอบฟ้า ส่งแสงอ่อนๆระยิบระยับ
กับผิวน้ำที่เป็นระลอกคลื่นน้อยๆ ความงามของธรรมชาติเขาหาได้สนใจ
อีกแล้ว พลางตวัดร่างให้ลุกขึ้นฉับพลันรีบหันไปมองทางด้านเบื้องหลัง
ทันที
     “อุบ๊ะ!!!!...????.....เฮ้ๆๆ....ทำไมไม่หายไป แล้วทางกลับที่พักเราล่ะ
หายไปไหนหมด  เมื่อเขาจ้องมองก็แลเห็นเป็นภาพภูเขาหลายลูกซ้อนๆกัน
และเต็มไปด้วยป่าดงดิบรกชัฏตลอดแนวทางคู่ขนานไปกับสายน้ำอิสราวดี
    ชายหนุ่มเกาศีรษะ แกรกๆๆ
     พร้อมร้องลั่น  
     “เฮ้ยๆๆ...เปลี่ยนเหมือนเดิมซิๆๆ เขาตะโกนซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่ทว่าก็ยังคง
สภาพเดิมคือภูเขาป่าอยู่นั่นเอง

     ชายหนุ่มทรุดกายลงอีกครั้ง พร้อมยกมือทั้งสองขึ้นกุมศีรษะทันที พร้อม
หลับตาพริ้ม  ใจหวังว่าหากลืมตาคราวนี้คงจะมีอะไรๆดีขึ้นบ้าง เขาไม่กล้า
จะลืมตา คงปล่อยเวลาผ่านไปๆ  จนรู้สึกว่าท้องเริ่มจะร้องเพื่อให้อาหารใส่
ลงท้องคลายความหิว
    คราวนี้ชายหนุ่มภาวนาในใจ “เพี้ยง” ขอให้เหมือนเดิมนะ  พอเขาลืมสายตา
ก็พบสภาพเดิมคือขุนเขาแมกไม้  เหมือนเดิมจริงๆแต่ไม่เหมือนเก่า
     “โถๆๆ...อุตส่าห์อ้อนวอนภาวนาขอให้เหมือนเดิม ก็เหมือนเดิมจริงๆแหละ
พร้อมยกมือขึ้นเขกศีรษะ   คิดว่าไม่น่าเล๊ยหากขอให้เหมือนเก่าก็จะดีนะรำพึง
รำพันคนเดียว   ช่างเถอะในเมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้เห็นทีต้องยอมรับสภาพ
ล่ะว๊ะ เขาคิด

     อะไรเกิดก็ให้มันเกิดไป โลกมันพิสดารเองนี่หว่า อดีตปล่อยมันไว้ก่อนเอา
ปัจจุบันนี้ดีกว่า เอ๊ะแล้วเราจะทำอะไรได้  หากเจอพวกนั้นเขาใช้ดาบกันเราเอง
ไม่เคยใช้ดาบต่อสู้กับใคร  นอกจากฝึกจากโรงเรียนพอสังเขปในเรื่องการใช้ดาบ
กระบี่กระบอง  ก็เอาเพียงแค่สอบผ่านๆเท่านั้นหาได้สนใจจริงจังไม่  แต่เมื่อเกิด
เหตุการณ์เช่นนี้   แล้วทุกๆคนใช้มีด ใช้ดาบ ใช้หอก ใช้ธนู สำหรับธนูเขาไม่เป็น
เอาเสียเลย   แล้วจะต่อสู้กับพวกเขาได้หรือ เขามาคิดและนึกทบทวนวิชาความรู้
ที่เคยร่ำเรียนมา จริงอยู่ถึงแม้ว่าเขาจะสอบผ่านได้อันดับดีๆก็ตามแต่นั่นเป็นแค่
ความรู้เบื้องต้นและหาได้จริงๆจังๆใดไม่

    ชายหนุ่มเมื่อตัดใจได้แล้ว ก็ออกเดินทางไปยังริมแม่น้ำ เพื่อชำระร่างกายแปรงฟัน
เขาไม่มีแปรงฟัน จึงใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางแทนแปรงสีฟันแทน   อ้าวๆๆๆ????
แล้วเราจะอาบน้ำอย่างไร   เสื้อผ้าก็มีชุดเดียวนี้กับผ้าคาดเองอีกผืนหนึ่งเท่านั้น
เห็นทีจะต้องเป็นชีเปลือยเสียแล้วเรา เขาคิด พลางหันซ้ายและขวาว่าจะมีใครอยู่
หรือเปล่า    เมื่อแน่ใจแล้วว่าสถานที่เขาอยู่นี้ปราศจากผู้คน  จึงได้จัดการถอดเสื้อผ้า
กางเกงขาก๊วยออก  แล้วกระโจนลงยังแม่น้ำทันที
     “โอ้วๆ???...มันช่างเย็นสบายจัง น้ำก็ใสสะอาดยังกับน้ำประปาในบ้านเรา ด้วย
ความหิวเขาจึงได้วักน้ำขึ้นดื่มแทนอาหารไปก่อน 
   อืมม????...เหมือนน้ำประปาในบ้านเราจริงๆแหละ  เขารีบกระวนกระวายอาบน้ำ
โดยรวดเร็ว ด้วยกลัวคนอื่นจะเข้ามาเห็นยามที่เขาเป็นชีเปลือยอยู่   หลังจากอาบน้ำ
เสร็จความสดชื่นได้เข้ามาสู่อีกครั้งหนึ่ง   เขาเลือกก้อนหินขนาดย่อมนั่งคิด หาหน
ทางจะกลับที่พักและคิดถึงอนาคตต่อไปหาก สภาพสิ่งแวดล้อมนี้ยังคงสภาพเดิม


      บัดดลหูเขาแว่วเสียงม้าร้องและฝูงม้ากำลังควบมาทางเขา   ชายหนุ่มรีบลุกขึ้นวิ่ง
เข้าไปยังป่าที่ใกล้ที่สุดและหาต้นไม้แอบซุกซ่อนตัว  รอเพื่อให้ฝูงม้าได้เลยพ้นผ่านไป
เหมือนแกล้งชายหนุ่มคิด  ฝูงม้าเหล่านั้นหยุดลงยังบริเวณที่เขาใช้อาบน้ำเมื่อกี้นี้ เขา
มองเห็นที่เรียกว่าผู้กอง   ได้ลงจากหลังม้าแล้วเดินไปยังก้อนหินที่เขานั่ง พลางเอื้อมมือ
เข้าไปแตะก้อนหินนั้น เขาลูบคลำพร้อมยกขึ้นแตะจมูก
     “อะไรหว่า????.... คิดชายหนุ่มคิดเขาทำอะไรอยู่
    ทันใดนั้นเขาเห็นผู้กองหันมาสั่งทหารให้ไปตามแม่ทัพมาดู ด้วยน้ำเสียงดังลั่น
ทหารเมื่อได้รับคำสั่งก็ขึ้นม้าแล้วขี่ออกไป   สักครู่ก็ปรากฏร่างของแม่ทัพพร้อมเสลี่ยง
เข้ามาและลงจากเสลี่ยงเดินเข้ามาหานายทหารคนนั้น
      “อะไรหรือท่านเหมี่ยวนรธา”  ท่านแม่ทัพถาม
      “เรียนท่านแม่ทัพ   ข้าเห็นแสงกระทบกับน้ำบนหินก้อนนี้ก็เกิดสงสัย จึงเข้ามาดูก็
เห็นรอยเปียกน้ำ  แสดงว่ามีคนอยู่แถวๆนี้และพึ่งอาบน้ำเสร็จขอรับท่าน”
      ท่านแม่ทัพก็รีบไปยังก้อนหินนั้นแล้วยกมือขึ้นลูบคลำทันที่เพลางเอ่ยขึ้น
     “ใช่แล้วท่านเหมี่ยวนรธาแม่กอง   ไม่ผิดหรอกต้องมีคนอยู่แถวนี้  แต่ทว่าถิ่นแถวนี้ไม่
มีคนอาศัยอยู่เลยนี่นา เราเองก็เที่ยวค้นหาทุกซอกมุมแล้วไม่มีหมู่บ้านสักหลังเดียว
     “ขอรับท่านแม่ทัพ  ข้าเองก็เที่ยวค้นหาดุจเดียวกันก็ยังไม่พบใครสักคน สงสัยว่าสาย
ของพระแม่เจ้าคงจะเจอแต่ไม่กล้าเข้าทำการจับกุม เกรงจะขัดต่อเบื้องบนจึงเพียงแค่
รีบกลับมารายงานเท่านั้นเองขอรับ”
     “นั่นซิท่านนายกอง  เราเองก็คิดเช่นเดียวกับท่านแหละ  อ้อ!!!...เราได้รับสาสน์
จากพระแม่เจ้าแล้วว่า ให้รีบกลับวังด่วน   เหตุการณ์ทางนี้ให้วางมือก่อนแล้วหา
ทางที่หลัง  พระองค์จะทรงปรึกษาข้อราชการแก่เราสอง   ฉะนั้นท่านรีบจัดการ
ทหารให้เดินทาง  อ้อๆ...แต่พระองค์สั่งไว้ว่าให้พวกเราทั้งหมดพลางตัวกลับอย่า
ให้กระโตกกระตากเป็นที่จับได้ของคนอื่นนะ”
     “ข้าเองก็สงสัยว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่ดีภายในเสียแล้ว  พวกเรารีบกลับและบอก
ทหารให้พลางตัวดุจพ่อค้าและชาวบ้านอาวุธยุทโธปกรณ์ให้นำไปเท่าที่นำไปได้
หากเกะกะมากให้หาที่ซ่อนแล้วทำเครื่องหมายไว้ อาจจะย้อนนำมาใช้ได้อีกนะ”
      “ขอรับท่านแม่ทัพ ข้าจะจัดการเดี๋ยวนี้แหละ”

      หลังจากนั้นนายกองผู้ชาญฉลาดก็จัดการเรียกประชุมเหล่าทัพทันที โดยแจ้ง
เรื่องราวบางอย่างให้ทหารทุกๆคนทราบ ส่วนม้านั้น ได้จัดทหารส่วนหนึ่งรักษา
ไว้   ทหารส่วนใหญ่ให้เดินเท้าไป แยกย้ายกันให้ไปพบที่ตลาดใหญ่แล้วซื้อเสื้อผ้า
แต่งกายพลางสภาพทหารให้หมดสิ้น พร้อมทั้งจัดแยกมวลทหาร ออกเป็นหมวด
หมู่ พร้อมทั้งแจงสัญญาลักษณ์ประจำหน่วยไว้ หากเห็นเครื่องหมายในที่ชุมนุมชน
ของเราและท่านแม่ทัพ   ก็ให้รีบแจ้งข่าวแก่พวกเราทั้งหมด
ก็ให้มารวมตัวกันพร้อมอาวุธต่างๆ อย่าให้เป็นพิรุธสงสัยแก่เหล่าทหารในเมืองได้
เป็นอันขาด หากผู้ใดฝ่าฝืนให้ลงโทษตามแต่สานุโทษได้ทันที ความรับผิดชอบให้
เป็นหน้าที่ของหมวดหมู่นั้นๆ โดยนายกองแยกทหารออกหน่วยล่ะ 20 คนบ้าง 30
คนบ้างตามแต่ความเหมาะสม และสั่งให้แยกย้ายกันไปได้นับแต่นี้ หากเจอกันใน
เมืองห้ามทำเป็นรู้จัก ให้ทำเสมือนคนแปลกหน้ามิฉะนั้นจะโดนทำโทษตามอาญา
ศึกแผ่นดินต่อไป

               *   แก้วประเสริฐ.  *

n016.gif				
28 มกราคม 2553 15:28 น.

ลุ่มลึกอิสราวดี

แก้วประเสริฐ

  ลุ่มลึกอิสราวดี 

             ลุ่มลึกอิสราวดี

   คืนนั้น....แสงจันทร์งามกระจ่างฟ้า......
ทอทอดแสงระยิบระยับ  ประกายแวววับกระทบ
ผืวน้ำ  สะท้อนดวงจันทร์ภาพเปล่งไหวหวามชวน
ทัศนายิ่งนัก  เป็นภาพสะท้อนช่างงดงามยิ่ง
   ชายหนุ่มร่างกำยำจัดนับได้ว่าสูงระหงส์ ใบหน้าที่
อิ่มเอิบ   ดวงตาใหญ่แต่ไม่โปน คิ้วขนดำหนาแต่ทว่า
เป็นแนวยาวเหยียดโค้งรับกับปลายชายดวงตาที่เรียว
   ใบหน้ายาวแต่ไม่เรียวมากนัก จัดได้ว่าเป็นบุรุษที่งามนัก
คนหนึ่ง แค่รอยยิ้มที่มุมปากกับแก้มที่บุ๋มที่กระพุ้งแก้ม
ส่งให้ใบหน้านี้ยิ่งเน้นสรีระร่างให้งดงามยิ่งนัก
     บุรุษหนุ่มยืนกอดอกทอดสายตามสู่ยังแม่น้ำของประเทศเพื่อนบ้าน
ที่แลดูกว้างใหญ่พอประมาณในค่ำคืนเดือนหงาย    พลันชายหนุ่มก็ให้
รำลึกนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตที่ได้จารึกไว้ในแนวเชิงประวัติศาสน์ก่อให้
ชายหนุ่มแหงนหน้ามอง  ดวงจันทร์ที่พร่างพรายแสง แปลกชายหนุ่มนึก
คืนนี้ดวงจันทร์ใยช่างงดงามยิ่งนัก วงล้อมรายรอบเป็นชั้นๆของแสงที่ส่ง
ประกายลงมา   อ้อๆนี่เขาเรียกว่าพระจันทร์ทรงกลด โอ้..ช่างงามเสียนี่กระไร

     ชายหนุ่มหลับตาพริ้มทำให้หวนนึกถึงหญิงหนึ่งที่มักจะคอยเข้ามาในฝัน
หลายๆครั้ง  นับตั้งแต่เขาเหยียบย่างลงในผืนแผ่นดินแห่งนี้     แปลกๆเขาคิด
ทำไม ครั้งอยู่ในเมืองไทยเหตุการณ์เช่นนี้ใยไม่เกิดขึ้นแก่เขา    นี่ล่วงมาหลายๆ
วันแล้วเขาก็เกิดนิมิตเช่นนี้มาตลอด   
      ช่างเถอะเราคงจะทานอาหารไม่อิ่มกระมังจึงบังเกิดเช่นนี้ ด้วยรสชาติอาหาร
หาได้ถูกปากเขาไม่ รสชาติที่ออกจืดๆและออกคาวนิดๆ   แต่เขาก็จำเป็นต้องทาน
ด้วยไม่รู้ว่าจะไปทานที่ใด อาหารหรือที่เขาเตรียมมาได้หมดไปเสียแล้ว   แต่ภารกิจ
เขายังไม่เสร็จ     จึงจำเป็นต้องทนอยู่แต่ทว่าอีกไม่นานซินะเราจะต้องจากดินแดนนี้
เสียแล้ว   เขาทบทวนงานภารกิจที่เสร็จแล้วส่วนใหญ่คงเหลืออีกไม่เท่าไหร่   เพียง
รอให้เขาตรวจสอบและเซ็นต์รับงาน  เขาก็จะกลับบ้านเกิดเมืองนอนเสียที พอกันที
กับอาหารรสชาติที่แสนจะจืดชืด  
    
        เขานึกถึงอาหารบ้านเกิดเมืองนอน  เฮอะๆๆรอก่อนนะข้าจะกลับไปหาเจ้าเขา
รำพันกับตัวเอง  ในสมองคิดว่าคืนนี้อากาศช่างเป็นใจ  ลมพัดเอื่อยๆนำกลิ่นหอมลึกๆ
ของไอน้ำแห่งลุ่มแม่น้ำอิรวดีมากระทบจมูกเขา ทำให้เขาเกิดเปลี่ยนใจที่จะพักผ่อน
ในบ้านพักที่เขาได้เช่าไว้ในธุรกิจครั้งนี้ เหตุด้วยเขาต้องอยู่นานนั่นเอง  แต่ค่ำคืนนี้แปลกๆ
แต่ทว่าเขาไม่ได้นำอุปกรณ์ใดๆมาเลย นอกจากผ้าที่คาดเอวเท่านั้น 
        ช่างเถอะเหลือไม่กี่วันแล้วนี่นา  ที่เราต้องจากแผ่นดินนี้แล้ว เอาล่ะขอนอนที่นี่สักคืน
ยิ่งเป็นคืนที่จันทร์ทอแสงกระจ่างพร่างพราย  สายน้ำที่ไหลเอื่อยๆผิวน้ำเกิดระลอกๆทอ
ทาบดวงจันทร์แวววับวาม   ดูกระจ่างลึกซึ้งยิ่งนัก


        เขาเดินหาบริเวณที่เหมาะเพื่อจะไม่ต้องเสียบรรยากาศตลอดจนบังลมหากรุนแรงกว่านี้
ชายหนุ่มยิ้มกับตัวเอง    เมื่อแลพบมุมๆหนึ่งที่เห็นว่าเหมาะและไม่ปิดบังทัศนียภาพสวยๆของ
ดวงจันทร์ ปลายขอบฟ้าที่ดารดาษด้วยดวงดาวทอแสงระยิบระยับและลุ่มน้ำแห่งนี้   โอ้ช่างเป็น
สถานที่งามยิ่งนัก นับตั้งแต่เหยียบย่างผืนแผ่นดินนี้       หากเขามิได้รับข้อมูลจากสหายชาวรามัญ
ที่สืบทอดมาในผืนแผ่นดินนี้ให้เขามาหาความรื่นรมย์สงบจากที่ครึกครื้น ที่เขามักจะกล่าวให้สหาย
ฟังอยู่ตลอดเวลา     สหายต่างแดนได้แนะนำเขาให้มา ณ ดินแดนแห่งนี้   ก็สมหรอกและไม่ผิดหวัง
เมื่อเขามาสถานที่แห่งนี้นับได้ว่าเป็นวันที่สองแล้วซินะ   ในยามอาทิตย์อัสดงเขาก็จะมายังที่นี่คนเดียว
และคอยชมในยามข้างขึ้นพระจันทร์เต็มดวง

       เขาเดินไปค้นหากิ่งไม้แล้วมาปัดกวาดบริเวณให้สะอาดแล้วนำผ้าเคียนเอวออกมาปูลาดกับพื้น
เพื่อรอคอยเวลาที่เขาง่วงจะได้ไม่ต้องเสียเวลากังวล    เมื่อเขาจัดการเป็นที่เรียบร้อยแล้วเขาก็นั่งชม
เดือนดาว ลำน้ำแห่งลุ่มแม่น้ำอิรวดี   ดีนะที่ไม่ค่อยมียุงและเหลือบมากนัก  แต่ยามอากาศเริ่มดึกๆ
เจ้าพวกรบกวนเหล่านี้ก็หายไปหมด เหลือเพียงแต่สายลมที่กระฉอกน้ำที่ซัดสาดซ่าส์  เขาฟังดูคล้าย
เสียงดนตรียามประสานเพลงธรรมชาติประกอบทัศนียภาพด้วย ทำให้จิตใจเขาเบิกบานลืมบรรยากาศ
กลางวันไปเสียสิ้น  
      ดึกแล้วซิหนอเขารำพึง เสียงหริ่งเรไรที่นานๆจะส่งเสียงมาสักครั้ง   ความง่วงก็เริ่มเข้ามาสู่เขา
จึงได้เอนกายลงนอนเอาก้อนหินสอดไว้ใต้ผ้าเป็นหมอนหนุน 
  สายตาพยายามเบิ่งตาดูความงดงามดุจภาพวาดแต่นี่เป็นภาพแห่งความจริง
     ชายหนุ่มเริ่มหาวๆนอนแล้วค่อยๆพริ้มหลับตา  โอ้มันช่างเป็นความสุขแท้จริงเชียวหนอ
    เขาอดคิดไม่ได้ทั้งๆที่ม่านตาเขาเริ่มปิดลงๆ ในที่สุดเขาก็ผล็อยหลับไปในท่ามกลาง
แห่งแสงจันทร์ที่ทอระยิบระยับบวกกับแสงที่ทบกับผิวน้ำพลิ้วไหววาบวามกระจ่างไปทั่วบริเวณ
ปล่อยให้แสงจันทร์ได้ลูบไล้ร่างกายเขาไป.......

     ฉับพลันเขาต้องสะดุ้งตกใจขึ้นมา   เมื่อได้ยินเสียงม้าร้องพร้อมกับขบวนม้าที่วิ่งผ่านเลยเขาไป 
แลเห็นฝุ่นตลบ พร้อมสิ่งที่แลเห็นเป็นขบวนคนจำนวนมาก แต่ทำไมเขานุ่งห่มแปลกๆไม่เหมือน
เขาเลย     เขาก้มหน้ามองเสื้อผ้าที่หุ้มห่อกายก็ยังเหมือนเดิม   
      แต่ที่เขาแลเห็นล่ะ  ช่างแปลกๆไม่เหมือนเขาสักนิดเลย  เขาฉงนพลางลุกขึ้นโดยเร็วและไม่ลืม
คว้าผ้าปูลาดสะบัดแล้วเคียนเอว   รีบแอบมองหินข้างๆที่บังร่างกายเขาได้ดีและมีช่องลอดเพื่อให้
เขาได้มองขบวนที่กำลังผ่านหน้าเขาไป  
      เสียงเอะอะดังลั่น บุรุษหนึ่งขี่ม้าวกกลับมายังท่ามกลางขบวนตรงไปยังเสลี่ยงที่หามคนๆหนึ่ง
พลางกล่าวรายงาน เสียงลมแว่วผ่านเข้ามาแต่เขาเองก็แปลกใจตัวเองนักทำไมเขาสามารถฟังภาษา
ที่ได้ยินเสมือนเป็นภาษาเขาได้   แต่เขามิได้คิดอะไรมากนักเพียงแต่คิดและจิตได้มุ่งแต่รับฟังเสียง
ที่ลอยมากระทบหู      กลับเป็นเสียงรายงานของบุรุษที่เข้ามารายงานตัวดังขึ้น

        ข้าแด่แม่ทัพ...   ข้าได้พยายามค้นหาแล้วแต่ไม่พบเจอเลยไม่รู้ว่าไปเสียที่แห่งใด ขอรับ
เห่อะๆๆ...นายกอง  ท่านลองอีกสักครั้งหากไม่พบเห็นว่าเราสองจะแย่นะท่าน ด้วยแม่เจ้าหญิงเห็นที
ครั้งนี้คงจะไม่ยอมไว้เหมือนก่อนๆนะ  ด้วยสายรายงานมาว่าได้พบแถวบริเวณแห่งนี้ ท่านลองค้นหา
อีกสักครั้งเถอะ  หากไม่แล้วเห็นทีว่าศีรษะเราทั้งสองคงจะไม่อยู่ที่บ่าแน่ล่ะ   ข้าเองก็นึกหวั่นๆใจ
ชอบกลนี่เราก็ค้นหามาหลายเพลาแล้ว
         บุรุษร่างกำยำที่ขี่ม้าอยู่เทียบเสลี่ยง   น้อมกายรับคำเบาๆ พลางกล่าวว่า
         “ท่านแม่ทัพ....เห็นทีว่าเราคงจะต้องปล่อยไปตามวาสนาเราทั้งสองแล้วล่ะท่าน!!!...???”
ชายผู้นั่งบนเสลี่ยง ก็กล่าวเช่นเดียวกัน
       “ นั่นซิท่านนายกอง??    เราก็พยายามค้นหาแล้วทั่วทั้งแผ่นดินนับนานปีแล้วเชียว   หากครั้งนี้
มิได้รับการยืนยันจากสายโดยตรงของแม่เจ้าหญิงล่ะ เราสองคงไม่วุ่นถึงเพียงนี้หรอก...”
        “นั่นซิ...ท่านแม่ทัพ  ข้าเองก็ยังฉงนไม่วายฤาว่าใยจึงได้ห่วงเสียนี่กระไรนัก”
        “ท่านนายกอง....ข้าก็พอจะรู้เพียงนัยๆว่า  บุรุษนั้นเป็นคนรักยิ่งของแม่นางนัก มิฉะนั้นใยจึงจัก
มิยอมปล่อยวางเสียนานแล้ว  เอาล่ะเราสองทดลองอีกสักครั้ง หากมาดแม้นมิได้สมหวัง ก็เห็นทีจะ
ต้องยอมรับชะตาวาสนาของเราสองเสียแล้วกระมัง”  แม่ทัพกล่าวด้วยสำเนียงอิดโรย ด้วยเพราะ
ขาดความมั่นใจ   หากแม่หญิงจะให้เขาไปต่อสู้กับศัตรูยังนับว่าง่ายกว่าการค้นหาในสิ่งที่เขาเอง
ก็ไม่ทราบเจตนารมณ์ของเจ้าหญิงผู้ครอบครองแว่นแคว้นนี้และไม่ทราบความเป็นมาเป็นไร 
อุปมาดั่งค้นหาเงาเสียมิปาน เพียงแต่เจ้าหญิงแจ้งถึงลักษณะแห่งชายคนนั้นไว้พอจะให้เป็นที่
สังเกต   เขาเองก็มิได้ย่อท้อได้พยายามเสาะแสวงหาสืบเสาะและได้นำ บุรุษตามลักษณะที่แม่นาง
ได้บรรยายให้ฟัง มาพบเสียหลายต่อหลายคนแล้ว  แต่แม่นางก็ทรงปฏิเสธร่ำไปตั้งแต่เขายังหนุ่ม
จนบัดนี้อายุอานามก็ล่วงโรย ย่างเข้าสู่วัยกลางคนไปแล้ว แต่ความพยายามของเจ้าหญิงก็มิยอม
ลดละเลิกในเรื่องเหล่านี้ไปเสียที  จึงทำให้เขาอดทีจะท้อแท้ต่อความคิดอ่านของแม่หญิงได้
ยามที่เขายังหนุ่มคะนองด้วยความที่หยิ่งในฝีมือและความรู้ของเขา  ทำให้เขาคิดว่ามันง่ายนัก
แต่พอเข้าประจักษ์แล้วถึงได้รู้ว่า เปรียบดั่งขุนเขาที่แข็งแกร่งยากจะทำลายได้ ด้วยนามนั้น
หาได้มีตัวตนใดไม่   เพียงแต่เพียงรูปลักษณะอุปมาดั่งให้เขาค้นหาเงาก็มิปานฉะนี้
    ลางทีเห็นทีเราจะต้องพ่ายแพ้และหมดวาสนาในการรับใช้เสียแล้วกระมัง  พลางทอดถอนหายใจ
เฮือกใหญ่ พลางหลับตาพริ้มพร้อมกับกล่าวกับทหารคนสนิท
    “ท่านนายกองเอย  ในเมื่อฟ้าลิขิตเราสองเป็นฉะนี้แล้วเห็นลางทีต้องปล่อยให้เป็นไปตามวาสนา
เสียแล้วล่ะท่าน  การให้เราสองไปต่อสู้กับบุคคลที่มีตัวตนยังไม่ระอาใจ เหมือนในการครั้งนี้นะ
     “ใช่แล้วขอรับ...มาดแม้นให้ข้าไปสู้รบกับคนนับพัน นับหมื่นใจข้าก็หาได้ไหวหวั่นใดไม่ แต่นี่
เสียอีกทำให้ข้าเกิดความหวั่นไหวต่อเหตุการณ์นี้เสียจริงๆ ขอรับ”
      “ช่างเถอะท่านนายกอง...นับว่าบุญวาสนาเห็นทีคงจะหมดในครั้งนี้แล้ว  ยิ่งเป็นพระบัญชาว่า
หากมาดแม้นมิสำเร็จก็อย่ากลับมาให้ข้าได้เห็นอีก เสมือนว่าเราสองเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยของ
พระองค์   ศึกในครั้งนี้เห็นทียากจะลุล่วงเสียแล้วท่าน”
       “ขอรับท่านแม่ทัพ.....ไหนๆก็ไหนๆแล้วเราก็ได้ค้นหามาแทบทั้งชีวิตมิได้ที่จะย่นย่อท้อถอยก็หาไม่
แต่นี่ศึกเงายากนักที่จะฝ่าฟันด่านนี้เสียแล้วกระมัง”
     ใบหน้านายกองที่เลยหนุ่มกลับแลดูชราขึ้นทันตาเห็น ร่างที่ผึ่งผายกลับคุดคู่ห่อเหี่ยวไป  แล้วชักม้า
ล่วงไปข้างหน้า พลางร้องเพลงขึ้นเสมือนกับปลงอนิจจังตัวเอง  เสียงเพลงที่ร้องสั่นสะท้านแทรกซ้อน
ไชชอนเข้าไปในดวงใจของเหล่าทหารๆหาญหน่วยกล้าตายเหล่านี้  พร้อมลำนำกานท์สอดแทรกไปด้วย
                “ อันชีวิตเกิดข้าหาเกรงไม่
           ต้องมาตายในศึกครั้งนี้หรือ
           แม้สู้รบกับใครหาได้ปรือ
          แต่นี่คือภาพลักษณ์ข้าหนักใจ.”
   เสียงร่ายทำนองที่ดูออกเศร้าๆลึกๆในห้วงจิตใจของนายกองคนนี้   แม้แต่แม่ทัพเองก็ยังหน้าเปลี่ยนสีไป
ใช่ซินะ....นายกองคนนี้ผ่านศึกสงครามมานักต่อนัก ถึงแม้ตัวคนเดียวตกอยู่ในหมู่ล้อมของศัตรูก็หาได้
ยี่หระไม่ กลับทรนงต่อสู้ผ่านชะตากรรมกลับมาได้เพียงโดดเดี่ยวและเดียวดาย เหล่าทหารกล้าได้เสีย
ชีวิตและรอดกลับมารายงานถึงวีรกรรมของนายกองคนนี้ ทำให้เขาเองต้องรีบออกมาหวังช่วยเหลือ
นายกองคนสนิทคนนี้  พอยกทัพออกไปได้กลับแลเห็นนายกองควบม้ากลับมาคนเดียวพร้อมนำหัว
แม่ทัพฝ่ายตรงกันข้ามมาเพื่อเป็นกำนัลทดแทนความผิดที่ต้องสูญเสียทหารไป  แต่ศึกครั้งนี้เขาไม่เคย
ได้ยินและเห็นความหนักใจท้อแท้เสมือนในครั้งนี้เลย  พลางทอดถอนใจหนักแล้วกล่าวคำสุนทรฝาก
ตามหลังบุรุษชาติอาชาไนย ไว้เลาๆ
           “วาสนานำพาแห่งชีวิต
    มาดแม้นปลิดชีวันขันอาสา
     สู้กับคนไม่หวั่นในอุรา
     ลิขิตมาสู้เงายังเศร้าใจ."

      *  แก้วประเสริฐ. *

n016.gif				
25 มกราคม 2553 13:58 น.

* ตาจันกับไอ้จ๋อย *

แก้วประเสริฐ


        “ ตาจันกับไอ้จ๋อย “

     พระอาทิตย์ใกล้ลับขุนเขา
ท้องฟ้า ทอแสงอ่อนแดงระเรื่อๆฉาบเมฆแลงามหลากสี
ฝูงนกยาง ร้องเรียกพวก จ้าละหวั่น หวังกลับไปพักผ่อน
   ท่ามกลางท้องทุ่งนาที่อยู่ใกล้เชิงเขา เห็นสามชีวิต
คนสองสัตว์หนึ่ง ก็กำลังมุ่งหน้าเดินทางกลับบ้านเหมือนกัน
  เสียงขลุ่ยแว่วบรรเลงเพลงลูกทุ่ง  ล่องลอยมา สูงๆต่ำๆ
สร้างบรรยากาศที่ใกล้จวนจะโพล้เพล้ ให้มีชีวิตดีขึ้นกว่าไม่มีเสียงอะไรเลย
  ร่างชายวัยกลางคนค่อนข้างมีอายุ แต่ร่างกายบึกบึนไหล่ซ้ายสะพาย ถาน
อีกมือหนึ่งลากเส้นเชือกยาวๆ ปลายเชือกเป็นควายร่างกำยำวัยหนุ่ม
หลังควายมีเด็กอายุประมาณ 14-15 ปี นอนบนหลังควายเป่าขลุ่ยอยู่
มันไม่เพียงเป่าเท่านั้น แต่ขามันซึ่งยกไขว้กันอย่างสบายอารมณ์

      “ เฮ้ยๆๆๆ...ไอ้จ๋อย ไอ้ห่า เดี๋ยวมึงก็ตกหลังควายแขนคอกหรอกว๊ะ!!!
เสียงขลุ่ยเงียบหายทันที มันหันไปมองชายชรา แล้วก็แหกปากหัวร่อเสียงดัง
      “กูเตือนมึงนะโว้ย เสือกดันหัวร่อได้ไอ้ห่ากิน!!...”
     “ระวังนะโว้ย กู..ขีเกียจไปอนามัย”

     “พอหรือยังล่ะตาแก่...บ่นเก่งฉิบ...เลย คนกำลังพักผ่อนอารมณ์
  ข้ามันเด็กเทพนะตาไม่โง่จนตกลงมาหรอก”
     “ฮ่าๆๆ...มึงว่าอะไรนะหูกูไม่ค่อยได้ยินว๊ะ?”     เสียงชายค่อนข้างชราถามขึ้น
     “ฉันบอกว่า...อึอึ... ฉันมันเด็กเทพ...นี่แหละหน๊าคนโง่ๆก็แบบนี้แหละพูดไม่รู้เรื่อง”
เสียงเด็กหนุ่มตอบแบบน่ารำคาญ พลางหยิบขลุ่ยขยับจะเข้าริมฝีปาก ก็ต้องพลันชะงัก
เมื่อได้ยินเสียงตามันกล่าวลอยๆแบบร้องเพลงก็ไม่ใช่ มันตะแคงหูพยายามฟังเสียงตาร้อง

     “บ๊อกโกโล่ๆ เหวย บ๊อกโกโล่......”  ชายกลางคนร้องไปหัวร่อไป
เด็กหนุ่มพลันลุกนั่งบนหลังควายหลังจากที่นอนตะแคงอยู่นาน
     “ อะไรว๊ะ???บ๊อกโกโล่ๆ	ๆๆ” มันเกาหัวแกร๊กๆๆแล้วรำพึง บ๊อกโกโล่???อะไรกันว๊ะ
ตาๆๆๆบ่นอะไรอยู่หรือตา เด็กหนุ่มทนไม่ไหว ตะโกนถาม?
     “มึงไม่รู้หรือว๊ะ..ไอ้เด็กเทพ...แหม๋ๆๆๆไปเมืองหลวงไม่เท่าไหร่ ชิชะๆจะเป็นเด็กเทพ ถุ้ยถุย....”
แล้วตาของเด็กหนุ่มพลางเดินจูงควาย ร้องเพลงของแกไปหัวร่อไป บ๊อกโกโล่เว้ยบ๊อกโกโล่ ฮ่าๆๆๆๆ

   ไอ้ผลแฮะ เด็กหนุ่มชื่อไอ้จ๋อย กระโดดผลุงจากหลังควายแล้วเข้าไปฉุดมือตามันให้หยุด
      “เดี๋ยวก่อนตา ข้าสงสัยจัง ไอ้คำว่า “บ๊อกโกโล่???นะความหมายอะไรฮือตา!!!!!...”
ชายกลางคนค่อนข้างชรา หัวร่อร่วน แล้วย้อนถามไอ้จ๋อยทันที
      “มึงไม่รู้จริงๆหรือว่าแกล้งว๊ะ...ไอ้เด็กเทพ ฮ่าๆๆๆ หน๋อยๆเด็กเทพมันน่าจะรู้นะโว้ย”
คราวนี้เด็กหนุ่มตีหน้าย่น จนดูคล้ายคนแก่ มันเกากระบาลแกร๊กๆ  ครั้นจะถามก็กลัวจะเสีย
เชิงว่าเป็นเด็กเทพ ดังที่มันกล่าวไว้ นอกจากพึมพรำไป บ๊อกโกโล่ๆๆๆๆ
  ด้วยความสงสัย อดที่จะยอมเสียเชิงเพื่อให้หายความสงสัย 
เอ๊าๆๆๆยอมตาสักทีไม่เป็นไรหรอกแต่ก็ยังไว้เชิงว่าเป็นเด็กเทพ มันก็แหกปากร้องว่า.....
    “กรูกุ๊กกรู๊....กรูกุ๊กกรู๊ๆๆๆๆๆ “
   ได้ผลเหมือนกันมันนึก ตามันถึงได้หยุดร้องเพลง บ๊อกโกโล่ ฉิบ...
     “โอ้ยๆๆๆๆ”  เสียงเด็กหนุ่มร้องลั่น ไม่ลั่นเปล่าร่างมันกระเด็นตกคันนาทันที
      “อ้าวๆๆๆตาถีบฉันทำไมฮือๆๆๆๆ”
     “ก็มึงไม่รู้จักผู้ใหญ่เป็นเด็กเป็นเล็ก ไอ้นี่วอน นี่แค่เล็กน้อยนะเว้ย หากมึงไม่ใช่หลาน
กูแล้วล่ะก็ ฮึๆๆๆๆ”
     “มึงโดนหนักกว่านี่อีกนะไอ้เห้...จ๋อย”
พอได้ยินคำนี้ไอ้จ๋อย หยุดโมโหทันทีลืมความเจ็บที่ถูกถีบจากตา แล้ววิ่งไปไกลๆหน่อย แล้ว
หัวร่อลั่น  “กรูกุ๊กกรู๊ๆๆๆๆ”
      “ไอ้จ๋อย..นิๆๆ...มึงทะลึ่งใหญ่แล้วเว้ย “  ครั้นจะวิ่งไปหามันก็ไม่ทันด้วยบนบ่าแกมีถาน
อันใหญ่ที่สะพายไว้ ไหนเลยจะทันเด็กมัน แต่ก็ยังอดหันไปล้อมัน อีก 
     “บ๊อกโกโล่ๆๆๆโว้ยไอ้จ๋อย ฮ่าๆๆๆๆๆ....”
   คราวนี้ไอ้จ๋อยหยุดร้องทันที แต่ด้วยเชิงมันกลับย้อนตามันทันที
     “ข้าร้อง  “ กรูกุ๊กกรู๊ “ แล้วเกี่ยวกับ” บ๊อกโกโล่ไ ของตาหรือเปล่าล่ะ...???”
     “ไม่เกี่ยวโว้ย...แต่มึงล้อกูนี่นา ไอ้เด็กเวรตะไล...”  ชายผู้เป็นตาตะโกนบอก
     “อ้าวๆๆๆมันก็ไม่แฟร์ซิตา ตาร้องก่อนนา...” มันเถียงทันที
แล้วตารู้หรือเปล่าว่าไอ้คำว่า “บ๊อกโกโล่” หมายถึงอะไร 
      “อ๊อ.ๆ..ๆ เท่านี้หรือว๊ะไอ้จ๊อย ฮ่าๆๆๆ ขำโว้ย...กูจะบ้าตายแล้วไอ้จ๋อย”
      “ เออๆๆๆ แล้วไอ้ฟง ไอ้แฟร์ของมึงนะ แฟนมึงเหร๊อ ไอ้จ๋อย????”
  คราวนี้ไอ้จ๋อยทำหน้าทะเล้นแลบลิ้นหลอกตามัน แล้วพูดลอยๆๆขึ้น
     “นี่แหละหน๊า...คนบ้านนอกมันก็โง่เหมือน......????” มันหยุดเสีย
  ชายเป็นตา ย้อนถามหลานชายบ้างว่า 
     “แล้วมึงรู้หรือเปล่าว่าไอ้คำว่า “บ๊อกโกโล่” มันแปลว่าอะไร เดี๋ยวกูจะบอกให้เอาบุญว๊ะ”
   ไอ้จ๋อยยิ้มแก้มแทบปริแตกเสียให้ได้ มันนึกในใจ เข้าทางว๊ะ เข้าทางกู แต่ก็ยังตีหน้าเซ่อๆๆ
ถามไปเพื่อให้หายสงสัยแต่ก็ไว้เชิงมัน ที่สำเร็จวิชาสุดยอดจากเมืองหลวง
     “โถๆๆๆ...หลงฟังคนแก่เพ้อก็อย่างนี้แหละว๊ะ ไอ้จ๋อยหนอไอ้จ๋อย ตากูก็ไม่รู้หรอกว๊ะ”
มันพูดขึ้นมาลอยๆๆ
    คราวนี้ได้ผลเต็มร้อยเลยมันคิด เมื่อหันไปมองตามัน ซึ่งทำหน้ายึดแอ่นอก นึกว่ามันไม่รู้
แต่มันก็ไม่รู้จริงๆ  ทางตา มันก็ไว้ลายเหมือนกัน หันหน้าจูงควายต่อไป ส่วนไอ้จ๋อยไม่กล้า
เข้าใกล้ๆ  เดินตามห่างๆ
    ความเงียบเข้ามาสักพักใหญ่ ทั้งตาหลานไม่ได้พูดคุยกันอีกเลยต่างไว้เหลี่ยมกันแหละกัน
แต่ความเก๊าประสบการณ์ของตามันมากกว่ารู้จักอดกลั้น ส่วนไอ๊จ๋อยมันยังเด็กมากจึงขาด
ความอดกลั้นอดทน ไม่วายที่จะถามตามันก่อน  แล้วพูดขึ้นก่อน ลอยๆๆ
     “ฮี่โถๆๆๆๆๆ.....ตาโง่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าว่าไอ้คำว่า “บ๊อกโกโล่” มันคืออะไร?????”
  คราวนี้ตามันสะบัดหน้าหันกลับมา แล้วกล่าวว่า
       “ไอ้ห่า...หากกูไม่รู้มันว่าอะไร กูไม่ร้องเพลงมันหรอกโว้ยๆ...ไอ้จ๋อยเอ๋ย”
        “ก็รู้แบบ โง่ๆๆๆนะซิ”  มันลอยหน้าพูดลอยๆเหมือนกัน” ฮี่โถ..ทำตีขรึม”

     ตามันกระโดดผางปล่อยเชือกผูกควายออก แล้ว เท้าสะเอว คราวนี้ที่ความอดกลั้น
หายไป ด้วยความคิดที่อวดเก่งว่า เหนือกว่าหลานชาย 
    “มาม๊ะมา...ไอ้จ๋อย. กูจะบอกให้เอาบุญ เมื่อกี้นี้มึงนอนและนั่งบนอะไรล่ะ นี่แหละ
คือความหมายว่าคำ “บ๊อกโกโล่” เว้ยไอ้จ๋อย...” อดอวดภูมิไม่ได้
      คราวนี้ไอ้จ๋อยแหกตาปากเสียกว้างแล้วหัวร่อลั่น ไม่ลั่นเปล่า ยกมือเข็กหัวมันเองอีกด้วย
นึกไม่ถึงๆ ไอ้ห่ากูนี่ช่างโง่เหมือนกันนิ มันรำพึงในใจ
      “บ๊อกโกโล่...หรือควาย”   ฮ่าๆๆๆๆ “อยากพูดก็พูดไม่เป็นจำคำเขามา ฮ่าๆๆๆๆ” แล้วมัน
ก็แลบลิ้นหลอกตามัน
  อ้าวไม่เรียกว่า “บ๊อกโกโล่ไ มันมันเรียกอะไรว๊ะไอ้จ๊อย กูได้ยิน ไอ้เปี๊ยกมันพูดให้ฟังเว้ย!!!!?
   มาม๊ะมา....ใกล้เข้ามานะตาเอ๊ยตา ตะแคงหูฟังนะหากไม่ได้ยิน ก็หาก้านไม้แคะหูก่อนก็ได้ข้าจะ
วิสัชนาคำที่ถูกต้องให้ฟัง
   “แม๊ะๆๆ...แม่ห่ากิน...ไม่ถูกแล้วจะพูดได้หรือเว้ยไอ้จ๋อย”
     “โถๆๆๆอนิจจา ชื่อ “จัน” ที่แท้ก็เป็นจันข้างแรมนะตา” ฮ่าๆๆๆๆ
   “ไอ้จ๋อยอย่าวางมาดให้มากนัก หากไม่บอกกู กลับบ้านมึงระวังอย่าเข้านอนนะ
 มิฉะนั้นกูกระทืบมึงแน่ๆๆ”
    “อ้าวๆๆๆ ....  ผุ้ใหญ่รังแกเด็กนะตา”
    “ไม่รู้โว้ย...หากไม่บอกโดนแน่ๆ”
     “เอ๊าๆๆๆถือโตกว่าข่มได้ข่มเอา ...บอกก็บอกซิตาจ๋า...”
     “อ้าวแล้วเสือกนิ่งไปทำไมล่ะ ไอ้ห่ากวนตี....จริงๆนะมึง”
      “เปล่าหรอกตา กำลังนึกอยู่ว่าถูกหรือเปล่าล่ะ แหม๋ๆๆๆทำใจร้อน กับยายเห็นถูกด่าทีไร
ไม่เห็นเก่งสักที “
      เดี๋ยวโดนตาเตะจะฟ้องยายล่ะคราวนี้ แล้วมันก็ถอยห่างๆไปอีก หัวร่อลั่น
     “โอ้ๆๆๆมาม๊ะมาพ่อมหาจำเริญ  มาใกล้ตาหน่อยหลานรักของตา”
     “ใกล้ๆก็ไม่ใช่เด็กเทพซิตา ทำหลอกเด็กเทพไปได้เช๊อะๆๆๆ”
      “เอาล่ะพ่อเด็กเทพ เฉลยให้ตาฟังเถอะ พ่อทูนหัวของตา”
      “นี่เป็นตาแท้ๆนะ เช๊อะมิฉะนั้นให้เขาหลอกจนตายก็ไม่รู้ เอาล่ะจะบอกให้
แคะหูหรือยัง อ้อ แคะแล้ว มันไม่ใช่ “บ๊อกโกโล่”หรอกตา มันเรียกว่า “บัฟฟาโล่” นิ “
       “ไอ้ บัฟฟาโล่” มันแปลว่าอะไรล่ะ” ตาชักสงสัย
        “นี่แหละหน๊าๆ...คนบ้านนอกนอนกินกับควาย นิสัยจึงไปทางควาย”
        “ไอ้ห่าจ๋อย...มึงว่ากูเหร๊อๆๆ....”
         “เปล่าว่าหรอกตา แต่แปลให้ฟังจ๊ะ มันหมายถึง “ควาย” จ๊ะตา”
คราวนี้ตามันขมวดคิ้ว เหมือนจะท่องจำคำนี้ไว้ “บัฟฟาโล่” แต่ไม่วายล้นเสียงออกมาได้

       บรรยากาศเริ่มจะเย็น ลมเย็นพัดประทะร่างทั้งสอง 
ตอนนี้อากาศเริ่มจะขมุกขมัวค่อนข้างจะมืด

ทั้งคู่ยังไม่ถึงบ้าน ความหิวเริ่มเรียกร้องกระเพาะทั้งสอง หลานกับตาหันมามองหน้ากันไม่พูด
อะไรอีก ต่างพยักหน้าหงึกๆๆๆ แล้วรีบจ้ำอ้าว เพื่อหาอาหารที่ยายทำไว้รออยู่ ไม่รู้ว่าจะถูกสาธยาย
มนต์ให้ฟังอีกนานเท่าไร แต่ช่างเถอะ สองตาหลานหันหน้ามามองกันพลางหัวร่อกระซิกต่อกัน
แต่ไม่พูดอะไรๆให้ยายมันฟัง เสร็จแล้วก็ต่างอาบน้ำอาบท่าหลังจากพาเจ้าทุยเข้าคอกสุมฟางไล่
ยุงให้มันแล้ว ก็ต่างคนเข้านอน เพื่อรอวันใหม่ที่จะต้องรีบทำต่อไป
        ขออวสานเกล็ดย่อยๆเล็กๆน้อยๆ
เพื่อที่จะไม่ลืมการเขียนไว้พอสังเขป
 หวังว่าอย่าไปจำคำนี้อีกนะจ๊ะ “บ๊อกโกโล่”

                  **   แก้วประเสริฐ.  **

signature_001.gifn016.gif				
12 สิงหาคม 2552 12:28 น.

รักที่ซาบซึ้งตรึงหทัย

แก้วประเสริฐ

  รักที่ซาบซึ้งตรึงหทัย  



         ฉันเกิดในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลผู้คน

   แต่ละวันพ่อแม่ของฉันต้องพรวนดินในไร่ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ

   ฉันมีน้องชายอยู่หนึ่งคน อายุน้อยกว่าฉัน 3 ปี

   วันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อเพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆ

   ของฉันมีกัน

   จากนั้นพ่อก็รู้เรื่อง

   พ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่าหันหน้าเข้าหากำแพง

   โดยที่ในมือพ่อมีก้านไม่ไผ่อยู่หนึ่งก้าน

         'ใครขโมยเงินไป'   พ่อตวาด

   ฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายฉันก็เช่นกัน

   พ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า

         'ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่นั่นล่ะ'

   พ่อชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้น

   ทันใดนั้น น้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือของพ่อไว้....แล้วพูดว่า

         'ผมขโมยเองครับ'

   ก้านไม้ไผ่ก้านนั้นได้กระหน่ำลงบนหลังของน้องของฉันอย่างต่อเนื่อง

   พ่อโกรธมาก พ่อตีน้องของฉันไม่หยุด

   จนพ่อหอบด้วยความเหนื่อย

   พ่อนั่งลงบนเก้าอี้

   และด่าว่าน้องชายของฉัน

         ' ของคนในบ้านแกเอง แกยังขโมยได้ต่อไปแกจะทำชั่วอะไรอีก 

         แกน่าจะโดนตีให้ตาย ไอ้หัวขโมย'

   คืนนั้น ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้

   หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมด

   แต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อย

   กลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้เสียงดัง และนานมาก

   น้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้ แล้วพูดว่า

         ' พี่ครับ ไม่ต้องร้องไห้นะมันผ่านไปแล้ว'

   ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้

   ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อ


   หลายปีผ่านไป

   แต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง

   ฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลย

   ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 8ปี ส่วนฉันอายุ 11ปี...

   เมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบ ม.ต้น

   เขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียนม.ปลาย 

   ว่าเขาสอบได้ ในขณะที่ฉันซึ่งใกล้จบ ม.ปลาย

   ก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยของจังหวัดเช่นกัน

   คืนนั้น พ่อได้นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้าน

   ฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า 

         ' ลูกเราทั้งคู่เรียนดีเรียนดีมากนะ'

   แม่ซึ่งนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ พ่อ ได้พูดว่า

         'แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไรในเมื่อเราก็ไม่ค่อยมีเงิน'

   ทันใดนั้น น้องชายของฉันได้เดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า

         ' ผมไม่ต้องการเรียนต่อผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว'

   พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดใหญ่

         'ทำไมถึงคิดโง่ๆ อย่างนี้

         ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนน

         พ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้'

   คืนนั้นทั้งคืน พ่อได้เดินไปตามบ้านต่างๆ

   ทั่วทั้งหมู่บ้าน....เพื่อขอยืมเงิน

   ฉันค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆ 

   ของน้องชายเบาๆ และคิดว่า

         ' ต้องให้น้องได้เรียนต่อไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบาก
 
         เช่นนี้ไปได้'

   แต่ในขณะเดียวกัน

   ฉันก็ไม่อาจล้มเลิกความคิดอยากจะเรียนต่อไปได้

   ใครจะรู้ได้ .......


   วันต่อมาในตอนเช้ามืด

   น้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไปพร้อมทั้งเสื้อผ้าติดตัวเพียงไม่กี่ชิ้น

   และถั่วเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังความหิว

   ก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉัน

   ขณะฉันกำลังหลับ

         ' พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่ใช่ง่ายๆ นะ ....

         ผมจะไปหางานทำ...แล้วจะส่งเงินมาให้พี่'

   ฉันนั่งอยู่บนเตียง

   อ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า .......

   ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไป 

   ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 17ปี ส่วนฉันอายุ 20ปี .....

   ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้าน

   รวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้างมาจากการทำงานเป็น

   กรรมกรแบกหามที่ไซท์ก่อสร้างท่าเรือ .......

   ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี 3

   วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก

   เพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามาบอกว่า 

         'มีชาวบ้านมาหาเธอ...อยู่ข้างนอกแน่ะ'

   ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ ???

   ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็นน้องชายของฉันยืนอยู่

   ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้าง...

   ฉันถามเขาว่า

         'ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายพี่ล่ะ'

   น้องชายของฉันตอบยิ้มๆ ว่า

         'ก็ดูผมสิสกปรกมอมแมมออกอย่างนี้...ขืนบอกว่าเป็นน้องพี่ เพื่อนๆ

         ก้อได้หัวเราะเยาะพี่กันพอดี'

   ฉันค่อยๆ เอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้อง

   และพยายามพูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ

         ' พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไง 

         เธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม'

   จากนั้น น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง

   เป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ เขาติดกิ๊บให้ฉัน

   แล้วพูดว่า

         'ผมเห็นสาวๆ ในเมืองเค้าติดกัน ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง'

   ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใด

   ดึงน้องชายเข้ามาสวมกอดและร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานาน

   ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 20 ปี ส่วนฉันอายุ 23 ปี .

   วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรก

   ฉันสังเกตเห็นว่า

   หน้าต่างบ้านที่เคยแตกไป ได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว

   เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมาก

   หลังจากที่แฟนของฉันกลับไป ฉันพูดกับแม่ว่า

         'แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านกับซ่อมกระจก

         เพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ'

   แม่ยิ้ม แล้วพูดว่า 

         ' แม่ไม่ได้จ้างหรอก...น้องชายลูกต่างหาก

         วันนี้เค้าขอเลิกงานเร็วเพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้าน

         ลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอ

         น้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ'

   ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของเขา

   ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือ

   ฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด 'เจ็บมากไหม'

   ฉันถาม

         'ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้างนะ วันๆ

         มีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมด

         แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะ

         และ...'

   น้องชายของฉันยังพูดไม่จบประโยค แต่ก็ต้องหยุดพูด

   เพราะฉันหันหน้าหนีเขา

   น้ำตาไหลอาบหน้าของฉันอีกครั้ง

         'เพราะพี่เป็นพี่สาวของผมนี่ครับ' 

   ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 23 ปี ส่วนฉันอายุ 26 ปี... 

   หลังจากนั้น ฉันก็ได้แต่งงานและย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง

   หลายครั้งที่สามีของฉันชักชวนให้พ่อแม่ของฉันย้ายเข้ามาอยู่ในเมือง

   ด้วยกัน...

   แต่ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธ

   ท่านบอกว่า ท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่ง

   แต่เมื่อออกไปแล้ว

   ท่านไม่รู้จะทำอะไรดี

   จึงได้ย้ายกลับเข้ามาใช้ชีวิตในหมู่บ้านตามเดิม

   น้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้เขาและพ่อแม่ย้ายออกไป ...

   เขาบอกกับฉันว่า

            'พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะผมจะดูแลพ่อและแม่
 
            ทางนี้เอง'

   สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของ ครอบครัว

   เราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการบริษัท

   แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่งนี้

   เขาขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา

   วันหนึ่ง น้องชายของฉันต้องปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิล

   และตกลงมาเพราะโดนไฟดูด

   เขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาล

   ฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล

   น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา

   ... ฉันโกรธมาก จึงตวาดน้องไปว่า

            ' ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ หา!!!
   
            ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆอย่างนี้

            ดูตัวเองซิ...เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง'

   คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียด

   ยังยืนยันความคิดเดิมของเขา

            'พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขยเพิ่งจะได้เป็นประธาน

            ส่วนผมมันการศึกษาต่ำถ้าผมได้เป็นผู้จัดการ

            คงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด'

   น้ำตาปริ่มดวงตาของฉันรวมทั้งสามีของฉันด้วย .....

   ฉันบอกกับน้องว่า

            'แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่...'

            'ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วยล่ะครับ'

   น้องชายของฉันจับมือฉันไว้

   ตอนนั้นน้องของฉันอายุ  26 ปี ส่วนฉันอายุ 29 ปี... 


   เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ 30 ปี

   เขาได้แต่งงานกับผู้หญิงในที่ทำงานที่เดียวกัน

   ในงานแต่งงาน ประธานในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า

            ' ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้'

   น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล 
 
            'พี่สาวของผมครับ' .....

   และเขาก็เล่าเรื่องราวที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้

         'ตอนผมอยู่โรงเรียนประถม โรงเรียนอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง

         เราสองคนพี่น้องต้องใช้เวลาถึง 2ชม.

         เพื่อเดินไปเรียน...และเดินกลับบ้าน

         วันหนึ่งในวันที่หิมะตกหนักผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่ง

         พี่สาวผมจึงได้ให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่ง

         และเธอก็ใส่ถุงมือเพียงข้างเดียวเดินเป็นระยะทางไกล

         เมื่อเรากลับถึงบ้านมือเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาว

         เธอไม่สามารถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ .......นับจากวันนั้น

         ผมสาบานกับตัวเอง

         ว่าตลอดชีวิตของผม ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดี

         และจะทำดีกับเธอ'

   เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่ว

   สายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉัน

   คำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก ....... 

         'ในโลกใบนี้คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุด คือน้องชายของฉันค่ะ'

   ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้

   น้ำตาได้รินไหลออกมาจากสองตาของฉันอีกครั้ง...


   “จงรัก และห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆ วันในชีวิตของคุณและเขา

   คุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสักคนเป็นเพียงสิ่งเล็กๆน้อยๆ

   แต่สำหรับคนคนนั้นอาจจะมีความหมายมากอย่างคาดไม่ถึง

   .. ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือ

   พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อน

   หรือแม้คนที่คุณไม่รู้จัก ก็ตาม “ 
  
  
   จบบริบูรณ์.... 

ปล. ปัจจุบันผู้เป็นพี่สาวอายุ 86 ปีตำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารใหญ่
บริษัท ฮุนได และในเครือกว่า 20 บริษัท 

น้องชายอายุ 83 ปีเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทเล็กๆ   ที่มีชื่อเป็นภาษาเกาหลีว่า
'ซัมซุง'



115022au9ksde120.gif				
28 กุมภาพันธ์ 2552 15:18 น.

** คำที่เคยกล่าว **

แก้วประเสริฐ


              **  คำที่เคยกล่าว  **

     ใช่นะซิ ?....สิ่งที่กล่าวไว้ให้ฟังมาดแม้นว่าจะเป็นคำกล่าวที่ล้อเล่นหรือจริงเพียงใดฉันเองก็ไม่รู้ แต่สำหรับ
คนอัปลักษณ์เช่นฉันนั้นย่อมหมายถึงความเป็นจริงที่ฝังแน่นในใจเสมอ พ่อแม่เคยสอนไว้ว่าคนเราถึงแม้ว่า
จะยากดีมีจนเพียงใดก็ให้มี “สัจจะ” อย่าเป็นคนกล่าวพล่อยๆเพียงแค่ลมปากเท่านั้น คำๆนี้ฉันยึดมั่นเสมอมา
และยิ่งงานที่ทำมาหากินถึงแม้ว่าจะไม่ร่ำรวยนัก แต่ก็ไม่ถึงกับยากจนเพราะการต่อสู้กับชีวิตที่ได้รับการ
ถ่ายทอดมาทำให้เกิดพลังการต่อสู้ดิ้นรนไขว่คว้าทำให้ไม่ถึงกับยากจนนัก  แต่กับคำๆนี้ทำไมมันฝังลึกลงใน
ห้วงแห่งความจำเสมอมา  ถึงแม้ว่าจะรู้ตัวว่าตัวเองไม่เหมาะสมทั้งร่างกายและฐานะความเป็นอยู่ก็ตามที  สำหรับ
คนอื่นไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรแต่กับฉันนั้นมันช่างจริงจังเสมอ
     วันนี้ท้องฟ้าแจ่มใสอากาศร้อนอบอ้าวแม้นว่าจะบ้านจะอยู่ในดงต้นไม้ที่สูงและเต็มไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์
ก็ตามหรือว่ามันจะออกมาจากข้างในเสียมากกว่าทำให้รำลึกถึงคำๆนี้ขึ้นมา 
“ฉันจะรักเธอเสมอ” นี่คือถ้อยคำที่ก้องหูตลอดเวลาแม้แต่การทำงานก็ตามที เราเคยพบกันคุยกันอย่างสนุกสนาน
เพลิดเพลิน บางครั้งเป็นกลางวัน บางครั้งเป็นกลางคืนเดือนแจ่มฟ้าภายใต้ต้นไม้แม้แต่คืนเดือนมืดจ้องมองดาว
ต่างๆ และชี้ชวนดูดาวตก ฉันเคยกล่าวว่าเธอและฉันคงจะไม่เหมือนอย่างดาวตกนะ เสียงหัวเราะเบาๆว่า 
“เมธาเห็นคนอย่างรัตน์เป็นคนอย่างไรหรือ ฉันไม่เคยกล่าวคำๆนี้แก่ใครนอกจากเธอคนเดียวจ๊ะ” ฉันหัวร่อ
“แหมหยอกล้อเล่นเท่านั้นแหละ เมธรักใครรักจริงนะจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเด็ดขาดจึงหยอกเย้าเท่านั้น”
“เราเชื่อใจรัตน์เสมอ เคยเห็นบ้างไหมที่เมธเคยไปยุ่งเกี่ยวกับหญิงสาวอื่นบ้าง” เธอหัวร่อพลางหยิกที่ต้นแขน
“ก็เพราะอย่างนี้ซิ รัตน์ถึงมอบความรักให้เมธ ถึงจะมีคนอื่นรูปร่างหล่อกว่าเมธรัตน์ก็ไม่สนใจเพราะเชื่อมั่นว่า
คงจะไม่เหมือนคนบางคนที่มีรูปร่างงดงามแต่ใจนั้นปากอย่างใจอย่าง บอกรักคนนี้แต่ไปจีบคนโน้น แต่สำหรับ
เมธฉันมองถึงแม้ว่าจะไม่หล่อเหลาแต่ขยันทำมาหากินและไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับใครๆเลย ในงานวัดหรือก็เดินเที่ยว
คนเดียว ฉันขายของอยู่ยังชื่นชมเมธว่าสมเป็นชายที่ดีจริงๆจ๊ะ”  เธอกล่าว
  “ ก็เมธเจียมเนื้อเจียมตัวนี่นาด้วยรูปร่างที่ไม่งาม อัปลักษณ์ด้วยใครเล่าจะมาใสใจ นี่ สาธุๆๆ...ถือเป็นบุญหนึ่ง
ที่เมธได้รับคือรับความไว้วางใจจากรัตน์ เมธเองก็รักรัตน์ตั้งแต่มองเห็นครั้งแรกช่างถูกใจเพียงแต่ไม่กล้าเข้าไป
ยุ่งเกี่ยวเท่านั้นเอง แต่คงเป็นวาสนานะที่ได้รับความสนใจจากเธอ” พลางหัวร่อเบาๆ ดูๆซินั่นดาวตกอีกดวงแล้ว
เราสองต่างชี้ชวนกันดูประกายดาวบนท้องฟ้า ยามเดือนมืดความงดงามบนท้องฟ้าช่างแตกต่างกับยามมีจันทร์
โดยสิ้นเชิง บางดวงกระพริบ บางดวงเพียงแค่ส่งประกายเฉยๆ บางดวงเรียงรายเป็นรูปสัตว์ต่างๆ บางกลุ่มเรียง
เหมือนคันไถ ดวงไหนที่ใหญ่จะกระพริบส่งประกายสดใสระยิบระยับ เราสองต่างวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ
นาๆและนานทีจะเพียงแค่กอดคอบ้าง เอวบ้างแต่ก็เพียงเล็กๆน้อยๆเท่านั้น หาได้ล่วงเกินไปกว่านี้ไม่เพราะฉัน
คิดว่าหากเราสองได้แต่งงานกันทุกๆสิ่งย่อมพร้อมเสมอ ฉันให้เกียรติแก่เธอเสมอฝันถึงอนาคตว่าหากมีลูกเต้า
ช่วยแบ่งเบาภาระบ้างก็จะดี ฉันคิดไปไกลเพราะความเชื่อมั่นด้วยได้รับการสั่งสอนมาอย่างนี้จึงได้มอบทุกๆสิ่ง
ทุกๆอย่างแก่เธอจนหมดสิ้น พอได้เวลาอันสมควรฉันจะไปส่งเธอที่บ้านพ่อแม่เธอก็ไม่ว่าอะไรเพราะเราต่างมี
ฐานะใกล้เคียงกันอีกอย่างหนึ่งฉันเป็นคนสู้งานไม่ย่อท้อและไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับใครๆ จึงได้รับความไว้วางใจจาก
พ่อแม่เธอ บางครั้งฉันก็ไปช่วยงานบ้านเธอโดยไม่หวังสิ่งใด คงจะเป็นด้วยความซื่อสัตย์สุจริตใจของฉันนั่นเอง
จึงได้รับการต้อนรับโดยไม่รังเกียจเดียดฉันท์จากพ่อแม่เธอตลอดมา  แม้ว่าบางครั้งเราจะกลับค่ำๆดึกๆก็ตามที
     ใช่อีกนะซิ?.....วันเวลาย่อมเปลี่ยนแปลงไปไม่คอยใครมันจะเดินไปอย่างสม่ำเสมอแม้จะหมุนเวียนบ้างแต่
ก็เที่ยงตรงเสมอมา จากวันเป็นเดือนจากเดือนเป็นปีผ่านไปๆ เหมือนความหวังของฉันที่ตั้งความหวังไว้สูงมาก
แต่ก็ต้องพังทลายลงมาอย่างไม่คาดคิด ความสวยของรัตน์หรือรัตนานั้นเป็นที่เลืองลือเป็นสาวงามประจำหมู่บ้าน
ย่อมไม่พ้นจากหนุ่มๆทั้งหลายที่เฝ้าหมายปองเธอไม่เว้นแม้แต่ลูกกำนัน จะด้วยอำนาจบารมีของพ่อกำนันนั่นเอง
จึงทำให้ฉันต้องพบแต่ความผิดหวังอย่างคิดไม่ถึง พ่อแม่หล่อนถูกกำนันบังคับขู่เข็ญเกี่ยวกับลูกสาวทำให้เราต้อง
แยกทางจากกัน  อำนาจในชนบทย่อมแตกต่างกับในเมืองโดยสิ้นเชิงทุกๆอย่างตกอยู่ภายใต้การปกครองของ
กำนันหมดสิ้น หากใครทานอำนาจนั้นส่วนมากไม่พบแต่สิ่งที่ดีๆจุดจบนั้นไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เว้นเสียจากหนี
ออกจากหมู่บ้านนั้นแหละ แต่นี่การอยู่ของคนในพื้นที่ที่ปักหลักมั่นคงลงรากฐานไว้นมนานกาเลแล้วย่อมต้อง
ไม่คิดจะจากไปเช่นเดียวกับพ่อแม่ของรัตน์เช่นเดียวกัน   กำนันส่งคนมาสู่ขอรัตน์ให้ลูกชายตอนแรกพ่อแม่หล่อน
ปฏิเสธว่าตามใจเด็กมัน แต่ทว่ากำนันไม่ยอมใช้อำนาจข่มขู่พ่อแม่รัตน์ตลอดเวลา ไม่นานนักพ่อของรัตน์ก็ต้องพบ
จุดจบอย่างไม่ทราบสาเหตุในไร่นา ทางการไม่สามารถดำเนินการใดๆได้ด้วยเกรงใจกำนันว่าเป็นอุบัติเหตุเกิดขึ้น
เรื่องก็จบลง ต่อมาไม่นานนักแม่ของรัตน์ก็ต้องยินยอมจำใจต้องมอบเมื่อได้รับการทาบทามสู่ขออีกครั้งหนึ่งเพราะ
กลัวภัยภยันตรายเกิดขึ้นอีก ทั้งๆที่รู้ว่าลูกชายของกำนันก็ไม่แตกต่างอะไรไปจากพ่อเท่าไหร่ แม้แต่ตัวฉันเองก็ยัง
ถูกข่มขู่แต่ฉันไม่สนเพราะกิติศัพท์ว่าฉันเป็นคนไม่กลัวคนแม้เคยเกิดการต่อสู้หลายๆคนรุมแต่ก็ไม่อาจต้านทาน
เอาฉันลงได้  แม้แต่กำนันเองก็รู้แก่ใจฉันจึงรอดปลอดภัยตลอดมา แต่นี่เป็นเรื่องของฉันก็จริงแต่เรื่องแบบนี้เป็น
เรื่องภายในครอบครัวของรัตน์ที่จะตกลงกันเอง ฉันเคยคิดเหมือนกันว่าจะพารัตน์หนีไปเสียให้ไกลๆแต่ความเป็น
ห่วงพ่อแม่เบื้องหลังจะได้รับการคุกคามจากกำนัน  ฉันถึงได้แต่รับฟังเท่านั้นแม้ใจฉันจะแตกสลายก็ตามทีหากแต่
ความกตัญญูมีมากกว่าจึงต้องเงียบถึงแม้ว่าฉันจะมีพวกพ้องบ้างที่เข้าใจเห็นใจฉัน หากฉันเอาแต่ใจตัวเองฉันก็ต้อง
เป็นโจรไป ซึ่งสิ่งเหล่านี้มิได้อยู่ในความคิดฉันยังเคารพกฎหมายบ้านเมืองอยู่ เพื่อนๆบางคนบอกฉันว่าทำลายงาน
มันเสียเลยฉุดท่ามกลางงานเลยฉีกหน้ากำนันแล้วไปที่อื่นเอาไหม ฉันเองได้แต่ขอบใจในความหวังดีของเพื่อนที่
รักฉันจริงเขาพร้อมเสมอที่จะช่วยเหลือฉัน หากปราศจากพ่อแม่ที่แก่เฒ่าที่ต้องรับการช่วยเหลือจากฉัน ป่านฉะนี้
ฉันคงทำตามใจพร้อมพวกพ้องแล้ว วาสนาฉันและเธอคงจบเพียงเท่านี้ฉันคิดคนเดียวยามที่อยู่ใต้ต้นไม้ซึ่งมีเรา
ทั้งสองเคยนั่งคุยหาความสุขกัน ฉันนั่งเหม่อมองจันทร์บ้างดาวบ้างท้องทุ่งที่กำลังเขียวขจีไหวพลิ้วแต่ใจฉันซิมัน
เปล่าเปลี่ยวหงอยเหงาเสียสิ้นดี ฉันหมกตัวอยู่แต่ในบ้านจนกระทั่งงานแต่งงานของรัตน์ผ่านไป ทั้งๆที่รู้ว่ารัตน์นั้น
มิได้รักลูกชายกำนันแม้แต่เพียงนิดเดียวแต่หากเป็นเพราะความจำเป็นและภัยจะตกถึงแม่จึงทำให้หล่อนต้องเสีย
สละทดแทนพระคุณ   ก่อนจะถึงวันแต่งงานฉันได้พบกับเธอที่เก่าเวลาเดิม เธอกล่าวกับฉันว่าฝากแม่ให้แก่ฉัน
ด้วยนะรัตน์จะจากไปแล้ว คำพูดคำนี้ยังก้องอยู่ในหูฉันตลอดมา
     “พี่เมธ รัตน์ฝากแม่รัตน์ด้วยนะ” หล่อนกล่าวด้วยน้ำตา   ฉันรู้ทันทีว่ารัตน์จะคิดอย่างไรรีบห้ามปรามทันทีว่า
     “พี่ขอร้องเถอะรัตน์ ยังไงๆก็คิดถึงแม่บ้างนะ พี่เองรู้ดีว่ารัตน์รักพี่และไม่เปลี่ยนใจแต่การที่คิดกระทำพี่รู้ว่า
รัตน์จะทำอะไร แต่ช่างเถอะถือว่าเป็นเวรกรรมก็แล้วกันนะ  แต่ขอบอกว่าถึงอย่างไรพี่ก็ยังรักรัตน์มั่นคงเสมอ
หากรัตน์แต่งงานไปพี่เองก็จะขอให้สัญญาว่าจะไม่ขอเกี่ยวข้องกับหญิงใดๆทั้งสิ้น จงจำคำพี่ไว้นะ”
หล่อนยิ้มให้หรือว่าบางทีหล่อนอาจจะคิดได้  และพลางกล่าวกับฉันว่า
     “พี่ๆๆคืนนี้เป็นคืนสุดท้ายแล้วนะที่เราจะเจอกัน รัตน์จะมอบทุกๆสิ่งทุกๆอย่างให้พี่จนหมดสำหรับพี่คนเดียว”
หล่อนกล่าวพลางก้มหน้าอย่างขวยเขิน   ฉันทราบความหมายว่าหล่อนหมายถึงอะไร พลางดึงหล่อนเข้ามากอดซึ่ง
หล่อนก็ยอมพร้อมทั้งบรรจงหอมแก้มทั้งสองข้างที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตา พลางเอ๋ยว่า
     “รัตน์จงจำคำพี่ไว้นะว่า  พี่รักรัตน์คนเดียวพี่จะคอยถึงจะแก่เฒ่าอย่างไรพี่ก็จะคอยรัตน์เสมอ แต่นี่คงเป็นกรรม
เก่าของเราทั้งสองจึงต้องมีเหตุเช่นนี้เกิดขึ้น “ ฉันกล่าวพร้อมกระชับกอดหล่อนแน่นทั้งๆที่ไม่เคยมาก่อนเลยตั้งแต่
คบกันมานับนานปี อย่างไรรัตน์ก็คิดถึงแม่ให้มากๆนะจ๊ะพี่จะไปช่วยดูแลแม่รัตน์ให้ไม่ต้องห่วงหรอกจ้า
หล่อนเงยหน้ายิ้ม พลางกล่าวขอบใจหล่อนเชื่อคำพูดของฉันเพราะตั้งแต่คบกันมาฉันไม่เคยจะมดเท็จเลยสักคำ
     “พี่เองรู้ว่ารัตน์จะทำอย่างไรกับตัวเอง แต่พี่ขอร้องเถอะอย่าทำเช่นนั้นเป็นอันขาด หากยังรักพี่ พี่จะคอย”
“รัตน์รู้ว่าพี่ต้องเข้าใจ ใจของรัตน์ดี”
 “เอาเถอะพี่รัตน์เชื่อคำพูดของพี่เสมอ เพราะพี่เป็นคนมี “สัจจะวาจา” พูดคำไหน
เป็นคำนั้นเสมอมาหลายปีแล้ว ถือว่าเป็นเวรกรรมของรัตน์เอง”
     “พี่ขอบใจรัตน์มากที่เข้าใจเชื่อฟังพี่ สิ่งที่รัตน์จะมอบให้แก่พี่นั้นยิ่งใหญ่มากนัก พี่เองเป็นลูกผู้ชายพอถึงคราว
เสียก็ควรจะเสีย ถึงคราวได้ก็ควรจะได้ แต่พี่มั่นในสังหรณ์ใจของพี่ว่าสักวันหนึ่งเราคงจะได้อยู่ร่วมกัน เพื่อเชื่อใจ
รัตน์และยึดมั่นในศีลธรรมเสมอมาจ้า  พี่รับได้เสมอไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
      “ความรักมิใช่เกิดจากความใคร่” รัตน์จงจำไว้ “
     “ความรักเกิดจากความจริงใจ เข้าใจ ซึ้งใจ เห็นใจซึ่งใจกันและกัน” 
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ให้มันเกิด หากใจเรายึดมั่นถือมั่นต่อความรัก จะได้หรือไม่ได้หาใช่เหตุสำคัญยิ่ง การได้มา
ซึ่งปราศจากความรักอันแท้จริงก็ไร้ประโยชน์จ๊ะ ความรักต้องพร้อมเสมอที่จะให้อภัยกันและกันเข้าใจซึ่งกันและ
กัน  พี่เองถึงจะไม่ได้รัตน์ทางกายแต่พี่ดีใจยิ่งนักที่ได้รัตน์มาทางใจ มันยิ่งใหญ่เหลือเกินมันยิ่งใหญ่มากกว่าทาง
กายจ๊ะรัตน์ หล่อนซบหน้าบนบ่าฉันร้องไห้กระซิกๆ
     “ไม่ต้องร้องไห้หรอกจ๊ะกายคือสิ่งภายนอกย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ส่วนใจนั้นคือสิ่งภายในเป็น
อมตะ หากมั่นคงย่อมยากนักจะมาเปลี่ยนแปลงไปได้จ้า พี่เองได้ใจของรัตน์มามันใหญ่หลวงนักยิ่งกว่าทางกาย
เสียอีกจ้า พี่รักรัตน์เสมอต้นเสมอปลายเสมอๆ”
     หล่อนเงยหน้ายิ้มเหมือนจะทำใจได้เมื่อได้ฟังคำพูดของฉัน พร้อมทั้งกอดฉันไว้แน่น  
     “รัตน์เชื่อพี่และให้คำมั่นสัญญาว่า รัตน์จะรักพี่ด้วยใจไม่มีวันเปลี่ยนแปลงพี่ก็รอรัตน์ด้วยนะ” หล่อนกล่าว
     “จ๊ะพี่จะรอรัตน์เสมอ และก็สัญญาด้วยว่าไม่ต้องห่วงว่าพี่จะมอบใจรักนี้ให้แก่ใครอีก ถึงแม้ว่าจะต้องอยู่
อย่างโดดเดี่ยวเดียวดายก็ตามที”

     งานแต่งงานผ่านไปไม่นานนักก็เกิดการเปลี่ยนแปลงย่อมผันแปรเสมอไม่เที่ยงแท้แน่นอนทุกๆสิ่งทุกๆอย่าง
ถูกทางการเปลี่ยนแปลงไปหมดอำนาจของกำนันถูกลบหายไป เกิดเปลี่ยนแปลงทางการเมืองทุกๆอย่างอยู่ภายใต้
อำนาจของผู้บริหารส่วนตำบลไปหมดลดทอนอำนาจเก่าโดยสิ้นเชิงสิ่งที่เคยยิ่งใหญ่ก็สูญสิ้นไป พ่อกำนันทนต่อ
อำนาจที่เคยครองไว้ไม่ได้ก็ตรอมใจตายเมื่อลูกชายของกำนันถูกลอบยิงตายไปไม่นานนัก ส่วนรัตน์นั้นเล่าก็ไม่มี
ทายาทสืบสกุลให้ทางกำนันไม่นานนักแม่ผัวก็ตายไปอีกคนทุกๆอย่างจึงอยู่ในครอบครองของรัตน์คนเดียวเพราะ
กำนันมีลูกเพียงคนเดียว หล่อนจึงเป็นที่หมายปองของหนุ่มแก่ทั้งหลายหล่อนจึงกลายเป็นแม่หม้ายเนื้อหอมของ
หนุ่มแก่ทั้งหลายที่หมายปองด้วยมีสมบัติพัสถานมากมาย ฉันเองก็ยังไปช่วยเหลือแม่ของรัตน์ตามคำสัญญาเสมอ
ตลอดจนไปช่วยเหลืองานศพของครอบครัวกำนันไม่เคยนึกรังเกียจเดียดฉันท์แต่ประการใด   รัตน์เองเล่าก็เปลี่ยน
แปลงอ้วนท้วมขึ้นแต่เราทั้งสองก็ยังยิ้มให้แก่กันและกัน ทุกๆครั้งที่ฉันไปเที่ยวเยี่ยมเยียนเป็นเพื่อนหล่อนจะรีบ
กุลีกุจอมารับโดยทิ้งงานบ้านจนเป็นที่อิจฉาของหนุ่มแก่ทั้งหลาย หล่อนเอ่ยขึ้นว่า
     “พี่ๆๆ....ตอนนี้รัตน์เป็นตัวของตัวเองแล้ว พี่ยังจำคำสัญญาที่ให้ไว้แก่รัตน์ได้หรือเปล่า”
     “จำได้ซิรัตน์ พี่เองเป็นคนมีสัจจะเสมอมา รัตน์เห็นไหมพี่ทำตามคำพูดเสมอต้นเสมอปลายไม่เปลี่ยนแปลง
สักครั้งเดียวแม่รัตน์ก็สบายพี่ไปนอนเป็นเพื่อนเกือบเป็นประจำจ๊ะ”
     “จ๊ะพี่...รัตน์คอยฟังข่าวตลอดเวลาเรื่องพี่ตลอด จริงอย่างที่พี่ว่าไว้มิฉะนั้นรัตน์คงจะต้องตายไปแล้วหากไม่ได้
รับการตักเตือนของพี่ ตอนนี้รัตน์อยู่คนเดียวเหงาๆมาก เมื่อไหร่ล่ะพี่จะมาขอรัตน์ รัตน์รอพี่เสมอจ้าและยังมั่นคง
ต่อใจของรัตน์เสมอ” หล่อนก้มหน้ากล่าวอย่างเอียงอาย
     “จ๊ะ คงอีกไม่นานหรอกขอเวลาเพียงตัวของรัตน์เองคงไม่เกินปีนี้แหละจ้า เพราะหากเป็นตอนนี้คนเขาจะ
นินทารัตน์ได้  ไม่ใช่เพราะพี่จะเห็นแก่ตัวแต่พี่เห็นถึงเกียรติของคนที่พี่รักจ๊ะ” ฉันกล่าว
     “จ๊ะพี่รัตน์จะคอย ต่อนี้ไปไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ไม่สามารถหยุดยั้งรัตน์ได้อีกแล้วรัตน์จะกลับบ้านส่วนบ้าน
นี้จะปล่อยร้างหรือไม่ก็รื้อทิ้งสวนไร่นาก็จะให้เขาเช่าไปอยู่ปรนนิบัติแม่ พี่ว่าดีไหม”
     “ตามใจรัตน์เถอะจ้า อันที่จริงก็ควรเป็นอย่างนี้เพราะว่าบ้านนี้มันเป็นสิ่งสะเทือนใจรัตน์อีกอย่างหนึ่งแม่ก็แก่
แล้วขาดคนดูแล พี่เองก็จะมาเยี่ยมง่ายขึ้นอีก”    หล่อนยิ้มและขอตัวไปทำงานต่อ

     ความแน่นอนคือความไม่แน่นอนความไม่แน่นอนคือความแน่นอน วันเดือนปีผ่านไป บัดนี้ฉันและหล่อนได้
แต่งงานกันอีกครั้งแต่ห้วงแห่งความรักที่มีต่อกันยึดมั่นต่อกันและกันความสุขก็เกิดขึ้นแก่ฉันอีกครั้งหนึ่งมันเป็น
ความสุขอันแท้จริง บัดนี้เราทั้งสองสิ้นพ่อแม่หมดแล้วเหลือไว้แต่เพียงเด็กๆสองสามคนที่วิ่งเล่นอยู่บริเวณลาน
บ้าน นี่คือลูกของเราทั้งสองอันเป็นเปรียบเสมือนดั่งดวงใจที่หลอมหล่อกันและกัน แต่ ณ ที่เก่าเวลาเดิมใต้ต้นไม้
เดิมบัดนี้มันเติบใหญ่มากขึ้นแต่เปลือกแม้จะเหี่ยวแห้งตกกระก็ตามแต่ก็ยังมีกิ่งงอกเงยมาเสริมใหม่เสมอๆดุจเช่น
เราทั้งสองก็ยังมานั่งคุยกันทานข้าวกันพร้อมด้วยลูกๆด้วยหยอกล้อกันเล่น  ซึ่งเป็นความสุขอันแท้จริงก็ด้วยเพราะ
หัวใจที่มั่นคงซื่อสัตย์ในความรัก ประดุจดั่งโคนไม้ที่ถูกตัดขาดแล้วก็ยังงอกเป็นต้นขึ้นมาได้ฉันท์ใดฉันท์นั้น
ทำให้ฉันอวดหวนคิดถึงคำที่เคยกล่าวไว้ ว่าเราจะรักมั่นต่อกันและกันตราบชั่วนิจนิรันดร์ บัดนี้ทุกๆอย่างจบลง
อย่างสมบูรณ์ มาดแม้นว่าเราทั้งสองบัดนี้ต่างมีผมเป็นสีขาวร่างกายเหี่ยวย่นแต่ภายในส่วนลึกๆนั้นยังเป็นหนุ่ม
สาวต่างยังคงเสมอต้นเสมอปลายมิเปลี่ยนแปลงไปต่างยึดมั่นในคำสัจจะสัญญาต่อกันเสมอ อดีต ปัจจุบัน อนาคต
เป็นสิ่งที่ไม่จีรังยังยืนหากไม่ติดยึดมั่นถือมั่นต่อสิ่งภายนอกหล่อหลอมดวงใจเป็นหนึ่งเดียว 
     “พี่เมธ...พี่ยังจำคำพูดที่เคยกล่าวไว้ได้ไหมพี่” รัตน์ในร่างที่ชราภาพมากล่าว
     “รัตน์จ้า พี่ยังจำได้เสมอ ว่าพี่จะรักรัตน์คนเดียวตราบจนแก่เฒ่าถึงจะไม่มีรัตน์ก็ตามพี่ก็ยังรักมั่นเสมอจ้า”
 ฉันกล่าวด้วยความสุขอันแท้จริง   ทั้งสองยิ้มให้แก่กันและกัน ฉันเข้าไปสวมกอดพร้อมทั้งเชยหน้าที่เหี่ยวย่น
จูบอย่างมีความสุข
     “โถๆ...พี่อายเด็กๆมันนะเราแก่แล้วนะ” หล่อนกล่าว
     “ข้อนี้พี่รู้แต่ไม่มีใครนี่นา มีแต่เราทั้งสอง จูบเก่าหรือใหม่มันก็เหมือนเดิมแหละจ้า”  ฉันหัวร่อร่าด้วยความสุข
ทุกๆสิ่งทุกๆอย่างย่อมเปลี่ยนแปลงเสมอตามกาลเวลา มีสิ่งเดียวเท่านั้นที่มิอาจจะเปลี่ยนแปลงได้คือสิ่งภายใน
นั่นคือความรักอันแท้จริงไม่มีวันจางย่อมบังเกิดขึ้นได้เสมอตราบชั่วนิจนิรันดร.

                     ***   แก้วประเสริฐ.   ***



n016.gif				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟแก้วประเสริฐ
Lovings  แก้วประเสริฐ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟแก้วประเสริฐ
Lovings  แก้วประเสริฐ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงแก้วประเสริฐ