3 กุมภาพันธ์ 2553 10:40 น.
แก้วประเสริฐ
ลุ่มลึกอิสราวดี 7
ความมืดได้ปกคลุมบริเวณนั้น ดวงจันทร์ที่ส่งแสงหลบเข้าสู่
ก้อนเมฆ เสียงหรีดหริ่งเรไรที่เคยได้ยินหายไปหมด นับตั้งแต่
เสือลายพาดกลอนเข้ามายังบริเวณนั้น ชายหนุ่มพยายามสอด
สายตาไปยังโคนต้นไม้ แต่ความมืดสนิททำให้ไม่สามารถแล
เห็นสิ่งต่างๆได้ แม้กระทั่งดวงตาสีเขียวปัดของเจ้าเสือร้าย
ทำให้เขาแน่ใจว่า ก้อนหินที่เขาขว้างไปนั้นคงจะทำลายดวงตา
ไปเสียแล้ว ชายหนุ่มรู้สึกยินดีในฝีมือการขว้างของเขาที่สยบ
เสือร้ายแต่กับสร้างความดุร้ายโหดเหี้ยมเพิ่มให้แก่มันยิ่งขึ้น
ครั้นเมื่อแสงสว่างกลับคืนมาสู่อีกครั้ง เขาแลเห็นเจ้า
เสือร้ายกำลังพยายามปีนขึ้นมายังต้นไม้ที่เขาพักอยู่ ใกล้เข้ามา
เนื่องจากต้นไม้มีรอยตะปุ่มตะป่ำพอให้เล็บของมันตะกายขึ้น
มาได้และเป็นต้นไม้ใหญ่ เสียงเจ้าลิงน้อยส่งเสียงร้อง
ก้องกังวานในความเงียบสงัด
ตอนแรกเขาไม่คิดที่จะสังหารมัน แต่เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้
เขาจึงหยิบดาบออกมาพลางชัก เสียงกังวานของดาบสะท้านไปทั่ว
ทำให้เสือร้ายหยุดชะงักการพยายามได้พักเดียวมันก็ไต่ขึ้นมาอีก
แต่ความสลัวของความมืดทำให้ไม่ถนัดในการกระทำการเลย
พอดีกับแสงของดวงจันทร์หลุดพ้นใบไม้ที่สาดลอดช่องเข้ามา
กระทบกับร่างของเสือร้ายที่ทะยานขึ้นอย่างช้าๆ เขาจึงจับไปยัง
กลางของดาบ ด้วยหมายจะพุ่งเข้าใส่มัน พอได้จังหวะและสาย
ตาแลเห็นชัดขึ้น ชายหนุ่มจึงพุ่งดาบเข้าใส่ร่างเสือร้ายหมายที่
แสกหน้า
เสียงเสือร้ายร้องก้องดังลั่นแล้วล่วงหล่นจากการไต่ต้นไม้ทันที
มันดิ้นทุรนทุราย ยิ่งดิ้นเท่าไหร่คมมีดที่ทะลุหัวมันยิ่งทำให้บาดแผล
เปิดกว้างมากยิ่งขึ้น ร่างของมันกระตุกเล็กน้อยก็สงบเงียบทันที
เขาเองก็ไม่กล้าที่จะลงไปตรวจดูสภาพมันให้แน่ใจว่ามันตายสนิท
หรือยัง ทันใดนั้นเองเสียงหวีดหวิวร้องก้องแผ่วเบาเขาแลเห็น
จุดดวงไฟหลายๆดวงลอยออกมาจากร่างของเสือร้าย บ้างวนเวียน
บ้างก็ลอยลับหายไป
เขานึกฉงนในใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่แล้วก็นึกได้ว่า
เมื่อร่างของเสือร้ายตายลง วิญญาณที่สิงสถิตอยู่คงจะหนีออกจาก
ร่างเพื่อไปเกิดหรือหาที่อยู่ใหม่ ตามที่พรานป่าได้กล่าวไว้และถูก
บันทึกลงในหนังสือที่เขาอ่านมานั่นเอง เมื่อเขารอจนดวงไฟนั้น
ลอยหายไปแล้วจึงแน่ใจว่าเสือร้ายคงจะตายแน่นอน
ในทันใดนั้นปรากฏดวงไฟสองดวงได้หวนลอยกลับมาอีกทำ
ให้ฉงนและสงสัยเหตุใดดวงไฟทั้งสองดวงถึงไม่ละหนีจากไปเล่าแต่
กลับวนเวียนและลอยมาสู่ยังคบไม้ที่เขาพักพิงอยู่ เขาตะลึงงงงันต่อ
สิ่งที่ได้รับ แต่แล้วเมื่อดวงไฟสองดวงหยุดลอยนิ่งกับที่ก็ปรากฏ
เป็นควันหนาทึบล้อมรอบดวงไฟทั้งสองดวงแล้วค่อยๆจางลง
กลับกลายเป็นร่างของหญิงสาวบ้านป่าสองคน ทำให้ชายหนุ่ม
ตกใจมาก ถึงกับอ้าปากค้างแต่ไม่มีเสียงเล็ดรอดออกมา บัดดลหญิงสาว
ทั้งสองก็ย่อร่างลงยกมือขึ้นไหว้เขา เสียงแผ่วเบาล่องลอยมาจากร่างนั้น
ร่างหนึ่งแต่งกายเสื้อแขนกระบอกนุ่งผ้าโสร่งลาย มีสไบสีแดงและอีกร่างหนึ่ง
มีสไบสีเขียวพาดสะพายเฉียงทั้งคู่ ท่าทางเขารู้สึกร่างที่พาดสไบแดงนั้นจะมี
อายุอานามมากกว่า คนที่สะพายสไบสีเขียวเอ่ยขึ้นก่อนแผ่วเบาๆล่องลอย
ตามลมมา
“ข้าทั้งสองยังไม่ถึงที่ตายแต่มาถูกเสือร้ายทำร้ายฆ่าเสียก่อน วิญญาณข้า
ไม่สามารถจะหาที่อยู่ใดไม่หรือไปเกิดได้ ข้าทั้งสองไปแล้วแต่คิดและปรึกษา
กันว่า เมื่อไม่ตกอยู่ในอำนาจเสือร้ายแล้วและไม่สามารถไปอาศัยที่ใดๆและเกิด
จึงหวนกลับมาอีก”
หลังจากชายหนุ่มตั้งสติได้และเห็นร่างนั้นเป็นหญิงสาวสวยงามมากคงจะไม่
เป็นภัยต่อเขาแน่แล้ว จึงกล่าวถามนางว่า
“แล้วจะให้ข้าช่วยเหลืออะไรพวกเธอได้ล่ะ????....”
“ข้าทั้งสองตกลงกันแล้วว่าจะมาขอพึ่งพาอาศัยใบบุญท่านก่อนและจะคอย
ช่วยเหลือท่าน เจ้าค่ะ”
“ด้วยรู้ว่าในกาลต่อไปท่านเป็นผู้มีบุญบารมีพอจะเป็นที่พึ่งพิงแก่พวกข้าได้”
หญิงงามในภาพสไบสีเขียวกล่าวขึ้นบ้าง
“ข้าๆ..????..หรือเป็นผู้มีบุญบารมี” ชายหนุ่มทำหน้างุนงง
“ใช่แล้วจ้า ท่านเป็นผู้มีบุญและมีอัชฌาสัยดีงามคงจะเป็นที่พึ่งพิงแก่พวกข้า
ทั้งสองได้เจ้าค่ะ” หญิงรูปงามทั้งสองตอบพร้อมเพียงกัน
ทำเอาชายหนุ่มถึงกับหัวร่อออกมา
“ผู้มีบุญ?????...หึหึ ผู้มีบุญชายหนุ่มพึมพร่ำในลำคอ”
แต่ก็ไม่วายอดถามวิญญาณหญิงทั้งสองเพื่อให้แน่ใจอีกครั้ง
“เราหรือที่ท่านแน่ใจแล้วว่าจะเป็นที่พึงพิงแก่ท่านได้” ชายหนุ่มกล่าวย้ำอีกครั้ง
“ใช่แล้วจ๊ะ นายท่าน” วิญญาณในร่างหญิงสาวรูปงามทั้งสองตอบพร้อมกัน
“นายท่าน????...” ชายหนุ่มหัวร่อลั่น
“ท่านแน่ใจหรือแล้วจะให้ข้าช่วยเหลือพวกเจ้าได้อย่างไรกันล่ะ ไหนลองบอกมาซิ”
“ไม่ต้องช่วยเหลืออะไรพวกข้าหรอกนายท่าน เพียงแต่ท่านรับปากพวกเราเท่านั้น
ก็คงจะพอเพียงแล้วล่ะ ส่วนที่อยู่อาศัยนั้นเราจะเร่รอนรอบๆกายท่านนี่แหละ” หญิงทั้งสองตอบ
ชายหนุ่มอดสงสัยต่อการกระทำของวิญญาณทั้งสอง ที่จะมาขออาศัยเขาแล้วหล่อนก็สวย
เสียด้วยมันจะดีหรือ ชายหนุ่มอดกังขามิได้ลืมไปว่านั่นเป็นแค่เพียงวิญญาณหาได้มีตัวตนใดไม่
จึงกล่าวว่า
“อ้าวแล้วเจ้าทั้งสองจะนอนที่ไหนหรือ”
ข้ายังหนุ่มแน่นอีกอย่างหนึ่งมันจะไม่ดีงามแก่พวกเจ้านะ
คราวนี้หล่อนหันมามองหน้ากันแล้วพลันหัวร่อ ใบหน้าที่กำลังหัวร่อช่างงดงามเสียนี่กระไร
“พวกข้าบอกแก่นายท่านว่า เพียงแค่ท่านรับปากเท่านั้นอื่นๆไม่ต้องห่วงพวกข้าหรอก”
“ไม่ได้ซิ...พวกหล่อนเป็นหญิงนะ” ชายหนุ่มกล่าวขึ้น
แต่แล้วเขาก็ต้องสะดุ้งเมื่อนึกได้ว่านั่นเป็นแค่วิญญาณสองดวงเท่านั้นหาได้มีตัวตนใดๆไม่
เขาจึงหัวร่อให้กับตัวเองถึงความลืมตัวโง่เขลาไป แล้วพลางกล่าวกับวิญญาณทั้งสองว่า
“เอาล่ะๆๆ...ไหนๆเมื่อท่านต้องการเช่นนี้ เราก็รับปาก แต่ว่าเจ้าทั้งสองต้องเชื่อฟังข้านะ และอย่าทำให้ข้าต้องเดือดร้อนในภายหน้าล่ะ” ชายหนุ่มกล่าว
เฮ้..ๆๆๆ...แล้วเราจะเรียกพวกหล่อนชื่ออะไรล่ะ เขานึกหากพวกหล่อนยอมตกลงเงื่อนไข
ที่เขากล่าว
“ข้าทั้งสองให้สัตย์แก่ท่านว่า จะเชื่อฟังคำสั่งท่านทุกๆอย่าง เพียงเพื่อขอให้เราทั้งสองได้
มีทีพักพิงอาศัยเท่านั้นเจ้าค่ะ” วิญญาณทั้งสองกล่าวขึ้น
“เอาล่ะเป็นอันตกลงกันนะ....เอ๊า!!ๆ...เอาอย่างนี้ดีกว่า คนที่คาดสไบแดง
เราขอตั้งนามเจ้าว่า
“ประกายแดง” ส่วนคนที่คาดสไบเขียว เราจะเรียกเจ้าว่า “ประกายเขียว”
เจ้าว่าเห็นเป็นประการใด”
หญิงสาวทั้งสองก้มตัวลงกราบชายหนุ่มทันที
“ในเมื่อนายท่านยอมรับข้าทั้งสองไว้รับใช้ จะเรียกข้าอย่างไรก็ได้เจ้าค่ะ”
แล้วนางทั้งสองก็พึมพรำชื่อของตัวเอง “ประกายแดง” “ ประกายเขียว”
เอ๊ะไม่เลวนา ชื่อไพเราะเสียด้วยเรา แล้วหล่อนก็หันหน้ามองกันแล้วยิ้มให้กัน
พลางหันมาทางชายหนุ่มกล่าวว่า
“ ลิงน้อยน่ารักนี่ล่ะเจ้าค่ะ เรียกชื่อว่าอะไรล่ะหรือเจ้าค่ะ”
คราวนี้ชายหนุ่มมึนงง จริงซินะเรายังไม่ได้ตั้งชื่อเรียกเจ้าลิงน้อยเลยนับแต่ช่วยเหลือและอยู่
ด้วยกันมา
พลางชายหนุ่มหันไปลูบหัวเจ้าขนสีทองพลางเอ่ยว่า
“งั้นๆ...เจ้าทั้งสองเรียกลิงน้อยนี้ว่า “ประกายทอง” ก็แล้วกันนะ”
พลางหันไปลูบหัวเจ้าลิงน้อยและเรียกว่า “ประกายทอง” พลางตบหัวมันเบาๆ
เพื่อบอกเจตนาของเขา
ลิงน้อยนั้นมันส่งเสียงร้องเสมือนดีใจกระโดดโลดเต้นใหญ่แล้ววิ่งขึ้นไปยังกิ่งไม้ทันที
ชายหนุ่มทดลองความฉลาดของมันทันที พลางเรียกชื่อมันเพื่อย้ำ
“เจ้าประกายทองๆ...มานี่ซิ”
สิ้นเสียงของชายหนุ่ม เจ้าลิงน้อยเหมือนมันจะรู้ชื่อมันพลันห้อยโหนพุ่งร่างมาหาชายหนุ่ม
แล้วรีบซุกหน้าที่หน้าอกทันที ทำให้ชายหนุ่มยิ้มแล้วลูบหัวมันเหมือนจะให้รางวัลมัน
แล้วหันไปกล่าวกลับวิญญาณทั้งสองว่า
“ไหนๆเราก็มาร่วมเป็นพวกเดียวกันแล้ว จะขอให้พวกเราถือเป็นพี่น้องกันก็แล้วกัน ข้าเอง
นั้นเขินกับคำเรียกของพวกเจ้า ว่า”นายท่าน”จริงๆนะ”
“งั้นพวกข้าก็จะเรียก”นายท่าน” ว่า “พี่ท่าน” ก็แล้วกันเพื่อจะได้
เหมาะสม ส่วนน้องประกายเขียวนั้นอายุอานามอ่อนกว่าข้า
จึงต้องเป็นน้องข้า
ส่วนเจ้าประกายทองข้าจะเรียก???....”
แล้วหล่อนก็หยุดชะงัก
“ไม่ต้องห่วงหรอกงั้นข้าขอตั้งให้เป็นน้องสุดท้องก็แล้วกันนะ”
ชายหนุ่มตอบ
ในเมื่อตกลงกันได้ ทั้งชายหนุ่มและหญิงสาวต่างก็หัวร่อต่อกันและกัน ส่วนเจ้าลิงน้อยมันคล้ายๆ
จะฟังและเข้าใจคำพูดของพวกเขา จึงได้แต่ร้อง เจี๊ยกๆ!!!. พร้อมแสยะยิ้มแลเห็นเขียวแก้วแวววาวใส
ออกมานอกริมฝีปากมัน
ทันใดนั้นหญิงสาวคนโตกล่าวกลับชายหนุ่มว่า
“เขียวแก้วของเจ้าประกายทองน้องเรานี้ มีอิทธิฤทธิ์มากนะพี่ท่าน สามารถปราบภูตผีปีศาจ
และวิชาไสยดำได้ด้วยล่ะ” หล่อนกล่าว
“อ้าวๆๆๆ???!!!!...แล้วทำไมพวกน้องๆไม่กลัวเขียวแก้วเสียล่ะ”ชายหนุ่มถามด้วยความสงสัย
“ครั้งแรกพวกน้องๆก็กลัวเช่นกันพี่ท่าน แต่พอพี่ท่านยอมรับพวกน้องแล้วอำนาจของเขี้ยวแก้ว
ก็ทอนลงจนเป็นปกติจ๊ะพี่ท่าน” หญิงสาวทั้งสองกล่าวตอบชายหนุ่ม
“อืมม???...เป็นงั้นหรือ พี่ถึงสงสัยว่าเหตุใดถึงพวกน้องๆไม่กลัวเกรง”
“ เอาล่ะๆ...นี่ก็ใกล้ฟ้าสางแล้ว พวกน้องๆจะไปอยู่ที่ใดล่ะ???...” ชายหนุ่มถาม
หญิงสาวทั้งสองมองหน้ากันแล้วกล่าวพร้อมกันว่า
“พี่ท่านในช่วงกลางวันนั้น พี่ท่านให้ข้าอาศัยอยู่หรือจะแกะไม้ให้ข้าอาศัยก็ได้นะพี่ท่าน”
“ เอาอย่างนี้ดีกว่า ให้น้องทั้งสองประกายแดงไปอาศัยในฝักดาบ ส่วนประกายเขียวก็เข้ามาอาศัย
ในฝักมีดเล่มเล็กก็แล้วกันนะ”
“พี่ท่านชาญฉลาดมากจ๊ะ เมื่อพวกน้องๆได้ที่อาศัยแล้ว ก็จะเพิ่มฤทธิ์แก่ดาบและมีดให้พี่ท่าน
เพิ่มประสิทธิภาพมายิ่งๆขึ้นจ๊ะ”
ใช่แล้วชายหนุ่มก็มีความคิดเช่นนั้นจริงๆ อ้าวแล้วดาบเราล่ะยังอยู่ในร่างเสือร้ายที่ตายอยู่เลย
ประกายแดงเหมือนจะรู้ใจ พลางกล่าวกับชายหนุ่มว่า
“พี่ท่านไม่ต้องเป็นห่วงหรอก เดี๋ยวน้องจัดการเอง” หล่อนกล่าวจบ ร่างก็พลันสลายหายไปทันที
ในทันใดนั้น มีดดาบก็ลอยพุ่งตรงมายังเบื้องหน้าชายหนุ่มทันที เขางงต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น.........
* แก้วประเสริฐ. *
2 กุมภาพันธ์ 2553 13:48 น.
แก้วประเสริฐ
ลุ่มลึกอิสราวดี 6
แสงอาทิตย์เริ่มจะสนธยาทอแสงอยู่เหนือยอดเขา ทำให้บรรยากาศเริ่ม
จะเย็นขึ้นตามลำดับ ท้องฟ้ายามแสงอาทิตย์ทอทาบยังหมู่เมฆที่ลอยฟ่อง
ฉาบรังสีออกหลายๆสี ทำให้เกิดทัศนียภาพสวยงามนัก ประกอบด้วย
ภูเขา แมกไม้ สายลมที่พัดเฉื่อยๆ ทำให้เกิดความซาบซึ้งแก่ชายหนุ่มยิ่ง
นัก
เขาเดินกลับมายังที่เจ้าลิงน้อยขนสีทอง ซึ่งบัดนี้มันลุกขึ้นกระโดด
โลดเต้นแต่ไม่ได้ไปไหน เพียงเฝ้ากองสัมภาระที่เขาวางไว้ ชายหนุ่ม
เดินเข้าไปหาเจ้าลิงน้อยแล้ว พลางลูบหัวมันเบาๆ มันหันมา
แสยะเหมือนจะยิ้มตอบเขา แล้วมันก็กระโดดเข้ามายังร่างพร้อมซุกหัว
เข้ายังหน้าอก มันลืมตาใสแปลกดวงตามันก็เป็นสีทองเรื่อๆเขานึกว่า
สีทองนี้คงจะมีแค่ขนมันเท่านั้น แม้ดวงตามันก็ส่งประกายเรื่อๆ
สีทองเช่นเดียวกัน นับตั้งแต่เขาเคยรู้จักลิงมาก็มากพอประมาณแต่
ไม่เคยพบลิงสีทองเลย นอกจากค่างที่อยู่ในสวนสัตว์ดุสิตแต่ขนสีมัน
ก็ไม่เหมือนเจ้าลิงน้อยนี้ รูปร่างก็เล็กกว่ากันมากมายนัก
ด้วยความสงสัยเรื่องเขี้ยวของมัน เขาจึงจับหน้ามันหันมาแล้ว
เอามือแหวกไปที่ปากมัน มันก็เฉยๆปล่อยให้เขาแหวกที่ปากมันดู
สายตาที่ชายหนุ่มพบ คือเขี้ยวสีขาวยาวมากแหลมคมเหมือนดังที่เขา
นึกไว้ปรากฏว่ามันเป็นแก้วชนิดหนึ่งที่ส่งแสงแวววาว เขาสอดมือ
เข้าไปจับเขี้ยวมันดู ใช่แล้วมันเป็นแก้วจริงๆค่อนข้างแข็งแรงเสีย
ด้วยเขาคิด เมื่อขจัดความสงสัยหมดไปเขาค่อยๆวางเจ้าลิงน้อยลง
แล้วหยิบผลไม้ส่งให้มัน มันยื่นมือมารับของพร้อมยกเข้าใส่ปาก
กัดกินทันที
รอจนสักครู่ที่เขายื่นผลไม้ให้อีกจนแน่ใจว่ามันอิ่ม เขาก็เลย
ยกกระบอกน้ำไม้ไผ่ยืนให้มันพร้อมทำท่าทางประกอบ มันจ้องตา
เขม็งที่กระบอกไม้ไผ่ เขาค่อยๆยกขึ้นดื่มทำเป็นตัวอย่างให้แก่มัน
นั่นแหละมันถึงเข้าใจ แม้ว่าเขากับมันจะพูดกันไม่รู้เรื่องแต่
อาศัยสัญญาณธรรมชาติที่มีแก่ทุกหมู่เหล่าสัตว์ คือ สันชาติฌาน
สื่อสารทางกายที่สามารถสื่อกันได้ เมื่อเขาให้น้ำมันดื่มแล้ว
ก็มานั่งคิดถึงแผนการที่จะเดินทางต่อไป แต่ตอนนี้เขาต้องหา
ที่พักเพื่อหลับนอนก่อน จึงลุกขึ้นเดินสำรวจไปรอบๆบริเวณนั้น
ซึ่งอุดมไปด้วยต้นไม้ใหญ่ๆสูงชัน ส่วนเจ้าลิงน้อยก็เดินตาม
เขาต้อยๆ พร้อมทั้งกระโดดโลดเต้นไปตามนิสัยสันดานลิง แต่ก็ยัง
ไม่ห่างกายเขามากนัก เขาจัดแจงปูผ้าที่จะอาศัยพักหลับนอนใน
ค่ำคืนนี้ที่ยังแอ่งดินว่างๆมีหญ้าเล็กน้อยคลุมอยู่ ดูเหมือนเจ้าลิงน้อย
จะรู้ความหมายของเขา มันรีบดึงผ้าออกทันทีเสมือนไม่ให้เขานอน
ที่นี่ แล้วมันก็นำผ้าคาดเอวโหนตัวขึ้นไปยังต้นไม้ใหญ่ ซึ่งแตก
ก้านสาขาใหญ่โต ระหว่างกิ่งก้านนั้นเป็นคาคบกว้างขวางพอที่จะอาศัย
ได้
เขามองดูการกระทำของมัน เห็นมันเอาผ้าคาดเอวเขาไปวาง
บนคาคบ แล้วไต่ลงมาพลางดึงมือเขาเสมือนบอกให้เขารู้ว่าให้ขึ้น
ไปอาศัยหลับนอนบนคาคบต้นไม้ใหญ่นั้น เขาเข้าใจในความหมายของ
มันจึงได้หันมาเก็บสัมภาระเพื่อจะทำตามมัน มันก็รีบเข้ามาแย่งแล้วก็
ปีนขึ้นไปเก็บบนคาคบด้วย เขานึกในใจมันนี่ฉลาดนักและเรียนรู้อากัปกิริยา
ของเขาได้อย่างรวดเร็ว เขาซิจะทำอย่างไรที่จะปีนขึ้นไปยังคาคบต้น
ไม้ใหญ่ได้ ด้วยมันใหญ่กว่าที่เขาจะโอบแล้วปีนขึ้นไปได้ เขาเดินหาทาง
ที่จะขึ้น เสมือนเจ้าลิงน้อยมันจะเข้าใจและรู้ท่าทางเขา มันส่งเสียงร้อง
“คร๊อกๆๆ”
แล้วปีนขึ้นไปบนต้นไม้อีกครั้งหนึ่ง คราวนี้มันดึงสายเถาวัลย์ที่ห้อย
ระโยงรยางค์เต็มไปหมดแล้วมันก็นำมาพันกับลำต้นไม้แถวบริเวณคาคบ
พลางหย่อนสายเถาวัลย์ลงมายังที่ชายหนุ่มทันที เมื่อเห็นการกระทำ
เช่นนี้เขาเข้าใจและหัวร่อนึกในความแสนรู้ของมันยิ่ง ชายหนุ่มจึงได้นำ
เถาวัลย์มาแล้วค่อยๆโหนร่างของเขา โดยดึงตัวเถาวัลย์แล้วยืนเท้าสองข้าง
ก้าวดึงร่างขึ้นแล้วสองเท้าถีบลำต้นในลักษณะเอียงร่างตั้งฉากกับลำต้นจึง
ทำให้ผ่อนคลายความตึงมือไม่หนักแรง
ใช้เวลาไม่นานนักเขาก็ขึ้นไปยังคาคบได้ เขาเห็นเจ้าลิงน้อยขนทอง
แสยะเหมือนกับยิ้มให้เขา เขารีบดึงร่างมันมากอดแล้วจูบไปยังใบหน้ามัน
มันหลับตาพริ้มแสดงอาการรับรู้การแสดงของเขา
แล้วรีบจัดการปูผ้าให้เหมาะสมกับสภาพคาคบทันทีและนั่งฟัง
เสียงนกร้องกันแซดไปหมด ซึ่งสำเนียงแตกต่างกันไปคนละเสียงกัน
มืดแล้วแสงพระอาทิตย์จางหายไป แต่ยังดีที่พระจันทร์เริ่มส่งแสงสีนวลใย
เต็มดวง แสงของมันสาดส่องผ่านใบไม้มายังคาคบพอเห็นเลือนราง พลาง
หันมาขยี้ขนหัวและใต้ค้างเจ้าลิงน้อยที่คุดคู้บนตักเขา ชายหนุ่มนั่งนึกถึง
ว่าวันพรุ่งนี้เขาจะทำอย่างไร และแล้วก็พลันนึกได้ว่าในระหว่างที่ไปตัดต้นไผ่
นั้นระยะทางเดินไปเขาพบกอไม้เล็กๆและเขาลองดึงใบมันมาฉีกดมด้วยมัน
คุ้นๆอย่างไรชอบกล เมื่อได้กลิ่นจึงรู้ว่าเป็นต้นขมิ้นนั่นเองและใบบางใบมัน
เหี่ยวเฉาแล้วแต่เขาไม่สนใจด้วยไม่รู้ว่าจะเอาไปทำอะไร
ที่ใกล้ๆต้นกอไผ่ปล้องๆนั้น ที่ใกล้ก็มีกอไผ่ลวกแต่สีของมันออก
สีทองคล้ายๆไผ่สีทองที่เขารู้จักแต่ไม่สนใจมัวสนใจในการเก็บน้ำเท่านั้น
บัดนี้เมื่อเขานึกถึงวิชาท่าร่างในหนังสือเกี่ยวกับ “ธนู” จึงทำให้เขานึกได้
ถ้าหากเขานำมันทำลูกธนูและคันก็พอจะใช้ได้
ไว้พรุ่งนี้เช้าก่อนเขาจะไปตัดมันและมาทำ
เขานึกๆไปหลายๆอย่างแต่ก็มาคิดว่าหาก เจ้าลิงน้อยแสนรู้ตัวนี้
หากเกิดการต่อสู้มันก็คงจะเหมือนการต่อสู้ระหว่างสัญชาติฌาน
สัตว์นั่นเอง จะทำอย่างไรดีที่จะสอนการต่อสู้ให้มัน เห็นทีว่าเขาจะต้อง
หยุดการเดินทาง ณ ที่นี้สักพักจนกว่าจะสอนเจ้าลิงน้อยแสนรู้ตัวนี้ก่อน
ด้วยมีแววฉลาดพอจะสั่งสอนได้ เพื่อใช้ป้องกันตัวในการต่อสู้ต่อไป
เมื่อคิดได้เช่นนี้แล้ว เขาก็เอนกายตัวลงนอนข้างๆแล้วกอดเจ้าลิงน้อย
ไว้ในในที่อก เสียงสัตว์ออกหากินกลางคืนร้องเป็นระยะๆแต่ยังไกลมาก
เขาชินชาเสียแล้วจึงได้ผล๊อยหลับไป จะนานเท่าไรไม่ทราบมารู้ตัวอีกที
เมื่อเจ้าลิงน้อยขนทองมาเขย่าร่างๆเขาแล้วเอามือน้อยๆมันปิดปากเขาไว้
เสมือนไม่ให้เขาร้อง เขาได้ยินเสียงดังโฮกๆ!!....ปี๊บๆๆๆ สลับกัน
เขาลุกขึ้นนั่งทันที เสียงนั้นหายไปสักครู่เขาก็ได้กลิ่นฉุนๆคล้ายๆสัตว์เน่า
ที่ตายหลายๆวันลอยตามลมเข้ามา มันฉุนมากฉุนและเหม็นจนเขารู้สึกเกิด
อาการท้องขย่อนจะอาเจียน ไม่รู้เจ้าลิงน้อยมันไปหาใบไม้อะไรมาเคี้ยวๆ
มันเอามาจากที่ใดเขาไม่ได้สังเกต เมื่อมันเคี้ยวจนแหลกละเอียดแล้วมัน
ก็ยื่นมาให้เขา เขาเอื้อมมือไปรับแต่ไม่รู้เจตนาของมัน แล้วมันก็คายใบไม้
ที่เหลืออยู่ออกมา แล้วยัดเข้าปากมันอีก นั่นแหละเขาถึงได้รู้เจตนามัน
ชายหนุ่มซึ่งเหม็นและฉุนต่อกลิ่นเน่าๆลอยมาจนแทบจะเป็นลมก็รีบ
เอาก้อนใบไม้ที่เจ้าลิงน้อยยื่นมาให้ ใส่เข้าปากทันทีพอก้อนใบไม้นั้นถูก
น้ำลายเขา เขารู้สึกว่ามีรสขมๆฝาดๆและกลิ่นหอมชอบกล น้ำลายเขาไหล
ลงในลำคอรู้สึกชุ่มชื่น อาการเหม็นเน่าและฉุนคล้ายๆสัตว์ตายค่อยๆจาง
หายไป เขาพึ่งจะรู้คุณค่าของใบไม้ที่เจ้าาแสนรู้นำมาให้จึงรีบยกมือลูบไปที่
หัวมัน และสายตาก็มองไปยังเบื้องล่างที่แสงจันทร์สาดส่องถึงแต่ก็ยังขมุกขมัว
เลือนรางเต็มที ไม่เห็นมีอะไรเขาคิดแต่อาการของเจ้าลิงแสนรู้กระสับกระส่าย
ทันที
ทันใดนั้นเขาได้ยินเสียงร้องเรียกเขาและชื่อเขาออกมา แปลกๆเขาคิด
ในเมื่อบริเวณแถวนี้เขาเดินทางไม่พบหมู่บ้านคนสักหลังเดียว เอ๊ะแล้วเหตุใด
จึงรู้จักชื่อเขาด้วย เสียงร้องเรียกชื่อเขาแผ่วเบาโหยหวนนัก เป็นเสียงของยายแก่
ที่ชรามาก แต่เขาก็เพียงได้ยินเสียงแต่ตัวเขายังไม่เห็นร่างนั้นเลย
“ พ่อธวัชๆ ช่วยยายด้วยเถอะพ่อคุณ.... ช่วยยายด้วย” เสียงร้องเรียกชื่อเขาอีก
เขาสะดุ้ง ????....
คราวนี้เขามองไปก็พบเห็นร่างหญิงชราแก่หลังค่อมก้มหน้า แต่มือแกกระเดียด
กระบุงหรือกระจาดไม่แน่ใจนัก แกก้มหน้าแล้วนอนลง เสียงร้องเรียกเขาอีก
พลางดิ้นทุรนทุราย เขาชักใจอ่อนเหมือนถูกมนต์สะกด พลางจะลุกขึ้นยืน
แต่เจ้าลิงน้อยแสนรู้กลับกระชากร่างเขาค่อนข้างแรงให้นั่งลง นั่นแหละเขาถึง
ได้รู้สึกตัวขึ้นมา พลางยื่นใบไม้ที่เคี้ยวแหลกแล้วยื่นให้เขา คราวนี้ชายหนุ่มรู้แล้ว
ถึงเจตนาของสัตว์แสนรู้ตัวนี้รับมาแล้วรีบยัดเข้าปากเขาทันที แต่คราวนี้รสแปลกๆ
แต่ออกขมมากๆเสียด้วย อาการมึนงงคล้ายถูกสะกดหายไปทันที
เมื่อเสียงร้องของหญิงชราเรียกชื่อเขาหลายครั้งๆไม่ได้ผล ร่างหญิงชราก็รีบลุก
ขึ้นยืนทันที แล้วแหงนหน้ามองมายังคาคบไม้ที่เขาอาศัยอยู่ เจ้าลิงน้อยรีบนำตัวมัน
เข้ามาบังร่างเขาไว้ พลางขู่ๆแยกเขี้ยวขาวโพลนออกมาทันที เขามองลอดช่องแขน
ไปดู
คราวนี้เขาต้องตกใจมาก เมื่อแลเห็นใบหน้าของหญิงชราที่ค่อนข้างจะเหี่ยว
ย่นมากจากแสงนวลที่สาดส่องมา แต่ให้ตายซิ!!!...เขาคิดทำไมดวงตาของหญิง
คนนี้จึงใหญ่โต ไม่ใหญ่โตเปล่าๆกับมีสีเขียวปัด แต่กระนั้นก็ยังส่งเสียงร้องอย่าง
น่าเวทนาโหยหวนยิ่งนักเรียกชื่อเขาอยู่ร่ำๆไป
ฉับพลันสมองของเขาก็คิดถึงเรื่อง “สาง”ที่เคยอ่านในหนังสือได้ว่า “สาง”
มันก็คือ “เสือสมิง” นั่นเองหากมันฆ่าใครมามากๆทั้งคนและสัตว์เมื่อแก่ตัวมากๆ
มันก็จะเป็น “สาง”ในลักษณะคล้ายสัตว์กึ่งผีนั่นเอง
นั่นซิเขาคิด มันถึงเรียกชื่อเขาได้ถูกต้องทั้งๆที่เขาและมันไม่เคยจะรู้จักกัน
เลย และชื่อนี้ก็ยังไม่เคยบอกให้ใครๆฟังด้วยเพราะไม่รู้จะบอกให้ใครฟัง
เขาพิจารณา สงสัยจะเหมือนในหนังสือที่เขาอ่านเกี่ยวกับสิ่งลี้ลับแล้วกระมัง
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว เขาค่อยๆล้วงมือเข้าไปหยิบก้อนหินมาทีเดียวสามก้อน
ที่เก็บไว้ในกระเป๋ากางเกงออกมา เจ้าลิงน้อยหันมาทางเขาแล้วเอามือกดหัวเขา
เหมือนไม่ให้เขามองสิ่งเหล่านี้ แต่เขาตัดสินใจได้แล้วและเชื่อว่ามันคือ “เสือ”แน่นอน
จึงขว้างก้อนหินออกมาทีเดียวสามก้อน ปรากฏว่าได้ผลแสงสีเขียวมรกตสองดวงนั้น
หายวับไปทันที และแล้วเสียงร้องก้องคำรามดั่งลั่นไม่หมดเสียงดิ้นและต้นไม้เล็กๆ
หัก เขาแลเห็นร่างมันแล้ว โอ้โหวๆ!!....ร่างมันเมื่อโดนกระทบแสงจันทร์ออกสีขาว
นวลและมีลายพาดเป็นริ้วๆไปหมด ร่างมันสูงใหญ่พอๆกับน้องม้าทีเดียวเขารำพึง
หากแม้นว่าในขณะที่มันเรียกชื่อเขานั้น หากเขาไม่ได้เจ้าลิงน้อยช่วยเหลือ
เห็นทีจะต้องจบชีวิตลงแน่นอนด้วยความไม่รู้ตัวของเขา เขาคิดว่ามันคงจะไปแล้ว
แต่แล้วมันมิได้ไปดังที่เขาคิด มันเดินส่ายไปส่ายมาวนเวียนเป็นคล้ายวงกลม หรือว่า
สายตามันจะเสียด้วยเขาไม่ได้เห็นดวงกลมสีเขียวๆอีกแล้ว แต่เสียงคำรามด้วยความ
โกรธของมันพร้อมกับตะกรุยเล็บใส่ต้นไม้ใหญ่ที่เขาอาศัยอยู่ด้วยตามกลิ่นสัญชาติฌาน
สัตว์............
* แก้วประเสริฐ. *
1 กุมภาพันธ์ 2553 13:25 น.
แก้วประเสริฐ
ลุ่มลึกอิสราวดี 5
ร่างชายหนุ่มเดินลดเลี้ยวไปตามทางเนินไหล่เขาทางวัชพืช
สองข้างโอบไปด้วยต้นไม้ใหญ่น้อยมุ่งหน้าเข้าสู่ภูเขาลูกใหม่
สิ่งที่ทำให้เขาฉงนใจมากขึ้น ยามเดินไปยิ่งลึกเข้าสู่แนวป่าเท่าไหร่
ต้นไม้ยืนต้นยิ่งใหญ่มากยิ่งขึ้นเท่านั้นเขาสังเกตเห็น
แมลงปอ หรือ แมลงต่างๆตัวใหญ่ผิดปกติมีรูปร่างขนาดเท่ากำปั้นมือของเขาเห็น
จะได้ ชายหนุ่มชะงักหยุดกับที่และเริ่มพิจารณาสิ่งรอบข้างที่ผิดสังเกตทันที
ใช่แล้วมันใหญ่มากจริงๆเสียด้วย สิ่งแวดล้อมรอบข้างเขาช่างผิดกับตอนมามาก
นักอะไรเกิดขึ้นหรือ
ทำไมสิ่งต่างๆล้วนแล้วแต่ใหญ่โตไปเสียสิ้นแต่เขารู้สึกหนัก
มือขึ้นดาบที่เขาถือซึ่งยาวพอประมาณสร้างความตึงมือให้แก่เขา ด้วยเกิดจากความ
อ่อนล้าในการถือนานๆและไม่สะดวกในการใช้มือหากมีการปีนป่ายเกิดขึ้นข้างหน้า
หากเขาไม่หาวิธีลดทอนลง ดังนั้นเขาจึงค้นหาเถาวัลย์ขนาดเล็ก เพื่อใช้ในการเก็บ
ดาบและมีดน้อยมิให้ต้องเกะกะต่อไป
เมื่อพบแล้วเขาทดลองดึงทดสอบความเหนียวแน่นของเถาวัลย์นั้น
ซึ่งทำความพอใจให้แก่ชายหนุ่ม ดังนั้นเขาจึงนำมีดน้อยออกมาตัด
ได้พอขนาดแล้ว นำมันมาพันกับฝักดาบทั้งปลายฝักและก่อนจะถึงตัวดาบ
โดยนำเถาวัลย์มาขมวดพันเกลียว ทั้งฝักดาบและฝักมีดน้อยของเขา
ส่วนฝักดาบที่มีตัวมีดอยู่เขานำมันขึ้นมาสพายแล่งบนไหล่ด้านขวา
ส่วนฝักมีดน้อยเขานำมาร้อยยังผ้าคาดเอวเพื่อป้องกันการสูญหาย หากเบื้องหน้าเขา
จะพบสิ่งหรืออุปสรรคใดๆก็จะได้ไม่ต้องล่วงหายไป เขาปรับการจัดการกับดาบและมีด
ให้สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวทดลองดูจนเกิดแน่ใจแล้ว
ครั้นชายหนุ่มทำสำเร็จเขาก็ออกเดินทางต่อไป เสียงร้องของพวกแมลงต่างๆ
ล้วนแล้วดังก้องกังวานมาก บ่งบอกถึงการบินของมันล้วนแล้วแต่มีขนาดใหญ่ทั้งสิ้น
เขาคิดนี่เราหลงเข้ามายังเมืองพวกยักษ์หรือไงนะสิ่งต่างๆจึงล้วนแล้วแต่ใหญ่ไปหมดเขาคิด
ทันใดนั้นเขาได้ยินเสียงเหมือนการต่อสู้กันของพวกสัตว์จำพวกค่าง หรือลิง ด้วย
เสียงมันบอกถึงลักษณะของสัตว์ต่างๆ เสียงร้องเจี๊ยกๆจ๊ากๆดังระงมไปทั่วบริเวณข้างหน้า
ที่เขากำลังจะเดินผ่าน
ด้วยความอยากรู้อยากเห็นเขาจึงรีบมุ่งหน้าไปยังต้นเสียงทันที
สายตาที่แลเห็น คือการต่อสู้ระหว่างลิงสองฝ่ายที่เขาคิดเช่นนั้นด้วยสีของลิงที่มีรูปร่าง
ใหญ่โตมากแตกต่างกันมาก คือลิงที่มีขนสีดำสนิทประมาณสักเกือบสิบตัว กับลิงที่มีขน
สีทองประมาณห้าหรือหกตัวนี่แหละ ต่างฝ่ายต่างชุลมุนต่อสู้กัน
บ้างถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ
บ้างตายนอนถูกเขี้ยวของอีกฝ่ายกัดตาย ชายหนุ่มสังเกตเห็นที่ใบหน้ามีเขี้ยวลิงล้วนแล้ว
แต่ใหญ่โตทั้งสิ้น ขนาดของลิงสองฝ่ายนั้นไล่เลี่ยกันแต่เขารู้สึกว่าฝ่ายลิงสีดำนั้นจะตัวใหญ่
กว่าลิงขนทอง
เขาแอบมองดูยังต้นไม้ใหญ่ใกล้ๆบริเวณต่อสู้ พลางล้วงก้อนหินมาถือไว้ในมือทั้งคู่
ของเขาด้วยเผื่อหาก พวกใดพวกหนึ่งหลงมาทางเขาและเห็นเขาอาจจะคิดว่าเป็นศัตรูมันและ
จะเข้าทำลายเขาจึงเตรียมการไว้ป้องกันตัวก่อน การต่อสู้ผ่านไปนานพอประมาณจน
ชายหนุ่มรู้สึกหิวจึง วางก้อนหินไว้อีกมือหนึ่งส่วนอึกมือหนึ่งล้วงหยิบผลไม้ขึ้นมากัดกินแต่
สายตาก็ยังจ้องดูการต่อสู้อยู่
เวลาผ่านไปสักพักใหญ่ๆผลแพ้ชนะก็เริ่มจะมองเห็นคือฝ่าย
ลิงขนสีดำจะได้เปรียบทั้งจำนวนและที่เหลืออยู่ ส่วนลิงขนสีทองเหลืออีกสองสามตัวแต่ด้วย
นิสัยของนักสู้ของลิงขนสีทองที่เห็นพวกมันตายไปก็มิได้เสียกำลังใจแต่ประการใดก็ยังพยายาม
เข้าต่อสู้คงคิดว่าจะตายตามพวกมันไป ในจำนวนสองสามตัวนั้นมีลิงตัวเล็กเขาเข้าใจว่าคงจะ
เป็นลูกลิงที่กำลังเติบโตอยู่ร่วมด้วย
ถึงแม้มันจะตัวเล็กและยังเด็กมากนักแต่ใจจิตมันใหญ่ผิด
กับรูปร่างมันและพยายามเข้าช่วยตัวอื่นๆมิได้คิดจะหลบหนีไป
จนกระทั่งเหลือเจ้าตัวน้อย
เพียงตัวเดียวมันก็พยายามดิ้นรนต่อสู้ต่อไปมิได้คิดกลัวตายแต่ประการใด
ทำให้เขาอดสงสารมันมิได้
หากเขาไม่เข้าไปช่วยเหลือเจ้าลิงตัวน้อยนี้เห็นที่จะต้องตายตาม
พวกมันแน่นอน
ดังนั้นเขาจึงนำก้อนหินที่ถือไว้ในมือก่อนแล้ว เล็งไปยังตัวใหญ่ที่สุดที่เขาคิดว่าคงจะ
เป็นหัวหน้าลิงขนสีดำและขว้างก้อนหินไปยังดวงตามันทันที ผลปรากฏว่าลิงตัวใหญ่ที่เขาคิด
วางมือจากกระชากร่างลิงเล็กตัวนั้นทันที มันร้องเสียงลั่นพร้อมขู่ดังๆยกมือขึ้นกุมดวงตาทันที
แต่กระนั้นสัญชาติฌานมันมิยอมกลับพุ่งร่างเข้าหาเล็กตัวเล็กอีกครั้ง
คราวนี้ชายหนุ่มขว้างก้อน
หินอีกก้อนเข้าไปยังดวงตาที่เหลือเพียงข้างเดียวของมันอีก
ร่างของลิงใหญ่ขนสีดำสะดุ้งเฮือก
ร้องกังวานลั่นเลือดไหลออกจากดวงตาทั้งสอง สายตามันบอดสนิทแต่ด้วยความดุร้ายกระหาย
เลือดของมันได้ส่งเสียงร้องเรียกพวกทันที พวกลิงขนสีดำต่างแยกย้ายกันค้นหาสิ่งที่ทำให้
หัวหน้าได้รับบาดเจ็บทันทีพวกมันเหลือประมาณห้าตัวเห็นจะได้ ชายหนุ่มรีบคว้าหยิบก้อนหิน
มาถือไว้อีกแล้วรีบขว้างหินเข้าใส่ยังตัวที่ห่างไกลเพื่อเรียกร้องความสนใจมันให้ไปทางอื่นแต่
กระนั้นก็ยังหาได้ผลไม่
พวกมันมิสนใจตัวที่ได้รับอันตรายและล้มตายไปมันก็แยกย้ายกัน
ค้นหาเขาซึ่งพวกมันคิดว่าคงมีสิ่งที่ทำร้ายหัวหน้ามัน
มีตัวหนึ่งถลาใกล้เข้ามายังต้นไม้ที่เขา
ได้หลบอยู่
ร่างมันใกล้ๆตัวเกินกว่าที่เขาจะขว้างก้อนหินได้ ดังนั้นเขาจึงรีบชักดาบออกมา
เสียงดังกังวานทันทีเมื่อตัวดาบกระทบกับฝักดาบหลุดออกมา เขารีบเผ่นทะยานเข้าใส่ร่างมัน
ทันทีพร้อมกับยกดาบขึ้นฟาดฟันไปยังร่างเจ้าทโมนไพรสีดำ
ด้วยความคมของดาบที่เขามีอยู่
ทำให้ร่างอันมหึมาของลิงร่างยักษ์ขาดกระเด็นออกเป็นสองท่อนทันที เขามองเห็นเกิดความ
ได้ใจ จึงพุ่งร่างเข้าไปยังลิงตัวเล็กขนสีทองพลางฟาดฟันดาบในมือของเขาเข้าใส่ยังร่างของ
ลิงที่กำลังพันตูกับลิงน้อยตัวนั้น เพียงพริบตาเขาก็สังหารเจ้าร่างยักษ์นั้นลงอีก แต่ลิงที่เหลือ
ขนสีดำเพียงสองตัวมันรู้แล้วว่าใครที่ทำร้ายพวกมันแต่ด้วยความอำมหิตในสันดานมันมิได้
กลัวตายพุ่งร่างทั้งสองเข้ามาพร้อมส่งเสียงร้องขู่แล้วกระโจนเข้าใส่เขาทันที ตัวแรกโดนฟัน
มือขาดไป แต่มันก็มิได้ลดละยกมือที่เหลือเขาตะกรุยหมายจับ
มือเจ้าลิงเฉียดกายเขาไปนิด
เดียวด้วยเขาเบี่ยงตัวหลบเสียทัน ชายหนุ่มนึกหากเป็นสมัยก่อนเขาคงจะต้องถูกเจ้าลิงยักษ์
จับตัวได้ แต่บัดนี้เขาได้ฝึกปรือท่าร่างตามภาพวาดในหนังสือมาอย่างเชี่ยวชาญแล้วทำให้
เกิดปฏิกิริยาในการต่อสู้สามารถหลบหลีกหลุดพ้นได้ เขาคว้ามีดน้อยชักออกแทงสวน
ใส่ยังร่างเจ้าลิงยักษ์
เสียงมันร้องโหยหวนปรากฏว่าไส้มันทะลักขาดหลุดออกมาจาก
ลำตัวมันทันที เสียงร้องลั่นพร้อมสิ้นเสียงร่างมันก็หงายล้มลง
อีกตัวหนึ่งที่เหลือชะงักคราวนี้มันมิกล้าเข้ามาใกล้ๆเขาคงเห็นพวกมันล้มตายด้วยสิ่งของ
ที่อยู่ในมือเขานั่นเอง แต่มันก็ยังส่งเสียงคำรามขู่หันรีหันขวางเมื่อมันเห็นพวกมันตายด้วย
นิสัยสันดานที่เหี้ยมโหดมันได้กระโจนเข้าใส่เขาอีกครั้งหลังจากที่มันลังเลอยู่ ดังนั้นเขาจึง
นำมีดน้อยสอดใส่ฝักแล้วรีบหยิบก้อนหินขว้างเข้าใส่ร่างมันทีเดียวสองก้อน หินทั้งสองก้อน
ได้เข้าเป้าอย่างจัง ร่างลิงชะงักกลางอากาศทันที
ทันใดนั้นร่างสีทองผ่านสายตายเขาไป
แว๊ปหนึ่งด้วยความเร็วที่เขาแทบจะมองไม่ทัน เห็นร่างเจ้าลิงน้องขนสีทองทะยานพุ่งเข้า
ใส่ร่างลิงขนสีดำที่มือมันทั้งสองกุมอยู่ที่ดวงตาทั้งสองที่มีเลือดไหลออกมามากมาย ร่างเจ้า
ลิงน้อยก็ตรงเข้ากระโดดใส่ด้านหลังลิงยักษ์สีดำแล้วแยกเขี้ยวกดลงไปยังต้นคอลิงร่างยักษ์
สิ่งที่เขาเห็นคือประกายสีขาวแวววาววับจากเขี้ยวของเจ้าลิงน้อยที่ฝังลึกเข้าสู่ร่างลิงยักษ์
มันช่างคมอะไรเช่นนั้นเขาคิดปรากฏว่าต้นคอลิงร่างยักษ์ฉีกขาดกระจาย หัวของมันแทบ
หลุดจากบ่าด้วยแรงกระชากของลิงน้อยตัวนี้ ภายหลังเสร็จยุทธภูมิลิงสิ้นสุดลงคงเหลือ
เจ้าลิงน้อยเพียงตัวเดียว เมื่อเขาเห็นว่าได้ช่วยลิงน้อยที่พึ่งจะเติบโตได้สำเร็จแล้วเขาก็หันหลัง
กลับทันที เพื่อจะออกเดินทางต่อไป
ทันใดนั้นเขาก็ต้องสะดุ้งอีกครั้งหนึ่งเมื่อมือข้างหนึ่งของเขาถูกกระชากเบาๆเขาเหลียว
หันไปมองเห็นลิงน้อยตัวนี้กุมมือเขาแล้วส่งเสียงร้องเบาๆ
เขาหัวร่อด้วยความเอ็นดูสัญชาติฌาน
บอกเขาว่าเจ้าลิงน้องคงจะมาทำความสนิทสนมกับเขาแน่ ชายหนุ่มหยุดลงแล้วนั่งลงพลางเอื้อม
มือหยิบผลไม้ที่ยังเหลืออีกไม่มากนัก ยื่นส่งให้เจ้าลิงน้อย ทันใดเจ้าลิงน้อยกระโดดโลดเต้นและ
เข้ามาหยิบผลไม้ในมือเขาแล้วนำไปกัดกิน ทันทีที่มันอ้าปากเพื่อกัดกินผลไม้นั้นเขาสังเกตเห็น
เขี้ยวมันทั้งสองซึ่งผิดแผกกว่าเขี้ยวสัตว์อื่นๆที่มีสีขาวออกเหลืองๆ
แต่นี้มันมีประกายคล้ายๆ
เป็นแก้วชนิดหนึ่งส่งกระทบแสงแวววามด้วย
เขานั่งมองดูมันกินเห็นว่ามันคงจะยังไม่อิ่มจึงได้
จึงหันไปล้วงผลไม้ขึ้นมาอีกและ
หยิบผลไม้ทั้งหมดที่เหลือส่งให้มัน
คราวนี้มันยื่นมือมารับอีกจนใบสุดท้ายมันกลับยื่นส่ง
มาให้เขาบ้าง ชายหนุ่มยิ้มแล้วเอื้อมมือไปรับมากัดกินบ้างส่วนมันเองก็กินพร้อมๆเขา ชายหนุ่ม
หัวร่อลั่นด้วยความดีใจ
จึงทดลองเอื้อมมือไปลูบหัวมันดูเพื่อทดสองปรากฏว่ามันแสดงอาการ
เฉยๆตอบรับการกระทำของเขา
ดังนั้นเขาจึงขยี้เบาไปไปยังหัวมันแล้วดึงร่างมันเพื่อเข้ามา
กอดปรากฏว่ามันอ่อนตามมือเขาทันที เมื่อเป็นเช่นนี้เขาก็ดึงร่างมันเข้ามากอดแสดงให้มันรู้
ว่าเขาก็มีความรักต่อมัน
ลิงน้อยเขาคิดว่ายังเป็นลูกลิงอยู่ได้ซุกหน้าลงมันหน้าอกเขาพร้อม
หลับตาพริ้มแล้วหลับไปแสดงถึงความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าในการต่อสู้ที่ผ่านมาเขาจึงปล่อยให้
มันนอนหลับบนหน้าอกเขานานทีเดียว
และในระหว่างนั้นก็คิดไปต่างๆนาๆทันใดนั้นเขานึก
ได้ว่าสิ่งที่เขาฝึกฝนมานั้นยังขาดเพียงแค่ฝึกธนูเท่านั้นด้วยในตำราก็บ่งบอกวิธีการซึ่งเขาจำได้
แม่นยำ แต่เขาคิดว่าเขาหัดขว้างก้อนหินแล้วคงไม่จำเป็นต้องใช้ แต่หากระยะไกลๆคงจะขว้าง
ไม่ถึงแน่นอนเกินระยะกำลังของเขา
หากได้ฝึกไว้ก็คงจะดีแต่อุปกรณ์นั้นหาไม่ได้ซิด้วยไม่
มีคันธนูและลูกธนูใช้ในการฝึกฝน
มาบัดนี้เหตุใดทำให้เขานึกขึ้นมา คงจะเป็นการต่อสู้ของลิงสองฝ่ายและที่เหลือจะเข้า
มาทำร้ายเขา
หากเขาฝึกฝนธนูไว้บ้างก็คงจะไม่ให้พวกลิงสีขนดำเข้ามาใกล้เขาได้แต่นี้การ
ขว้างก้อนหินเมื่อหลายๆก้อน แต่ละก้อนล้วนแล้วใหญ่และหนัก ทำให้แขนเขาอ่อนล้าไปมาก
และเมื่อเหลือบไปเห็นพวกลิงยักษ์ขนสีดำที่นอนตายอยู่
ทำให้เขานึกได้ว่าหากได้เส้นเอ็น
พวกมันมาทำสายธนูก็คงจะดีหรือเอามาแทนเถาวัลย์สำหรับคล้องดาบและมีดน้อยก็จะถาวร
กว่า ด้วยเถาวัลย์นั้นพอแข็งตัวก็จะกระด้างไม่สะดวกในการพันและย่อมจะแตกหักไป
เมื่อเขาคิดได้เช่นนี้แล้วก็ค่อยๆวางร่างเจ้าลิงน้อยขนทองพลางเอาผ้าคาดเอวเขาหนุนหัว
มันไว้
เจ้าลิงน้อยคล้ายๆจะอ่อนเพลียมากนอนคุดคู้หลับใหลไป เขาก้าวพร้อมมีดน้อยส่วน
ดาบนั้นเขาสะพายอยู่เบื้องเขาอยู่แล้วย่างเดินไปยังลิงขนสีดำที่นอนตาย
เขาใช้เวลาชำแหละ
ลอกหนังและดึงเส้นเอ็นที่เขาคิดว่าพอเหมาะในการทำสายคันธนูตลอดจนใช้ผูกด้ามดาบและมีด
น้อยของเขา และนำไปตากแดดซึ่งตอนนี้กำลังเที่ยงวันแสงแดดกำลังแรงจ้า พร้อมทั้งจัดการฝังร่างเจ้าลิงที่นอนตายทั้งหลายด้วย
เมื่อจัดการกลบฝังร่างทั้งหมดแล้วเขานึกได้ว่าหาก
เดินทางต่อไปซึ่งหนทางก็จะลำบากในเรื่องน้ำที่จะใช้ดื่มกิน
เขาจึงมองไปยังรอบๆบริเวณนี้
พลันสายตาก็เห็นกอไผ่ขึ้นระเกะระกะ แต่ต้นมันช่างใหญ่โตมากนัก
เขาจึงเดินเข้าไปหาเพื่อเลือก
ต้นที่พอขนาดจะใช้ทำกระบอกน้ำเพื่อเดินทาง
เมื่อค้นลำต้นได้พอขนาดที่ต้องการแล้วเขาจึง
ได้นำดาบออกมาตัดระหว่างปล้องข้อที่กั้นลำต้นเป็นท่อนๆมิให้ทะลุ
เพียงแต่ใช้มีดน้อยเจาะรูด้านริมของปล้องข้อเพื่อใช้สำหรับดื่มกินน้ำ เอาแค่แค่พอ
ใช้เท่านั้นแล้ว และตัดกิ่งไผ่ให้พอเหมาะสำหรับใช้อุดช่องว่างมิให้น้ำไหลออกมาหากเขาได้ใส่น้ำ
แล้วจึงไปตัดเถาวัลย์มาพันปลายกระบอกทั้งสองด้าน เพื่อใช้สำหรับสะพายใส่บ่า เขาทำแค่
เพียงสามปล้องเท่านั้นเพื่อเหมาะสำหรับเดินทางไม่หนักเกินไปนัก
เมื่อเขาจัดการสิ่งที่ต้องการแล้ว ก็เดินไปยังร่างลิงน้อยที่หลับใหลอยู่เขาปล่อยให้เจ้าลิง
น้อยนอนต่อไป
ในเมื่อมีเวลายังว่างเช่นนี้เขาก็เที่ยวเดินหาผลไม้มาเก็บตุน
ตลอดจนหาแหล่งน้ำและเติมใส่ในกระบอกไม้ไผ่จนเต็ม
เพื่อใช้ในการเดินทางต่อไป....
* แก้วประเสริฐ. *
31 มกราคม 2553 12:52 น.
แก้วประเสริฐ
ลุ่มลึกอิสราวดี 4
ด้วยความสงสัยจึงว่ายน้ำไปยังม่านน้ำตกทันที สิ่งที่เขาแลเห็น
เป็นโพรงขนาดย่อมๆ มีตะไคล้น้ำจับและต้นเฟิร์นขึ้นปิดบังปากโพรง
กิ่งก้านใบเขียวชอุ่ม ชายหนุ่มก้าวผ่านก้อนหินที่ลื่นพยายามเข้าไปดู
แต่พลันหวนคิดได้ว่า หากเขาเข้าไปตอนนี้หากพบสัตว์ร้ายอาศัยก็
ยากนักที่จะป้องกันตัวได้ จึงได้ถอยหลังหันตัวกลับก้าวลงน้ำอีก
แล้วว่ายน้ำไปยังฝั่งที่เขาตากเสื้อผ้ารวมทั้งมีดน้อยไว้ เขานั่งยังริมน้ำ
พลางคิดว่าจะเข้าไปดีหรือไม่ แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นตามประสา
ของมนุษย์ทำให้เกิดความสับสนขึ้นมา ใจหนึ่งก็อยากจะเข้าไปพิสูจน์
อีกใจหนึ่งก็กล้าๆกลัวๆ เขาเอนกายลงนอนตากแดดทั้งที่ตัวล่อนจ้อน
พลางใช้สมองขบคิดเรื่องนี้อย่างหนัก
ในที่สุดด้วยความอยากรู้อยากเห็นอันเป็นสัญชาติฌานของมนุษย์ทำ
ให้เขาตัดสินใจทันที
“เอาว๊ะ!!!....เป็นไงเป็นกัน หากไม่เข้าไปพิสูจน์จิตใจเราจะว้าวุ่นยิ่งขึ้น”
ชายหนุ่มรำพึงกับตัวเอง
ครั้นตกลงใจแน่วแน่แล้ว ก็ลุกขึ้นเดินไปยังที่ตากเสื้อผ้าซึ่งยังหมาดๆอยู่
จัดการรวบแล้วเอาผ้าคาดเอวมัดห่อไว้ที่มุมปลายด้านหนึ่ง ส่วนอีกปลายหนึ่งเขา
ก็นำมีดน้อยมาห่อไว้
ครั้นเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขานำผ้าคาดเองที่หุ้มห่อของทั้งหมด ขึ้นพาดบ่าพัน
คอไว้อีกชั้นหนึ่ง เพื่อมิให้หลุดหายไป แล้วค่อยๆหย่อนกายลงไปยังแหล่งน้ำ
อีกครั้งหนึ่ง เขาค่อยๆพยุงกายโดยมิให้น้ำได้ถูกกับเสื้อผ้าที่พันรอบคอไว้ พยุง
ร่างกระเพื่อมตัวช้าๆ กระนั้นน้ำยังเปียกเสื้อผ้าที่เขาพาดไว้เปียกบางส่วน ช่าง
เถอะเขาคิด ใจนั้นจดจ่ออยู่ที่หลังม่านน้ำตกซึ่งมีโพรงคล้ายๆถ้ำ
เมื่อมาถึงแล้วฝ่าสายน้ำแห่งม่านน้ำตกเข้าไป เสื้อผ้าก็เปียกชุ่มอีกครั้ง
“โถๆๆ...อุตส่าห์ไม่ให้เปียกยังเปียกอยู่ดี งั้น!!!...รู้อย่างนี้สวมใส่ตั้งแต่แรกก็ดี”
เขาอุทานเสียงออกมา
แล้วรีบแต่งตัวทั้งๆที่เสื้อผ้าที่บางแห่งขาดวิ่นไปอย่างรวดเร็ว เขามองท้องฟ้า
ดูแสงตะวัน เขานึกนี่คงจะตกราวบ่ายโมงกว่าด้วยพระอาทิตย์คล้อยเพียงเล็กน้อย
เหมาะที่จะเข้าไปอย่างน้อยแสงของพระอาทิตย์ก็ยังสอดเข้าไปบ้าง มิฉะนั้นเขาคง
จะมองอะไรไม่เห็นเป็นแน่แท้
ครั้นแต่งตัวเสร็จอย่างลวกๆแล้ว ก็แก้มัดชายผ้าคาดเอว นำมีดน้อยออกมาถือไว้
ด้วยมือขวาส่วนผ้าคาดเอวก็คาดที่เอวโดยฝักเหน็บไว้ด้วย เมื่อเตรียมพร้อมเรียบร้อย
เขาค่อยๆก้าวเข้าไปโดยแหวกต้นหญ้าเฟิร์นซึ่งมีใบหนาและมีหนามเล็กน้อยออก
ด้วยความไม่ประมาท เขาตัดต้นเฟิร์นซึ่งมีขนาดใหญ่พอประมาณ เลาะก้านกิ่งออก
เพื่อใช้ในการแหวกทางนำหน้า ค่อยๆใช้ต้นเฟิร์นเขี่ยไปก่อนจึงค่อยๆเดิน ภายใน
มืดแต่มีแสงสลัวๆ เขายืนปรับสายตาสักพักครั้นลืมตาขึ้นให้สายตาชินกับแสงภาย
ในถ้ำซึ่งมีขนาดปากทางแค่เอวเขาเท่านั้น เขาค่อยๆย่อตัวลงแล้วคลานเข้าไปอาศัย
ต้นเฟิร์นนำทาง เขาคลานสักพักความรู้สึกบอกว่า ภายในค่อยๆใหญ่และสูงขึ้นตาม
ลำดับ จนในที่สุดเขาสามารถยืนได้ เมื่อเขายืนขึ้นแล้วก็ให้สังเกตภายในอีกครั้งพบว่า
มีสายธารน้ำเล็กๆไหลคู่ขนานกับภายในถ้ำแล้วค่อยๆใหญ่ขึ้นตามลำดับคู่ขนาดกับถ้ำด้วย
ดังนั้นเขาจึงมองไปข้างหน้า ก็เห็นแสงสว่างจ้าอยู่ปลายถ้ำเล็กๆด้วยความที่เขา
มีประสบการณ์และศึกษาไว้พอประมาณพอจะทราบว่า ข้างหน้าคงเป็นทางออกของถ้ำ
ระหว่างภูเขานี้ ชายหนุ่มดีใจมากที่ไม่ต้องเสียเวลาปีนป่ายข้ามเขาซึ่งไม่รู้ว่าใช้เวลา
อีกเท่าไหร่ นี่คงเป็นทางลัดที่ธรรมชาติสร้างไว้ให้ เดินทางไปเรื่อยๆแสงสว่างยิ่งใหญ่
ขึ้นใหญ่ขึ้น ความสว่างเริ่มส่องเข้ามาในถ้ำมากขึ้นเรื่อยๆ
ทันใดนั้นก่อนจะออกจากถ้ำเขาเห็นมีบริเวณกว้างขวางด้านข้างของถ้ำ ชายหนุ่ม
หยุดชะงักเปลี่ยนใจที่จะออกจากถ้ำก่อนพระอาทิตย์จะหมดแสง ด้วยความอยากรู้อยากเห็น
จึงเดินไปยังบริเวณที่กว้างขวางสำรวจบริเวณทันที สถานที่นั้นจัดดูคล้ายๆมีคนอาศัยอยู่
มาก่อนถึงแม้ว่าจะผ่านเวลาเนิ่นนาน โดยมีฝุ่นละออกและหยากไย่พอประมาณ เขาเหลือบ
ไปเห็นลักษณะคล้ายใต้มีด้ามไม้อยู่สองสามอัน จึงแน่ใจว่าคงจะมีคนเคยอยู่มาก่อนแน่นอน
ข้างๆใต้นั้นมีหินสองก้อน ทำให้ชายหนุ่มนึกนิยายโบราณที่เขาใช้หินเหล็กไฟมาตีกัน
ให้ประกายไฟเกิด
เขาหยิบหินสองก้อนนั้นขึ้นมาพิจารณาดูก็เห็นเป็นก้อนหินธรรมดาแต่ทว่าออกสีแดงดำ
อมคล้ำๆ ลักษณะผิดกับหินทั่วๆไปจึงทดลองนำมาตีดู เสียงดังกังวานแต่ไม่มีประกายไฟ
เกิดขึ้นเลย เขานึกว่าคงจะตีผิดเหลี่ยมกระมังจึงทดทองใหม่นำแหง่หินมาทดลองตีอีกครั้ง
คราวนี้ปรากฏประกายไฟแว๊ปๆขึ้น ชายหนุ่มดีใจมากจึงนำไม้ที่หุ้มห่อใต้ไว้มาด้ามหนึ่งแล้ว
วางไว้บนหินให้ปลายที่หุ้มห่อยื่นออกมาแล้วนำหินไฟมาตีให้ประกายไฟต้องกระชุไฟนั้น
เขาทดลองหลายๆครั้ง จนประสบความสำเร็จเมื่อประกายไฟต้องกับกระชุที่หุ้มห่อนั้นเกิด
ควันขึ้นมาและมีจุดไฟเล็กๆเขารีบนำขึ้นมาเป่าทันที ทันใดนั้นก็เกิดเปลวไฟลุกขึ้นทันที
ภายในถ้ำบริเวณลานกว้างนั้นก็สว่างกระจ่างดั่งแสงตะวันสอดส่องเห็นสภาพภายใน
ถ้ำได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เขารีบเก็บหินกระชุไฟที่เหลือไว้เหน็บไว้ข้างๆเอวแล้วถือกระชุที่ติดไฟ
เดินสำรวจภายในบริเวณนั้นทันที หากไม่สังเกตให้ละเอียดก็จะมองไม่เห็นด้วยที่ผนัง
นั้นมีเหลือบหินซ้อนๆกัน มุมหนึ่งของที่ซ้อนนั้นเป็นบริเวณกว้างพอประมาณมีแท่นหิน
วางอยู่ เหนือแท่นหินนั้น มีซอกโพรงเล็กๆ เข้าก้าวขึ้นบนแท่นหินยกกระชุไฟส่องเข้าไป
ดูก็เห็น มีดาบเล่มหนึ่งและหนังสือสองสามเล่มวางเรียงไว้ เขาค่อยๆยื่นมือซ้ายออกไปดึง
ดาบและหนังสือนั้นออกมาทันที เขาต้องค่อยๆพลิกหน้าหนังสือนั้นสำรวจดูเป็นภาษาที่
เขาอ่านไม่ออกเลย แต่มีภาพต่างๆล้วนแล้วแต่เป็นการใช้สำหรับฝึกอาวุธแน่ๆเขาคิด
ความคิดอ่านที่จะออกจากถ้ำไปก็หยุดชะงักทันที เขาเปลี่ยนความคิดใหม่ว่าจะขอ
ศึกษาหนังสือเล่มต่างๆนี้ก่อน เขาวางหนังสือลงแล้วหยิบดาบที่มีฝักหนังหุ้มอยู่ลวด
ลายของปลอกช่างวิจิตรพิสดารนักเขาคิด ครั้นดึงตัวดาบออกปรากฏว่าเมื่อกระทบกับแสง
ของกระชุไฟก็เกิดประกายแพรวพราวเป็นประกายรุ้งเจ็ดสีทันที ใบมีดสีเขียวมรกต ทำให้
นึกถึงมีดน้อยที่เขานำมามิได้ช่างมีประพาฬคล้ายๆกัน
หรือว่า????....เขาคิดจะเป็นของคู่กันกระมังถึงได้มีประกายเหมือนๆกัน พลางหยิบ
มีดน้อยชักออกจากฝักทันที ยามใบมีดน้อยกระทบแสงกระชุไฟก็เกิดประกายแสงสีงดงาม
ดุจเดียวกันกับดาบเล่มนี้
แน่ล่ะคงจะเป็นของคู่กันแน่ๆ....ด้วยมีประกายและใบมีดคล้ายๆกัน เขารำพึงกับตัวเอง
แล้วก็จัดการสอดดาบกับมีดน้อยเข้าฝัก มีดน้อยก็เสียบเข้าข้างเอวส่วนดาบก็วางไว้ข้างๆตัวเขา
หันมาเปิดหนังสือ สองเล่มนั้นมีภาพการใช้อาวุธและคำอธิบายซึ่งเขาอ่านไม่ออกเลยสักตัวเดียว
ส่วนเล่มสุดท้ายไม่มีภาพอะไรเลยเป็นแค่ตัวหนังสือเท่านั้น สงสัยว่าจะเป็นเรื่องราวของดาบนี้
กระมังเขาคิดในใจ เมื่อปิดหนังสือทั้งหมดลงเขาก็เดินสำรวจภายในต่อไป แต่ก็ไม่มีอะไรอีก
นอกจากโพรงน้ำแอ่งเล็กๆที่มีน้ำหยดจากหินย้อยลงมายังแอ่งน้ำเล็กๆเท่านั้น สงสัยจะเป็นที่ล้าง
หน้าหรือว่าใช้กินในระหว่างอยู่ที่นี่ แล้วอาหารล่ะเขาคิดพยายามค้นหาตรวจดูแต่ไม่พบอะไรๆทั้ง
สิ้น คงจะไปหาเอานอกถ้ำนี่นา
เอาล่ะน่ะ!!!.....จะพักที่นี่สักพักเขาคิด เพื่อจะขอศึกษาภาพต่างๆนี้ก่อนที่จะออกไปข้างนอกถ้ำ
เนื่องจากเขาเป็นคนชอบศึกษาการเรียนอยู่แล้ว เมื่อพบสิ่งแปลกๆถึงแม้ว่าจะอ่านภาษาในหนังสือ
ไม่ออกก็ตาม แต่เขาก็จะขอศึกษาไว้ไม่เสียหลายนี่นา เขาคิดและเราก็ไม่รีบร้อนอะไรด้วยถึงก็ช่าง
ไม่ถึงก็ช่างในเรื่องค้นหาทางกลับที่พัก ป่านฉะนี้ทางบริษัทคงจะวุ่นวายและได้รับแจ้งจากผู้รับ
งานว่าเขาได้หายตัวไป และทางบริษัทตลอดจนผู้ที่ให้เขาทำงานของบริษัทคงจะติดตามเขาอยู่
ช่างเถอะเขาเองก็จนปัญญาไม่รู้จะหาทางกลับไปได้อย่างไร เอาปัจจุบันไว้ก่อนแหละดีรักษาตัว
ให้รอด วันหนึ่งก็คงจะได้กลับไปแหละ เขาปลอบใจตัวเอง
วันคืนค่อยๆผ่านไปชายหนุ่มก็เฝ้าแต่ค้นคว้าศึกษาภาพนั้นๆและกระทำตาม โดยใช้ดาบและมีด
ประกอบท่าทางการร่ายรำตามภาพที่วาดเอาไว้ เวลาจะผ่านไปนานสักเท่าไหร่เขาไม่รู้ รู้แต่ว่าหาก
เขาหิวก็จะออกจากถ้ำไปซึ่งไม่ห่างกับบริเวณนี้มากนัก ฝั่งทางหน้าถ้ำที่ปรากฏเป็นป่าไม้เหมือนฝั่ง
ทางที่เขาผ่านมา แต่ทว่ามีต้นไม้ออกลูกออกผลมากกว่าเท่านั้น เขาเลือกเก็บผลไม้ที่มีรอยเจาะของ
นกไว้จดจำต้นไม้ไว้ลักษณะผลไม้ เพื่อจะได้ใช้ต่อไปในวันข้างหน้า เมื่อรวบรวมอาหารผลไม้
ได้มากพอ ก็ลำเลียงเข้าถ้ำ เวลานอนเขาก็นอนที่แท่นหินนั้น ส่วนน้ำตัดปัญหาไปด้วยมีแอ่งน้ำ
ใช้ดื่มกิน ส่วนอาบน้ำหรือเขาก็ใช้ลำธารที่ไหลมาจากน้ำตกฝั่งโน้นมาออกทางฝั่งด้านนี้แทน
เมื่อหมดปัญหาเรื่องการกินและน้ำท่าแล้วเขา ก็หมั่นค้นคว้าศึกษาภาพต่างๆนั้นเวลาจะ
ผ่านไปเท่าไหร่เขาไม่รู้ด้วยมุ่งมั่นต่อการฝึกฝน เขานำเอาวิชาความรู้ครั้งฝึกดาบกระบี่กระบอง
ตั้งแต่ยังเรียนหนังสืออยู่ เข้าประกอบท่าร่างผสมผสานกับภาพต่างๆตอนแรกก็ติดขัดแต่พอเขา
ปรับให้กลมกลืนกันก็สามารถเข้ากันได้และรู้สึกว่าเกิด พลานุภาพมากกว่าในภาพเสียอีก ด้วย
เขาออกจากถ้ำไปฝึกฝนกับต้นไม้ต่างๆในท่วงท่าที่ได้ผสมผสานกันกับภาพกับที่เรียนมาด้วย
ในขณะเดียวกันเขาก็ฝึกการขว้างก้อนหินประกอบเข้าไปด้วยตลอดจนการขว้างมีดน้อยของ
เขาให้เข้าเป้าได้อย่างแม่นยำไม่ผิดพลาดเป้าได้ แต่ด้วยความไม่ประมาทเขาจึงยังไม่ออกจาก
ถ้ำ ใช้เวลาฝึกฝนต่อไปจนแน่แก่ใจว่าได้ศึกษาจนครบถ้วนละเอียดแล้วนั่นแหละถึงไว้วางใจ
ครั้นสมความปรารถนาแล้วชายหนุ่มก็เริ่มคิดจะออกเดินทางค้นหาทางกลับที่พักต่อไป
โดยเขาจะนำดาบและมีดน้อยพร้อมตำราที่เขาอ่านไม่ออกติดตัวไป ส่วนภาพต่างๆนั้นเขานำไป
เก็บไว้ยังที่เดิม แต่ด้วยความสวยงามของฝักมีดและดาบทั้งสองจะเป็นที่สงสัยสังเกตหากเขา
ไปพบกับทหารทั้งหลายอีก จึงได้ไปยังลำธารค้นหาก้อนหินที่หยาบๆมานั่งขัดลวดลายต่างๆ
ฝักและด้ามมีดและดาบให้หมด แม้ว่าจะมีพลอยสีต่างๆอยู่และได้กระเด็นออกมา เขาเพียงแต่
เก็บพลอยสีต่างๆไว้ แล้วนั่งขัดฝักดาบและมีดจนกระทั่งเกลี้ยงเกลาไม่มีลวดลายหลงเหลืออีก
ต่อไป ดูสภาพคล้ายฝักดาบและมีดธรรมดาหาความสวยงามเหมือนเดิมอีกและยังน่าเกลียด
กว่าเดิมอีกไม่เป็นที่ต้องตาต้องใจคนที่พบเห็น พลางคิดว่าไว้พรุ่งนี้ก็จะออกเดินทางแต่
ความที่เคยได้อาศัยมานานจนไม่รู้ว่านานสักเท่าไหร่ก็เกิดอาวรณ์ต่อสถานที่นี้ คิดว่าสักวัน
หนึ่งหากเขากลับที่พักเก่าไม่ได้ และได้ท่องเที่ยวจนพอใจแล้วสิ้นปัญญากลับสู่สภาพเดิม
ก็จะกลับมาที่นี้อีกด้วยเป็นสถานที่สงบอาหารก็สมบูรณ์พร้อมทุกประการยกเว้นเนื้อสัตว์
เท่านั้นที่เขาไม่ได้แตะต้องมานานจนจำไม่ได้ว่านานสักเท่าไหร่ แล้วจึงได้เข้าพักผ่อน
บนแท่นหินคิดไปต่างๆนาๆจนหลับไป
เสียงร้องของนกและลิงค่างต่างๆร้องแว่วเข้ามาในถ้ำนั่นแหละเขาจึงตื่นและรีบ
อาบน้ำชำระกายให้สะอาด เขามองภาพตัวเองในน้ำที่ใสราวกับกระจกมิปาน เมื่อเห็น
สภาพแล้วเขาอดหัวร่อไม่ได้ เนื่องจากใบหน้าเขาเปลี่ยนแปลงไปมากมีหนวดเครารกรุงรัง
ตลอดจนผมเผ้าก็ยาวเป็นฟูฝอยปะบ่า บดบังใบหน้าที่เคยจัดได้ว่างามคนหนึ่งไปหมดสิ้น
เมื่อเรียบร้อยแล้ว เขาก็เข้าไปยังที่แท่นแล้วยกมือขึ้นกราบลงบนแท่นหินรำลึกถึงผู้ที่เคยอาศัย
อยู่ก่อนแล้วไหว้ไปยังเทพยดาทั้งหลายที่ดลบันดาลให้เขาได้มายังที่นี่ เมื่อจัดการขอขมาแล้ว
ชายหนุ่มจึงหันหน้าเดินออกจากถ้ำมุ่งหน้าเข้าสู่ป่าใหญ่พร้อมเตรียมเสบียงผลไม้ไว้เดิน
ทางด้วย จนกระทั่งร่างเขาหายลับไปกับป่าไม้อันรกชัฏมุ่งหน้าสู่ภูเขาอีกลูกหนึ่ง.....
* แก้วประเสริฐ. *
30 มกราคม 2553 13:36 น.
แก้วประเสริฐ
ลุ่มลึกอิสราวดี 3
จวบจนมวลเหล่าทหารทั้งหลายต่างแยกย้ายกันไปหมดสิ้น
ชายหนุ่มก็ออกจากที่ซ่อน ท้องเริ่มหิวเตือนชายหนุ่มเพื่อต้อง
การอาหาร ดังนั้นเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะหาอาหารจากที่ใดได้
นึกขึ้นได้ว่าภายในป่านั้นคงจะมีผลไม้พอประทังสิ่งหิวโหย
ได้บ้าง แต่ทว่าหากเขาเข้าป่าไปโดยไม่มีอาวุธใดๆสักชิ้นเดียว
ก็จะไม่ปลอดภัยเป็นแน่แท้ นึกถึงคำสนทนาของนายกอง
กับเหล่าทหารกล้าให้ซ่อนอาวุธยุทโธปกรณ์ไว้ การซ่อนของ
เหล่าทหารนั้นหาได้พ้นไปจากสายตาเขาไม่ จึงหมุนตัวกลับ
ไปยังที่ทหารได้ซ่อนยุทโธปกรณ์เพื่อต้องการอาวุธเพื่อใช้ใน
ระหว่างทาง
เมื่อมาถึงกลับเห็นสภาพเหมือนเดิมๆ ก็นึกชมทหารที่
ทำหน้าที่เสียมิได้ ว่าช่างชาญฉลาดจริงๆ หากแม้นเขามิได้
เห็นและรู้ที่แล้วยากยิ่งจะค้นหาได้เจอ จึงจัดการแหวกหญ้า
ที่ขึ้นและยกไม้กระดานออกพลิกไปอีกด้านหนึ่ง เหลือบสาย
ตามองไปภายใน โอ้ว!!!...ช่างมากมายเสียเหลือเกินและอาวุธ
ต่างๆจัดการวางไว้เป็นระเบียบเรียบร้อยดียิ่ง ชายหนุ่มค่อยๆ
หยิบเอามาทดลองน้ำหนักมือของเขา มันช่างหนักมากเสียจริงๆ
ชายหนุ่มคิด เขาเพียงต้องการแค่ชิ้นเดียวและไม่ยาวมากนักเพื่อ
สะดวกในการพกติดตัวและใช้ป้องกันตัวในยามจำเป็นเท่านั้น
จึงค่อยๆเลือก จนไปพบดาบสั้นเล็กๆลวดลายออกแปลกไปกว่า
ดาบอื่นๆ ปลอกหุ้มดาบก็มีลวดลายสวยงามนัก
เขาจึงได้ชักดาบเล็กนั้นออกมาตรวจดู พอดาบน้อยได้รับแสง
อาทิตย์ที่ส่องประกายมา พลันเกิดประกายระยิบระยับสีออกเขียว
ดังปีกแมงทับสวยงามนัก เขาจึงยกชั่งน้ำหนักมือตัวเองเห็นว่า
พอจะรับได้ จึงหันไปยังกิ่งไม้แล้วฟันดาบลงไปบนกิ่งประมาณ
เท่าข้อมือเขาเห็นจะได้ เมื่อดาบน้อยกระทบกับกิ่งไม้ปรากฏว่า
กิ่งไม้ยังทรงก้านอยู่ เขานึกว่าคงจะฟาดดาบผิด แต่ทันใดนั้นเอง
กิ่งไม้ดังกล่าวก็หักลงมาทันที เขาเองบังเกิดความตกใจไม่คาดคิด
ว่าดาบน้อยนี้ใยช่างมีความคมกริบ เมื่อผ่านเนื้อไม้เขาแทบจะไม่รู้
สึกว่ากระทบกับไม้เลย นึกว่าฟาดผิดเสียอีก เขายกดาบน้อยเล็ก
ขึ้นมองดู ไม่เห็นสภาพว่าใช้งานเลยยังทรงสภาพเดิมทุกประการ
ชายหนุ่มยิ้มให้กับตัวเอง แล้วจับมีดเข้าสอดในฝักดังเดิม
ยกขึ้นจูบเบา พร้อมพึมพรำด้วยความดีใจนำอาวุธแสนสวยดังกล่าว
เสียบเข้ายังบันเอวใต้ผ้าเคียนเอวของเขา
เขารีบจัดการเรียงอายุธให้เหมือนเดิมแล้วยกกระดานปิด
บนกระดานที่เต็มไปด้วยดินและหญ้าปัดเก็บในสิ่งเกิน
เพื่อให้คงสภาพเหมือนเดิม แล้วเขาก็รีบออกจากที่นั้นโดยเร็ว
โดยมุ่งเข้าป่าเขารู้สึกอารมณ์ดีขึ้นเมื่อมีเพื่อนคู่กายไว้ใช้ในการ
ป้องกันตัว การใช้ดาบเล็กๆนี้เขาพอจะใช้ได้เนื่องจากผ่านการฝึก
เบื้องต้นมาบ้างและโดยสัณชาติญานของมนุษย์ย่อมสามารถใช้ได้
อยู่แล้ว แต่เขาได้ฝึกฝนมาบ้างสมัยยังเรียนหนังสืออยู่จึงไม่ค่อย
เป็นปัญหานัก จึงได้รีบมุ่งหน้าเข้าป่าเพื่อหาอาหารรองท้องก่อน
ระหว่างทางต้นไม้ที่รกชัฏนั้นไม่มีทางเดินเป็นต้นไม้เล็กใหญ่
สลับกันไปเขา มองหาต้นไม้ที่มีกิ่งก้านยาวพอจะใช้เป็นไม้แหวก
ทางให้สะดวก จึงหยิบมีดน้อยออกมาตัดกิ่งแล้วเลาะก้านออกตัดทำ
ให้เป็นไม้เท้าสำหรับไว้แหวกทางเดินและอาจจะป้องกันพวกสัตว์
มีพิษด้วยในระหว่างที่เขาเดินทาง เมื่อจัดการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ก็เริ่มออกเดินทางต่อไป สายตาพยายามมองหาต้นมะม่วงป่าด้วย
เขาไม่กล้าที่จะเก็บกินโดยพละการ ด้วยต้นไม้เหล่านี้ออกผลแปลกๆ
ไม่เหมือนที่เขาได้ผ่านพบมา เขานึกถึงต้นมะม่วงได้เพียงอย่างเดียว
และคิดว่าเมื่อมีป่าก็คงจะมีต้นมะม่วง มะกอกบ้าง เขาเดินเข้าไปลึกๆ
เพื่อไปยังภูเขาโดยคิดว่า หากข้ามภูเขาไปแล้วเหตุการณ์ก็คงจะหาทาง
กลับที่พักได้บ้าง
ในระหว่างทางพบแต่พวกลิง สัตว์นานาชนิดกำลัง
หาอาหารเขานึกได้ทันทีว่า หากนกสัตว์นั้นกินผลไม้ได้เขาก็คงจะ
กินได้เหมือนกัน จึงพยายามสอดส่ายสายตาค้นหาต้นไม้ที่มีนกกำลัง
กินอาหารหรือ สัตว์พวกลิงกินอาหารกัน แต่ไม่เห็น ที่เห็นเพียงแต่นก
เกาะส่งเสียงร้อยไพเราะมากแต่เขาไม่มีเวลาที่จะสนใจฟังเท่าไหร่นัก
ด้วยท้องร้องจ๊อกๆตลอดเวลา คอเขาแห้งผากด้วยความกระหายน้ำ
เขานึกได้ระหว่างเรียนหนังสือว่า เถาวัลย์เป็นที่เก็บน้ำ จึงเปลี่ยน
ใจหันค้นหาเถาวัลย์ซึ่งมีมากมายเป็นระโยงระใยไปทั่ว เขาเลือกเอา
เส้นที่ใหญ่พอประมาณ แล้วนำมีดน้อยมาตัด แล้วรีบยกขึ้นดูดตอน
แรกไม่ค่อยมีน้ำแต่พอเขาดูดแรงๆขึ้นก็ปรากฏน้ำไหลมากพอประทัง
ได้ แม้จะมีรสเฝื่อนกร่อยเหม็นเขียวบ้างก็ตาม
เขายิ้มกับตัวเองและนึกว่าไม่คิดว่าชีวิตเขาจะต้องมาตกระกำลำบาก
ในที่นี้เสียได้
เมื่อบรรเทาอาการกระหายน้ำได้ เขาก็ออกเดินทางต่อไปมุ่งสู่ภูเขา
ลูกที่ใกล้ๆเบื้องหน้า ค้นพบต้นมะม่วงป่ากำลังออกผลเต็มไปหมดแต่
อยู่ปลายกิ่งสูงๆ เขาได้แต่แหงนหน้ามองใช้ความคิดว่าจะนำมาทานได้
อย่างไรกัน ด้วยไม่มีเครื่องมือในการเก็บผลไม้นี้จึงได้แต่มองๆและใน
บัดดลเขาก็นึกถึงภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่พระเอกใช้ก้อนหินเป็นอาวุธต่อสู้
กับยักษ์ หากเราเลียนแบบแล้วนำก้อนหินมาขว้างที่พวงมะม่วงก็คงจะได้
ผลเหมือนกัน
จึงได้รีบค้นหาก้อนหินซึ่งมีมากมาย เขาเลือกเอาขนาดก้อน
ที่พอกับน้ำหนักมือกอบเอามายังที่เหมาะพอจะขว้างผลไม้ได้ เขาเริ่มต้น
ขว้างไปยังพวกมะม่วงที่กำลังจะสุกงอมอยู่โดยสังเกตที่ปลายจุกออกสีเหลือง
อ่อนๆไว้ แต่ครั้งแล้วครั้งเล่าการขว้างปาเขาไม่ถูกเป้าสักครั้งเดียวก้อนหิน
หมดไปแล้วหนึ่งกอง จึงต้องย้อนกับไปเก็บก้อนหินใหม่ แล้วนำมาปาอีก
คราวนี้ถูกบ้างไม่ถูกบ้างแต่ก็ไม่สามารถให้ลูกมะม่วงตกลงมาได้ จนกระทั่ง
เขาเหนื่อยและแขนอ่อนล้า จึงได้นั่งลงพักผ่อนมองดูคิดไปต่อการกระทำก็
พบว่าเขานั้นขาดสมาธิ เพียงแต่มีความตั้งใจเท่านั้นจึงไม่บรรลุผลตามต้องการ
เอาใหม่เขาคิดหากไม่สำเร็จก็จะไม่ไปจากเจ้านะเจ้ามะม่วงพวงนี้
ก็เริ่มไปเก็บก้อนหินมาใหม่ แล้วเริ่มหลับตาตั้งจิตใจสมาธิให้มั่นแล้วก็
ค่อยๆตั้งสติตั้งใจ ขว้างไปไม่ถูกอีก ก้อนที่หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้าผ่านไป
ไม่ได้ผล แต่ด้วยความพยายามอย่างแน่วแน่ประกอบกับสมาธิตั้งมั่น
พอลูกที่หก ถูกกับพวงมะม่วงแต่ผลไม่ยอมตกลงมา เขาคิดสงสัยน้ำหนัก
แรงขว้างคงจะไม่สมดุลเพียงพอ จึงเริ่มอีกที คราวนี้ถูกอย่างจังที่พวงทั้งพวง
แต่ก็ยังไม่ยอมตก เขาคิดพลางหยิบอีกก้อนหนึ่งมาคิดว่าหากจะให้ตกก็ต้อง
ขว้างให้ถูกที่ก้านของพวงนั่นแหละถึงจะได้ผล
ก้อนแล้วก้อนเล่าจนในที่สุด
เขาก็ประสบผลสำเร็จ เมื่อก้อนหินที่เกือบจะหมดกองนั้นถูกยังก้านพวงมะม่วง
ได้ผลแฮะ...เขาคิด มะม่วงหล่นลงมาทั้งพวง ชายหนุ่มดีใจมากลืมความหิว
ไปชั่วขณะ แล้วนำก้อนหินที่ยังเหลืออีกหลายก้อน เดินไปหาพวกมะม่วงใหม่
เพื่อทดสอบอีกว่ามันจะฟลุ๊กเหมือนพวงแรกหรือเปล่า คราวนี้ปรากฏว่าทุกๆ
ก้อนที่เขาขว้างไปได้ผลทั้งหมด ทุกๆก้อนสามารถทำให้พวงมะม่วงหล่นมา
แทบทุกพวง ชายหนุ่มดีใจมากที่เขาสามารถทำได้เหมือนในภาพยนตร์ที่เขาดู
เมื่อสมัยตอนเรียนหนังสืออยู่ พอความดีใจสิ้นสุดลงความหิวก็เข้ามาสู่เขาอีก
ครั้ง ชายหนุ่มรีบเดินไปเก็บผลมะม่วงคัดเลือกที่พอจะทานได้มาปลอกเปลือก
นั่งรัปทานประทังความหิว จนผลไม้หมดไปหลายๆลูกจนกระทั่งความหิวโหย
หายไป
ชายหนุ่มยิ้มกับตัวเอง บัดนี้ร่างกายเขาขะมุกขะมอมเต็มทีผมบนศีรษะยุ่งเหยิง
ไปหมดเสื้อผ้าบ้างขาดวิ่น แทบจะหาชิ้นดีได้ยาก แต่เขาไม่สนใจต่อเสื้อผ้า นอกจาก
มุ่งหน้าเดินทางเพื่อหวังจะข้ามขุนเขาให้ได้ ค่ำไหนก็นอนนั่น น้ำท่าไม่ต้องพูดถึงเขา
ไม่ได้อาบและล้างหน้าเลย นอกจากอาศัยเถาวัลย์ดื่มน้ำประทังและหาอาหารผลไม้ป่า
ที่เขาเริ่มจะปรับตัวเองให้เข้ากับธรรมชาติได้แล้ว เวลาผ่านไปเท่าไรเขาไม่รู้วันเดือนปี
เวลาหรือก็อาศัยพระอาทิตย์และดวงจันทร์ดวงดาวเป็นที่สังเกตว่า มันผ่านวันๆไปแล้ว
เท่านั้นเอง
ชายหนุ่มพยายามปีนป่ายหาหนทางไปเรื่อยๆโดยไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลาเท่าไร
ในการที่จะข้ามเขาลูกนี้ เขาผ่านเนินเขา เนินแล้วเนินเล่าไปด้วยหัวใจตอนนี้เขาเริ่ม
แข็งแกร่งทั้งสภาพจิตใจและร่างกาย ทนต่ออากาศที่มักจะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆเดี๋ยวก็
หนาวมากๆ เดี๋ยวก็ร้อนเสียแทบกายจะแตก สลับกันไปทำให้สภาพร่างกายเขาสามารถ
ปรับอุณหภูมิได้อย่างดี ในขณะที่เดินทางนั้นเขาเองก็อาศัยการฝึกปรือวิชาที่ร่ำเรียนมา
ฝึกไปพร้อมๆกับเดินทางและบ้างก็วิ่งบ้างเดินบ้างสลับกันไปเรื่อยๆ จึงทำให้ร่างกาย
ของเขาทุกๆส่วนเกิดกล้ามเนื้อทรงพลังได้อย่างไม่คาดคิด
ครั้นผ่านเนินเขาไปเขาก็พบแหล่งน้ำใสสะอาดเป็นแหล่งน้ำใหญ่พอประมาณมี
ลำธารไหลเป็นน้ำตกสูงชันกำลังไหลเอื่อยๆมา ชายหนุ่มดีใจมาก รีบถอดเสื้อผ้า
แล้วนำไปซักนำไปผึ่งแดดทีพุ่มไม้ ส่วนตัวก็ทะยานลงสู่สายน้ำที่ไหลเอื่อยๆ
ไปยังแหล่งน้ำเพื่อชำระร่างกายให้สะอาด
เป็นครั้งแรกนับจากอาบน้ำที่แม่น้ำมา ตั้งแต่นั้นมาเขาไม่เคยเลยจะได้อาบน้ำเหมือน
ในครั้งนี้ จึงดำผุดดำว่ายให้เป็นที่สนานอารมณ์ เขาจัดการชำระร่างกายเท่าที่จะทำได้
โดยนำก้อนหินสากๆเล็กๆมาเป็นที่ขัดผิวที่ดำด้วยเหงื่อไคลจับกันเป็นจุดๆทั่วร่างกาย
เมื่อจัดการเรียบร้อย จนคิดว่าสะอาดแล้ว
ชายหนุ่มก็สังเกตไปทั่วๆบริเวณแหล่งน้ำทันที เขาพบสิ่งที่ผิดสังเกตระหว่างม่าน
หลังม่านน้ำตก จึงว่ายไปที่นั่นทันที
“โอ้ววๆๆๆ!!!????....เบื้องหลังม่านน้ำตกนั้นเขาพบถ้ำเล็กๆ หากไม่สังเกตุแล้วจะไม่เห็นเลย.....
* แก้วประเสริฐ. *