7 กุมภาพันธ์ 2553 14:22 น.
แก้วประเสริฐ
ลุ่มลึกอิสราวดี 12
ภายหลังจากที่ชายหนุ่มร่ำเรียนการเขียนอ่านหนังสือโบราณ
ได้คล่องแคล่วตลอดจนฝึกสมาธิมั่นคงแก่กล้าแล้ว เขารำพึง
ว่า เราเห็นสมควรจะออกเดินทางจากที่นี้ได้แล้ว
ดังนั้นจึงได้กล่าวกับแม่นางพรายทั้งสองว่า
“น้องรักพี่ทั้งสอง พี่เห็นว่าสมควรที่เราจะออกเดินทางได้แล้วกระมัง”
“จ้า.????.... แล้วแต่พี่จะเห็นสมควรเถอะจ้า” นางพรายตอบแต่
ในส่วนลึกนึกเสียดายสถานที่นี้ ด้วยหล่อนสามารถอยู่ในสภาพคนได้
ทั้งกลางวันและกลางคืน
“ถ้ายังงั้น.... พรุ่งนี้เช้าเราทั้งหมดก็ออกเดินทางก็แล้วกันจ๊ะ”
ในรุ่งอรุณของวันใหม่ชายหนุ่มหลังจากชำระใบหน้าและลูบตัวเสร็จ
จากน้ำที่ใช้น้อยนิดแล้ว เขาก็รีบจัดแจงภาระให้เรียบร้อยซึ่งเขาได้
จัดสร้างย่ามขึ้นอีกใบหนึ่งเพื่อใช้ในการสำรองจากเศษหนังเสือสมิง
ที่ยังเหลืออีกไม่มากนัก
เมื่อเป็นที่เรียบร้อยจึงหันมาทางเจ้าขนทองพร้อมทั้งลูบบนหัวมันเบาๆ
แสดงสัญญาณให้มันทราบว่าจะต้องออกเดินทางแล้ว และหันไปทางแม่
นางพรายทั้งสอง เหมือนหล่อนจะรู้ดังนั้นจึงได้รีบเข้าไปอาศัยยังฝักดาบมีด
ของชายหนุ่มทันที
ชายหนุ่มก้าวนำหน้าเพื่อจะออกจากถ้ำ ทันใดนั้นทางปากถ้ำเล็กนั้น
ก็เกิดอาการแปรเปลี่ยนของอากาศที่ ตอนแรกสว่างไสว
ทอไปด้วยแสงอ่อนๆของแสงอาทิตย์ บัดนี้กลับแปรเปลี่ยนเป็นมืดดำเกิด
พายุพัดกระหน่ำโหม เสียงหวีดหวิวครวญครางก้องกังวาน เสียงพายุพัดต้นไม้
กิ่งไม้กระทบกัน เขามองไปข้างหน้าถ้ำเห็นเหล่าต้นไม้ใหญ่น้อยโอนเอนแทบ
จะหัก
ชายหนุ่มฉงนใจยิ่งนักด้วยเขาจะเริ่มออกเดินทางแต่ทำไม จึงมีเหตุการณ์
เช่นนี้กะทันหันได้ ทันใดนั้นเขาได้ยินเสียงแม่นางพรายกระซิบยังข้างหูว่า
“พี่ท่านๆ!!!!.....ระวังตัวด้วยนะ ด้วยบัดนี้เจ้าแห่งพญางูมันได้มาแล้วเกิด
จากเราไปฆ่าลูกน้องมันจ้า”
“แล้วจะให้พี่ทำอย่างไรดีล่ะน้องรัก” ชายหนุ่มถามด้วยความสงสัย
“น้องเองก็จนปัญญาจ๊ะ ต้องแล้วแต่ปฏิภาณไหวพริบและวิชาที่ท่านพี่ได้
ร่ำเรียนมาจ้า”
ชายหนุ่มรีบวางสัมภาระและมองไปยังเจ้าขนทอง เห็นร่างมันขนพองขึ้น
และแยกเขี้ยวออกมา หันไปจ้องยังหน้าถ้ำพร้อมขย่มร่างมันไปๆมาๆ เสมือนมัน
จะรับรู้ต่อเหตุการณ์นี้ด้วยสัญชาติฌานของสัตว์ที่ย่อมจะสัมผัสรับรู้ได้เร็วกว่า
มนุษย์มากนัก
ดังนั้นชายหนุ่มจึงหยิบมีดน้อยส่งให้มันทันใด เจ้าขนทองก็รับมีดน้อยมา
ถือไว้ในมือแต่ร่างมันยังทำท่าขู่ขย่มไปๆมาๆอยู่มิขาด ด้วยเขาเคยฝึกการใช้อาวุธ
ให้ไว้แล้ว จึงเชื่อมั่นว่ามันสามารถใช้ได้เป็นอย่างดี จึงไม่ห่วงมากเท่าไรนัก
ชายหนุ่มพลางดึงดาบออกมายกมือจรดเหนือศีรษะเขาพลางร่ายมนต์ตามที่แจ้งไว้
ให้หนังสือที่เขาร่ำเรียนมาอย่างช่ำชอง แล้วก้าวเดินไปปากถ้ำพลางขีดดาบเป็น
เส้นขวางไว้หน้าถ้ำแล้วถอยหลังมาหนึ่งก้าวก็ขีดอีก รวมทั้งหมดประมาณ 7 เส้น
ครั้นเสร็จจากการทำพิธีแล้ว ก็ก้าวมายังที่เก็บสัมภาระยืนรอเวลาที่จะเกิดขึ้น
เสียงลมพายุและฝนได้กระหน่ำมาอย่างรุนแรง เสียงต้นไม้ต่างๆได้หักโคนลงดังมา
ถึงในถ้ำที่เขาอาศัยอยู่ เวลาผ่านไปสักครู่หนึ่งเสียงพายุและฝนซาลงก็ปรากฏ
กลุ่มควันพวยพุ่งเข้ามาเพื่อจะเข้ามายังถ้ำ
แต่กลุ่มควันนั้นต้องชะงักไม่สามารถเข้ามายังถ้ำนั้นได้
แล้วกลุ่มควันนั้นก็ค่อยๆจางลงปรากฏร่างชายชรารูปร่างบึกบึนสูงใหญ่
ใบหน้ากลมออกสีแดงเรื่อๆ ตลอดร่างกายมีประกายรังสีแผ่ซ่านออกมากจางๆ
บุคลิกลักษณะตลอดจนรูปร่างสง่าราศีสง่างามนักถึงแม้จะดูชราภาพก็ตามที
เมื่อชายหนุ่มเห็นเช่นนั้น ด้วยความอ่อนน้อมที่เขามีอยู่ในตัวอยู่แล้ว จึงได้ก้ม
กายลงกราบไปยังชายชราทันที
เหตุดังนี้ทำให้ใบหน้าของชายชราที่แรกเริ่มบึ้งตึงค่อยๆผ่อนคลายความเครียด
ลงอย่างเห็นได้ชัด
“ข้าฯของน้อมคาราวะท่านผู้เฒ่าด้วย ที่กรุณามาเยือนและขอทราบเจตนาใน
ครั้งนี้ด้วยเถิด หากข้าฯผิดพลาดสิ่งใดๆหรือล่วงเกินแก่ท่านผู้เฒ่าก็จงขอได้โปรด
อโหสิกรรมแก่ข้าฯซึ่งอาจจะทำไปโดยไม่รู้เบื้องหน้าและหลัง” ชายหนุ่มกล่าว
ร่างชายชรา ครั้นเมื่อได้รับฟังชายหนุ่มกล่าวเช่นนี้ ใบหน้าก็เริ่มบังเกิดรอย
ยิ้มขึ้นมา พลางหันไปรอบๆข้าง แล้วนั่งบนก้อนหินที่อยู่ข้างๆถ้ำ บัดนี้พายุและฝน
ได้หายไปอย่างสิ้นเชิง ส่วนด้านชายหนุ่มก็นั่งพับเพียบลงพร้อมพนมมือเหนือ
ทรวงอก
“ เฮ่อะๆๆๆ....” เสียงของชายชรากล่าวเบาๆ แต่ท่าทีอ่อนโยนผิดกับครั้งแรก
“นี่แนะ!!!!...พ่อหนุ่มข้าขอถามเจ้าหน่อยว่า เจ้าใช่ไหมที่ฆ่าลูกน้องของข้าไป
“ขอรับท่านผู้เฒ่า....ข้าฯเองก็มิได้ตั้งใจจะทำลายเขาหรอกขอรับ หากลูกน้อง
ของท่านผู้เฒ่าไม่ทำลายพวกข้าฯก่อนขอรับ” ชายหนุ่มน้อมกายลงตอบชายชรา
“อืมมๆๆๆ....เหตุนี่หรือ เห็นลูกน้องมันกลับไปรายงานข้า ว่ามีคนมาฆ่ามัน
แต่ข้าดูลักษณะเจ้าแล้วไม่ใช่คนเกเรอำมหิตแต่อย่างไร กลับมีนิสัยอ่อนโยนเช่นนี้
มีหรือจะไปทำร้ายมันก่อน แล้วเจ้าจะไปที่ใดล่ะ” ชายชราถามเกิดความเอ็นดู
“ขอรับท่านผู้เฒ่า.....ข้าฯเองก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปที่ใดด้วยหลงทางมายัง
ที่นี้มิอาจจะกลับไปที่เดิมได้ขอรับ”
“อ้าวเจ้าหลงทางมาหรือ เออ!!!...ช่างเถอะในเมื่อมันผ่านไปแล้วข้าเห็นบุคลิก
เจ้าแล้วก็ให้นึกเอ็นดู ทีแรกข้ามาหวังจะกำราบเจ้าที่ยโสโอหังมาฆ่าคนของข้าไป
แต่เมื่อมาเห็นอาการแสดงของเจ้าแล้วทำให้ข้าเกิดเวทนานัก หรือว่าเราสองอาจจะเคยร่วม
บุญกันมาก็เป็นไปได้นะ”
ชายหนุ่มรับฟังชายชรากล่าวเช่นนี้ ก็รีบน้อมกายกราบลงอีกครั้งหนึ่ง ยิ่งทำให้
ชายชราเกิดเอ็นดูรักใคร่ ได้ยินชายชรากล่าวขึ้นว่า
“เออๆๆๆ...เจ้าทำอะไรลงไปหรือทำให้ข้าไม่สามารถจะเข้าถ้ำไปได้เพราะมีกำแพง
แก้วที่เป็นไฟร้อนแรงขวางหน้าข้าไว้หากเดินเข้าไปใกล้ๆเส้นที่เจ้าขีดขวางไว้” ชายชรา
ถามด้วยความสงสัย
“หามิได้ท่านผู้เฒ่า ข้าฯเองก็พึ่งร่ำเรียนวิชามาก็ทำไว้เพื่อป้องกันตัวเองโดยมิได้ที่
จะคิดทำร้ายใครๆหรอกขอรับ” ชายหนุ่มตอบ
“นั่นซิๆ...เจ้าร่ำเรียนมานานแล้วหรือถึงได้แก่กล้าอาคมยิ่งนัก” ชายชราถาม
“เรียนท่านผู้เฒ่า ข้าฯเองก็พึ่งหัดมาได้ไม่กี่วันนี้แหละขอรับ” ชายหนุ่มตอบ
“อะไรนะๆ....เจ้าพึ่งหัดเรียนไม่กี่วันนี้หรือ เอ๊ะๆแปลกๆจริงๆ” ชายชราอุทาน
“ใช่แล้วขอรับท่านผู้เฒ่า”
“โอ้ๆๆๆ....งั้นแสดงว่าเจ้าต้องเป็นผู้มีบุญญาธิการมาแต่กำเนิดและเป็นเจ้าของวิชา
นี้โดยตรงถึงสามารถร่ำเรียนและใช้มันได้อย่างดีดังเหมือนเคยฝึกฝนมานานนับสิบปีๆ”
ชายหนุ่มพลางล้วงนำหนังสือที่ทำด้วยหนังสัตว์ออกมาให้ชายชราแลดู แล้วก็กล่าวว่า
“ข้าฯเองก็อาศัยหนังสือเล่มนี้ฝึกฝนภายในถ้ำนี้เองแหละขอรับ” ชายหนุ่มตอบ
ชายชราจ้องมองไปยังหนังสือเล่มนั้นทันที พลางหลับตาสักครู่หนึ่งจึงกล่าวว่า
“ข้าทราบที่มาของหนังสือเล่มนี้แล้วล่ะและเข้าใจเรื่องย้อนหลังได้แล้ว
ถือว่าเป็นเคราะห์ของลูกน้องข้าก็แล้วกันนะ แต่ข้าเห็นเจ้าให้ความเคารพแก่ข้า
ด้วยความจริงใจหาได้มีเล่ห์เหลี่ยมมายาใดไม่ หรือว่าเราเคยร่วมทำบารมีกันมา
จึงยกโทษให้แก่เจ้า มิคิดสืบสาวเรื่องราวต่อไปอีก
อีกอย่างหนึ่งให้เมื่อข้าเข้าใจในเหตุการณ์แล้วและก็ให้รู้สึกถูกต้องอัชฌาสัยเจ้านัก
และในฌานของข้าแจ้งแก่ข้าว่า เจ้าเป็นสหายของข้าในอดีตชาติตลอดจนรวมรบศัตรู
ครั้งเคยร่วมกันมาในอดีต แต่มาในปัจจุบันนี้จึงมีเหตุการณ์แปรผันไปเพื่อแสดงถึง
ความที่เคยเป็นสหายร่วมสาบานกันมา ข้าจะขอมอบของสิ่งหนึ่ง เพื่อให้เป็น
ของขวัญเล็กๆน้อยแก่เจ้าในฐานะสหายรักเก่า ไว้ใช้ในการเดินทางต่อไป
หรือหากเจ้ามีสิ่งหนึ่งสิ่งใดจนแก่ปัญญาหาทางแก้ไขไม่ได้แล้วให้เรียกข้า
โดยตะโกนเรียกนามข้าไว้ข้าบางทีก็จะไปช่วยเหลือเจ้าได้เท่าที่จะช่วยได้นะ จำชื่อข้าไว้ก็แล้ว
กัน ข้าชื่อ “ธนาธิบดีนาคา” ควบคุมอาณาเขตครอบคลุมบริเวณถิ่นแถวนี้ตลอดแม่น้ำอิสราวดี
ตลอดป่าเขานี้ทั้งหมด” ชายชรากล่าวแก่ชายหนุ่ม
ชายหนุ่มท่องนามชายชราสองสามเที่ยว แล้วก็ก้มลงกราบ พลางกล่าวขึ้น
“ข้าฯ ขอน้อมรับความเมตตาแก่ท่านผู้เฒ่ายิ่งนัก ส่วนข้าฯเองนั้นมีนามว่า “ธวัชชัย” ขอรับ”
“อืมมๆๆ.....ธวัชชัยๆ.....ธงแห่งชัยชนะทั้งปวงนับว่าช่างเหมาะเจาะกับตัวเจ้ายิ่งนัก อือๆๆ..
แม้แต่เจ้าสมุนเอกข้ามันยังมิอาจจะรับมือกับเจ้าได้ ด้วยอำนาจบุญวาสนาบารมีในกายเจ้าเข้าประสาน
กับอาวุธประจำกายเจ้าแล้ว ยากนักที่จะหาใครเสมอเหมือนเจ้าได้” ให้เจ้าหมั่นสร้างคุณงามความดี
และฝึกสมาธิอย่าให้ขาดนะจะเสริมบารมีแก่เจ้ายิ่งๆขึ้นต่อไป เจ้าเข้ามาหาเราซิเราจะมอบอาวุธให้
แต่ทว่า หึหึๆๆ สงสัยว่าคงจะเป็นอาวุธของเจ้าสหายคู่ยากไปเสียแล้วกระมัง” ชายชราหัวร่อ
“ชายหนุ่มก็ค่อยๆคลาน เข้าไปหาชายชราผู้มีนามว่า “ธนาธิบดีนาคา”ปราศจากกริ่งเกรง ทันที
แต่เขาก็แปลกใจนัก ที่เห็นชายชรามาลำพังไม่เห็นอาวุธใดๆเลย แล้วจะเอาอาวุธมาจากที่ใดเล่า
เมื่ออยู่เบื้องหน้าชายชรา
รู้สึกว่าศีรษะเขาถูกมือชายชราซึ่งนิ่มมากๆจับเบาๆแล้วมีลมพุ่งมายัง
ศีรษะเขา ร่างเขาสะท้านขึ้นทันทีด้วยความอบอุ่นเย็นแปลกๆ เมื่อชายชราคลายมือออกเขาก็
เงยหน้าขึ้น แปลกจริงๆในมือของชายชราไม่รู้ว่ากุมอาวุธสีดำมะเลื่อมปลายหนึ่งเป็นรูปหัวงู
ก็ไม่ใช่แต่คล้ายพญานาคมีเจ็ดเศียร ปลายนั้นกลับแหลมทำด้วยแก้วขาวผุดผ่องส่งประกายหลากสี
ทั้งหัวพญานาคและปลายแหลมๆซึ่งทำด้วยแก้วส่งประกายหลากสีนักเช่นกัน
พลางชายชรายื่นอาวุธที่ลักษณะเป็นกระบองไม่ผิดมอบส่งให้เขา เขาน้อมกายยกมือทั้งสอง
ค่อยๆประคองกระบองนั้นรับไว้แล้ววางข้างๆตัวก้มลงกราบอีกครั้งหนึ่ง ชายชรายิ้มด้วยอารมณ์
ดี พลางกล่าวขึ้นว่า
“อันกระบองนี้มีนามว่า “นาคราช” ข้าขอมอบให้แก่เจ้าด้วยเป็นอาวุธประจำกายข้า
มาตั้งนานแสนนานนับแต่ข้าปกครองบริเวณอาณาเขตนี้ คงจะเป็นบุญวาสนาเราทั้งสองร่วม
ด้วยเจ้ากับข้าเคยเป็นสหายร่วมสาบานกันมาก่อนในอดีตชาติ
และเคยร่วมรบกันมาจนประสบชัยชำนะมานับครั้งมิถ้วน บัดนี้ถึงเวลาแล้วที่อาวุธข้าจะมอบให้แก่เจ้าแล้ว
แล้วแต่เจ้าจะใช้ อีกประการนึ่งแก้วสองดวงนี้ตลอดจนกระบองนี้สามารถที่จะชำแหลกผืนน้ำออกได้ตลอดมี
ฤทธานุภาพมากมายนักให้เก็บรักษาไว้ให้ดีๆ
อีกอย่างหนึ่งเมื่อมอบให้เจ้าเป็นเจ้าของแล้วหากตกไปที่อื่น เจ้าเพียงเอ่ยชื่อเรียก
“นาคราช”สามคำมันถึงจะอยู่แห่งหนใดก็จะกลับมาหาเจ้าได้
ไม่ว่าผู้ใดจะมีวิทยาคมอันเลอเลิศประการใด อินทร์พรหมยมยักษ์ก็มิอาจจะขวางกั้นมันได้
ด้วยเป็นอาวุธของผู้เป็นใหญ่กว่าเทพยาดาทั้งปวงมอบให้แก่ข้าไว้สำหรับปราบปกครองสิ่งชั่ว
บริเวณแถวนี้ ในเมื่อเจ้าก่อนนี้มีบุญคุณแก่ข้ามากนัก ข้าเองก็ชรามากแล้วเห็นสมควรมอบ
ไว้ให้แก่เจ้าเพื่อใช้ปราบสิ่งชั่วร้ายแทนตัวข้าในโอกาสข้างหน้าที่ข้ามองเห็น
อาวุธนี้บรรดาอสรพิษทั้งปวงเมื่อเห็นย่อมจะตกอยู่ในอำนาจเจ้าและเจ้าสามารถสั่งมันได้
ไม่ว่าจะให้มันทำสิ่งใดก็ตามใจเจ้าปรารถนา ฉะนั้นเจ้าจงจำไว้ให้ดี อย่าลืมคำบอกของข้าเสียล่ะ”
“อ้อๆๆอีกประการหนึ่ง กระบองนาคราชนี้ หากเจ้าไม่ต้องการใช้เจ้าจะสั่งการให้
เล็กหรือใหญ่ได้เพื่อสะดวกแก่การใช้ของเจ้าก็แล้วกันนะ แต่เจ้าอย่าได้ประมาทเหนือฟ้ายังมีฟ้า “
ชายชรากล่าวแล้วก็ตบลงบนไหล่ของชายหนุ่มเบา.............
* แก้วประเสริฐ.*
6 กุมภาพันธ์ 2553 14:52 น.
แก้วประเสริฐ
ลุ่มลึกอิสราวดี 11
ครั้นชายหนุ่มได้รับฟังจากนางพรายทั้งสอง กริ่งเกรงว่าร่างของงูยักษ์
จะกลับกายเป็นหินตามคำบอก เขาจึงได้รีบนำมีดน้อยไปแหวกท้องงูเพื่อ
ค้นหาดวงแก้วพร้อมดีงู เมื่อแหวะท้องงูค้นหาสักพักหนึ่งก็พบก้อนแก้ว
สองดวง ขนาดประมาณไข่นกกระทาอาจจะใหญ่กว่าเล็กน้อย จึงควักนำ
มาวางไว้ข้างๆกาย แล้วเริ่มค้นหาดีงูซึ่งอยู่ใต้ลงมาอีกเล็กน้อยเป็นถุงน้ำเขียว
ใสคล้ายมรกตจึงได้นำมา พร้อมเรียกเจ้าขนทองให้เข้ามาใกล้เขาเริ่มใช้มีด
เล็กเจาะโคนถุง
สายน้ำเขียวแต่ส่งประกายเจิดจ้าพุ่งออกมา เขารีบอ้าปากรองรับสาย
น้ำดีแล้วดื่มได้ประมาณค่อนถุงน้ำดี แล้วรีบนำไปให้เจ้าขนทองดื่มทันที
เจ้าขนทองทำหน้าเหยเก ส่วนเขาเองก็รู้สึกว่ารสชาติขมแต่มีกลิ่นหอมๆ
เล็กๆน้อยๆเมื่อน้ำดีไหลลงคอไป เขารู้สึกว่าคล้ายๆมีความร้อนเกิดขึ้น
และยิ่งร้อนมากๆขึ้นผสมกับความเย็นซ่านผสมผสานกันไปๆมาตลอดในท้องเขา
จนเขาทนไม่ไหวต้องถอดเสื้อออก
แต่ก็เป็นเพียงสักครู่เดียวก็ค่อยๆลดทอน
ความร้อนลง หันไปมองเจ้าลิงขนทอง มันถึงกับร้องลั่นพร้อมตีลังกาพุ่งออก
ไปยังด้านข้างๆ แล้วตีลังกาพร้อมทั้งนอนลงดิ้นทีเดียวแต่สักพักมันค่อยๆลุกขึ้น
ค่อยๆย่างเข้ามาหาเขา เขาส่งสัญญาณมือให้เจ้าขนทองมาช่วยเขาลากซากงูยักษ์
ออกน้ำไปทิ้งยังหน้าผาทันที เนื่องจากลำตัวมันใหญ่โตพอๆกับต้นซุงต้นหนึ่ง
และมีความยาวมาก
จึงต้องค่อยๆหย่อนหัวที่ร่องแล่งลงไป เมื่อท่อนหัวลงไป
ได้ประมาณครึ่งหนึ่งร่างมันก็ฉุดส่วนหางไหลไปตามหน้าผา เสียงต้นไม้เล็กที่ไม่
ใหญ่หักโครมครามทันที
ชายหนุ่มหันไปนำดวงแก้วมาพิจารณาเห็นเป็นก้อนแก้วซึ่งบัดนี้แข็งตัวเต็มที
แล้วประกายส่งแสงนวลใย ภายในรู้สึกว่ามีความเคลื่อนไหวไปๆมาๆเหมือนมีน้ำ
หล่อเลี้ยงไว้ ร่างชายหนุ่มซึ่งยังเปื้อนเลือดตลอดทั้งตัวส่งกลิ่นคาวคลุ้งไปทั่ว
บริเวณ เขารู้สึกแปลกใจมากที่เหตุใดฝ่ามือที่เขากำดวงแก้วนั้นหาได้มีเลือดไม่
จึงทดลองนำดวงแก้วดวงใหญ่กว่าอีกดวง นำมาคลึงไปยังบริเวณร่างกายที่เปื้อน
เลือดปรากกว่า เลือดได้ซึมเข้าไปยังดวงแก้วทันที
ชายหนุ่มดีใจมากที่เขาเองยังไม่รู้ว่าจะไปชำระร่างกาย
ที่เปื้อนเลือดได้ที่ไหนบัดนี้ดวงแก้วนี้กลับมาช่วยชำระ
ล้างเลือดของงูยักษ์มันซึมเข้าไปในดวงแก้ว
ดังนั้นชายหนุ่มจึงนำดวงแก้วมาคลึงทั่วบริเวณที่เปื้อนเลือดทันที ไม่ช้าไม่นาน
เขาก็ชำระร่างกายให้สะอาดแต่ทว่าร่างกายเขากลับคล้ายๆมีควันรังสีแผ่กระจายคลุมร่าง
เขาด้วย
เมื่อเห็นเป็นเช่นนี้แล้วจึงได้นำดวงแก้วอีกดวงเข้าไปหาเจ้าขนทองพร้อมทั้ง
ใช้ดวงแก้วที่เล็กกว่ามาคลึงไปตามขนและร่างกายของเจ้าขนทองที่เปื้อนเลือดไม่ช้า
เขาก็ชำระร่างกายเจ้าขนทองได้สะอาดเรียบร้อย
แต่เมื่อเขาพิจารณามาดวงแก้วทำให้ขาแปลกใจ ด้วยดวงแก้วนั้นก่อนที่เคย
สุกใสนวลใยและเห็นคล้ายน้ำขาวใสไปกลิ้งไปกลิ้งมาบัดนี้ภายในกลับ
เป็นสีแดงจางๆสดใสคล้ายๆกับทับทิมซ่อนอยู่ภายในแทนน้ำสีขาวๆใสๆ แลดูกลับ
สวยงามอีกแบบหนึ่ง ภายนอกนวลใยขาวๆราวไข่มุกแต่ข้างในกลับสีแดงคล้ายทับทิม
ทั้งสองดวง เขาคิดว่าจะทำอย่างไรถึงจะนำดวงแก้วเล็กมอบให้เจ้าขนทองตามที่นาง
พรายได้บอกไว้
ครั้นหวนคิดได้ว่าเอ็นเจ้าลิงยักษ์ขนดำยังเหลืออีกจึงได้นำมาถักเพื่อใส่ดวงแก้ว
เมื่อถักเสร็จหุ้มห่อจนแน่ใจว่าดวงแก้วจะไม่หล่นหายไปแน่นอนแล้ว
เขาจึงเรียกเจ้าขนทองมาแล้วนำดวงแก้ว
ผูกติดกับคอของเจ้าขนทองทันทีกะพอประมาณว่าจะไม่
ทำให้ดวงแก้วนั้นหล่นหายไปได้
ส่วนตัวเขาก็นำดวงแก้วอีกดวงมาสวมใส่ยังคอแทนสร้อยคงงามอีกแบบหนึ่งเขาคิด
ฉับพลันเขารู้สึกว่าประกายไออุ่นทั้งร้อนและเย็นซึมซาบมายังร่างกายเขา
สักครู่ก็เกิดความอบอุ่นและรู้สึกเสมือนมีพลังเพิ่มขึ้นมากมาย
เพื่อความแน่ใจในสิ่งที่เกิดขึ้น
เขาทดลองเดินไปยังก้อนหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งพลางโยกเบาๆ
โอ้วๆๆๆๆ!!!!!????...มันช่างโยกง่ายจริงๆ
จึงลองยกมันขึ้นเหนือหัวเขาทันที
หินก้อนออกใหญ่โต เขาสามารถยกได้อย่างง่ายดายนัก เหมือนกับคำที่นางพรายสาว
แจ้งแก่เขาไม่ผิดสักนิดเดียว
เมื่อทดลองจนแน่แก่ใจแล้วเขาและจูงเจ้าขนทอง
ก็พากันเดินสำรวจภายในถ้ำนั้นทันที มีเหลือบหินซ้อนๆกันหลายๆชั้น
แต่ที่สุดเป็นทางตันของปลายถ้ำ แต่ในเหลือบหินนั้นมีแอ่งน้ำเล็กน้อย
อยู่พอที่จะใช้ดื่มกินได้ เมื่อเป็นเช่นนี้เขาจึงคิด
ว่าหากจะพักที่นี่สักพักด้วยภายในถ้ำนี้หากเป็นกลางวัน
ก็คงไม่เป็นปัญหาใดๆสำหรับ
นางพรายที่จะออกมาได้ด้วยเป็นความสลัวและมืดพอที่จะให้ออกมา
เขาคิดว่าที่นี่แหละคงจะเหมาะกับการที่เขาจะให้แม่นางพรายสอนหนังสือแก่เขาที่
เขาต้องการร่ำเรียนรู้จากหนังสือที่นำติดตัวมาตลอดจนการเขียนด้วย
เพื่อใช้ในการศึกษาต่อไป หากเหตุการณ์ในวันข้างหน้าหากเขาไม่สามารถกลับไปยัง
ที่พักและจะต้องเดินทางต่อไปอีกนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้
เมื่อคิดและตกลงใจแน่วแน่แล้ว จึงหันไปเรียกนางพรายทั้งสองให้ปรากฏตัวขึ้น เมื่อ
นางพรายได้รับการเรียกจากเขาแล้ว ร่างนางทั้งสองก็ปรากฏตัวแต่มาคราวนี้แปลกเขาคิด
ด้วยเสื้อผ้านางทั้งสองได้เปลี่ยนไป ประกายเสื้อผ้ากับส่ง
ประกายแวววาวสดใสทำให้
หล่อนทั้งสองดูผ่องผาดผุดผ่องยิ่งขึ้นกว่าเดิมอีก
ครั้นแล้วเขาเมื่อจัดการนำหนังเสือออกมาคลี่เพื่อปูเป็นที่นอนสำหรับ
พักผ่อนคืนนี้แล้ว แต่แสง
ของโคมไฟที่เขานำไปปักยังซอกก้อนหิน ยังส่องแสงประกายพอจะเห็นสิ่งต่างๆได้ชัดเจน จึงกล่าวกับแม่นางทั้งสองทันที
“เอาล่ะน้องรัก ที่น้องว่าจะสอนหนังสือที่พี่อ่านไม่ออกให้แก่พี่ ซึ่งพี่เห็นว่าที่นี่
คงจะเหมาะแก่การเล่าเรียนได้ จึงขอความกรุณาให้น้องช่วยเหลือพี่ด้วยเถอะ”
นางประกายแดงพลันตอบขึ้นว่า
“จ๊ะพี่ท่าน...ด้วยสถานที่นี้หากเป็นกลางวันน้องก็สามารถปรากฏกายได้ด้วยแสงของตะวัน
ไม่สามารถส่องมาถึง คงจะเหมาะแก่การสอนเขียนอ่านได้จ๊ะ เรามาเริ่มกันดีกว่านะพี่ท่าน”
“จ๊ะน้องพี่...พี่พร้อมแล้วจ๊ะ” ชายหนุ่มตอบ
ดังนั้นการเริ่มศึกษาเล่าเรียนก็เริ่มขึ้นด้วยชายหนุ่มมีปฏิภาณไหวพริบและเคยผ่านการ
ศึกษามาขั้นสูงสุดในโลกที่ผ่านมาในอดีต ด้วยความเฉลียวฉลาดที่เขามีอยู่จึงไม่เป็นปัญหาต่อ
การเรียนภาษาที่เขาไม่รู้จักได้อย่างรวดเร็ว
เพียงไม่กี่วันที่พักอยู่ที่นี้เขาก็สามารถอ่านและเขียนได้อย่างรวดเร็วตลอดจนจำได้อย่าง
แม่นยำ จนแม่นางพรายประกายแดงถึงกับชมเปาะถึงความสามารถของเขา หล่อนกล่าวว่า
หากเป็นบุคคลทั่วๆไปในแดนนี้ก็ต้องใช้เวลาเป็นปีๆ แต่นี่ทำไมถึงเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วนัก
เมื่อชายหนุ่มสามารถอ่านหนังสือและเขียนได้พอจะคล่องแคล่วแล้ว จึงหยิบหนังสือ
ที่นำติดตัวมาเริ่มศึกษาค้นคว้าทันที
เวลาวันเดือนปีลุล่วงไปซึ่งเขาไม่สนใจอยู่แล้วผ่านไปๆ การศึกษาค้นคว้าหนังสือนี้ก็ทำ
ให้ได้กระจ่าง รอบรู้สิ่งทั้งปวงส่วนการเรียนเขียนเขาก็ใช้มีดน้อยมาขีดเขียนตามพื้นถ้ำแทน
สมุดดินสอ ไม่นานนักด้วยความรอบรู้ที่เขาเรียนมาในอดีตไม่ยาก สำหรับตัวหนังสือ
ตลอดจนการเขียนเหล่านี้
ดังนั้นเขาจึงได้เริ่มทำการฝึก การวางค่ายกลต่างๆโดยใช้ก้อนหินมาวางเรียงสร้างเป็นค่าย
กล ตลอดจนการตั้งรับและการโจมตีประดุจหมากรุกก็ไม่ปาน ไม่นานนักด้วยสติปัญญาฉลาด
แหลมคมทั้งความทรงจำทำให้เขาคล่องแคล่วในการคิดอ่านตลอดจนนำสิ่งที่เคยเรียนรู้เกี่ยวกับ
วิชาทหารในอดีตมาผสมผสานลงไปด้วยยิ่งเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่การเล่าเรียนครั้งนี้ ส่วนเวทย์
มนต์คาถาอาคมนั้น เขาก็เริ่มทีจะฝึกหัดนั่งสมาธิไปตามขั้นตอนที่บ่งบอกไว้ในหนังสือจนกระทั่ง
เขาสามารถทำได้อย่างคล่องแคล่วว่องไวจนหมดสิ้น
เมื่อสำเร็จวิชาต่างๆแล้วเขาก็หันไปขอบใจนางพรายประกายแดง หล่อนยิ้มให้เขากล่าวว่า
“ไม่คิดเลยว่าพี่ท่านจะเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วตลอดจนเขียนได้ดี หากเป็นคนทั่วๆไปแล้ว
เป็นว่าคงจะต้องใช้เวลานานมากๆจ๊ะ”
“พี่เองเห็นว่าภาษาไทยที่พี่เรียนรู้ยังยากกว่านี้มากมายนัก ด้วยภาษาที่เรียนนี้ไม่มีสระวรรณยุกต์
เพียงเป็นแค่พยัญชนะล้วนๆจ๊ะ”
“อะไรหรือท่านที่ คำว่าสระวรรณยุกต์” นางพรายถาม
“คำสระและวรรณยุกต์ นั้นคือคำที่ผสมกับภาษาทำให้อ่านออกเสียงและทำนองได้ไพเราะและ
สามารถผสมผสานกับภาษาอื่นๆได้จ๊ะ ภาษาที่น้องสอนพี่นั้นมีลักษณะคล้ายกับภาษาอังกฤษที่มีสระ
เพียงห้าตัวเท่านั้น ดังนั้นทำนองเสียงจึงมักจะออกเสียงห้วนๆ เหมือนภาษาที่น้องสอนพี่จ๊ะ”
ชายหนุ่มกล่าว
“งั้นก็แปลว่าภาษาที่ท่านพี่เรียนรู้มานั้นยากกว่าภาษานี้ใช่ไหมท่านพี่” นางพรายถามด้วยความสงสัย
“ใช่แล้วจ๊ะตลอดจนการเขียนด้วยก็ยากกว่ากันมากนะ” ชายหนุ่มกล่าว
“เดี๋ยวพี่จะท่องบทกลอนให้น้องฟังและอ่านด้วย น้องลองเอามาเปรียบเทียบการร้องเพลงของน้องนะ”
ชายหนุ่มกล่าว แล้วก็ท่องบทกลอนให้พรายทั้งสองฟัง
“ อันภาษาไทยนั้นบรรเจิดยิ่ง
รวมทุกสิ่งประยุกต์ปลุกเกษมสาน
ท่วงทำนองรองรับขับเบิกบาน
ดุจวิมานชั้นฟ้ามหาพรหม
ถ้อยน้ำเสียงล้ำเลิศประเสริฐนัก
ดุจพิณจักสานเสียงเคียงผสม
กังวานก้องลอยล่องคล้องสายลม
สรรค์ระทมเป็นสุขคลุกภายใน
อันเสียงสูงแลต่ำย้ำพยัญชนะ
ทำนองปะคละคลุ้งจรุงใส
ไล่จากต่ำมากลางสร้างสูงไป
ตวัดไล้ลงกลางพลางต่ำมา
จึงเกิดเป็นสำเนียงภาษาไทย
เข้ากับได้ทุกชาติและศาสนา
หากฝึกฝนคล่องแคล่วแนวรจนา
ก็นำพาดุจเพลงบรรเลงพิณ.”
ชายหนุ่มเอื้อนร้อยกรองให้นางพรายทั้งสองฟัง อันทำให้นางพรายสาว
ถึงกับเหม่อลอยหลับตาพริ้ม ถึงกลับเผลอตัวเข้ามาหายชายหนุ่มแล้วสวมกอด
พลางทั้งสองนางต่างก็จูบบนใบหน้าชายหนุ่มที่รกรุงรังด้วยหนวดเคราโดยที่ไม่
รังเกียจ เล่นเอาชายหนุ่มถึงกับตะลึงซาบซ่านเข้าสู่ใจและพลางโอบนางทั้งสอง
อย่างลืมตัว
เมื่อรู้สึกตัวได้หน้าชายหนุ่มก็แดง พร้อมกับกล่าววาจาขอโทษนางทั้งสอง
“ พี่ขอโทษน้องทั้งสองด้วยนะ พี่ลืมตัวไปชั่วขณะจ๊ะ”
“ หามิได้มิเป็นไรดอกท่านพี่ น้องเองเมื่อได้รับฟังเสียงร้องของพี่ท่านก็ยังอดที่จะลืมตัวไป ด้วยช่างเป็นภาษาที่อ่อนไหวเร้าใจยิ่งนัก จริงซินะพี่ท่าน
ที่พี่กล่าวเป็นภาษาที่ไพเราะมากกว่าภาษาท้องถิ่นในที่นี้เสียอีก” นางพรายสาวทั้งสองกล่าว.....
* แก้วประเสริฐ. *
5 กุมภาพันธ์ 2553 14:29 น.
แก้วประเสริฐ
ลุ่มลึกอิสราวดี 10
เจ้าลิงน้อยเมื่อพุ่งร่างมาถึง ยังเบื้องหน้าเขาแล้วมันแสดงอาการ
ลิงโลดดีใจ ตีลังกาหลายๆรอบพร้อมส่งเสียงร้องลั่น นั่นคงหมายว่า
มันได้รับชัยชนะอย่างสมบูรณ์แล้ว
ชายหนุ่มหัวร่อรับรู้และแสดงความดีใจแก่มันด้วยเข้าไปลูบยังหัวมัน
แล้วตบไปที่ลำตัวมันเบาๆ บัดนี้เจ้าลิงน้อยจะมาพุ่งเข้าซบอกเขามิได้แล้ว
ด้วยร่างมันกำยำและใหญ่เกินกว่าที่เขาจะอุ้มมันได้อีกต่อไป ดังนั้นจึง
ได้แต่เพียงย่อร่างแล้วแสดงอาการให้มันรับรู้
ชายหนุ่มหันไปยังแม่ช้างและลูกช้าง อาการบาดเจ็บของแม่ช้างค่อน
ข้างจะมาก เลือดยังไหลแต่ก็ยืนน้ำตาไหล เขาเดินไปใกล้มันมันกลัวก็กลัว
แต่เห็นแม่ช้างมิได้แสดงอาการดุร้ายแต่ประการใด คงปล่อยให้เขาเดินไปลูบ
ตัว เขาตบสีข้างแม่ช้างพังเบาเพื่อปลอบใจ และดูบาดแผลที่เป็นรอยมากมาย
แต่บ้างลึก บ้างแค่รอยใต้ผิวหนังที่หนาย่นเล็กน้อย แต่ก็ให้เลือดหลั่งออกมา
ขณะที่เขากำลังแสดงอาการปลอบใจแม่ช้าง เจ้าช้างน้อยก็เข้ามาใช้ปลาย
งวงมันลูบไล้บนใบหน้าชายหนุ่ม ชายหนุ่มคิดมันคงจะแสดงความขอบคุณ
เขากระมัง ดังนั้นเขาจึงหันไปลูบที่หัวมันเบาๆแล้วตบเบาๆที่ข้างลำตัวของมัน
แขนเขาถูกกระตุกๆเบาๆ จึงหันไปดูและเห็นเจ้าลิงขนทองมันหอบใบไม้
อะไรเขามองดูและไม่รู้จัก และมันไปตั้งแต่เมื่อไหร่เขาไม่รู้ ทันใดนั้นเองเสียง
เบาๆจากแม่นางพรายก็กล่าวขึ้นว่า
“พี่ท่านเจ้าประกายทองมันหายามาให้แม่ช้างจ๊ะ ให้พี่ท่านนำมาเคี้ยวในปาก
แล้วนำไปพอกยังแม่ช้าง มันเป็นต้นสมุนไพรป่าที่ใช้ในการรักษาบาดแผล และทำ
ให้แผลหายเร็ววัน ซึ่งแม่ช้างมันก็รู้ แต่ว่าอาการตอนนี้มันค่อนข้างหนักจึงยังไม่
สามารถไปหายาด้วยตัวมันเองได้ ให้พี่ท่านจงเคี้ยวใบสมุนไพรแล้วนำไปพอกยัง
บาดแผลแม่ช้างเถอะจ๊ะ”
“ขอบใจมากจ๊ะแม่นาง”
ชายหนุ่มหันไปมองเพื่อจะปฏิบัติตามคำพูดของแม่นางพราย แต่แล้วเขาเห็น
เจ้าขนทองกำลังนำใบไม้ที่เคี้ยวแหลกนำไปพอกยังบาดแผลแม่ช้าง ดังนั้นเขาจึง
รีบนำใบยามาเคี้ยวแล้วนำไปพอกที่บาดแผล แม่ช้างเหมือนจะรู้ในการกระทำของ
เขาและเจ้าขนทอง ดังนั้นมันจึงยืนนิ่งๆ เพียงแค่สะบัดหางไปๆมาๆคอยรับการ
ช่วยเหลือ พร้อมทั้งชูงวงร่ำร้องแสดงถึงความยินดี
ภายหลังจากช่วยแม่ช้างและลูกช้างแล้ว เขาแลเห็นหลังจากแม่ช้างและลูกช้าง
แสดงคาราวะเขาเป็นครั้งสุดท้ายแล้วก็พากันเดิน คุ่มๆเข้าชายป่า หายลับไปก่อนที่
จะเข้าแนวป่ามันทั้งสองยังหันกลับมาพร้อมชูงวงร้องเป็นครั้งสุดท้ายแล้วเดินหายไป
ชายหนุ่มหลังจากกำราบเจ้าหมีควายยักษ์แล้วก็หันมาจูงเจ้าขนทองที่มีรูปร่างสูง
ใหญ่เกือบเท่าเขาออกเดินทาง ลัดเลาะผ่านแนวโขดเนิน เนินแล้วเนินเล่าผ่านตัดกลาง
แนวป่าทึบ จวบจนถึงทางคั่นระหว่างภูเขาสองลูกที่มีรอยตัดกันเป็นแนวเพื่อไปยัง
อีกด้านหนึ่งของเขา ในช่วงทางรอยแยกนั้นปรากฏหมอกมืดวนเวียนคลุ้งรุนแรงมาก
จนกระทบมายังชายหนุ่มและลิงขนทอง สายลมหมุนเป็นวงกลมแล้วกระจายหายไป
“โอ้แล้วเราจะผ่านไปได้อย่างไร”
ชายหนุ่มคิด หรือว่าจะเป็นแค่บางช่วงเท่านั้น
“อากาศเริ่มจะขมุกขมัวแล้วเห็นทีจะต้องรอจนกว่าพายุจะสงบกระมัง” เขารำพึงกับ
ตัวเอง พร้อมทั้งมองหาสถานที่จะพักผ่อน จึงได้ปีนป่ายไปยังเหลือบชะง่อนผาที่มองเห็น
เป็นลานยื่นออกมาคล้ายพลาญ และแลเห็นมีโพรงเล็กๆพอที่จะหลบลมและน้ำค้างได้
ดังนั้นจึงหันมาส่งสัญญาณกับเจ้าขนทอง ทั้งสองก็ปีนป่ายส่วนเจ้าขนทองใช้เวลาเดี๋ยว
เดียวก็ขึ้นไปยังชะง่อนหน้าผาได้ เหลือเพียงเขาเท่านั้นที่ยังตะเกียกตะกายในที่สุดก็ขึ้นไป
สำเร็จก่อนตะวันจะพลบค่ำ ภายในโพรงคล้ายๆปากถ้ำมืดมิดจนมองอะไรไม่ค่อยถนัดนัก
เพื่อความไม่ประมาทเข้าจึงล้วงหยิบชุดไฟที่ยังเก็บไว้ประมาณสามอัน อีกอันหนึ่งเขาใช้แต่
ยังไม่หมด พลางล้วงหยิบหินแล้วหาที่บังลมพลางตีหินเหล็กไฟทันที สักครู่หนึ่งเขาก็สามารถ
ติดกระชุไฟได้ แล้วค่อยๆเดินส่องทางเข้าไปในโพรงนั้น
โอ้ว!!!!????.... เขาอุทานเบาๆ ภายในเป็นบริเวณกว้างขวางพอสมควร แต่มีกลิ่นคาวๆ
เต็มไปหมด ด้วยสัญชาติฌานทำให้เขานึกว่าคงจะเป็นที่อาศัยของงูเสียมากกว่า ส่วนเจ้าขนทอง
ก็ส่งเสียงร้องคำรามพร้อมขู่ลั่น เขาจำเป็นที่ต้องใช้ที่นี่อาศัยด้วยเวลาได้เริ่มจะมืดขึ้นทุกๆขณะ
จึงได้ค่อยๆส่องไฟค้นหาเพื่อหากมี งู ดังที่เขาคิดจะได้กำจัดมันเสีย แต่เขามองไม่เห็นเพียง
แต่เห็นแต่หินย้อยๆ เรียงรายกันไปหมด พื้นก็มีหินย้อยงอกโผล่จากพื้นถ้ำด้วย แต่ทำไมกลิ่นคาว
ยิ่งฉุนมากๆจนต้องเอาผ้าคาดเอวมาพันที่จมูกคล้องคอเขาไว้ จะด้วยอะไรก็ตามทีเขาเห็นสิ่งผิด
สังเกตทันใด หินย้อยที่เขาคิดด้วยมองจากความสลัวๆและแสงของกระชุ เขาเห็นและรู้เหมือนว่า
จะมีอาการเคลื่อนไหว แต่งูนั้นเขาไม่เห็นมันสักตัวเลย
คิดได้ดังนั้นแล้วจึงค่อยๆถือคบไฟถอยหลังอย่างช้าๆ แล้วพิจารณาอย่างละเอียดอีกครั้ง
ทันใดนั้นสิ่งที่เขาคิดว่าเป็นหินย้อยก็ค่อยๆต่ำลงๆ จนจดพื้นถ้ำ โอ้วๆสิ่งที่เขาแลเห็นจากคบไฟ
มันกลับเป็นหัวงูขนาดใหญ่ ดวงตาสีแดงก่ำๆสองดวงแต่แปลกที่มันผิดกับหัวงูทั่วๆไปเกล็ด
มันยามกระทบกับแสงไฟ ส่งประกายหลากสีนักและที่แปลกที่สุดคือบนหัวมันกับมีปุ่มงอก
ออกมาด้วย หากแม้นเขาก้าวล่วงเข้าไปอีกนิดเดียวคงจะเป็นอาหารมันแน่ๆ มันเหมือนจะ
มีอำนาจพิเศษ
ปรากฏว่าร่างเจ้าลิงขนทองนั้นกลับเหม่อลอยค่อยๆเดินเข้าไปหามันช้าๆ และ
หินย้อยที่เขาคิดว่าเป็นหินจากธรรมชาติค่อยๆขยับขึ้นทีละน้อยๆ จนแลเห็นกว้างขึ้นๆ เขารู้ทันที
ว่าเจ้าลิงขนทองสงสัยจะถูกมนต์สะกดแน่ จึงรีบกระชากแขนมันถอยหลังทันที เจ้าขนทองถึง
กับสะดุ้งสุดตัวพลันร้องเสียงดังก้อง เสียงลั่นกังวานก้องไปทั่วภายในโพรงหรือจะเรียกว่า ถ้ำ
ก็ได้ทันที
“ทันใดนั้นเสียงของแม่นางพรายก็แว่วก้องมาสู่เขา ฉับพลันควันหมอกก็พุ่งออกมากจาก
ฝักดาบมีดของเขา กลายร่างเป็นภูตสาวสองนางทันที เขาหันไปยิ้มให้แม่นางพรายทั้งสอง
พลางกล่าวว่า
“นั่นมันงูยักษ์ใช่ไหมน้องเรา”
“มันไม่ใช่งูยักษ์ธรรมดาหรอกจ๊ะ พี่ท่าน”
“อ้าวแล้วมันอะไรกันนะ พี่เห็นมันเป็นงูนี่นา”
“มันเป็นงูลูกน้องของพญางูที่ควบคุมบริเวณแถวๆนี้จ๊ะ”
“แล้วเราจะทำอย่างไรดีล่ะน้องพี่”
“เห็นทีพี่ต้องจัดการฆ่ามัน แล้วเอาลูกแก้วที่มันสะสมพลังแก่กล้าไว้มาใช้ในการเดินทางเพื่อ
ฝ่าหมอกพิษที่ช่องทางระหว่างเขาเสียแล้วพี่ท่าน” พรายประกายแดงกล่าว
“อะไรน่ะ????...ถึงต้องกับฆ่าแกงกันเชียวหรือ” ชายหนุ่มถาม
“เห็นทีจะหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้วจ๊ะ ด้วยมีหนทางเดียวที่จะฝ่าควันหมอกพิษไปได้จ้าพี่ท่าน”
“อืมม...แล้วจะฆ่ามันได้อย่างไรล่ะ อาวุธเราสามารถฆ่ามันได้หรือ”
“มีแต่ดาบและมีดนี้เท่านั้นถึงทำลายมันได้จ๊ะ” แม่ประกายเขียวตอบ
“โอ้วๆๆ???... แม้แต่เจ้าขนทองที่มีเขี้ยวแก้วยังโดนมันสะกดลืมตัวนะดีที่พี่ไหวทันกระชาก
มันเสียก่อน” ชายหนุ่มตอบ
“อันเขี้ยวหรืออำนาจของน้องทั้งสองก็ไม่อาจจะต้านทานฤทธิ์ของมันได้จ๊ะ” นางพรายตอบ
“ยังงั้นพี่จะทดลองดูนะ”
“พี่ก็นำธนูของพี่ที่ทำด้วยไม่รวกแล้วอธิษฐานขอความเมตตาจากเทพยาดา แล้วยิงมันที่นัยน์ตา
ทั้งสองของมัน หากแม้นเทพยาดาป่าเขาแห่งนี้อนุเคราะห์พี่ก็เห็นทีจะสำเร็จ หากไม่ก็ต้องใช้ดาบพี่และ
มีดน้อยพุ่งเข้าใส่นัยน์ตามันจ๊ะ แต่ทว่า???...”
“แต่อะไรน้องพี่???...” ชายหนุ่มถามด้วยความสังสัย
“หากพี่ใช้ดาบและมีดน้อยไปแล้ว เมื่อถูกเป้าก็จริงแต่ว่า งูยักษ์มันจะดิ้นจนโพรงหรือถ้ำนี้แทบ
จะทะลาย มันจะพุ่งเข้ามาหาพี่แล้วพี่จะเอาอะไรใช้ต่อสู้อีกล่ะ” พรายสาวทั้งสองตอบ
“นั่นซิเห็นที....พวกเราต้องวิ่งหนีออกจาก ถ้ำไปแล้วล่ะ แต่หน้าโพรงถ้ำนี้มีแค่พลาญนิดเดียว
นอกนั้นเป็นผาสูงชันเราจะทำอย่างไรดีล่ะน้องเรา”
“ถึงตอนนั้นก็เห็นจะต้องแล้วแต่บุญวาสนาเรานั่นแหละ แต่อุ๊ยๆ???... น้องนึกได้แล้วเรายัง
มีประกายทองอยู่ เมื่อตางูยักษ์มันมองอะไรไม่เห็นแล้วอำนาจมันก็จะลดทอนลงไปมาก ด้วยอำนาจ
มันเกิดจากนัยน์ตาที่สามารถสะกดคนหรือสัตว์แม้แต่ภูตพรายได้จ๊ะ”
“อืมมๆๆๆ พี่ก็ไม่ทันนึก นี่ดีนะที่พี่มีคู่ปรึกษา หากไม่มีน้องพี่เห็นทีจะแย่จริงๆๆ”
ชายหนุ่มตอบ เล่นเอาแม่นางพรายถึงกับม้วนอายไปทีเดียว สร้างความงดงามของใบหน้าแก่
ชายหนุ่มยิ่งนัก ถึงกับมองตะลึงไปเลย ชายหนุ่มพลางหันไปแล้วสะบักหน้าเบาๆเพื่อสะหลัด
ความคิดเรื่องความงามออกเสีย
“เอาล่ะ!!!???.....เป็นไรเป็นกันเราก็หนีไปไม่ได้แล้วนี่นา หากไม่ทดลองจะรู้หรือ”
ครั้นแล้วชายหนุ่มก็ดึงลูกธนูออกมาสองดอก พลางมองไปยังที่ดวงตาเจ้างูยักษ์ที่มันค่อยๆ
หุบปากลงเพื่อมองเหงื่อของมันด้วยความสงสัย เขาไม่ปล่อยให้โอกาสนั้นเสียไปพร้อมยกลูกธนู
ตั้งจิตให้แน่วแน่นิ่งแล้วกล่าวคำอธิษฐานเบาๆ วอนเทพยาดาฟ้าดินขอให้การกระทำของเขา
ในครั้งนี้บรรลุล่วงสำเร็จด้วยเทอญ เมื่อสิ้นคำอธิษฐานต่อเทพยาดาป่าเขาลำเนาไพรแล้ว
เขาก็ง้างคันธนูพร้อมกับลูกดอกสองดอก พอได้จังหวะก็ปล่อยลูกธนูไม้รวกไปทันที
เหมือนอำนาจของไม้รวกตันนี้ประกอบกับคำอธิษฐานจะได้ผล ลูกธนูพุ่งเข้ายังดวงตาของ
เจ้างูยักษ์ทันที ลูกธนูที่ทำด้วยไม้รวกตันหายวับไปเข้าสู่ดวงตาดวงโตสีแดงก่ำๆทันที
เลือดได้ทะลักออกมา ร่างงูยักษ์ดิ้นพลาด ๆ ด้วยความใหญ่โตของมันทำให้เกล็ดหิน
ต่างๆล่วงพรูออกมาชายหนุ่มและเจ้าขนทองรีบหันหลังทะยานออกจากมานอกโพรงถ้ำทันที
เสียงภายในโพรงแทบถล่มทลาย แล้วหัวของงูยักษ์ที่ดวงตาบอดสนิท โผล่ออกมาจาก
โพรง ชายหนุ่มไม่รอช้าโอกาสทองเช่นนี้ เขาชักดาบออกกระโดดเข้าฟาดฟันหลายๆครั้ง
ไปยังด้านต้นคองูยักษ์ ปรากฏคอห้อยออกมา เลือดมันสาดมากระทบตัวของชายหนุ่มแดงฉาน
ชายหนุ่มรู้สึกว่าร่างกายที่ถูกเลือดงูนั้นช่างเยือกเย็นอะไรเช่นนี้จนเขาอดสะท้านร่างด้วยความ
หนาวเหน็บ โอ้ววๆๆๆมันเย็นอะไรเช่นนี้ เลือดเจ้างูยักษ์เขารู้สึกว่ามันซึมผ่านผิวหนังเขาเข้า
ไปในร่างกายเพิ่มความหนาวเหน็บจนร่างเขาสั่นๆทันที หันไปมองเจ้าลิงขนทองก็เช่นกันมัน
ยกมือทั้งสองกอดอกนั่งคุดคู้ทันที เขาเองก็เหมือนกับมันรีบนั่งลงพลางปลดหนังเสือสมิงที่
ม้วนเก็บไว้ รีบเอามาหุ้มห่อร่างกายรู้สึกว่ามีไออุ่นของหนังเสือซึมซ่านมา ทำให้ร่างกาย
ค่อยอบอุ่นขึ้นทีละน้อยๆ
เป็นไปสักครู่ใหญ่ๆอาการทั้งหมดก็หายไป
“ไม่ต้องตกใจหรอกจ้าพี่ท่าน ท่านโชคดีแล้วที่ได้อาบเลือดงูต่างน้ำด้วยงูนี้มีอายุนับพันปี
และเป็นสิ่งหายากมาก หากใครได้อาบแล้วจะมีร่างกายคงกระพันชาตรี ยากนักจะหาอาวุธใด
ทำร้ายพี่ท่านได้ ผู้ใดหากมีตบะเดชะอ่อนกว่าก็จะพากันตกอยู่ในอำนาจของพี่ไป อีกประการ
ให้พี่รีบชำแหละที่ภายในท้องใกล้ๆหัวใจมันโดยเร็วก่อนที่ร่างมันจะกลับกลายเห็นหินไปจ๊ะ
เพื่อนำแก้วสองดวงออกมา และนำดีมันมาให้พี่และเจ้าประกายทองดื่มกินด้วยก็จะเพิ่มพละ
กำลังอย่างมหาศาลด้วยจ๊ะ รีบๆหน่อยๆ” พรายสาวทั้งสองรีบกล่าวขึ้นด้วยความดีใจ
“อะไรนะต้องทำเดี๋ยวนี้เชียวหรือ ทั้งๆตัวพี่ยังเปื้อนเลือดอยู่นี่นะ” ชายหนุ่มตอบ.......
* แก้วประเสริฐ. *
4 กุมภาพันธ์ 2553 16:09 น.
แก้วประเสริฐ
ลุ่มลึกอิสราวดี 9
“ หากเป็นที่น้องเรากล่าว พี่ก็จะพยายามค้นหาผู้ที่มีคุณสมบัติ
ดังหนังสือแจ้งไว้ เพื่อให้มาช่วยเหลือน้องพี่ ซึ่งต้องเป็นบุญวาสนา
ของน้อง ทุกๆสิ่งอย่างคงไม่เกินความสามารถที่ฟ้าดินกำหนดหรอก
จ้า” ชายหนุ่มกล่าวปลอบใจพรายสาวทั้งสอง
“เพียงแค่รับฟังคำพี่ท่านกล่าวเช่นนี้ ทำให้พวกเราก็ปลาบปลื้มใจ
มากแล้วจ๊ะ แต่ช่างเถอะต้องคอยกำหนดฟ้าดินไว้คิดว่าหากเป็นบุญ
ของน้องทั้งสองก็อาจจะกลับคืนสู่ร่างที่เหมาะสมได้เองจ้า”
พรายสาวทั้งสองกล่าวพร้อมๆกัน แต่ยังมองหน้ากันแล้วยิ้มน้อยๆ
หล่อนคิดเหมือนจะตรงกันว่า คนที่จะช่วยเหลือเธอนั้นหาใช่ใครอื่นไม่
คือชายหนุ่มนั่นเอง แต่หล่อนไม่ได้กล่าวอะไรด้วยคิดว่าคงจะยังไม่ถึงเวลา
อีกประการหนึ่งหากอยู่ในร่างของภูตนี้ก็ดีเหมือนกันจะได้ใกล้ชิดเขา
ถ้าหากกลับคืนสู่ร่างอย่างถาวรแล้ว ยากนักที่จะได้ใกล้ชิดเขา
เมื่อทั้งสองคิดได้เช่นนี้แล้วก็หาได้สนใจต่ออนาคตต่อไปไม่ เพียงขอ
แค่รับใช้เขาก็คงจะพอเพียงแล้ว ดังนั้นจึงหาทางสร้างสิ่งหรรษาให้
แก่เขาเพื่อให้คลายความโศกเศร้าที่แอบแฝงในใจ พวกหล่อนก็ปลื้มใจแล้ว
ท้องฟ้ารุ่งอรุณวันใหม่ย่างกรายมาถึง ชายหนุ่มรีบจัดการกับอาหาร
มื้อเช้าพร้อมเจ้าขนทอง เขาจัดเตรียมสัมภาระโดยนำหนังสือมาม้วนรัด
ด้วยเอ็นลิงขนดำ สะพายไว้บนไหล่ขวาพร้อมกระบอก
ใส่ลูกธนู ส่วนไหล่ซ้ายสะพายดาบ เหน็บมีดน้อยระหว่างเอว ส่วนกระบอกน้ำ
ได้แขวนไว้บนไหล่ แต่ก็ไม่ลืมที่จะทำสัญญาณมือให้เจ้าลิงแสนรู้นำมีดน้อย
ไปตัดเถาวัลย์ขนาดย่อมๆที่ยอดของต้นไม้ใหญ่ เขานำมาม้วนๆไว้ได้พอใช้
แล้วแขวนคล้องไหล่อีกครั้ง ด้วยเขาคิดว่าหากบางทีจำเป็นต้องใช้ในการปีน
ห้อยหน้าผาลงมา ซึ่งเตรียมตัวไว้ดีกว่าหากถึงคราวจำเป็นจะได้ใช้
ครั้นเตรียมตัวพร้อมแล้วก็ไต่เถาวัลย์ลงจากต้นไม้ใหญ่ เพื่อหาทางลัดเลาะ
ไปยังเขาที่อยู่ไม่ห่างไกลนักพร้อมกับลิงขนทองและนางพรายสาวทั้งสองก็ออก
เดินทางปีนป่ายจนสามารถลัดเลาะผ่านภูเขาไป
เบื้องล่างของขุนเขาที่สลับซับซ้อนกัน บริเวณกลางเป็นป่าทึบ มีน้ำตกไหลริน
ไม่แรงนักทอดเข้าสู่ลำธารไหล ไปตามทางลาดลงสู่เบื้องล่างสองฝั่งฟากลำธาร
เต็มไปด้วยวัชพืชนานาพันธุ์และอุดมไปด้วยไม้เล็กใหญ่ แสงอาทิตย์ทอสอดส่อง
แทบจะไม่ถึงพื้นดิน เต็มไปด้วยใบไม้ที่ทับถมเปี่ยมไปด้วยตัวหนอนและทาก
เขาจึงต้องระมัดระวัง บางครั้งก็โดนทากเกาะสูบเลือดแต่เขาล้วงหัวขมิ้นที่เก็บไว้
ในย่าม ออกมาทายังแขนขาไม่รู้ว่าจะสามารถช่วยเขาได้เพียงใด ดีกว่าไม่มีเสีย
เขาพร้อมลิงขนทองเดินลัดเลาะไปตามไหล่เขามุ่งเลียบชายลำธารล่วงไป
โดยไม่มีจุดหมาย เพียงเพื่อจะให้พ้นแนวป่าซึ่งบางทีอาจจะบรรจบเส้นทางเดิม
ซึ่งเขาคาดหวังไว้ ล่วงจนพระอาทิตย์บ่ายคล้อยๆแสงกับแรงจ้า อากาศร้อนอบอ้าว
ยิ่งขึ้นถึงแม้นจะอยู่ในดงป่าไม้ทึบก็ตาม ต้นไม้เพียงแค่ช่วยบรรเทาได้เท่านั้น
บัดดลเสียงไม้หักลั่นพร้อมกับเสียงร้องของสัตว์ป่าที่แว่วมาแต่ไกล จนเสียง
นั้นใกล้ๆเข้ามาจึงสามารถฟังได้ชัดเจน มันส่งเสียงร้องแปร้นๆๆระงมไปทั่ว
ทิศทางมุ่งมายังที่เขากับลิงน้อยกำลังจะเดินทาง เสียงเจ้าลิงน้อยร้องขู่พร้อมกับ
กระชากร่างชายหนุ่มให้หนีไปอีกทิศทางหนึ่งทันที เขาตามเจ้าลิงน้อยไปจนหยุด
ไว้หลังต้นไม้ใหญ่ที่สูงชะลูด ต้นไม้ใหญ่พอที่จะเป็นที่กำบังให้แก่เขาทั้งสอง
ชายหนุ่มแอบมองดู ไม่นานนักเสียงไม้แตกหักสนั่นดังลั่นปรากฏร่างของ
ช้างป่าตัวใหญ่มหึมาดำมะเลื่อม กำลังวิ่งไปทางทิศทางที่เขาเดินอยู่ก่อน
ช้างที่สูงใหญ่ที่สุดวิ่งนำหน้าตามด้วยช้างและลูกช้างประมาณ 6-8 เชือกได้
“มันหนีอะไรมา????.....” เขาคิดในใจ ยังมีสัตว์ที่น่ากลัวจนช้างป่ากลัวทำร้ายมัน
อีกหรือนี่
สักครู่ใหญ่สิ่งที่เขาแลเห็นสัตว์ที่ไล่ช้างมา กลับเป็นกลุ่มหมีควายขนาดใหญ่ กำลัง
ควบปะเลงๆ ดูราวประมาณ 5-6 ตัว แต่ละตัวใหญ่ๆทั้งสิ้นสูงใหญ่พอๆกับช้างป่าทีเดียว
สิ่งนี้หรือที่ช้างป่ามันเกรงจนถึงกับวิ่งป่าราบ แต่เมื่อมองเห็นมันจะๆ ปกติช้างป่า
ถึงแม้จะตื่นตกใจง่ายแต่มันก็ไม่เคยกลัวหากอยู่รวมกันเป็นฝูง แม้แต่เสือลายพาดกลอน
หรือหมาป่าก็ยังไม่อาจทำร้ายมันได้ แต่นี่มันกับกลัวเจ้าหมีควายหรือว่า ทั้งสองฝ่ายจะ
มีขนาดไล่เลี่ยกันกระมัง แต่นี่แปลกเจ้าหมีควายตัวใหญ่มันกับวิ่งได้เร็วถึงแม้จะควบปะเลงๆ
มาก็ตามที ก็สามารถไล่ฝูงช้างป่าได้เกือบจะทันกัน
ชายหนุ่มแอบดู ทันใดนั้นลูกช้างที่ติดตามฝูงมาได้พลัดตกลงยังหล่มโคลน ร่างมันค่อยๆ
จมลงและก็ยืนได้ในที่สุด เมื่อฝูงหมีควายตามมาทันเจ้าลูกช้างซึ่งพลัดฝูงแต่แม่มันไม่ยอม
ทิ้งลูกน้อยมัน ยังยืนร้องเรียกพยายามชูงวงเข้าไปหาลูกช้างซึ่งก็ชูงวงเพื่อจะรับการช่วยเหลือ
ของแม่มัน แต่ทว่าไม่ถึงด้วยห่างกันอีกมากนัก แม่มันร้องลั่นและหันหลังยืนจังก้าเพื่อรอ
รับเพื่อเข้าต่อสู้ปกป้องชีวิตลูกน้อยของมันโดยไม่คำนึงถึงชีวิต ส่วนฝูงช้างป่าได้หนีหายไป
หมดแล้ว
ด้านเจ้าหมีควายยักษ์ก็ยืนกางเล็บอันใหญ่โตแหลมคม ก้าวสามขุมเข้ามาหาแม่ช้างเพื่อ
จะกัดกินเป็นอาหาร ชายหนุ่มมองดูอยู่ด้านหลังต้นไม้และได้ยินเสียงลูกช้างร้องลั่นเสมือน
หนึ่งให้แม่มันหนีไป แต่แม่มันกับสะบัดงวงไปมาหูทั้งสองข้างกางผึ่งแสดงถึงการต่อสู้ไม่
ยอมถอยของมันพร้อมจะต่อสู้แบบสุดชีวิต
ชายหนุ่มให้เวทนาในภาพที่เห็นความสัมพันธ์ระหว่างแม่ช้างกับลูกช้าง เขาจึงหันมา
ลูบหัวเจ้าลิงน้อยเพื่อให้สัญญาณแก่มัน เจ้าลิงน้อยก็หาได้เกรงกลัวเจ้าหมีควายไม่ มันส่ง
เสียงคำรามพร้อมอ้าปากแยกเขี้ยวออกทันที ถ้าหากชายหนุ่มให้สัญญาณแก่มัน
เมื่อเจ้าหมีควายมาถึงแม่ช้าง ก็เข้าไปตะปบด้วยมือที่มีเล็บแหลมคมยาว และต่างเข้ารุม
ทำร้ายแม่ช้างทันที ทำให้เกิดแผลและเลือดไหลเป็นทาง หนึ่งต่อหก หากแม้นตัวต่อตัวก็เห็น
ทีแม่ช้างก็ยังจะต้านไม่ค่อยจะได้อยู่แล้วนี้ต่างถูกรุมเสียอีก ชายหนุ่มคิดหากปล่อยไปสักครู่
เห็นทีแม่ช้างจะต้องตายแน่นอน จึงคิดถึงจะช่วยเหลือแม่ช้างและลูกช้างไว้
เขาจึงนำคันธนูพร้อมดึงลูกธนูที่ทำด้วยไม้ไผ่ ออกมาน้าวพร้อมปล่อยลูกธนูไป
ยังเจ้าหมีควายตัวที่ใกล้แม่ช้างที่สุด แต่ลูกธนูพุ่งเข้าเป้าไปถูกบริเวณลำตัว ลูกธนูหักเป็นสอง
ท่อนทันที แต่ก็ทำให้เจ้าหมีควายชะงักได้ชั่วขณะหนึ่งมันส่งเสียงร้องลั่นแล้วหันมาทางเขาที่
แอบยังหลังต้นไม้ทันที ทันใดนั้นฝูงเจ้าหมีควายยักษ์ก็ต่างแยกย้ายกันออกมาและสามสี่ตัว
ก็ยังเข้ารุมล้อมแม่ช้างอยู่
ส่วนอีกสองตัวหันย่างควบปะเลงๆมายังด้านเขา คราวนี้เห็นที่จะใช้ลูกธนูยิงยังแถวร่าง
มันไม่ได้แล้วด้วย ดอกแรกยังหักเป็นสองท่อน เขากำลังคิดว่าจะทำอย่างไรดี ก็ได้ยินเสียง
แผ่วเบาๆจากแม่นางพรายว่า ให้ยิงไปที่ลูกนัยน์ตามัน เขาถึงตั้งสติได้ คราวนี้เขาน้าวคันธนู
พร้อมลูกยิ่งออกไปเล็งไปที่นัยน์ตามันทันที
ได้ผลแฮะลูกธนูเสียบเข้ายังดวงตาของเจ้าหมีควายตัวแรกที่ย่างเข้ามาหาเขา มันหยุดชะงัก
ส่งเสียงร้องลั่นกุมมือไปยังนัยน์ตาที่เลือดไหลออกมาพร้อมพยายามดึงธนูไม้ไผ่ออกมา เมื่อ
เห็นผลในการยิงเช่นนี้ ชายหนุ่มจึงเล็งแล้วยิงไปอีกตัวหนึ่ง ทำให้ตาของมันทั้งสองบอดคนละ
ข้างหยุดชะงักการติดตาม แต่โดยสันดานโหดของนิสัยสัตว์ป่าทั้งหลายมันหักก้านธนูออกแล้ว
พุ่งร่างมายังเขาอีก คราวนี้จวนตัวไม่สามารถใช้ธนูได้อีกแล้วเขารีบชักดาบออกมาทันที ส่วน
เข้าลิงน้อยก็ทะยานพุ่งร่างไปยังหมีควายยักษ์อีกตัวหนึ่ง
พลางกระโดดเข้าใส่ยังด้านหลัง และฝังเขียวแก้วมันยังบริเวณลำคอ
เจ้าหมีควายสะบัดร่างลิงน้อยแต่ไม่หลุดมันเอื้อมมือ ที่เต็มไปด้วยเล็บแหลมคมคว้า
เข้าที่ลำคอมัน เข้าลิงน้อยก็กระโดดแผล็วลงมาและพุ่งร่างไปที่ขามัน
ที่ยืนอยู่กัดไปยังที่บริเวณน่องมันแล้วกระชากครั้นได้แผลเหวอะหวะ
มันรีบถีบตัวถอย อาศัยที่ความคล่องแคล่วของลิงที่เจ้าหมีควายยักษ์จะไล่ทัน
เมื่อหมีควายหันมาคว้ายังแถวบริเวณขา เจ้าลิงขนทองก็กระโดดใส่ยังต้นคออีก
แล้วกัดกระชากจนบังเกิดแผลเหวะหวะมากยิ่งขึ้น
ร่างเจ้าหมีควายอีกตัวก็ก้าวย่างสามขุมเข้าหาชายหนุ่มทันทีกางเล็บตะปบไปยังร่างเขา
ชายหนุ่มเอี้ยวตัวหลบ กระโดดหนีห่างออกไปด้านข้างพลางใช้ดาบฟันไปยังมือที่ตะปบ
เขา ผลแขนมันขาดออกจากกันทันทีเลือดพุ่งยังกับไฟพะเนียง เสียงมันร้องลั่นคำราม
แต่ไม่หนีไปไหนกับกระโจนเข้าหาอีก คราวนี้ชายหนุ่มตั้งหลักได้แล้วก็ฟันดาบไปยังมือ
อีกข้าง มือมันกระเด็นหลุดขาดจากกัน ด้วยสันดานที่โหดเหี้ยมดุร้ายมันไม่ยอมหนีกับ
พุ่งร่างมันเข้ามาอีก ดังนั้นชายหนุ่มจึงฟันไปยังลำตัวอันใหญ่โตบึกบึนร่างมันก็ขาด
ออกจากกัน เลือดพุ่งไหลงนองแล้วล้มลงเสียชีวิตทันที
ชายหนุ่มมีรอช้า ทะยานร่างเข้าไปช่วยเหลือแม่ช้างทันที ด้วยอาการของแม่ช้างทรุด
โทรมลงเห็นได้ชัด ว่าร่างมันจะล้มแล้ว คราวนี้ชายหนุ่มไม่รีรออีกแล้วตรงไปยังตัวที่ใกล้
แม่ช้างที่สุดแล้วยกดาบขึ้นฟาดฟันไปยังร่างเจ้าหมีควาย ผลก็เหมือนกับตัวแรก เมื่อเจ้าหมี
ควายล้มลง บรรดาตัวอื่นๆก็หยุดการทำร้ายแม่ช้างต่างแยกเขี้ยวกางมือขึ้นอีกมือหนึ่งมัน
ควบปะเลงๆเข้าหาชายหนุ่มทันที ชายหนุ่มต้องล้มตัวลงแล้วยกดาบฟาดใส่ขาแขนเหล่า
หมีควายทั้งหลาย
ทำให้บรรดาขาของหมีควายที่ใกล้ๆตัวเขาขาดกระจายเลือดไหลนองไปทั่วใบหญ้า
และล้มดิ้นเขาไม่รอช้าในโอกาสนี้แล้ว พุ่งร่างเข้าหาตัวที่ยืนซึ่งเหลือเพียงตัวเดียวยกดาบ
แทงไปยังบริเวณหน้าอก พร้อมกระชากกลับฟันไปยังหัวมันทันที ร่างเจ้าหมีควายล้มลงตาย
หัวของมันหลุดกระเด็นออกไป เขาหวนกลับมาฟันหมีควายยักษ์ที่นอนดิ้นเพื่อสงบมิให้มัน
ต้องทรมานอีกต่อไป ชั่วเวลาไม่นานเขาก็ฆ่าหมีควายร่างยักษ์ได้ ถึงห้าตัว ส่วนแม่ช้างเมื่อ
เห็นชายหนุ่มมาช่วยเหลือก็ร้องพร้อมยกงวงขึ้นแสดงการคาราวะเขาพร้อมร้องแปร้นๆหัน
ไปทางลูกน้อยมันที่ยังเดินไปมาๆแต่ยิ่งเดินร่างมันก็ยิ่งจมไปเรื่อยๆ
ชายหนุ่มเห็นเช่นนั้นก็ปลดเถาวัลย์ที่คล้องไหล่ออกมาแล้วหันหากิ่งไม้ที่แห้งหล่นมา
ผูกกับเถาวัลย์ ขว้างไปยังเจ้าลูกช้างน้อยทันที เจ้าช้างน้อยใช้งวงมันจับกิ่งไม้ที่ผูกกับเถาวัลย์
แล้วดึง เขาจึงหันหลังวิ่งไปยังต้นไม้ใหญ่ที่ใกล้ๆที่สุดแล้ววนพันกับต้นไม้พร้อมทั้งออก
แรงดึงร่างลูกช้าง แต่น้ำหนักตัวมันมากกว่าเกินกำลังที่เขาจะดึงได้
เมื่อแม่ช้างเห็นดังนั้น ทั้งๆที่ร่างมันได้รับแผลเหวะหวะฉกรรจ์เลือดไหลออกมา แต่มัน
ก็ไม่สนใจพลางรีบลุกขึ้นหันมาช่วยชายหนุ่มดึงเถาวัลย์อีกแรงหนึ่ง คราวนี้ได้ผลอาศัยแรง
ของแม่ช้างค่อยๆดึงร่างเจ้าลูกช้างให้พ้นจากหล่มโคลนออกมากได้ มันรีบวิ่งไปหาแม่มัน
เขายืนมองด้วยความเวทนา ทั้งสองร่างต่างก็เอางวงรัดกันแสดงถึงความรักที่มีต่อกัน
แล้วมันทั้งสองเชือกหันมาทางชายหนุ่มพลางยอขาหน้าทั้งสองพร้อมทั้งชูงวงส่งเสียงร้องลั่น
ชายหนุ่มเก็บยิ้มแล้วรีบเดินไปยังเถาวัลย์ดึงที่พันจากต้นไม้ออกมาม้วนแล้วคล้องไหล่
พลางหันไปทาง เจ้าลิงน้อยที่กำลังพันตูกับเจ้าหมีควายยักษ์อีกตัวซึ่งมันไม่รู้ว่าพวกมันนั้น
ได้ตายไปเสียแล้ว การต่อสู้ผ่านไปอีกสักครู่ใหญ่ผลแพ้ชนะก็ออกมา เนื่องจากเลือดที่หลั่ง
ไหลจากเจ้าหมีควายออกมามาก ทำร่างกายมันช้าลงๆแล้วค่อยทรุดร่าง เจ้าลิงน้อยจะว่าน้อย
ก็ไม่เชิงเขาพึ่งสังเกตเห็นก็วันนี้ร่างมันเกือบจะไล่เลี่ยกับเจ้าหมีควายแล้ว มันยังวิ่งล้อมรอบตัว
แล้วได้ทีก็กระโดดกัดซ้ำที่เดิมอีก หลายครั้งจนกระทั่งเจ้าหมีควายทนบาดแผลไม่ไหวหงาย
ร่างล้มลงหายใจแผ่วเบาๆแล้วก็เงียบ ส่วนเจ้าลิงน้อยขนทองก็ยังวิ่งไปรอบๆร่างหมีควายบาง
ครั้งก็ดึงแขนบ้าง ขาบ้างเมื่อเห็นร่างเจ้าหมีควายไม่มีการโต้ตอบ นั่นแหละมันถึงร้องลั่นแล้ว
กระโดดตีลังกา พลางหันซ้ายหันขวาเมื่อพบชายหนุ่มมันก็พุ่งกระโดดตีลังกามาหาทันที......
* แก้วประเสริฐ. *
4 กุมภาพันธ์ 2553 10:35 น.
แก้วประเสริฐ
ลุ่มลึกอิสราวดี 8
ฟ้าเริ่มสาง...เสียงไก่ป่าขันเจื่อนแจ้ว เหล่านกทั้งหลายเริ่ม
ต้นชีวิตใหม่ออกหากินภายในป่าเขา เสียงกร๊อบแกร๊บของใบไม้
แห้งเป็นระยะๆ ซึ่งสัตว์ต่างๆกำลังค้นหาอาหารเพื่อเลี้ยงชีพ
ล้อมๆรอบเต็มไปด้วยหมอกที่ปกคลุมพื้นที่ภายในป่าจนแทบมองไม่เห็น
อากาศเย็นชื่นฉ่ำ..เสียงลมพลิ้วไหวอย่างรุนแรงกระทบกับกิ่งก้าน
ใบไม้เกิดสำเนียงหวีดหวิวร่ำๆไป ร่างชายหนุ่มนอน กกกอด
เจ้าลิงขนสีทองยังหลับใหลอยู่ นางพรายทั้งสองก็นั่งอยู่ข้าง
เคียงคอยไล่แมลงที่จะมารบกวน
สิ่งที่แปลกประหลาดก็คือบรรดาเหล่าหมอกต่างๆหาได้เข้า
มาในบริเวณที่ร่างชายหนุ่มนอนอยู่สักนิดก็หาไม่ กับแลดูคล้าย
เป็นม่านปกคลุมร่างของเขา
จวบจนแสงทองของอาทิตย์เริ่มสูงลอยขึ้น พระอาทิตย์ยาม
รุ่งอรุณลอยเป็นดวงใหญ่กลมโตสีแดง ทำให้เมฆหมอกที่ล้อม
รอบทอประกายสีสดใสเหนือบริเวณขุนเขาทั้งหลายที่รายล้อม
รอบเป็นอาณาบริเวณกว้าง แต่ก็หาได้ลบล้างหมอกทั้งหลายให้
หมดสิ้นไปได้ไม่
ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกตัวทรงร่างขึ้นอย่างช้าๆพลางบิดความเมื่อย
ขบที่เขาได้นอนคุดคู้ด้วยอากาศหนาวของอากาศประกอบด้วยหมอก
และความชื้นของน้ำค้าง ที่ยังจับอยู่ตามใบไม้ทั้งหลายยามกระทบ
กับแสงส่งประกายแววหลากหลายสีดุจอัญมณีวูบวาบไปทั่ว
เขาหันกลับมามองร่างน้อย ที่จะว่าน้อยก็ไม่เชิงบัดนี้ร่างของเจ้า
ลิงนั้นเขารู้สึกว่ามันเติบโตขึ้นมากกว่าเดิมนัก ที่ยังพลิกร่างไปๆมาๆ
เหมือนชายหนุ่มจะนึกอะไรได้ จึงรีบหันไปดูรอบข้างก็แลเห็นนาง
พรายทั้งสองส่งยิ้มมาให้เขา หรือว่านางมิได้หลับนอนนั่งเฝ้าเขา
ตลอดทั้งคืนกระมัง เขาหันไปยิ้มให้กับหล่อนพร้อมกล่าวว่า
“น้องของพี่เจ้ามิได้หลับนอนเลยหรือ”
ได้ยินเสียงแผ่วเบาตอบกลับมาจากแม่ประกายแดง
“ยังหรอกพี่ท่าน พวกข้าจะหลับก็ตอนพระอาทิตย์ส่งแสงแรง
เท่านั้น จึงนั่งคอยเฝ้าดูแลพี่ท่านอยู่จ้าค่ะ”
“อ้อๆๆงั้นหรือ...”
เขารำพึงเบาๆด้วยนึกได้ว่ากลางคืนเป็นเวลาของเหล่าภูตทั้งหลาย
“นี่ก็พระอาทิตย์ทอแสง รำไรเช่นนี้ เห็นทีน้องเราจะไป
พักผ่อนได้แล้ว ส่วนทางนี้พี่จะดูแลเอง ด้วยพี่คิดว่าหากเราได้
หนังเสือสมิงตัวนี้มาใช้ประโยชน์ก็คงจะดีไม่น้อง น้องเราว่ากระไร”
พรายประกายเขียวก็ตอบว่า
“อันหนังสือสมิงนี้ มีคุณประโยชน์มากนักด้วยมันสะสมอาถรรพ์
ไว้มากมาย ย่อมมีประโยชน์และให้คุณมาก ด้วยมันสามารถต้านทาน
อาวุธต่างได้เจ้าค่ะ”
“ อ้าวๆๆ...แล้วทำไมมันถึงได้สิ้นชีพไม่อาจทนทานอาวุธดาบของพี่
ได้ล่ะน้องนาง”
“เหตุที่เป็นเช่นนี้ ด้วยอำนาจดาบนี้สร้างด้วยพุทธคุณและมวลสารโลหะ
อันปลุกเสกแล้ว ตลอดจนว่านต่างๆที่มีคุณสมบัติขจัดลบล้างอาถรรพ์ต่างๆได้
รวมถึงอาวุธมีดน้อยนี้ด้วย ซึ่งเป็นธาตุกายสิทธิ์ยากยิ่งที่จะหา
คนสร้าง ต้องแก่กล้าวิทยาคมจึงสามารถหล่อหลอมดาบเล่มนี้ได้
ไม่มีอำนาจร้ายและสิ่งใดจะต้านทานอำนาจวิเศษของดาบนี้ได้เลย
ถึงแม้ว่าเสือสมิงตัวนี้ไม่ว่าอาวุธใดยากจะทำลายมันได้
ด้วยมันจะคงกระพันชาตรี สร้างพละกำลังให้มันอย่างมหาศาล
ตลอดจนสามารถควบคุมวิญญาณที่มันฆ่าแล้วให้จำยอมต้อง
ตกอยู่ในอำนาจของมันได้เจ้าค่ะ” ประกายแดงตอบชายหนุ่ม
“ นั่นซิน้องเรา พี่ถึงสงสัยนักทำไมถึงฆ่ามันอย่างง่ายดายนัก
อ้อๆๆ....ด้วยเหตุนี้นี่เองกระมัง” ชายหนุ่มรำพึงตอบไป
“น้องทั้งสองรู้คุณค่าอาวุธที่ส่งประกายกำราบภูติต่างๆได้ และอาวุธนี้มัน
จะเลือกนายของมันเอง แสดงถึงว่าผู้ที่ครอบครองเป็นคนมีบุญวาสนาเท่านั้น
ดังนั้นน้องจึงปรึกษากันแล้วหวนกลับมาเพื่อคอยรับใช้พี่ท่าน ก็ด้วยเหตุนี้นี่เองเจ้าค่ะ”
“เอาล่ะน้องเรา เธอไปพักผ่อนได้แล้ว เดี๋ยวพี่หลังจากไปชำระล้างร่างกาย
ที่ยังลำธารข้างๆเนินโน้นแล้วก็จะกลับมาถลกหนังเสือสมิงเก็บไว้จ๊ะ”
“งั้นน้องไปพักก่อนนะพี่ท่าน”
“ตามสบายเถอะน้อง ขอบใจมากนะที่อุตส่าห์คอยเฝ้าดูแลพี่ทั้งคืน”
“เป็นหน้าที่ของน้องอยู่แล้วพี่ท่าน น้องไปก่อนนะ”
พอนางพรายทั้งสองกล่าวจบ ชายหนุ่มแลเห็นแสงวูบพุ่งมายังฝักดาบทั้งสอง
จึงทราบแน่แก่ใจว่าหล่อนคงจะอาศัยอยู่ที่ฝักดาบและมีดแน่นอน ดังนั้นจึงหัน
มาทางเจ้าลิงขนทอง ซึ่งมันตื่นขึ้นเมื่อไหร่ไม่รู้นั่งมองเขาสนทนากับนางพรายอยู่
พอหมอกเริ่มจางเห็นสภาพต่างๆได้แล้ว เขาจึงส่งสัญญาณทำมือไม้ประกอบ
เพื่อจะให้มันไปหาอาหารผลไม้ก่อน
เจ้าขนทองนั้นรับรู้อากัปกิริยาของชายหนุ่ม พลางร้องเจี๊ยกๆๆตอบรับ
แล้วตีลังกาพุ่งตัวโหนเถาวัลย์ละลิ่วหายไปทันที
เขารวบรวมภาระบางอย่างที่มีไม่มากไต่เถาวัลย์ลงมาจากต้นไม้ใหญ่
แล้ววางกองไว้ใกล้ๆกับ ซากของเจ้าเสือร้ายแล้วจึงไปชำระ
ร่างกายให้สะอาดและเก็บน้ำใส่ให้เต็มกระบอกด้วย
หลังจากเขาอาบน้ำชะระกายดีแล้ว จึงนำมีดเล็กออกมาตรงไปยังร่างซากของ
เสือร้ายพร้อมลงมือชำแหละแยกสิ้นส่วน เขาเอาเพียงแค่หนังที่ออกสีขาวนวลมีลาย
สีเหลือจางๆสอดสลับเป็นทาง เมื่อได้ตามความต้องการแล้วส่วนเหลือเขาก็นำกลบฝัง
ตามแต่สามารถทำได้
ในระหว่างที่เขาชำหละนั้นก็คิดไปพลางว่าจะทำอย่างไรไม่ให้หนังนี้เน่าเปื่อยไป
ครั้นแล้วก็ให้นึกถึงยายของเขา เมื่อเขายังเด็กรู้ความนั้น เห็นยายเอาขมิ้นผงมาโรยของ
สิ่งหนึ่ง เขาถามยายว่าทำไมถึงใช้ขมิ้นผงโรยเนื้อสดๆล่ะ
ยายเขาตอบว่าเพื่อรักษาเนื้อไม่ให้เน่าและมันจะแห้งเร็ว
นี่อะไรหรือเขาชี้ไปยังกองเนื้อเล็กๆสดๆ ยายตอบว่านี่คือ
รกแมว ที่มีทนสิทธิ์ในตัวสร้างความร่มเย็นและความเจริญ และบอกว่าแมวมันไม่ให้
ใครๆง่ายๆนะ นอกจากมันจะให้เองหากเราไปไล่มันเพื่อเอารกมันก็ไม่มีผลอะไรเลย
ส่วนใหญ่แล้วแมวมันจะกินรกมันจนหมด ยกเว้นมันให้คุณเท่านั้นถึงจะยอมมอบให้
ชายหนุ่มนึกได้ว่าจะรักษาสภาพหนังเสือสมิงตัวนี้ได้อย่างไร เมื่อเขานำมันไป
ล้างที่ยังลำธารให้สะอาดแล้ว ก็เดินไปตามทางที่เขาไปตัดต้นไม้ไผ่พบกอขมิ้น เมื่อ
พบแล้วจึงขุดมา หัวขมิ้นมันช่างใหญ่มากนักเขานึก แต่ก็ไม่เป็นปัญหาเขานำมันไป
เท่าที่ต้องการเท่านั้น เมื่อได้หัวขมิ้นแล้ว จึงหันไปตัดไม้รวกและปล้องไผ่เพื่อนำมา
มาใส่ลูกธนูที่เขาจะคิดทำมันขึ้น
เมื่อได้ครบถ้วนตามที่คิดไว้ก็กลับมายัง ที่เก็บสัมภาระโคนไม้แล้วนำหนังสือ
คลี่ออกเอาหัวขมิ้นออกมาทุบแถวลำธารผสมกับน้ำมาทายังหนังสดของหนังสือแล้ว
ก็นำมันไปตากแดด โดยคลี่แผ่แล้วหาก้อนหินใหญ่มาทับมุมของหนังเสือมิให้ม้วน
ระหว่างการรอคอยให้หนังเสือแห้งนั้น เขาก็เริ่มเหลากิ่งไม้รวกทำคันธนูและลูก
ดอก ใช้เอ็นของลิงขนดำทำเป็นสายธนู เขาทดลองความเหนี่ยวของคันธนู
ซึ่งหักไปหลายๆครั้ง ในที่สุดเขาก็ได้คันธนูพร้อมลูกดอก
แล้วนำลูกดอกไปใส่ยังกระบอกซึ่งใช้เอ็นลิงพันเป็นที่สะพาย
เศษหนังเสืออีกส่วนหนึ่งเขานำมาทำเป็นย่ามไว้เพื่อใช้เก็บสัมภาระจำเป็น
เพื่อเดินทางต่อไป
สักครู่ใหญ่ๆเจ้าลิงขนทองก็กลับมาพร้อมด้วยผลไม้มากมายหลาย ชนิดเขาและลิง
ต่างกินผลไม้ แต่เขาไม่วายเรียกนางพรายงามทั้งสองให้มาร่วมกินด้วย เขารู้อาการตอบ
รับด้วยฝักดาบและมีดที่เหน็บเอวและสะพายบนบ่ายกระดุกกระดิกเล็กน้อย เมื่อกินผลไม้
อิ่มแล้ว เขาก็เริ่มฝึกหัดเจ้าขนทองทันที สอนด้วยวิธีขว้างก้อนหินก่อน
จนกระทั่งเจ้าขนทองสามารถขว้างก้อนหินได้แม่นยำแล้ว ก็เริ่มตัดไม้รวกมาทำเป็น
กระบองและสอนท่าทางการใช้กระบอกทั้งวิธีรับและตอบโต้รวมถึงแทนดาบได้ด้วย
เนื่องจากเจ้าขนทอง มีความเฉลียวฉลาดจำได้แม่นยำและรวดเร็วเพียงไม่กี่วันนักมันก็สามารถ
ใช้อาวุธที่เขาสอนได้เป็นอย่างดี
เมื่อเขาสอนเจ้าขนทองได้เป็นผลสำเร็จแล้ว ก็ทอดถอนใจเห็นที่จะต้องมุ่งหน้าออกเดินทาง
เสียแล้ว เขาคิดว่าคงจะเป็นวันพรุ่งนี้ก็จะเริ่มออกเดินทางค้นหาทางกลับยังที่พักเดิม แต่ก็คิดไป
ว่าไม่รู้จะพบทางหรือไม่ หรือว่าเราจะต้องวนเวียนค้นหาอยู่ในถิ่นแถวนี้อีกนานสักเท่าไหร่หนอ
พลางรำพึงรำพันกับตนเอง ซึ่งยังไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไรพบอะไรกันแน่......
จึงทอดถอนใจกล่าวในสิ่งที่เขาต้องการออกมาด้วยน้ำเสียงแฝงเศร้าสร้อยนิดๆ
* ดวงตะวันลอยลับจับทิวฟ้า
แสงนภาแวววาวพราวสดใส
หัวอกร้าวรันทดหมดหัวใจ
สิ่งเคยไสวอติกาลไร้ผ่านมา
มีลิงน้อยคอยอยู่คู่พรายเจ้า
ที่คอยเฝ้ายั่วยวนชวนหรรษา
มีอนาคตต่อไปกรายเยื้องมา
โอ้วาสนาฉันท์ใดให้หวั่นเกรง
ฝากระทมแฝงไว้ในป่าลึก
ห้วงใจนึกระบมข่มโฉงเฉง
ดุจดั่งสัตว์สอดทิ่มปิ่มอลเวง
แม้นมีเพลงพฤกษาลัดดาวัลย์
กลิ่นหอมเอยไม้ป่าดารดาษ
ที่เคล้าพาดนาสิกจนพลิกขวัญ
มิอาจชื่นดวงจิตแทบปลิดชีวัน
โอ้ทางนั้นยากสุขเฝ้าปลุกหทัย......*
ยิ่งคิดไปชายหนุ่มก็ให้หมองไหม้รันจวนจิตยิ่งนัก เขาแหงนมองฟ้า
ที่ฉาบไปด้วยเมฆต่างๆ ลอยละล่องดุจท้องทะเลคลื่น ใยจึงเหมือนตัวเขา
ทำให้เขาอดหดหู่ใจเสียมิได้ แต่ช่างเถอะในเมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้แล้ว
ใยเลยจะแก้ไขได้ คงต้องปล่อยไปตามบุญเพรงวาสนาเสียแล้วหนอเรา
เพลาค่ำย่ำเหยีอดย่างเข้ามาอีกวาระหนึ่ง นางพรายทั้งสองก็ออกมา
เมื่อเห็นใบหน้าของชายหนุ่มหมองเศร้า ก็พลอยเศร้าใจไปด้วย ถึงแม้ว่า
นางจะมาอยู่กับชายหนุ่มได้ไม่กี่เวลาก็ตามที
แต่อากัปกิริยาที่อ่อนโยนมิเคยเลยจะรังเกียจเดียดฉันท์
หรือสร้างความหนักใจให้แก่นางทั้งสองได้ กับแสดงถึง
ความรักอย่างจริงใจจนหมดให้แก่นางอย่างไร้เล่ห์เพทุบายตลอดจน
ความห่วงใยมากกว่าตัวเขาเสียอีก
ด้วยเหตุฉะนี้นางถึงกลับหลั่งน้ำตา ยากที่จะเข้าไปช่วยเหลือเขาได้
นอกจากมาปลอบใจสร้างความหฤหรรษ์ต่างๆ
เพื่อให้เขาได้ลดทอนสิ่งเหล่านี้เพลาๆเสียบ้าง
แต่ก็เพียงแค่สร้างหัวร่อให้แก่เขาได้นิดๆหน่อยเท่านั้น
เขาจึงกล่าวกับนางทั้งสองว่า
“น้องรักเรา เห็นทีเมื่อดวงตะวันขึ้นเราทั้งหมดจะต้องออกเดินทางเสีย
แล้ว แต่พี่จิตกังขาไม่รู้จบสิ่งหนึ่งนะ”
“อะไรหรือ พอจะให้น้องช่วยท่านพี่ได้บ้างไหม” นางพรายเขียวถาม
“พี่กังวลคือ ไม่สามารถอ่านเขียนภาษาที่บันทึกไว้ในหนังสือได้เลย
และไม่รู้ว่าจะไปเล่าเรียนได้ที่ใดนะน้องเรา”
“ท่านพี่น้องเองก็ผ่านการศึกษามาก็มาก เมื่อกลับมาเยี่ยมบ้านป่าก็ออก
เดินชมดอกไม้ที่ขึ้นในป่า แล้วก็มาจบชีวิตเสียก่อนที่จะได้กลับไปในเมืองจ๊ะ”
“หรือน้องรักเรา หากน้องอ่านภาษานี้ได้ช่วยสอนพี่จะได้ไหมจ๊ะ”
ชายหนุ่มดีใจ ที่แม่นางพรายแดงแจ้งว่าสามารถร่ำเรียนการเขียนอ่านได้
จึงล้วงไปในอกเสื้อ พลางหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาซึ่งเขาพกติดตัวตลอด
เพียงหวังว่าถ้าหากวันใดมีโอกาสพบชาวบ้าน
ก็ขอจะพึ่งพาอาศัยช่วยแปลหนังสือเล่มนี้ เพื่อที่เขาจะได้รับรู้ความลับสักที
แต่ในเมื่อนางพรายแดงสามารถอ่านได้ก็ดี เพื่อเขาจะได้อาศัยนางใน
การช่วยแปลและช่วยสอนการเขียนอ่านภาษาที่เขาอ่านไม่ออกเอาเสียเลย
แล้วก็ยื่นหนังสือเล่มนั้นให้แก่นางพรายแดง นางพรายแดงก็รับหนังสือ
มาพลิกอ่านดู พลางกล่าวว่า
“พี่ท่านหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่ว่าด้วยการวางกลยุทธ์ต่างๆคิดว่าคง
จะเป็นตำราพิชัยสงครามมากกว่า เอ๊ะ!!!????.... แต่ตอนท้ายๆนั้นกลับบันทึก
เกี่ยวกับเวทย์มนต์ต่างๆไว้ด้วย อุ๋ย!!!!???.....” นางอุทานเบาๆ
“อะไรหรือน้องเรา มีอะไรหรือถึงได้ร้องแบบหน้าตื่นเช่นนี้เล่า???”
ชายหนุ่มถามด้วยความสงสัย
“ ดีจังเลยๆ....” พรายสาวอุทานพร้อมใบหน้าแช่มชื่นทันที
“บันทึกนี้..ไม่เพียงแค่เวทย์มนต์เท่านั้นยังกล่าวถึงวิญญาณที่ไม่ถึงฆาต
จะคืนกลับมีร่างได้อีก หากทำถูกต้องพิธีโดยอาศัยร่างที่คนถึงฆาตเข้าไป
อาศัยอยู่ แต่ทว่า????...”
“แต่ทว่าอะไรหรือน้องเรา” ชายหนุ่มยิ่งสงสัย
“เพียงแต่คนที่จะทำได้ต้องเป็นผู้ที่ถือศีลตลอดเจ็ดวันและต้องเป็นคน
ที่มีบุญวาสนาบารมีที่สร้างสมมาก่อนเท่านั้นจ๊ะ” พรายสาวตอบชายหนุ่ม.......
* แก้วประเสริฐ. *