17 กุมภาพันธ์ 2553 14:13 น.

ลุ่มลึกอิสราวดี 22

แก้วประเสริฐ


                ลุ่มลึกอิสราวดี  22

     ครั้นหลังจากที่ต่างชำระล้างเลือดสะอาดดีแล้ว  ชายหนุ่มก็ขึ้นจากแอ่งน้ำ
พร้อมกับเจ้าขนทอง   ส่วนเจ้าขนทองก็สะบัดน้ำให้หลุดจากขนมันพร้อม
กับตีลังกาไปหลายๆรอบ    ชายหนุ่มรีบแต่งตัวเพื่อจะออกเดินทางต่อไป
     อากาศช่วงนี้ค่อนข้างเย็น   ด้วยก้อนเมฆมาบดบังดวงอาทิตย์ทำให้ร่มรื่น
ภายหลังจากที่แต่งตัวเรียบร้อยแล้วก็มาทานผลไม้ร่วมเจ้าลิงขนทอง    ซึ่งเขา
เองยังไม่รู้ว่าหนทางจะไปทางใดเพียงแต่คิดว่าจะหาทางออกจากป่าเขาดงดิบ
ซึ่งอุดมไปด้วยภูเขามากมายนัก 
    จึงได้ชวนเจ้าขนทองเดินเลียบไปทางเชิงเขาผ่านหน้าผาที่ทอดเป็นทางเป็น
ระยะ บ้างก็เรียบบ้างก็ขรุขระ       ชายหนุ่มมองไปยังอีกด้านหนึ่งของภูเขาที่ใกล้ๆ
กันเห็นมีสะพานไม้เก่าๆทอดเรียงรายไปตามไหล่เขา คิดว่าคงจะเป็นการสร้าง
โดยน้ำมือของมนุษย์แน่นอน     แต่สะพานดูช่างเก่ามากๆเสียด้วยจะใช้การได้หรือไม่ก็ยังไม่รู้     
     
    ดังนั้นเขาจึงต่างพากันเดินเลียบหน้าผาไปเพื่อหมายค้นหาทาง ซึ่งเขาคิดว่า
ในเมื่อมีสะพานทอดของอีกเขาลูกหนึ่งแล้วก็คงจะมีการเชื่อมต่อกัน
ระหว่าเขาต่อเขาแน่     
แต่อยู่ที่ใดล่ะชายหนุ่มรำพึงกับตัวเอง    จวบจนตะวันเริ่มสูงขึ้นอากาศก็เริ่มจะ
ร้อนอบอ้าว    
ชายหนุ่มมองไปยังเบื้องล่างเห็นเป็นลำธารสายน้ำเล็กๆที่ทอดยาวเหยียด
แต่กับมีควันลอยเป็นกลุ่มๆคล้ายหมอกจนไปสิ้นสุดทางที่คดเคี้ยวลับเหลี่ยมเขา
    หากว่าเขาไม่ได้เดินอยู่บนหน้าผาที่เป็นทางเดินแล้วก็ยังไม่รู้ว่าจะข้ามลำธารนี้ได้อย่างไรกัน   น้ำในลำธารคงจะร้อนมากและจนปรากฏหมอกควันขึ้น   ไอของหมอกยามเมื่อมากระทบผิวกายเขายังรู้สึกว่าค่อนข้างแสบร้อน      เมื่อเป็นเช่นนี้เห็นว่าจะต้องอาศัย
สะพานหากมีข้ามไปยังภูเขาอีกลูกหนึ่งที่เรียบชัน   
     หาทางไต่เกาะได้ยากยิ่งนักอีกหมอก
ควันก็เกิดละอองจับยังหินผาย่อมจะลื่นมากๆเสียด้วย    
ชายหนุ่มสอดส่ายสายตาไปข้างหน้าแล้วเดินทางไปเรื่อยๆ    
           คิดหวังว่าโอกาสที่จะพบสะพานก็คงจะมี    ครั้นเดินทางไปตามเรียบผสมขรุขระ
แล้วก็เป็นอุโมงค์ที่ถูกเจาะทะลุให้เป็นทางเดินต่อไป   
จึงได้เดินตรงไปแล้วลอดช่องลอดที่เป็นทางเดิน  ใช้เวลานานพอประมาณจึงพ้นจากอุโมงค์นั้น   เพื่อพ้นปากทางออกของอุโมงค์    
เบื้องหน้าเขาก็พบสะพานทอดไปสู่ยังภูเขาอีกลูกหนึ่ง  
   ชายหนุ่มดีใจมากจึงได้รีบจูงมือเจ้าขนทองให้เร่งการเดินทาง
เพื่อให้ถึงสะพานดังกล่าว      

         พอถึงสะพานที่ทำด้วยไม้แต่ทว่ามันผุมากจะใช้ได้หรือเปล่า   เชือกเถาวัลย์ที่ใช้ใน
การผูกมัดก็ค่อนข้างเก่า    ชายหนุ่มเกิดความลังเลใจทดลองเขย่าสะพานดูเห็นว่าพอจะใช้
งานได้ในบางช่วง     ฝ่ายเจ้าขนทองเห็นดังนั้นมันพุ่งร่างไปยังสะพานก่อนชายหนุ่มซึ่งยัง
เกิดความลังเลใจ  มันซึ่งบัดนี้มีรูปร่างใหญ่โตมากจริงๆ  หัวมันสูงเทียมกับไหล่ของเขาแต่
น้ำหนักคงจะมากกว่าเขามากนัก    มันรู้โดยสัญชาติฌานมันว่าคงเป็นหน้าที่ของมันที่จะ
ทดสอบสะพานนี้ก่อนชายหนุ่ม   ร่างมันเดินไปขย่มสะพานไปเรื่อยๆจนถึงกลางสะพาน
ไม้ที่ผุบางอันร่วงหล่นไปยังพื้นที่มีน้ำในลำธารรองรับ   ชายหนุ่มมองตามลงไป
           เขารู้สึกตกใจด้วยเห็นไม้ที่แห้งผุนั้นเกิดไฟลุกไหม้ขึ้นทันที   หากแม้นเป็นเขาและเจ้า
ขนทองก็อย่าหมายมีชีวิตรอดไปได้   ด้วยน้ำในลำธารมีความร้อนสูงหรืออาจจะเป็นกรด
ที่ทำลายทุกๆสิ่ง        เมื่อเห็นเป็นเช่นนี้พอเหลือบสายตาไปก็เห็นเจ้าขนทองไปอยู่ยังอีก
ฟากหนึ่งของภูเขาแล้ว       ดังนั้นเขาจึงค่อยๆย่างเท้าหยั่งลงไปและจับเชือกที่ทำถ้วยเถาวัลย์
ค่อยๆเหนี่ยวไว้    ก้าวไปทีละก้าวๆจนเกือบถึงปลายสะพานทันใดนั้นเอง   เชือกที่ผูกสะพานก็
ขาดออกจากกัน   ด้วยรับน้ำหนักเขาไม่ได้ด้วยเจ้าขนทองล่วงหน้าไปแล้วทำให้เชือกเกิดการผุ
กร่อนมากยิ่งขึ้น   สะพานได้ขาดแยกจากกันทันที   
            ชายหนุ่มคว้าเชือกที่มีกระดานผุๆนั้น เชือกและกระดานหล่นฟาดกับผนังของภูเขาทันที
เสียงดังโครมของเศษไม้สะพานที่ผุ   ร่วงหล่นไปยังสายน้ำทันทีเกิดเพลิงลุกไหม้อย่างรุนแรง
ส่วนร่างของเขาห้อยต่องแต่งอยู่ปลายสะพานที่ขาดจากกัน    เขาปล่อยร่างที่เคว้งคว้างปลาย
สะพานที่ห้อยอยู่     เสียงเจ้าขนทองขู่ร้องเจี๊ยกๆๆดังลั่นไปทั่วมันแสดงอาการเหมือนจะมาช่วยเหลือเขา    
 มันยืนอยู่หน้าผาของภูเขาที่มีสะพานเชื่อมต่อไปเรื่อยๆ

           ดังนั้นชายหนุ่มค่อยๆไต่เชือกและเหยียบบนไม้ที่ห้อยร่องแร่ง   ค่อยๆไต่ขึ้นมาทีละน้อยๆ
พอพ้นเชือกที่เขาเหยียบพ้นแล้วก็ขาดร่วงหล่นไป   เขาค่อยๆรีบไต่ขึ้นมาจนถึงหน้าผาที่เจ้าขนทอง
มันรีบเอื้อมมือมาฉุดร่างเขาทันที   อาศัยเจ้าขนทองทำให้ชายหนุ่มพ้นจากสะพานไม้ที่ห้อยอยู่ได้
          เมื่อพ้นเหตุการณ์ร้ายผ่านไปเขาถึงกับทอดหายใจเฮือกใหญ่และนั่งลงทันทีบนสะพานไม้
ที่ทอดยาวเหยียดไปข้างหน้า   เขารู้สึกอ่อนล้าแขนทั้งสองข้างที่เกร็งดึงร่างไว้ตลอดเวลาในระหว่าง
ที่เหนี่ยวไต่ขึ้นมา       พอพักสักครู่หายเมื่อยล้าแล้วก็ชวนเจ้าขนทองออกเดินทางไปตามสะพาน
ที่ทอดยาวไกล       ชายหนุ่มลังเลสงสัยว่าจะไปทางใดดี   ด้วยทั้งสองด้านนั้นถูกเขาบดบังไปเสีย
สิ้นเห็นแต่เพียงสะพานสองฟากเท่านั้นเอง      
          ในเมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้แล้วเขาจึงตัดสินใจออกเดินทางไปทางที่ยังมองเห็นต้นไม้ที่เขียวขจี
ส่วนอีกด้านหนึ่งนั้นไม่มีต้นไม้เลย    ดังนั้นชายหนุ่มจึงชวนเจ้าขนทองเดินไปทางด้านขวามือค่อยๆ
ย่างทดลองไม้สะพานไปเรื่อยๆ   ด้วยบทเรียนที่ข้ามสะพานระหว่างเขาต่อเขานั้นทำให้ชายหนุ่มต้อง
ระมัดระวัง   นี่ขนาดเขาระมัดระวังแล้วยังเกิดปัญหาได้ด้วยความเก่าของไม้   เขาคิดว่ามันคงจะสร้าง
มานมนานแล้ว   หาได้สร้างไม่นานความเก่าตลอดจนเถาวัลย์ที่ใช้ผูกมัดบ่งบอกอายุของมันให้รู้ได้
           เมื่อทั้งสองเดินทางมาสิ้นสุดยังปลายสะพานเห็นเป็นทางเรียบๆทอดลงสู่เบื้องล่างของขุนเขา
ซึ่งอยู่ท่ามกลางหุบเขาที่ล้อมรอบไปหมด   ต้นไม้นาๆชนิดขึ้นแต่เขามองไปข้างหน้ากับเห็นซากของ
ปราสาทหลังหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ไกลๆ  อายุอานามคงนานมากๆด้วยบางแห่งก็ยังดูดีแต่บางแห่งก็
เป็นซากปรักหักพังตามที่สายตาเขามองเห็นแต่ไกลๆ     จึงชวนเจ้าขนทองเดินฝ่าดงไม้มุ่งหน้าหมาย
ที่จะไปดูยังปราสาทนั้นทันที

           พอเดินไปอีกไม่เท่าไหร่เขาก็พบบรรดางูต่างๆพันอยู่ตามกิ่งไม้และพื้นดิน  แต่ยามที่เขาเดินไป
นั้นบรรดาอสรพิษทั้งหลายต่างรีบหนีหลบไปเสียสิ้น   คงเหลือไว้แค่ทางเดินให้เขาและเจ้าขนทองเท่านั้น
     เขามองไปรอบๆล้วนแล้วแต่อสรพิษทั้งสิ้นส่วนที่ไกลหน่อยก็แผ่พังพานขู่เสียงฟู่ฟ๊อดๆๆ
ได้ยินมาถึงเขาแต่มันไม่กล้าเข้ามาใกล้ๆ    เพียงแค่ส่งเสียงขู่เท่านั้น

           เสียงร้องของนกดังมากๆเขารีบแหงนหน้ามองดูบนท้องฟ้า   เห็นบรรดานกที่เขาไม่เคยเห็นมา
ก่อนในชีวิตตัวมันช่างใหญ่โตมาก  
หัวมันมีหงอนสีแดงปากงองุ้มปกคอมันออกสีขาวเหลือบทอง
ลำตัวมันสลับไปด้วยสีต่างๆ  แลดูสวยงามยิ่งนักยามกระทบกับแสงของดวงอาทิตย์ มันมากันเป็นฝูงๆ
เขากะราวประมาณเกือบสิบกว่าตัวเห็นจะได้
    มันส่งเสียงร้องประหลาดนักผิดกับบรรดานกทั่วๆไป
             เสียงร้องของมันกับทำให้บรรดาอสรพิษทั้งหลายต่างหนีลงพื้นดินแล้วหนีหายไปทันทีด้วย
ความเกรงกลัวยามได้ยินเสียงร้องของนกประหลาดนี้     มีตัวหนึ่งบินถลาปีกลงมาหาเขา
โอ้โฮๆๆร่างมันขนาดเท่าสุ่มที่ใช้ขังไก่แต่หางมันกับยาวมากหลากสี  กรงเล็บมันกางออกเห็นความ
แหลมคมของมันได้อย่างชัดเจน     ชายหนุ่มรีบดึงมือเจ้าขนทองหลบไปข้างต้นไม้ใหญ่ทันที
            เสียงลมกระพือของปีกมันช่างรุนแรงนักบรรดาต้นไม้เล็กต่างลู่เอนตามแรงกระเพื่อมของปีกมัน 
แล้วร่างมันก็ถลาขึ้นไปบนอากาศอีกครั้ง    แต่คราวนี้มันร้องเสียงแปลกประหลาดบรรดานกที่แยกกัน
แต่เป็นฝูงต่างพุ่งร่างมันถลาลงมาหาเขาแทบหมดทุกๆตัว
    ชายหนุ่มรีบมองหาสถานที่จะหลบมันแต่
ทว่าไม่มีที่จะหลบได้นอกจากเหล่าต้นไม้ใหญ่เท่านั้น
        บัดนี้เกิดแรงลมคล้ายพายุพัดกระหน่ำจนกิ่งไม้
บางกิ่งหักสะบั้นทันที   ขอนไม้ของกิ่งหักหล่นมาเกือบจะถูกตัวเสียงโครมสนั่นลั่นไปหมด

            เมื่อหาทางหนีไม่ได้เช่นนี้เขาจึงจำเป็นต้องต่อสู้กับมันอีกด้วยความจำเป็นทั้งที่เขาไม่อยากจะต่อสู้
กับมันด้วยเรือนร่างขนมันช่างสวยงามยิ่งนัก    แต่เมื่อจำเป็นเช่นนี้เขาจึงล้วงไปในย่ามหยิบก้อนหินสีแดง
ออกมาหลายๆก้อน   
เมื่อนกประหลาดตัวหนึ่งถลาปีกพร้อมกางเล็บใกล้เข้ามา   
เขาขว้างก้อนหินใส่ในตัวมันทันที   
ผลปรากฏว่ามันร้องดังลั่นพร้อมทั้งบินขึ้นไปบนฟ้าอีกคราหนึ่ง   และแล้วมันก็หุบปีกถลาลงไปยังอีกฟากหนึ่งของชายป่าดงดิบ    
เสียงดังโครมครามๆเหล่าแมกไม้แตกกระจายไปด้วยแรงดิ้นของมัน
          เมื่อบรรดานกประหลาดเห็นเช่นนี้ ต่างก็รีบหุบปีกถลาเข้าใส่ชายหนุ่มทันทีส่วนเจ้าขนทองรีบไปแอบ
ยังด้านหลังของชายหนุ่ม    เมื่อได้ระยะก็ขว้างก้อนหินสีแดงเลือดงูยักษ์ใส่บรรดานกทั้งหลายด้วยความแม่นยำ
เสียงร้องอย่างโหยหวนดังลั่นป่า   ร่างนกประหลาดหลายๆตัวถูกก้อนหินสีแดงขว้าง ต่างก็ร่วงหล่นตายไปเกือบหมดสิ้น    
คงเหลือเพียงบางตัวเท่านั้นที่มันไม่กล้าเข้ามาด้วย
คงเห็นพวกมันต่างหล่นตายไป   
และแล้วมันก็ร้องก้องสะท้านท้องฟ้า
    เหลือประมาณสองสามตัวรีบบินหนีหายไปกับท้องฟ้าฝ่าก้อนเมฆหายไป
          หลังจากนั้นชายหนุ่มเมือเห็นบรรดาเหล่านกประหลาดหนีหายไปหมดแล้ว  จึงได้เดินไปดูซากร่างนกประหลาดตัวมันช่างใหญ่โตมากๆ   แต่สีมันช่างงดงามอะไรเช่นนี้เขาจึงทดลองถอนขนมันขึ้นมาขนที่นิ่มๆน่ารัก
ทำให้เขานึกได้ว่าเขาเองไม่มีเสื้อใส่   
หากนำขนนกนี้มาจัดทำเป็นเสื้อก็คงจะดี   
เมื่อมีความคิดเช่นนั้นจึงได้ถอน
นกทันทีเลือกเอาที่พอจะทำเสื้อใส่ได้

    เขานั่งจัดระเบียบขนแล้วใช้เอ็นร้อยผูกมัดพร้อมใช้มีดน้อยที่แสนคมตัด
ให้เป็นรูปร่างพอจะสวมใส่  ดูไปก็คล้ายๆเสื้อม่อฮ่อมของชาวเชียงใหม่ไม่ผิดแต่ความละเอียดนั้นไม่มีเพียงแค่
พอสวมใส่ได้เท่านั้น    แต่สีสันมันยามกระทบกับแสงอาทิตย์ช่างส่งประกายแวววาวสดใสหลากสีสวยงามนัก
          ครั้นจัดการกับขนนกประหลาดแล้วเขาก็นำมาสวมใส่   ทำให้ร่างกายเขาแลดูสง่างามประกอบกับใบหน้า
ที่คมขำเรียกว่าหล่อก็ไม่ปาน
    เข้ากับเคราหนวดที่เขียวครึ้มผมที่ถูกมัดยาวไว้เบื้องหลัง
แปรเปลี่ยนสภาพเขาไปเสียสิ้น   เมื่อทุกอย่างพร้อมเรียบร้อยแล้วจึงออกเดินทางต่อเจ้าขนทองมองร่างเขาด้วยความประหลาดใจนัก
พลางออกนำหน้าลัดเลาะผ่านทางเดินที่คล้ายๆกับมีคนทำทางไว้ให้แล้ว   
เพื่อมุ่งสู่ปราสาทที่แลเห็นแต่ไกล
           
           อากาศเริ่มเย็นขึ้นด้วยเวลาตกล่วงบ่ายไปแล้ว  พระอาทิตย์ส่งแสงเหนือยอดเขาไม่มากนัก    หากยังไม่ถึง
ปราสาทเห็นทีจะต้องหาที่พักแล้วออกเดินทางต่อไป  ดังนั้นจึงรีบเดินทางแต่ไม่ค่อยจะรีบร้อนสักเท่าไหร่ ส่วน
เจ้าขนทองก็พุ่งหายไปสักพัก   พร้อมกลับมาด้วยผลไม้แปลกๆที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนเลยแต่คิดว่าคงจะกินได้
ด้วย   เจ้าขนทองเป็นสัตว์ที่แสนฉลาดย่อมจะล่วงรู้ว่าผลไม้ใดกินได้หรือไม่ได้จึงไม่ค่อยสนใจมากนัก
           ครั้นตกเวลาเย็นเขาก็มาถึงที่บริเวณปราสาท   หน้าปราสาทเป็นลานกว้างๆบริเวณเป็นกำแพงกั้นล้อมรอบ
แต่ทว่าแตกหักทะลายไปทั่ว   และบริเวณปราสาทซึ่งบางส่วนหักพังไปตามกาลเวลา  แต่ยังมีส่วนหลงเหลืออยู่
บ้าง       แต่เขาต้องชะงักทันทีด้วยหน้าปราสาทส่วนที่ดีและยอดปราสาทกับมีบรรดาลิงจำนวนมากมายนัก

            ดังนั้นเขาไม่กล้าเข้าไปใกล้ๆนักได้แต่ยืนมอง  ทันใดนั้นเหล่าลิงเมื่อเห็นร่างชายหนุ่มพร้อมเจ้าขนทอง
ต่างก็วิ่งพรูกันเข้ามาแยกเขียวบ้างตีลังกาทะยานตัวนำหน้ามา    เจ้าขนทองเห็นเช่นนั้น ก็พุ่งร่างทะยานใส่ทันที
พร้อมแยกเขี้ยวแก้วมันออก  แสงของเขี้ยวแก้วกระทบกับแสงอาทิตย์ส่งประกายใสแวววาวทำให้บรรดาเหล่า
ลิงที่เฝ้าปราสาทอยู่ต่างชะงักไปหมดสิ้น   เสียงขู่ที่คำรามกึกก้องต่างหยุดชะงักมันมองมายังเจ้าขนทองร่างมัน
ทั้งหมดเล็กกว่าเจ้าขนทองมากนัก   พากันตีลังกาถอยหลังไปทันที

            เมื่อเป็นเช่นนั้นชายหนุ่มเห็นเจ้าขนทองกู่ก้องพลางขย่มร่างมันไปๆมาๆ ยิ่งทำให้บรรดาลิงทั้งหลายต่าง
ก็รีบเผ่นหนีทันที   ชายหนุ่มอดหัวร่อออกมาเสียมิได้เนื่องจากเห็นอาการลิงเหล่านี้ต่างแสดงอาการดุร้ายแต่พอ
พบเจ้าขนทองกับกลัวเจ้าขนทองเผ่นหนีไปละทิศละทางจ้าละหวั่น  เหลือจะเป็นด้วยอำนาจของมันสู้เจ้าขนทอง
ไม่ได้จึงเกรงกลัว       สักครู่ใหญ่ๆก็มีเสียงดังกังวานขู่ของลิงเข้ามาจากภายในปราสาทร่างที่ปรากฏเป็นร่างลิง
ขนาดพอฟัดพอเหวี่ยงกับเจ้าขนทอง    แต่ทว่าขนทั้งตัวมันเป็นสีขาวเป็นสำลีส่งประกายแววสดใสมันพุ่งร่างเข้าหาเจ้าขนทองทันที    เหล่าบรรดาลิงทั้งหลายต่างๆก็ขย่มร่างขู่ด้วยพอเห็นเจ้าลิงขนสีขาว
       ชายหนุ่มคิดว่าคงจะเป็นหัวหน้าของบรรดาเจ้าลิงทั้งหลายเหล่านี้แน่นอน
พอร่างเจ้าลิงขาวทะยานมาถึง    ก็พุ่งร่างเข้าใส่ร่างเจ้าขนทองทันที   เจ้าขนทองหาเกรงกลัวใดไม่ต่างตัวต่าง
ฟัดกันต่อสู้กันชุลมุนไปหมด  แต่ร่างเจ้าลิงขาวนั้นรู้สึกจะเสียเปรียบเจ้าขนทองเล็กน้อยพละกำลังเจ้าขนทอง
มีมากกว่าเจ้าลิงขาว  ด้วยเหตุที่เจ้าขนทองกินดีงูยักษ์เข้าไปทำให้เกิดพละกำลังมหาศาลความได้เปรียบเสีย
เปรียบสักครู่ใหญ่    ก็ปรากฏผลแพ้ชนะขึ้นด้วยร่างเจ้าลิงขาวปะทะสู้เจ้าขนทองไม่ได้ถูกเจ้าขนทองกัดและ
สะบัดร่างมันกระเด็นยามปะทะกันทุกๆครั้งไป  จนร่างสีขาวมันเปื้อนเลือดแดงปนขาวไปทั่ว 

       ทางด้านเจ้าขนทองหาได้มีบาดแผลแต่ประการใดไม่    ชายหนุ่มบังเกิดความสงสารเจ้าลิงขาวขึ้นมา
ก็เรียกเจ้าขนทองให้กลับมา   ไม่เช่นนั้นเห็นทีเจ้าลิงขาวก็คงจะต้องจบชีวิตภายใต้เขี้ยวแก้วแน่นอน  เมื่อเจ้า
ขนทองได้ยินเสียงเรียกเช่นนั้น   มันก็พุ่งทะยานเข้ามาหาเขาทันทีแต่ยังส่งเสียงขู่คำรามเหมือนจะบอกเจ้าลิง
ขาวว่าหากชายหนุ่มไม่เรียกก่อนมึงตายแน่  ชายหนุ่มคิดพลางหัวร่อ   
              ทันใดนั้นเสียงตวาดดังกึกก้องของชายร่างชราที่ปรากฏร่างก้าวออกมาเรียกเจ้าลิงขาวทันทีเจ้าลิง
ขาวครั้นได้ยินเสียงเรียก  ก็หันหลังพุ่งร่างมาหาชายชราที่มีใบหน้าอิ่มเอิบและเคราหนวดผมเป็นสีขาวโพลน
ไปทั่วศีรษะ พลางลูบไปยังหัวเจ้าลิงขาวพลางหลับตาร่ายมนต์เป่าไปยังร่างเจ้าลิงขาวทันที  บาดแผลต่างๆ
ของเจ้าลิงขาวก็รู้สึกว่าจะหายไปหมดสิ้น    ครั้นแล้วชายชราก็เขม่นมองมายังชายหนุ่มทันที   เมื่อชายชรา
มองเห็นร่างชายหนุ่ม  ดวงตาของชายชราคนนั้นก็พลันเบิกโพล่ง  พร้อมกล่าวคำอุทานออกมา..........

                      *   แก้วประเสริฐ.  *

n016.gif				
16 กุมภาพันธ์ 2553 14:56 น.

ลุ่มลึกอิสราวดี 21

แก้วประเสริฐ


            ลุ่มลึกอิสราวดี  21

    ร่างเสือร้ายไต่ลำต้นไม้ใกล้เข้ามาทุกขณะ   เมื่อก้อนหินสีแดงที่ขว้างไปกระทบร่างมัน
พลันร่วงหล่นทันทีหาได้ทำอันตรายแก่มันไม่      มันส่งเสียงคำรามกึกก้องลั่นยามค่ำคืนทำ
ให้เหล่าบรรดาสิงสาราสัตว์ต่างๆแตกตื่น  กระเจิงไปจนหมดสิ้น    ร่างมันก็คืนคลานเข้ามา
    ชายหนุ่มปลดคันธนูพร้อมทั้งโกร่งคันธนูกับลูกศรที่ส่งประการแวววาว  แล้วพลัน
ปล่อยหมายยังดวงตาอันใหญ่โตของเจ้าเสือร้าย     ลูกธนูไปสองดอกพุ่งออกพร้อมๆกัน  
พลันประกายตาวูบลง   แต่กลับลืมตาขึ้นมาอีกลูกธนูได้ร่วงหล่นไปยังโคนต้นไม้   หาได้
ทำอันตรายใดๆแก่มันได้
         ด้วยอาวุธของเขาทั้งสองนั้นผ่านการชุบธาตุกายสิทธิ์มาและเป็นเลือดของงูยักษ์
ที่ยากจะหาสิ่งใดต่อต้านมันได้   แต่คราวนี้ไม่อาจทำร้ายเสือร้ายตัวนี้เลย  ชายหนุ่มรำพึงคิด
เห็นว่ามันคงจะไม่ใช่สัตว์ร้ายธรรมดาไปเสียแล้ว   หรือเป็นดั่งแม่นางพรายกล่าวไว้ไม่ผิด
คราวนี้ชายหนุ่มชักใจไม่ดี    ส่วนเจ้าขนทองนั้นเหมือนมันจะรู้ได้รีบไต่ขึ้นไปบนยอดไม้
ทันที ร่างของแม่นางพรายก็ขึ้นไปนั่งยังกิ่งไม้ด้วยมองดูชายหนุ่มด้วยความเป็นห่วงใย

      คงเหลือเพียงแต่ชายหนุ่มคนเดียวที่คาคบไม้     ชายหนุ่มพลางดึงดาบที่อยู่เบื้องหลัง
ออกมา  แล้วยกดาบขึ้นจรดหน้าผากพลางร่ายพระเวทย์ทันที   พอดีกับเจ้าเสือร้ายที่ร่าง
มันคงกระพันนัก  ก็ไต่ขึ้นมาได้ค่อนตัว     แต่เนื่องจากคาคบไม้ไม่อาจจะให้มันเข้ามาได้
ทั้งหมดจึงเพียงขึ้นมาได้เพียงครึ่งเดียว  ท่อนร่างมันใช้เล็บเกาะต้นไม้ไว้แน่น ส่วนท่อนบน
มันกางเล็บข้างหนึ่งตะปบไปยังร่างของชายหนุ่ม    ที่ร่างพิงหลังกิ่งไม้ใหญ่พร้อมทั้งแยก
เขี้ยวอันใหญ่โตมือข้างเดียวไขว่คว้าตลอดเวลา   
คมเล็บมันเฉียดร่างชายหนุ่มซึ่งเอนหลบไปๆมาๆเท่าที่สามารถทำได้
         ดังนั้นชายหนุ่มจึงใช้ดาบที่ได้ร่ายพระเวทย์กำกับไว้แล้วฟาดไปยังมือเสือร้ายที่
หมายทำร้ายเขา   คราวนี้ได้ผลมือด้านที่ตะปบขาดจากกันหล่นไปยังโคนต้นไม้ เลือด
พุ่งสาดดังสายน้ำพุ   พุ่งเข้าใส่ร่างชายหนุ่มแดงฉานไปทั่ว     มันส่งเสียงร้องโหยหวน
เมื่อชายหนุ่มเห็นคมดาบได้ผล     ก็พุ่งร่างที่ปราศจากมือไขว่คว้าเข้าแทงไปยังร่างของ
เสือร้ายที่อยู่บนคาคบเพียงครึ่งเดียว   ดาบได้ทะลุออกด้านหลังพร้อมเลือดที่หลั่งไหล
ออกมามากมาย    ร่างของเสือร้ายคำรามลั่นแล้วหงายหลังตกลงไปยังโคนต้นไม้ทันที
           เมื่อเป็นเช่นนี้ชายหนุ่มไม่รอช้ารีบไต่เถาวัลย์ลงมายังพื้นดินเพื่อหมายที่จะกำจัดมัน
ด้วยโอกาสเป็นของเขา    แต่เสือร้ายทั้งๆที่เหลือมือมันข้างเดียวพลันใช้สามขากระโจน
ใส่ร่างเขาด้วยความดุร้ายเจ็บปวด   แต่ร่างมันกับลอยกลางอากาศแล้วหล่นมาอีกเมื่อเห็นว่า
ไม่อาจจะทำอันตรายแก่ชายหนุ่มได้     มันได้รีบหันร่างวิ่งกระโผลกกระเผลก
หนีหายไปยังป่าทึบทันที           พร้อมทิ้งรอยเลือดหยดไหลเป็นทางไป ตามใบหญ้าหากแต่   
 อากาศที่มืดมิด    ทำให้เขาไม่สามารถติดตามร่างเสือร้ายได้จึงจำเป็นต้องค้นหาจนพบ   
เก็บลูกธนูและก้อนหินสีแดงไว้พร้อมทั้งไต่ร่างที่ยังเปื้อนเลือดขึ้นไปยังต้นไม้อีกครั้งหนึ่ง    

           เขาคิดว่าหากเป็นพรุ่งนี้ก็จะติดตามไปฆ่ามัน  หากปล่อยไว้เสือที่ลำบากจะเป็นอันตราย
แก่ผู้ที่ผ่านมาต่อไป   ดังนั้นจึงรีบทำความสะอาดโดยนำใบไม้ที่เขาเอื้อมมาได้มาเช็ดรอยเลือด
ที่กำลังจะแห้งเป็นวุ้นๆ     ส่วนเจ้าขนทองเมื่อเห็นเจ้าเสือร้ายหนีไปแล้วก็ไต่ลงมาแล้วนำใบไม้
มาช่วยชายหนุ่มเช็ดรอยเลือดด้วย   นางพรายทั้งสองก็ลงมาช่วยเหลือด้วย พลางกล่าวว่า
         “น้องไม่อาจจะเข้าใกล้มันได้เลยท่านพี่  ด้วยมันไม่ใช่สัตว์ธรรมดาแต่เป็นการแปลงกาย
ของผู้มีวิทยาคมอันแก่กล้า   รังสีมันแผ่กระจายไปทั่วจนน้องทั้งสองไม่อาจจะเข้าใกล้มันได้จ๊ะ”
          “นั่นซิท่านพี่  หากไม่กำจัดมันก็จะเป็นเภทภัยอันใหญ่หลวงต่อไปนะ”  นางพรายเขียวตอบ
           “เจ้าน้องประกายทองก็เหมือนพวกน้องนี่แหละ   เขี้ยวแก้วมันไม่อาจจะทานฤทธิ์เดชของ
เสือร้ายแปลงนี้ได้ด้วย    มันอยากจะเข้าช่วยแต่ด้วยรังสีมันรุนแรงมาก
ไม่อาจจะเข้าใกล้ได้จ๊ะ” นางพรายแดงกล่าวเช่นกัน
           “แต่มันก็แพ้แก่ดาบนี้นะจ๊ะ”   ชายหนุ่มกล่าวบ้าง
            “อันดาบนี้ถูกปลุกเสกและทำจากธาตุอาถรรพ์นานัปการสามารถปราบภูตผีปีศาจตลอดวิทยาคม
และร่างที่คงกระพันชาตรีได้ด้วย   แล้วยิ่งท่านพี่ปลุกเสกซ้ำขึ้นอีกยิ่งทำให้มีฤทธิ์อานุภาพยิ่งกว่าเดิมจ๊ะ”
             “อ้อๆ????.....งั้นหรือ   ถึงว่าซิพี่เพียงแค่ฟาดไปครั้งเดียวมือมันก็ขาดกระเด็นตกไปยังโคนไม้ไว้
พรุ่งนี้เราค่อยไปดูก็แล้วกันนะ    พี่เองก็ใจเสียเหมือนกันที่เห็นลูกธนูและหินแดงไม่สามารถทำอันตราย
มันได้    หากดาบนี้ไม่สามารถทำอันตรายใดๆแก่มันได้พี่เองก็คงจะต้องจบสิ้นลงในคราวนี้แล้วนะ”
            “แต่น้องคิดว่าคนที่มีบุญบารมีอย่างพี่นั้น  จะต้องมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยคุ้มครองเสมอๆจ๊ะ”
            “น้องเชื่ออย่างงั้นหรือ”   ชายหนุ่มตอบพลางหน้าคิ้วขมวดทันที
            “จ้าท่านพี่ น้องเชื่ออย่างนี้เสมอมา     หากไม่เช่นนั้นน้องคงจะไม่มาคอยรับใช้ท่านพี่หรอก”
นางพรายทั้งสองกล่าว
            “เอาล่ะน้องทั้งสอง  พี่เพลียเหลือเกินขอพักผ่อนก่อนนะ  เดี๋ยวพรุ่งนี้เราไปพิสูจน์มือเจ้าเสือร้าย
อีกครั้งว่ามันจะแปรเปลี่ยนเป็นอะไรไป”   ชายหนุ่มกล่าว
             “จ้ะพี่....น้องจะคอยระมัดระวังให้หากมีอะไรไม่ชอบมาพากลก็จะรีบปลุกท่านพี่จ๊ะ”
 
        ชายหนุ่มหันไปลูบหัวเจ้าขนทองด้วยความเอ็นดูแล้วดึงร่างมันให้นอน  แต่มันไม่ยอมกลับลุกนั่ง
เสมือนมันยังตื่นเต้นต่อเหตุการณ์นี้อยู่อีก  ส่วนด้านชายหนุ่มเมื่อเอนกายนอนลงก็ผล๊อยหลับไปทันที
       จวบจนวันใหม่ย่างกรายเข้ามา  แสงอาทิตย์อ่อนๆก็สว่างไสวขึ้นค่อยๆสูงตามลำดับ  ความร้อน
กรายเข้ามา     ชายหนุ่มจัดการชำระล้างใบหน้าและฟันแล้ว ส่วนเลือดคงปล่อยให้แห้งกรังหากไป
พบลำธารก็จะนำมาซักชำระล้างร่างกายอีกที    เมื่อจัดการกับสัมภาระครบแล้วก็ชวนเจ้าขนทองไต่
ลงจากต้นไม้ใหญ่ทันที   ครั้นลงมายังโคนต้นแล้วเที่ยวค้นหาซากมือของเสือร้ายไม่พบกลับไปพบ
ท่อนแขนของมนุษย์แทน           ชายหนุ่มเบิกตาโพลงทันทีนึกถึงคำพูดของแม่นางพรายทันที
       ว่าเสือร้ายตัวนี้หาใช่สัตว์ใดไม่เป็นเสือแปลง   เห็นจะจริงด้วยสิ่งที่เขาเห็นเป็นท่อนแขนของ
มนุษย์ชัดๆ  เขานำกิ่งไม้ไปเขี่ยท่อนแขนนั้นขาดระหว่างข้อแขนขึ้นไป    จึงหันไปมองยังรอบๆ
บริเวณเห็นเป็นรอยแห้งกรังของเลือดที่จับตามใบหญ้าเป็นทางยาวเข้าไปยังป่าดงดิบ    ดังนั้นเขาจึง
จูงมือเจ้าขนทองสะกดรอยตามรอยเลือดซึ่งไหล      บ้างเป็นกองใหญ่เขาคิดว่ามันคงจะหยุดเลียแผล
หรืออาจจะใช้วิทยาคมห้ามเลือดแต่ไม่สามารถห้ามเลือดได้      ด้วยยังมีรอยหยดไปตามทางที่สูงบ้าง
ต่ำบ้าง 
           พอพ้นแนวป่าไม้เขาทอดสายตามองไป   เห็นเป็นวัดร้างวัดหนึ่งซึ่งเป็นรอยหักพังมิได้รับการ
เหลียวแลเลย  โบสถ์ทำด้วยไม้หาใช่อิฐปูนไม่  มีศาลาที่พุแทบพังและกุฎีสองหลังใกล้กับกับศาลานั้น
แต่รอยเลือดนั้นหายไปยังกุฎีหลังหนึ่ง   เห็นเณรกำลังเก็บกวาดใบไม้แห้งอยู่      ชายหนุ่มจึงเดินเข้า
ไปนมัสการเณรซึ่งรูปร่างสูงใหญ่หาใช่เด็กเล็กๆไม่   เมื่อเณรเห็นร่างชายหนุ่มก็ต๊กใจทิ้งไม้กวาดทันที
แต่ปากท่านยังกล่าวคำ
        “เจริญพรเถอะโยม”   เณรกล่าวขึ้น
         “อ้าวแล้วเดินทางมาถึงที่นี้ได้อย่างไรกันล่ะ   ในป่านี้เต็มไปด้วยสัตว์ร้ายต่างๆนะ   อาจารย์อาตมา
กับตัวอาตมาเองอยู่แค่สองคนเท่านั้น  แต่อาจารย์ท่านเก่งสัตว์ร้ายไม่สามารถเข้ามาในบริเวณเหล่านี้ได้”
เณรบรรยายให้ชายหนุ่มฟัง
           “ถ้าอย่างนั้นพวกท่านฉันท์อะไรเป็นอาหารล่ะ”
           “อ้อๆ...อาตมาก็ฉันท์ผลไม้แทนอาหารจ๊ะพ่อหนุ่ม”  เณรกล่าว
            “ตัวกระผมตามรอยเลือดมาเห็นหายไปยังกุฎีนั้นจ๊ะพ่อเณร”   ชายหนุ่มกล่าวขึ้น
     คราวนี้เณรน้อยสะอึกอ้ำๆอึ้งๆทันที  
              ชายหนุ่มชี้มือไปยังกุฎีที่เห็นข้างหน้านั้น   เดี๋ยวจะเข้าไปมนัสการท่านเสียหน่อย
          “อย่าเลยอาจารย์ท่านกำลังพักผ่อน”  เสียงเณรตอบสั่นๆ
           “ไม่เป็นไรหรอกพ่อเณร  ไหนๆมาถึงแล้วก็ไหว้พระเสียบ้างเพื่อเป็นสิริมงคล”  
ชายหนุ่มกล่าวขึ้น   แต่ก็ให้สงสัยอากัปกิริยาของเณรนั้นทันทีหรือว่าเขาคิด  อึอึ...
จะเป็นไปได้หรือ  แต่รอยเลือดมันฟ้องนี่นา  
 
         ดังนั้นชายหนุ่มยกมือไหว้ลาแล้วมุ่งหน้าไปยังกุฎีที่เห็นทันที    เณรเห็นดังนั้นก็เข้ามา
ขว้างหน้าไว้   คราวนี้เขาไม่สนใจแล้วผลักมือของเณรออกพร้อมตัวให้ห่างไป  แล้วรีบก้าว
เดินไปทันที   เณรจะเข้าขวางอีกแต่ถูกเจ้าขนทองแยกเขี้ยวคำรามหันมาใส่ทางเณร    ทำให้
เณรน้อยชะงักทันทีไม่กล้าก้าวเข้าทัดทานแต่อย่างไร
         ครั้นชายหนุ่มมาถึงบริเวณกระท่อมที่ปลูกเป็นกุฎีนั้นเห็นรอยเลือดกองเบ้อเริ่มก็แน่ใจ
ทันทีว่าพระในนั้นหาใช่พระธรรมดาไม่   คงจะสามารถแปลงกายได้แต่หากเป็นเช่นนั้นคง
จะแก้กล้าอาคมเป็นยิ่งนักและเมื่อสามารถฆ่าสัตว์ได้ก็หาใช่พระไม่แล้ว  ด้วยผิดศีลอย่าง
มหรรณ์ขาดจากความเป็นพระไปแล้ว  เขาคิดเช่นนั้นด้วยทราบมาว่าหาก  
 ผู้ใดร่ำเรียนมามากและผิดครูเมื่อใด    ยิ่งเมื่อเรียนวิชาอาคมมากๆเข้าคง
จะคุมตัวเองไม่ได้  หากสามารถแปลงกายได้    จะคืนกลับสู่ความเป็นคนแล้วต้องคอยตะวัน
ส่องแสงก่อนถึงจะกลับคืนร่างเดิมได้       แล้วชายหนุ่มก็ก้าวข้ามประตูเข้าไปในกุฎี
แต่เขาระมัดระวังตัว   พลันก็แลเห็นพระรูปหนึ่งนั่งคลุมร่างด้วยจีวรแต่แขนหายไปข้าง
หนึ่ง   หันหน้ามามองเขาด้วยความไม่พอใจด้วยสายตาดุร้ายนัก   
            “พลางตวาดว่า...มึงเข้ามาทำไมหรือยังไม่พอใจอีกหรือที่ทำกับกูเช่นนี้”  พระอลัชชี
กล่าวขึ้น
พร้อมทั้งปลดผ้าจีวรออกแต่     อนิจจาร่างท่อนร่างของพระอลัชชีรูปนั้นท่อนล่างยังเป็นเสืออยู่
อาจจะเป็นไปได้ว่าดาบอาคมของเขา   ทำให้วิชาของพระรูปนั้นเสื่อมได้ถึงไม่สามารถคืน
กลับสู่ร่างมนุษย์ดังเดิม   คืนได้แค่บางส่วนเท่านั้น   ร่างนั้นพลันยืนลุกขึ้นทันใด    
               ไม่เพียงเท่านั้นร่างนั้นได้กระโจนเข้าใส่ร่างชายหนุ่มทันที   จนร่างเขา
ต้องหงายหลังด้วยแรงผลักกระแทกอย่างรุนแรงเพราะร่างที่พุ่งมาแรงพละกำลังมาก
ต่างกอดรัดฟัดเหวี่ยงปล้ำกันพักหนึ่ง  ชายหนุ่มก็หลุดสะบัดร่างได้ถอยออกมา พร้อมกับ
    ชายหนุ่มชักดาบออกทันทีพร้อมตวัดดาบฟันไปยังร่างที่เป็นคนครึ่งเสือร้ายนั้น    
              เสียงร้องดังลั่นมือข้างเดียวที่ยังเป็นเสือเล็บได้ตะกรุยตะกายมายังร่างเขาที่ปราศจากเสื้อผ้า
ทำให้เกิดรอยแดงขึ้นทันที  ไส้ของเสือร้ายในร่างพระก็ทะลักออกกระจุยกระจายไปทั่วบริเวณกุฎี  
บ้างขาดวิ่นส่งกลิ่นคาวเลือดฟุ้งไปทั่ว   เสียงร้องอย่างโหยหวนเรียกเณรลูกศิษย์มันทันทีแล้วร่างมัน
ก็ล้มฟาดกับพื้นกุฎีสิ้นใจตายทันที
               เสียงร้องของเจ้าเสือร้ายในร่างอลัชชีดังนั้น   ปรากฏร่างเสือร่างน้อยได้พุ่งเข้ามา 
 เมื่อเสียงเรียกของอาจารย์มันร่ำร้อง     ยามเห็นร่างอาจารย์มันนอนสิ้นชีพลง
มันหันรีหันขวางแล้วก็กระโจนใส่ร่างชายหนุ่ม   ร่างที่ไม่ทันระมัดระวังและไม่คิดว่า
จะมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นถึงกลับหงายหลังดาบกระเด็นหลุดจากมือ    
เจ้าเสือร้ายในร่างเณรก็คร่อมบนร่างเขาพร้อมแยกเขี้ยวเข้าเพื่อขบกัด   เจ้าขนทองเห็นเช่นนั้น   
 ก็พุ่งร่างไปยังบนหลังเสือฝังเขี้ยวแก้วมันกัดกระชาก ทำให้เสือร้ายนั้นหันขวับมายังร่างเจ้าขนทอง
ทันทีพร้อมส่งเสียงร้องคำราม  แต่ร่างมันยังคร่อมร่างชายหนุ่มอยู่
               เมื่อได้จังหวะเช่นนี้เขาไม่รอให้โอกาสทองผ่านไปจึงชักมีดน้อยที่เหน็บไว้ข้างเอวแทงไปยังหน้าท้อง
เสือน้อยทันที   พร้อมทั้งคว้านไปทั่วบริเวณท้องน้อยมัน   ไส้ได้ทะลักออกมาร่างเขาเต็มไปด้วยเลือดและลำไส้
เจ้าเสือน้อยก็ล้มฟุบทับบนร่างร่างหนุ่มทันที    เจ้าขนทองเห็นเช่นนั้นก็กระโจนออกพร้อมดึงหางเสือที่สิ้นชีพ
แล้วดึงร่างมันออกมาด้วยพละกำลังมหาศาล     จนพ้นลำตัวของชายหนุ่ม
              ชายหนุ่มก็ลุกขึ้นและมองไปยังร่างเสือน้อยและเสือใหญ่   เมื่อทั้งสองสิ้นชีพไปแล้วอาคมก็เสื่อม 
 ร่างค่อยๆกลายเป็นร่างของพระและเณร    เขามองดูด้วยความเวทนานัก    พลางคิดว่านี่แหละหนาการร่ำเรียน
อาคมมากๆเข้าถึงแม้จะสามารถแปลงกายหากผิดครูย่อมจะเข้าสู่ตัวและไม่สามารถควบคุมวิชาอาคมได้  คงจะ
ร่ำเรียนวิชาเสือสมิงเป็นแน่แท้   
            เขาจึงจูงมือเจ้าขนทองออกมานอกกุฎีนั้นทันทีพร้อมทั้งจุดไฟโดยนำหญ้าที่
แห้งและกิ่งไม้ที่ร่วงหล่นมาสุมที่กุฏซึ่งหลังคาทำด้วยใบหญ้าอยู่แล้วเป็นเชื้อเพลิงทันที    ไฟก็ลุกไหม้กุฎีสอง
หลัง      เขายืนดูห่างๆจนแน่แก่ใจว่ามอดไหม้หมดสิ้น     
ส่วนศาลาและโบสถ์ไม้นั้นเขาคงปล่อยไว้ตามเดิมไม่กล้าทำลาย    
พลางจูงมือเดินเข้าไปยังโบสถ์กราบพระปูนองค์ไม่ใหญ่นักขอขมาต่อสิ่งที่ได้ล่วงเกินแล้ว
ก็แผ่อุทิศส่วนกุศลที่เขาพึงมีให้แก่  พระและเณรด้วย     เพื่ออย่าได้จองเวรกันและกันเมื่อเรียบร้อย
แล้วก็ออกจากสถานที่นี้ 
            หาทางลัดเลาะเพื่อให้พ้นภูเขาลูกนี้ต่อไป    เสียงน้ำไหลได้ยินมาอย่างชัดเจนจึงต่าง
ได้มุ่งตรงไปยังเสียงที่ได้ยิน   เห็นเป็นแอ่งน้ำกว้างใหญ่ที่มีลำธารไหลมายังแอ่งน้ำและไหลลงไปยังเบื้องล่าง
  เขาจึงได้จัดการวางสัมภาระไว้แล้ว เปลื้องกางเกงออกพร้อมลงไปอาบน้ำชำระ
ล้างเลือดที่แห้งกรังของเสือร้ายที่เปื้อนไป
ทั่วตัวออกจนน้ำที่ไหลแดงฉานไปทั่ว   ค่อยๆไหลรินหายไปทั้งสองได้อาบน้ำและหยอกล้อกันภายใน
แอ่งน้ำใหญ่อย่างสำราญใจ............

                    *  แก้วประเสริฐ.  *

n016.gif				
15 กุมภาพันธ์ 2553 14:00 น.

ลุ่มลึกอิสราวดี 20

แก้วประเสริฐ


            ลุ่มลึกอิสราวดี  20

     ทั้งสองต่างหยอกล้อกันเพื่อแก้เหงาและมองดูทัศนียภาพอันสวยสดงดงาม
ยิ่งนัก  เมื่อบัดนี้ชายหนุ่มหลังจากโกนหนวดเคราแล้ว ใบหน้าเขาผิดแผกกับ
ตอนแรก    แลดูคมขำสง่างามยิ่งนักยิ่งผมซึ่งเกล้ารัดกับหนังศีรษะปล่อยปลาย
ผมไว้ด้านหลัง  ประกอบกับร่างที่ปราศจากเสื้อผ้ามีแค่เพียงคันธนูดาบกับกระบอก
ที่ใส่ลูกธนูซึ่งมีประกายหลากสีสดใสสวยงามลอดออกมา      กับเอ็นที่ห้อยดาบไว้
ที่สะพายแล่งไว้ไหล่ทั้งสองข้างห้อยด้วยกระบอกน้ำและเถาวัลย์ที่คล้องอยู่
       ยิ่งทำให้ดุจเหมือนนักรบโบราณ  มีดน้อยก็เหน็บไว้ที่ผ้าคาดเอวฝักสอดภายใน
กางเกงขาสั้นที่ถูกตัดออก   ส่วนเท้านั้นเดินเท้าเปล่า  
ร่างที่ผึ่งผายของเขาหากหญิงใดพานพบก็จะต้องอดที่จะชำเลืองมองเสียมิได้    
แต่ในที่นี้เขามีแค่เพียงเจ้าขนทองและนางพราย   หากมาเห็นสภาพนี้ไม่รู้ว่านางจะ
กล่าวประการใด   ซึ่งเวลานี้นางยังอาศัยอยู่ในฝักดาบและมีดน้อยเท่านั้น
       เมื่อเดินไปตามทางที่ราดด้วยก้อนหินกรวดเล็กๆน้อยๆใหญ่บ้างเล็กบ้าง
จนมาสุดปลายทางเป็น    ปากถ้ำใหญ่แต่ถูกปิดไว้ด้วยก้อนหินมากมาย
        ชายหนุ่มไม่อยากเสียเวลาไปเปิดปากถ้ำ  ถึงแม้นว่าจะสงสัยก็ตามทีแต่เขาเพียง
แค่มองดูและหาหนทางเดินต่อไป  ก็พบเป็นทางเล็กๆที่ทอดเข้าสู่ป่าลึกเป็นทางที่ปกคลุม
ด้วยวัชพืชน้อยๆ      ส่วนสองข้างทางเป็นต้นไม้ใหญ่ส่งกิ่งก้านปกคลุมเห็นเพียงแค่
แสงอาทิตย์ที่เล็ดรอดสอดส่องเท่านั้น      นี่ก็ตะวันเกือบจะบ่ายคล้อยแล้ว
        ดังนั้นชายหนุ่มจึงจูงเจ้าขนทองเลี่ยงหลบลงข้างทางเดินไปตามทางแคบเล็กๆ
จะว่าเล็กก็ไม่เชิงนัก  หากคงจะเป็นทางของม้าสวนผ่านไปมาได้เท่านั้นเอง

            ในระหว่างเดินไปตามทางนั้นได้ยินเสียงนกต่างๆร้องขานรับกันทำให้เขาเกิดอารมณ์
สุนทรีขึ้นมา   สายลมที่พัดพาเอาอากาศที่แสนจะสดชื่น  ล้วนแล้วแต่ทำให้เขาจิตใจสงบ
เยือกเย็นมากทุกๆสิ่งล้วนแล้วแต่บริสุทธิ์ปราศจากมลทินใดๆ      ทำให้เขานึกถึงเหตุการณ์
ที่ผ่านมาในอดีตเสียมิได้    แต่มิอาจจะกลับไปได้อีกแล้วตั้งแต่เขาค้นหาทางกลับจนป่านนี้
ยังไม่มีวี่แววเอาเสียเลย   จำต้องปล่อยให้เป็นไปตามเหตุการณ์นั้น
          โดยบัดนี้เขาทิ้งอดีตไปเสียแล้ว    หากนำมาเปรียบเทียบกันแล้วปัจจุบันนี้ล้วนแล้ว
แต่ธรรมชาติที่แสนสะอาดบริสุทธิ์   ทุกอย่างเป็นสิ่งที่ธรรมชาติมอบไว้ให้แก่มวลมนุษย์
ที่งดงามดีกว่าในเมืองที่มีความศิวิไลย์เสียอีก  ซึ่งอุดมไปด้วยความหลอกลวงร้อยเล่ห์มากนัก
คนด้อยปัญญามักจะถูกคนที่มีปัญญามากว่ากดขี่ข่มเหงตลอดเวลา   หลากเล่ห์ร้อยแปดพันเก้า
ชิงดีชิงเด่นหลงมัวเมาในอำนาจตัวเอง  เป็นคนเห็นแก่ตัวไม่มีความเมตตาสงสารคนอื่นๆเลย

          ส่วนสถานที่นี้กับเพียบพร้อมไปด้วยความสดใสสะอาดบริสุทธิ์นัก   ถึงแม้ว่าจะมีการ
ฆ่ากันก็เพียงเพื่อเป็นอาหาร  เมื่ออิ่มแล้วก็ไม่ทำลายกันอีก     ผิดกับในเมืองเสียสิ้นที่มีแต่ความ
โลภไม่เพียงพอรู้จักหมดสิ้นไป    เขานึกแล้วต้องรีบสะบัดศีรษะเบาๆเพื่อขจัดสิ่งทั้งหลายที่
สอดแทรกเข้ามาให้ละลายไป      เสียงสวบๆพุ่งตรงเข้ามาแต่เขาหาได้รู้สึกตัวไม่ด้วยมัวแต่นึก
ถึงเรื่องในอดีตไปเสียสิ้น   จวบจนได้ยินเสียงร้องของเจ้าขนทองกู่ก้องคำราม
นั่นแหละเขาถึงได้รู้สึกตัวหันไปมอง  

         แต่ช้าไปเสียแล้วร่างทะมึนยังกับขุนเขาเล็กๆขนาดย่อมๆพุ่งตรงเข้ามาหาเขาทันที   เพียงแค่
ชั่ววูบของสายตา   ร่างเขาก็ถูกขวิดกระเด็นลอยสูงไปในอากาศเสียแล้วแต่ด้วยการฝึกฝนมาและ
ผ่านการต่อสู้มาแล้วทำให้เขา   พลิกร่างในกลางอากาศเอื้อมมือไปคว้ายังกิ่งไม้   แต่ก็ทำให้เขา
รู้สึกเจ็บไปแถวชายโครงด้านซ้ายมือ    เมื่อเหลือบมองลงไปเห็นเป็นกระทิงเปลี่ยวร่างออกสี
น้ำตาลอมดำ   เขาของมันสีน้ำตาลยาวแหลม    แต่อีกเขาหนึ่งกับรู้สึกว่าสั้นไปกว่าเขาที่ยาว
แหลมคมมีขนขึ้นบริเวณรอบๆเขาแหลมของมัน   ตัวมันช่างใหญ่โตยิ่งนักผิดกับกระทิงทั่วๆไป

          เจ้าขนทองพุ่งร่างหลบหลีกการขวิดของกระทิงไปๆมาๆแล้วกระโดดขึ้นไปบนหลังมันทันที
แต่เจ้ากระทิงตัวใหญ่หาได้ย่นย่อไม่ มันสะบัดร่างเจ้าขนทองจนกระเด็นเข้าพงหญ้าไปทันที
แล้วพลันหมุนตัวมันพุ่งก้มหัวมันเสียงดังฟืดๆๆดังลั่นจากปลายจมูก   มันก้มหัววิ่งตรงไปยังร่าง
ของเจ้าขนทอง      ถึงแม้ว่าร่างมันจะใหญ่โตนักแต่ความรวดเร็วหาได้ลดหย่อนตามลำตัวมันไม่
เจ้าขนทองกลิ้งตัวกระโดดคว้ากิ่งไม้หลบหลีกทันทีพร้อมร้องเสียงขู่ก้องคำราม

กระโดดไปๆมาๆเพื่อจะหาทางที่จะไปต่อสู้กับมันอีก  เจ้ากระทิงก็สะบัดหัวมันไปๆมาๆรี่เข้าใส่ยัง
ร่างเจ้าขนทองอีกครั้งหนึ่ง   เจ้าขนทองรีบกระโดดหลบไปทางด้านขวามือคว้าเถาวัลย์แกว่งตัว
มันไปมาแล้วดึงหางเจ้ากระทิงพร้อมทิ้งตัวลงบนหลังแล้วแยกเขี้ยวกัดบนหลังกระทิงทันที
คมของเขี้ยวแก้วฝังลึก   มันกระชากจนเกิดแผลเหวอะหวะหลายแห่งเลือดไหลหลั่งมากมาย 
  ยิ่งทำให้เจ้ากระทิงเกิดอารมณ์บ้าระห่ำ   มันขวิดต้นไม้ที่ขวางหน้าแตกกระจาย
แล้วเอาร่างมันถูเข้ากับต้นไม้ใหญ่    เจ้าขนทองจำเป็นต้องกระโดดขึ้นต้นไม้ทันที
         ชายหนุ่มไต่ไปตามก้านกิ่งไม้แล้วค่อยๆไต่ลงมา  เขากุมมือไปยังชายโครงซ้ายที่ออกบวมๆแต่
ไม่มีเลือดสักหยดเดียวทั้งๆที่ถูกเขาอันแหลมคมขวิดเต็มที่หรือว่าร่างเขาจะคงกระพันชาตรีไปเสียแล้ว
หรือว่าฟลุ๊ค  แต่มันไม่น่าเป็นไปได้นี่นาเขาคิด   แล้วพลางปลดคันธนูพร้อมหยิบลูกธนูที่มีแสงประกาย
แวววาวสดใสออกมาทันที      ครั้นชายหนุ่มลงมาจากต้นไม้ได้ก็ส่งเสียงเรียกทันทีเมื่อเขาพร้อมแล้ว
        เจ้ากระทิงครั้นได้ยินเสียงพลางหันขวับมาทางเขา    แล้วตระกรุยขาหน้าจนเศษดินกระเด็นไป
ข้างหลังเป็นหย่อมๆแล้วก้มหัวมันพุ่งมาหาเขาทันที     
  
            ชายหนุ่มออกมายืนจังก้าพลางน้าวสายธนูที่มีลูกธนูถึงสามดอกทันที   พร้อมคอยรอจังหวะมัน
รอจนเข้ากระทิงพุ่งเข้ามาในระยะของธนูแล้วเขาก็ปล่อยสายธนู    เสียงดังหวีดหวิวๆๆลูกธนูพุ่งเข้าสู่เป้า
ทันที    ด้วยตัวมันใหญ่ดวงตาโปนโตของมันที่จ้องมาทางเขาลูกธนูสองดอกเข้าสู่ดวงตามันทันที   อีกลูก
หนึ่งเข้าเสียบยังแสกหน้ามันช่วงต่ำกว่าเขาเพียงเล็กน้อย    ด้วยแรงพุ่งทะยานมาความรวดเร็วหาได้
หยุดร่างของมันไม่       ชายหนุ่มรีบกระโจนหนีบังต้นไม้ใหญ่ทันที   ร่างเจ้ากระทิงพุ่งเฉียดร่างเขาไปนิด
เดียว    ร่างมันเลยพุ่งตรงไปยังต้นไม้ใหญ่อีกต้นหนึ่งขนาดไม่ใหญ่นักกระแทกจนต้นไม้นั้นหักสะบั้นลง
ทันที   มันยืนอยู่สักครู่หนึ่งขาหน้าค่อยๆทรุดลงและนอนหมอบลงตรงนั้น

            ชายหนุ่มคิดมันคงจะสิ้นชีวิตเสียแล้วกระมัง   แต่กระนั้นเขาก็ยังไม่กล้าเข้าไปใกล้ตัวมันนักเพียงรอ
คอยสักพัก   เข้าขนทองกระโดดเข้ามาเกาะแขนเขาทันที   ชายหนุ่มรู้สึกปวดชายโครงซ้ายถึงกับทรุดร่างลง
นั่งทันทีพลางมองดูเห็นเป็นรอยเขียวช้ำๆปูดออกมา  พลางเอามือขยี้รอยปูดที่เขียวเขาต้องร้องออกมากด้วย
ความเจ็บปวด     เจ้าลิงขนทองเห็นเช่นนั้นมันพลางตีลังกาแล้วกระโจนหายไปในพงไม้ทันที   เขามองดูรอย
ช้ำเป็นปืดๆใหญ่ๆตามลักษณะปลายเขาของมัน   ค่อยๆขยี้ใบหน้าแหย่เกด้วยความเจ็บปวด  อาการปวดเริ่มจะ
รุนแรงยิ่งขึ้นเพราะความช้ำของเนื้อ   เขาถึงกับค่อยๆเขยิบร่างเข้าพิงกับต้นไม้ใหญ่ไม่สนใจร่างของเจ้ากระทิง
           เวลาผ่านไปสักครู่ใหญ่ๆเจ้าลิงขนทองก็กลับมาพร้อมกับใบไม้ลักษณะแปลกๆมีขนตามใบด้วย  เมื่อมัน
มาถึงก็เคี้ยวใบไม้ที่มีขนนั้นทันทีแล้ว  นำมาส่งมอบให้เขา   ด้วยความที่เคยชินและอยู่ด้วยกันมานานทำให้เขา
ล่วงรู้ถึงการกระทำของมันเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง   จึงได้นำมาพอกยังที่มีรอยช้ำเขียวๆทันที   พอใบไม้ที่ถูกเคี้ยว
แหลกโดยเจ้าขนทองกระทบกับผิวหนังเขา   

         ความเย็นได้แผ่ซ่านออกมาทันทีมันดูดตุบๆอาการปวดค่อยๆเริ่มทุเลา   จน เวลาผ่านไปสักอึดใจเดียว
อาการปวดดังกล่าวก็หายไปยังกับปลิดทิ้งพร้อมอาการบวมก็ยุบทุกเลาขึ้น
แทบเป็นปกติ       เขานั่งคอยสักพักจนแน่แก่ใจแล้วว่าเป็นปกติดีจึงได้กล่าวขอบใจเจ้าขนทองแล้วดึงร่างมัน
เข้ามากอดแล้วจูบไปที่หัวมันเพื่อแสดงถึงความขอบใจ   เจ้าขนทองเงยหน้าขึ้นแยกเขี้ยวเหมือนรับรู้อาการที่
เขาแสดงต่อมัน      
          เขาเดินไปยังร่างเจ้ากระทิงร่างยักษ์ทันทีเห็นมันนอนหงายข้างๆตั้งแต่ไม่ใดไม่ทราบได้
เขาจึงดึงลูกธนูสามดอกออกจากร่างมัน   แปลกเขาคิดธนูที่มีประกายหาได้มีเลือดของเจ้ากระทิงติดสักหยด
เดียว  ทั้งๆที่บริเวณนั้นนองเต็มไปด้วยเลือดเจ้ากระทิง     หากเป็นเมื่อก่อนนี้เขาก็คงจะเอาเนื้อมันมาทำอาหาร
กิน   แต่บัดนี้เขาได้ละเว้นเสื้อสัตว์ไปตั้งนานแล้วจึงไม่คิดจะกินเนื้อมันอีกต่อไป  แต่หนังมันคงจะเป็นประโยชน์
แก่เขาบ้างไม่มากก็น้อย   ดังนั้นจึงได้จัดการลอกหนังมันพร้อมเดินไปค้นหาลำธารน้ำเพื่อชำระล้างเลือดของมัน
ซึ่งเขาคิดว่าคงไม่ไกลนักด้วย     ก็ได้ยินเสียงน้ำไหลเบาๆจึงเดินค้นหาก็ปรากฏเห็น    
 มีสายน้ำลำธารที่แยกจากน้ำตกมา     หากไม่พบก็เห็นทีจะต้องโยนหนังกระทิงนี้ไปเสียด้วยเกรงจะเน่า

           ครั้นเดินไปสักหน่อยก็เห็นสายลำธารเล็กๆที่แยกมาจากน้ำตกจึงได้จัดการชำระล้างหนังกระทิงที่มีขนสี
น้ำตาลปนดำ  จนสะอาดแล้วนำขมิ้นในย่ามที่รู้สึกว่าจะแห้งไปบ้างออกมาทุบด้วยก้อนหินแล้วทาไปทั่วผืนหนัง
ด้านใน   นำไปตากแดดที่มีแสงแดงแรงจ้านั้น    แล้วมานั่งทานอาหารผลไม้กับเจ้าขนทองเพื่อรอเวลาให้หนังแห้ง
ก็จะได้ออกเดินทาง         
            ฉับพลันเขาได้ยินเสียงสัตว์นาๆชนิดกำลังกัดกันที่ยังร่างเจ้ากระทิงยักษ์เขาหันไปมองดูในระยะห่างนัก  เป็นพวกฝูงหมาป่ากำลังเห่ากรรโชกไล่งับเจ้าเสือลายพาดกลอนประมาณสองสามตัวที่กำลังกัด
กินร่างเจ้ากระทิงยักษ์อยู่ ส่วนพวกหมาป่าเพียงแค่เห่าไล่   แต่เจ้าเสือลายพาดกลอนหาได้เกรงกลัวมันไม่  บางตัว
คิดว่าคงรำคาญ   มันก็กระโจนเข้าใส่พวกฝูงหมาป่าราวประมาณสักสิบกว่าตัวที่ต่างแยกย้ายกันออกไป  ทำให้
พวกหมาป่าวิ่งหนีทันที   แล้วมันก็หันกลับมากินเนื้อต่อไป

           เขาคิดทันทีว่า  หากเขาได้เจอกับพวกหมาป่าซึ่งตัวมันไม่เล็กเอาเสียเลยเขาจะทำอย่างไรดี  ด้วยกิติศัพท์ว่า
สัตว์พวกนี้จะมากันและเข้าทำร้ายศัตรูมันเป็นพวกๆคราวละหลายๆตัว   เห็นทีคงจะต้องเหนื่อยแรงอีก  หากเขา
กำลังเจ็บช้ำอยู่นี้ไม่แน่ว่าจะสู้มันได้อีก  แต่สัญชาติสัตว์ป่าหากอิ่มหน่ำแล้วมันจะไม่ยุ่งเกี่ยวนอกจากมันจะหิว
เท่านั้นเองถึงจะออกหากินล่าเหยื่อต่อไป    เขารู้มาจากหนังสือที่เคยอ่านมาและเขาชอบอ่านด้วยเกี่ยวกับชีวประวัติ
ของสัตว์ป่าทั้งหลายสมัยยังร่ำเรียนหนังสืออยู่      แต่นี่เขาต้องมาประสบกับความจริงเสียแล้วโดยที่เขาคิดไม่ถึง
       จนเมื่อถึงเวลาคิดว่าหนังกระทิงคงจะแห้งแล้ว    ด้วยตะวันเริ่มจะคล้อยลงมากๆอากาศเริ่มจะสลัวๆจึงเดิน
ไปเก็บหนังกระทิงมาม้วนห่อไว้ด้วยเอ็น  ด้วยอากาศบริเวณแถวนี้ร้อนมากๆ   อาศัยเขาอยู่ภายใต้ร่มบังของเขา
และมวลแมกไม้จึงทำให้อากาศค่อนข้างจะเย็นบ้าง       ครั้นเตรียมตัวเสร็จแล้วเห็นว่าจะออกเดินทางต่อไปไม่ได้
จึงเที่ยวค้นหาสถานที่เพื่อใช้ในการพักผ่อน   

         ดังนั้นจึงปีนขึ้นไปยังไหล่เขาอีกครั้งหนึ่งเพื่อค้นหาถ้ำหรือโพรงหิน  ตามบริเวณ ข้างๆภูเขาที่ราดทางเดิน
ที่พอจะอาศัยได้เพื่อหลุดพ้นจากสัตว์ออกหากินในกลางคืน   ด้วยเขาไม่ต้องการที่จะฆ่าพวกมันอีกแต่ค้นหาเท่าไร
ก็ไม่พบ   จึงย้อนกลับลงมาอีกครั้งเพื่อมองหาต้นไม้ใหญ่ที่พอจะอาศัยคาคบไม้ได้ในที่สุดเมื่อเดินลึกเข้าไปอีกไม่
เท่าใดนักก็เจอต้นไม้ใหญ่สูงมีคาคบกว้างใหญ่พอที่จะให้พวกเขาอาศัยได้ จึงได้ให้เจ้าขนทองจัดการเหมือนเก่า
แล้วรีบปีนขึ้นไป    ก็พอดีอากาศมืดมิดพอดีพอลงพักผ่อนได้สักพัก  ร่างนางพรายทั้งสองก็ปรากฏร่างขึ้นพลาง
ถามว่า  
       “พี่ท่านอาการเป็นอย่างไรบ้าง  น้องเองรู้แต่มิอาจจะช่วยเหลือได้อย่างไร  พอจะกระซิบบอกมันก็มาถึงตัว
ของพี่แล้ว”   นางพรายเขียวกล่าว
        “พี่ไม่เป็นอะไรหรอกจ้าน้องนาง  เจ้าขนทองได้ไปหาใบยามาสมานพอกให้แล้วตอนนี้เกือบจะหายดีแล้วจ๊ะ”
        “แต่คืนนี้ให้พี่ระวังตัวไว้ด้วยนะ   ด้วยจะมีสิ่งลี้ลับซึ่งน้องเองไม่สามารถจะช่วยอะไรได้   ด้วยมันแก่กล้า
ไสย์เวทย์มากจ๊ะ”   ชายหนุ่มถาม
        “น้องเองก็บอกไม่ได้จ้า  ด้วยมองเห็นเพียงแค่เลือนรางไม่ชัดเจนเท่านั้นเอง”  นางพรายแดงตอบ
         “จ๊ะแล้วพี่จะคอยระมัดระวังตัว   ขอให้น้องแจ้งพี่โดยเร็วหากพี่ผล๊อยหลับไปนะจ๊ะ”
         “จ้าๆ...น้องจะคอยเฝ้าดูแลทั้งคืนแหละ   ขอให้ท่านพี่นอนพักผ่อนเอาแรงเถอะ”
          “งั้นพี่ก็จะขอพักผ่อนล่ะจ๊ะ”  ชายหนุ่มกล่าว   
          พร้อมทั้งล้มตัวลงนอนแต่คำพูดของแม่นางพรายสาวแสนสวย  หาได้ทำให้เขาหลับลงไปไม่กลับคิดมาก
ยิ่งขึ้นว่าจะหาทางป้องกันตัวได้อย่างไรดี     จนเวลาผ่านไปๆชายหนุ่มก็เคลิ้มหลับไป


         กระทั่งเขาได้ยินเสียงกระซิบข้างหูเขาและนางเขย่าตัวพร้อมๆกัน   จึงรีบสะบัดใบหน้านั่งขึ้นทันที  หันไป
มองเจ้าขนทองเห็นมันตื่นขึ้นก่อนแล้วตามวิสัยสัตว์ที่ว่องไวต่อภัยทั้งหลาย     
        แสงจันทร์ทอกระจ่างเต็มดวงสาดส่องไปทั่งพื้นบริเวณของพื้นดิน ที่ต้นไม้ใหญ่ขึ้นห่างๆกัน   
กับต้นหญ้าน้อยใหญ่เป็นแสงสว่างที่มองแลเห็นพื้นที่แถวบริเวณนั้น      เสียงร้องโฮกๆปี๊ปๆๆๆ
ดังแว่วใกล้เข้ามา        
          สิ่งที่เขาเห็นมันเป็นร่างของเสือโคร่งขนาดใหญ่ประมาณสูงกว่าม้าที่เขาเห็นตอนต้นเสียอีก มันเดิน
ย่างสามขุม  ขู่คำรามลั่นร่างมันแลเห็นสีเหลืองคาดดำเด่นตานัก     หากกะความสูงมันเกือบจะถึงคาคบที่เขา
อาศัยอยู่ได้ไม่มากมายนัก      เมื่อมาถึงมันเดินวนเวียนไปๆมาๆรอบๆโคนต้นไม้แล้วแหงนหน้ามันขึ้นมอง
แปลกปกติแล้วนัยน์ตาสัตว์ที่กินเนื้อจะมักออกสีเขียวๆ  ส่วนสัตว์ที่ไม่กินเนื้อมักจะออกสีแดงเรื่อๆ    แต่ตา
มันกับดวงโตเกือบเท่าชามใบหย่อมๆหาเป็นสีเขียวปัด   มองดูกลับคล้ายๆแววตาของคนทั่วๆไปผิดกับสัตว์
ทั้งหลาย  แปลกๆเขาคิดหรือว่ามันจะไม่ใช่สัตว์ธรรมดา    พอมันแน่แก่ใจแล้วพลางกระโจนขึ้น
มายังคาคบที่เขาอาศัยทันที   
           ชายหนุ่มล้วงก้อนเลือดของงูยักษ์ที่ได้แปรสภาพกลายเป็นหินสีแดงออกมาแล้วก็
 ขว้างไปยังร่างของเสือร้ายที่สูงใหญ่ที่แลเห็นได้อย่างชัดเจนภายใต้แสงของพระจันทร์...........

                       *  แก้วประเสริฐ.  *

n016.gif				
14 กุมภาพันธ์ 2553 14:27 น.

ลุ่มลึกอิสราวดี 19

แก้วประเสริฐ


            ลุ่มลึกอิสราวดี  19

     ทันใดนั้นชายหนุ่มหลังจากฆ่าเจ้าพวกผีต่างๆไม่ยอมหมดสิ้นสักทีจนชักจะอ่อนล้า
ก็ให้นึกถึงท่านพญางูธนาธิบดีนาคาขึ้นมาได้     ที่มอบกระบองนาคราชกับมนต์กำกับ
จึงเอ่ยเรียกกระบองนาคราชทันที
      “นาคราชเอ๋ย   เจ้าจงออกมาซิ”   ชายหนุ่มกล่าวขึ้นทันที
ฉับพลันเกิดรังสีแสงพุ่งจากร่างของเจ้าขนทอง      มาสู่ยังอุ้งมือชายหนุ่ม
เมื่อเขารับกระบองมาไว้แล้ว    ก็ยกมือประสานเหนือหน้าผากพลางร่ายพระเวทย์มนต์
กำกับทันที       แล้วก็โยนกระบองขึ้นฟ้าออกไป
       กระบองนาคราชก็ส่งประกายแสงเจิดจ้า   แล้วแบ่งแยกออกเป็นจำนวนมากทันที
แต่ละกระบองต่างเปล่งรังสีเจิดจ้า      แยกกันเข้าทำลายเจ้าพวกผีต่างๆ    เพียงแค่ชั่วอึดใจ
ไม่ทันเท่าใด      
        เหล่าบรรดาผีร้ายทั้งหลายที่ต่างกระโจนหนีต่างร้อง ก๋อยๆๆๆกร๊วกๆๆๆ
แล้วเผ่นหนีทันทีแต่ก็ไม่สามารถรอดหลุดพ้นกระบองนาคราชไปได้  ต่างถูกแทงบ้างตีบ้าง
ร่างเหลวแหลกและหายวับไปจนหมดสิ้น     ไม่เท่านั้นยังไปทำลายพวกบ้านต่างๆจนพัง
พินาศสิ้น   เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวชายหนุ่มเข้าใจว่าคงจะเป็นที่เก็บของมันหรือไม่ก็
เป็นที่สร้างและพักอาศัยมันจึงผิดแผกไปจากการทำลายทั่วไปและมันถึงได้มีมากมายเช่นนี้


       ส่วนที่รบติดพันกับชายหนุ่มก็ถูกชายหนุ่มฆ่าตายลงมากต่อมาก    ด้านเจ้าขนทองก็กระโดด
ขบกัดด้วยเขี้ยวแก้วมันฆ่าไปอีกหลายสิบตัว  ส่วนด้านนายพรายนั้นซึ่งมีฤทธิ์เดชไม่เบาต่าง
ใช้อำนาจรังสีเข้าทำลายล้างเจ้าผีต่างๆมีอาจจะเข้าใกล้นางได้ ยามที่เจ้าผีเข้าไขว่คว้ามายัง
ร่างนางนั้นก็เพียงแค่คว้าลมเท่านั้น  ด้วยนางพรายทั้งสองเป็นภูตพรายหาได้มีตัวตนใดไม่
       ไม่นานนักกระบองนาคราชก็รวมตัวกันขึ้นเป็นหนึ่งเดียวแล้วพุ่งมาหายังชายหนุ่มทันที
ชายหนุ่มรับกระบองแล้วสั่งให้ไปพักยังที่เดิมได้  กระบองนั้นก็พุ่งเป็นแสงไปยังดวงแก้วที่
ถูกหุ้มห่อด้วยเอ็นแล้วหายไป
       ภายหลังจากปราบปรามเจ้าผีร้ายแล้วก็เป็นเวลาเลยเที่ยงคืนไปแล้ว   อากาศก็มืดมิดทันที
เนื่องจากบรรดาคบเพลิงต่างหายไปหมด   ชายหนุ่มจึงจำต้องจุดคบไฟขึ้นมาแล้วใช้ส่องทาง
เพื่อกลับไปยังคาคบ  เพื่อรอวันใหม่ต่อมาหาก   แต่เหตุการณ์ต่อสู้ต่างๆก็ถูกเล่าสนทนากัน
ครั้นแล้วแม่นางพราย    พรายแดงพลันกล่าวว่า
       “พี่ท่านนี่หากไม่ได้กระบองนาคราชของท่านท้าวพญาธนาธิบดีแล้วเห็นทีว่าเรายากจะ
จัดการเจ้ากองก๋อยและเจ้าโขมดหมดสิ้น  น้องทราบว่ามันมีแค่เจ็ดแปดตน  แต่เหตุใดมันจึง
เกิดขึ้นได้มากมายก็ไม่รู้หรือว่า   ฐานกำเนิดมันจะอยู่ในกระท่อมหรือหลังคามุงหญ้าเสีย
เป็นแม่นมั่น  ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นได้อีกนะพี่ท่าน”  
       “นั่นซิน้องรัก   พี่เองรับฟังจากน้องว่ามีแค่เจ็ดแปดตนก็คิดว่าคงไม่หนักหนาอะไร
แต่ที่ไหนได้กลับมาแทบไม่ขาดสายเชียวล่ะ”  ชายหนุ่มกล่าวขึ้นบ้าง
        “แต่ช่างเถอะในเมื่อเราสามารถทำลายมันหมดสิ้นก็ดีเหมือนกัน      ต่อไปคนที่จะมาที่
นี่ก็คงจะหมดปัญหา   เท่ากับเราช่วยทำบุญอนุเคราะห์มันให้ไปเกิดใหม่และช่วยเหลือคน
ที่อาจจะพลัดมาที่นี้เหมือนดังพวกเรานะน้องรัก”
         “จ๊ะๆ...พี่ท่านให้คิดว่าเราช่วยเหลือพวกมันก็แล้วกันนะจะได้ไม่ต้องกังวลใจอะไรไป”
         “ถ้าอย่างนั้นเราพักผ่อนกันได้แล้ว   ด้วยพรุ่งนี้จะต้องออกเดินทางและยังไม่รู้เลยว่าจะ
ต้องเจอกับอะไรๆอีก  เก็บกำลังเราไว้ก่อนดีกว่า   ส่วนน้องพี่ก็ไม่ต้องเฝ้าพี่หรอกคงจะไม่มี
อะไรเกิดอีกแล้วล่ะ   เพื่อกลางวันน้องจะได้มีพละกำลังมากอาจจะมาช่วยเหลือพี่ได้บ้างจ๊ะ”

          “อย่างนั้นตามใจท่านพี่ก็แล้วกัน แต่ เอ๊ะ????....แล้วน้องจะนอนได้ที่ใดในเมื่อสถานที
จำกัดเช่นนี้”
        “เอาอย่างนี้ก็ได้นะน้องรัก    น้องมานอนใกล้ๆกับพี่นี่แหละจ้า   อย่าคิดมากอะไรเลยนะ”
      ทำให้หญิงสาวทั้งสองถึงกับหน้าแดงทันที   แต่ด้วยใจที่มีส่วนสัมพันธ์กันมาอย่างลึกซึ้งจึง
เกิดความรักชายหนุ่มขึ้นทีละน้อยๆจนจะแนบแน่น   ก็บังเกิดความเอียงอายตามวิสัยอิสตรีทั่วๆไป
แต่หล่อนก็ไม่ขัดใจชายหนุ่ม   เมื่อชายหนุ่มล้มตัวลงนอนจึงได้เข้าไปนอนแนบข้างทั้งสองข้างทันที
        กลิ่นกายสาวหอมฟุ้งคล้ายดอกไม้ป่าโชยเข้ามายังจมูกชายหนุ่มทันที   แต่เขาก็บังคับอารมณ์ไว้
ได้มิได้ล่วงเกินไปกว่านี้  จนกระทั่งม่อยหลับไป


        พระอาทิตย์ส่องแสงบอกเวลาสายแล้วทาบทอส่องลอดช่องใบไม้ใหญ่มากระทบยังใบหน้าของ
ชายหนุ่มทำให้เขารู้สึกตัวพลางลุกขึ้น  ปรากฏว่าร่างแม่นางพรายหายไปแล้ว ส่วนเจ้าขนทองก็ไม่อยู่
เขาคิดว่ามันคงจะไปหาอาหารผลไม้มาให้  จึงได้รีบล้างหน้าชำระร่างกายอย่างลวกๆ  เสื้อผ้าเขานั้น
ขาดหมดสิ้นด้วยการต่อสู้กับพวกผีร้าย   
       เขาจึงถอดเสื้อออกโยนทิ้งไป  เหลือแต่ร่างกายที่บึกบึนปรากฏกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ
เหตุด้วยจากการฝึกฝนอาวุธโบราณและผ่านการต่อสู้มาทำให้ร่างกายของชายหนุ่มกำยำล่ำสันขึ้น 
  กลับเป็นร่างกายที่สมส่วนสมชายชาตรีประกอบกับร่างที่สูงได้ขนาดเขาเอง
แต่แล้วบังเอิญเขาจับไปยังบรรดาเคราและผมเผ้า  จึงคิดว่าเห็นทีเราจะต้องโกนมันเสียบ้าง
มันยาวจนเขาเกะกะรำคาญไปหมด  
         หากเขาหาสถานที่ลำธารน้ำได้ก็คงจะดีและคิดว่ามีดน้อยที่แสนคมนี้คงจะทดแทน
ใบมีดโกนได้  ปกติหากเป็นสถานทีก่อนนี้เขาจะไม่ยอมปล่อยให้มีหนวดเคราผมเช่นนี้เลย
เมื่อคิดได้เช่นนี้    ก็ต้องนั่งรอเจ้าลิงขนทองซึ่งยังไม่กลับมาและจัดเตรียมสัมภาระต่างๆ
ให้เข้าทีเข้ารอย      เขานั่งรอสักครู่ใหญ่ก็ปรากฏร่างเข้าลิงน้อยห้อยโหนกิ่งไม้และเดินมา
ถือของพะรุงพะรังเต็มไปด้วยผลไม้นาๆชนิด    เขารีบปีนเถาวัลย์ลงมายังข้างล่างทันทีเพื่อ
จะเข้าร่วมกินอาหารกับเจ้าขนทอง  
  
         ครั้นจัดการอาหารมือสายแล้วเขาก็ส่งสัญญาณให้เจ้าขนทองไปนำเถาวัลย์ที่ผูกไว้ลงมา
ในเมื่อทุกๆอย่างเสร็จสมบูรณ์แล้ว   ทั้งหมดก็เริ่มออกเดินทางไปตามไหล่เขาที่เต็มไปด้วย
หินขนาดเล็กใหญ่มากมาย    ลัดเลาะไปตามเหลี่ยมหินที่มีซอกพอจะเดินทางไปยังอีกฝั่งหนึ่ง
มุ่งตัดตรงไปเรื่อยๆ         เจ้าขนทองลุล่วงหน้าไปก่อน เมื่อเห็นทางจะไปได้มันจะหันมากวัก
มือเรียกเขาทันที
         ทันใดนั้นเขาได้ยินเสียงคล้ายๆน้ำไหลตกลงมารู้สึกดีใจมาก     ด้วยหลายวันนี้เขาไม่ได้
อาบน้ำชำระร่างกายเลยและน้ำในกระบอกก็แทบจะไม่เหลือมีเพียงติดในกระบอกเล็กน้อย
เท่านั้น      ครั้นไปตามทางที่เจ้าขนทองบอกพอพ้นก็เป็นเนินสูงไหล่ลาดพื้นดินเป็นแอ่งน้ำ
น้ำตกไหลมาจากภูเขาอีกลูกหนึ่งทัศนีย์ภาพช่างสวยสดงดงามอะไรเช่นนี้เขารำพึงกับตัวเอง
แต่มีสิ่งหนึ่งที่แสนประหลาดแก่เขา  คือเหนือบริเวณทางน้ำที่ไหลจากน้ำตกนั้น
     กลับเป็นแอ่งน้อยๆแต่มีควันและน้ำในแอ่งเดือดปุดๆๆประกายน้ำในแอ่ง
ถึงกับมีสีสันดั่งกับสายรุ้งมิปานหลากหลายสี      ยามกระทบกับแสงแดดแวววาวยิ่งนัก 
   เขาและเจ้าขนทองต่างเดินไปชมดูสิ่งที่เห็น   มันช่างงดงามราวอัญมณีในแอ่งน้ำ
คล้ายมีดอกไม้สีทองเคลือบด้วยแต่มีหลากหลายสีแวววาวสวยงามนัก   น้ำหลากสีคล้ายผุด
เดือดๆขึ้น       ด้วยความสงสัยต่อน้ำเหล่านี้ ชายหนุ่มจึงค้นหากิ่งไม้แห้งที่หล่นได้ขนาด
พอประมาณแล้วนำไปแหย่ลงในแอ่งน้ำทันที   


        เมื่อเขานำปลายไม้ที่จิ้มลงไปยังแอ่งน้ำหลากสีนั้นค่อนไม้เห็นจะได้มาดูเห็นประกาย
แวววาวหลากสีสดใส ติดกับไม้ที่แหย่ลงไป  ชายหนุ่มสังเกตว่ากิ่งไม้ที่นำไปแช่นั้น
กับคล้ายจะใหญ่กว่าไม้ที่ไม่ได้ถูกน้ำประหลาด   จึงทดลองหักดู
ปรากฏว่ามันหักได้ระหว่างขั้นที่ถูกน้ำประหลาดทันที   เขายกขึ้นมามองท่อนไม้ที่กลับมีสี
ประหลาดนั้นเห็นว่าภายในกิ่งไม้นั้นก็ตันคล้ายจะแน่นหนาจึงพิจารณาแล้วทดลองหักดู
กลับแข็งแกร่งไม่สามารถหักได้    จึงนำไปทดลองฟาดกับก้อนหินก้อนใหญ่ทันที
        ผลปรากฏว่าก้อนหินนั้นแตกแยกจากกันทันที    หรือว่านี่เป็นบ่อน้ำกายสิทธิ์ที่พวกเทพยดา
จัดสร้างขึ้นมาสร้างขึ้น   หรือเกิดโดยธรรมชาติไว้สำหรับชุบอาวุธบรรดาเทพทั้งหลาย
   ชายหนุ่มนึกรำพึงกับตนเอง    เมื่อคำนึงถึงเหตุการณ์เช่นนี้  เขาจึงนำท่อนไม้ที่ผ่านการชุบ
นำมาส่งมอบให้เจ้าขนทองทันที   เพื่อใช้เป็นอาวุธแก่เจ้าขนทอง     แล้วพลางปลดลูกธนู
ที่ทำจากไม้รวกตันออกมาทั้งหมดพร้อมคันธนูด้วย    พร้อมนำไปแช่ยังน้ำหลากสีทันที

        เมื่อจัดการกับลูกธนูและคันธนูจนหมดแล้ว     พลางหันหลังมองไปยังต้นไม้ใหญ่ข้างๆที่
ขึ้นโอบเรียงรายแอ่งน้ำนี้ไว้  แล้วพร้อมน้าวคันธนูและลูกธนูยิ่งไปยังต้นไม้ใหญ่   ลูกธนูหลากสี
แหวกอากาศเสียงดังหวิวๆๆ    เข้าทะลวงต้นไม้ใหญ่กว่าโอบ  ทะลุผ่านไปยังต้นไม้อื่นๆอีกหลายๆ
ต้น   ทำให้ชายหนุ่มถึงกับตะลึงในครั้งนี้ พร้อมทั้งอุทานเบาๆ    เขาไม่คิดว่าอานุภาพของธนูที่ผ่าน
การชุบน้ำประหลาดนี้จะมีอานุภาพมากมายเช่นนี้  

         ดังนั้นเขาจึงไปดึงเก็บลูกธนูออกมาช่างง่ายดายนักด้วยธนูมีความแหลมคม
มากกว่าตอนที่เขาเหลาปลายให้แหลมๆเสียอีก  ส่วนคันธนูก็มีความแข็งแกร่ง
เหนียวแน่นมากจนต้องใช้พละกำลังมากมาย   หากเป็นสมัยก่อนเขาคิดว่าคงจะไม่สามารถ 
จะโน้มน้าวคันธนูนี้ได้   แต่อานุภาพของเลือดและดีงูยักษ์ที่เขากินลงไปนั่นสร้างพละกำลังให้
แก่เขามากมายเกินกว่ามนุษย์ธรรมดาจะเป็นไปได้   
          หลังจากนั้นทั้งหมดก็เริ่มออกเดินทางค่อยๆไต่ไปตามหน้าผาไหล่หินที่ยื่นออกมาลงไปยัง
แหล่งน้ำทันที   ส่วนเจ้าขนทองนั้นไม่เป็นปัญหาแก่มันเลยมันถือกิ่งไม้ที่หลากสีแล้วกระโดดเกาะ
ไต่ลงไปยังเบื้องล่างได้อย่างง่ายดาย    เขาอีกซิต้องค่อยๆพยุงร่างไต่ตามมันไปเรื่อยๆจนในที่สุด
ก็ถึงเบื้องล่าง        สิ่งแรกคือการเก็บน้ำที่ดูใส่แต่ทว่าออกเขียวๆนิดๆใส่ลงในกระบอกน้ำทันที
ครั้นแล้วก็วางสัมภาระไว้ริมลำธารแล้วก็เปลื้องผ้าทั้งหมด  
 กระโจนลงไปยังลำธารที่ไหลมาตามซอกหินไหล่เขาที่น้ำตกไหลมา
                โดยลืมไปว่า   เขาไม่ได้อยู่แค่เจ้าขนทองแต่ยังมีนางพรายรวมอยู่ด้วย  เขาแหวกว่ายเล่นน้ำ
และกวักมือเรียกเจ้าขนทองให้ลงมาด้วย     เจ้าขนทองนั้นหาได้เกรงกลัวน้ำไม่มันกลับกระโจนแล้ว
ว่ายมาหาเขา   ต่างหยอกเย้าล้อเล่นกันโดยกวักน้ำเข้าใส่กันทันที  
               แต่เขารู้สึกว่าน้ำในที่นี้ช่างเย็นและชื่นใจอย่างประหลาดมีสิ่งบางอย่าง
แทรกซึมข้าสู่ภายในร่างกายเขาด้วย   แต่หาได้สนใจไม่เพียงแค่เพื่อต้องการให้ชื่นใจเท่านั้นเอง
    
                
                  เขานึกขึ้นได้ว่าหากพบแหล่งน้ำแล้วจะจัดการกับหนวดเคราจึงว่ายน้ำตรงไปยังที่เก็บสัมภาระ
แล้วนำมีดน้อยออกมา   ค่อยๆใช้มีดน้อยนั้นโกนหนวดเคราโดยใช้มือคลำๆเอาจนเกลี้ยงเกลาหมดสิ้น
ปล่อยให้บรรดาหนวดเคราลอยตามน้ำไป       ครั้นเสร็จเรียบร้อยแล้วเขาจ้องไปยังผิวน้ำเห็นลางๆว่าดีแล้ว
จึงลงไปเล่นน้ำต่อจนเห็นว่าสมควรแก่เวลา    จึงชวนเจ้าขนทองขึ้นจากน้ำมานุ่งกางเกงซึ่งบัดนี้กางเกง
ขายาวเขาท่อนล่างขาดวิ่นไปหมด   จึงนำมาตัดขาที่เสียไปให้เหลือเพียงที่ใช้ได้เป็นกางเกงขาสั้นไป
ส่วนผมที่ยาวรุงรัง   เขาก็นำเอ็นลิงขนดำมารวบผมแล้วมัดไว้ให้ไปอยู่เบื้องหลังเขา
               ครั้นจัดการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว    จึงนำกางเกงมาสวมใส่เก็บภาระต่างๆขึ้น
แล้วก็ออกเดินทางโดยลัดเลาะไปตามลำธารเพื่อมุ่งหน้าจะข้ามเขาลูกนี้
เขารู้สึกว่าหนทางของ ทางเดินเริ่มสูงชันขึ้นไปเรื่อยๆเขาไต่เรียบเขาไปจนกระทั่งผ่านพ้นไปจนในที่สุดเขา
สู่ยังภูเขาเล็กๆและมองไปข้างล่างเห็นเป็นทุ่งหญ้าและต้นไม้ใหญ่ๆอีกมากมาย       เมื่อลงจากเขาลูกเล็กแล้ว
ไปยังพื้นที่ราบเขาก็มุ่งตัดตรงฝ่าทุ่งหญ้าที่เขียวชอุ่ม    บ้างมีดอกซึ่งพลิ้วไหวตามกระแสลมพัดพาอ่อนไหว
ลู่ลมไปๆมาๆ    พอลัดเลาะพ้นทุ่งหญ้ากว้างใหญ่แล้ว  
          เห็นเป็นซอกเล็กๆที่มีแต่ก้อนกรวดโรยไปคล้ายเป็นทางเดินที่ถูกสร้างขึ้นไว้
คงจะเกิดจากเงื้อมมือมนุษย์มากกว่าเป็นทางเดินธรรมชาติแน่นอน
        ดังนั้นจึงเดินไปตามทางนั้นครั้นพ้นเหลือบหินก็มองเห็นซากปราสาท
ตามที่แม่นางพรายกล่าวไว้มิผิด   แต่เป็นซากที่สลักหักพังคงเหลือไว้เป็นบางส่วนเท่านั้น.........

                                *  แก้วประเสริฐ.  *

n016.gif				
13 กุมภาพันธ์ 2553 13:55 น.

ลุ่มลึกอิสราวดี 18

แก้วประเสริฐ


          ลุ่มลึกอิสราวดี  18

     หลังจากที่กำจัดต้นไม้ยักษ์กินคนแล้ว   ทั้งหมดก็เริ่มออกเดินทางไปตามไหล่เขาซึ่ง
เชื่อมกันระหว่างยอดเขาทั้งสองเป็นซอกพอจะเดินเป็นทางแคบๆ    แต่ที่ทำให้ชายหนุ่ม
ต้องตกตลึง       ด้วยภูเขา เขาทั้งสองนั้นเดี๋ยวก็แยกจากกัน  เดี๋ยวก็มากระทบรวมกัน
ซึ่งแปลกที่เขาไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนว่าเขาทั้งสองลูกนี้จะกระทบกันแยกกันได้     
     แต่นี่เขากับมาเจอนับว่าตั้งแต่เขาเดินทางมาในป่าดงดิบนี้   อะไรๆมัน
ก็ช่างแปลกประหลาดไปหมดสิ้น   ต้นไม้เอย  สัตว์ต่างๆเอยมันช่างใหญ่โต
ไปเสียสิ้น  ทำให้เขาคิดว่าคงจะหลงมาในดินแดนมหัศจรรย์เป็นแน่แท้     แต่เมื่อมาแล้ว
ก็หาทางแก้ไขกันเท่าที่เขาจะทำได้จนกว่าจะล่วงพ้นดินแดนเหล่านี้ไป   
     ดังนั้นเขาจึงไม่คิดอะไรมากนอกจากเพียงแค่จะเอาตัวรอดพร้อมกับเจ้าเพื่อนยากเท่านั้น
ที่ฝ่าดั้นด้นต่อไป    เขาพร้อมเจ้าลิงขนทองซึ่งบัดนี้มันทั้งสูงใหญ่หัวมันเกือบถึงไหลของเขา
ร่างกายล่ำสันแขนขากำยำเป็นมัดๆแต่ความคล่องแคล่วมันกับมากขึ้นกว่าเดิม

          ชายหนุ่มยืนมองดูเห็นว่าการเข้ากระทบกันนั้นมันไม่รวดเร็วนักค่อยๆเป็นค่อยๆไปและ
ใช้เวลานานพอสมควร    แต่ลมที่พัดผ่านมากลับรุนแรงมาก    เสียงสายลมดังอู้ๆตลอดเวลา
เข้ามาปะทะหน้าแล้วรู้สึกชาและสะท้าน    
 หากเขายืนไม่มั่นคงก็เห็นทีจะปลิวไปได้     เขาคอยจับระยะเวลาการ
ที่ภูเขาทั้งสองลูกกระทบกันและค่อยๆแยกห่างจากกัน       ไม่เป็นปัญหาสำหรับเขาและ
เจ้าขนทองจะแทรกตัวผ่านไปได้     เพียงแต่ติดที่สายลมแรงจัดมากเท่านั้นที่จะชะลอร่างเขา
ทั้งสองยามปะทะฝ่าสายลมไปคงต้องใช้เวลานานพอควร
          เมื่อชายหนุ่มกำหนดและทดลองฝ่าสายลมที่หน้าช่องหินก่อนฝ่าเข้าไปได้สักพักเพื่อ
ความแน่นอน   เขาจึงทดลองให้เจ้าขนทองเกาะขี่หลังเขาเพื่อตัดปัญหาในการถูกสายลมพัด
แยกจากกัน  ทดลองน้ำหนักเจ้าขนทองดูแต่ด้วยเขาได้ดื่มน้ำดีของงูยักษ์ทำให้เขามีพละกำลัง
มากมายจึงสามารถแบกเจ้าขนทองได้อย่างสบายๆดังกับเจ้าขนทองเป็นลูกลิงฉะนี้     เมื่อเขา
มั่นใจตนเองได้แล้ว     ครั้นรอจนสายลมในช่องเบาบางลงและช่องแคบภูเขาค่อยๆแยกจากกัน
เขาก็รีบออกเดินทางฝ่าซอกหินไปทันที     ก่อนที่ซอกหินจะมากระทบกันอีก
         
         ในไม่ช้านักเขาฝ่ากระแสลมยามช่องหินแยกจากกัน   โดยแบกเจ้าขนทองและสัมภาระ
ฝ่าสายลมออกมาได้  จนกระทั่งเขาสองลูกกลับมากระทบกันอีกแต่ทว่าเขาได้หลุดรอดเข้าไปข้าง
ในได้เรียบร้อยแล้ว  เขาหันไปมองดูเห็นเศษหินหล่นกระจายเป็นควันฝุ่นฟุ้งไปหมด
         ทั่วทัศนียภาพเบื้องหน้าเขาช่างงดงามยิ่งนักเป็นที่กว้างมีต้นไม้ขึ้นประมาณเกือบหน้าแข้ง
แลดูประหนึ่งคล้ายพรมสีเขียวปูเต็มบริเวณ   ด้วยเขายืนอยู่บนที่สูงบรรดาลานทุ่งกว้างนั้นอยู่
ต่ำกว่าเขา     มีต้นไม้ใหญ่คล้าเคล้ากับต้นไม้เล็ก   มีธารน้ำไหลมาจากซอกไหลเขาที่เกือบสุด
สายตาเขาแลเห็นบ้านหลายๆหลังปลูกห่างๆกัน  
        เขามองไปทั่วบริเวณนั้นแปลกเขาคิดด้วยไม่เห็นมีการเพาะปลูกแต่ประการใดไม่  
 แล้วบ้านเหล่านี้ทำมาหากินอะไรหรือว่าเป็นบ้านของพวกพราน   
หากเป็นบ้านพวกพรานก็ย่อมจะมีบริเวณที่จะเพาะปลูกสิ่งจำเป็นไว้   แต่นี่ไม่มีเลย
  เท่าที่สายตาเขาเห็นกับไม่มีด้วยปลูกบ้านใต้ต้นไม้ใหญ่เกือบทุกๆหลัง
        เมื่อเห็นดังนี้ก็ออกเดินทางเป้าหมายคือหมู่บ้านบางทีอาจจะขอพักพิงอาศัยชั่วคราวได้
บ้าง   จึงจูงมือเจ้าลิงขนทองออกเดินทางต่อไป     ครั้นใกล้ๆจะถึงบ้านเหล่านี้ก็ได้ยินเสียง
แม่นางพรายกระซิบว่า
         “พี่ท่านให้ระวังตัวไว้ด้วย  นั่นเป็นภาพลวงตาของพวกผีโขมดและพวกผีกองก๋อยหา
ใช่เป็นที่อยู่ของมนุษย์ไม่จ๊ะ”
       
ร่างชายหนุ่มชะงักทันที   ยามเมื่อได้ยินเสียงร้องเตือนของแม่นางพรายมากล่าวเตือน
        “มันเพียงเพียงแค่กิ่งไม้ที่คลุมไว้ด้วยหญ้าแห้งเท่านั้นจ๊ะ”   นางพรายกล่าวเตือนอีก
         “หรือน้องรักแต่พี่กลับเห็นเป็นเรือนแต่ละหลังจ๊ะ”    ชายหนุ่มตอบหญิงสาว
          “จ๊ะมันใช้อำนาจบังตาคนสัตว์ให้เข้าไปหามันเพื่อจะได้กัดกินสูบเลือดเป็นอาหาร”
          “แล้วเราจะทำอย่างไรดี  หรือว่าเราจะต้องหนีมันอีก  แต่มันเป็นทางที่เราต้องไปนะ”
          “จ๊ะๆ...เบื้องหลังเขาลูกโน้นจะเป็นซากของปราสาท   ซึ่งก่อนเจริญรุ่งเรืองมากแต่
มาบัดนี้ได้ล่มสลายแล้ว”   นางพรายตอบให้ชายหนุ่มเข้าใจ
            “แล้วมันมีจำนวนเท่าไหร่ล่ะ แม่น้องรัก”
            “ราวประมาณที่น้องรู้นะ ว่าสักหกเจ็ดตนได้จ๊ะ   ด้านซ้ายมือเป็นพวกผีโขมด  ส่วน
ด้านขวามือ ห่างไปไม่มากนักเป็นพวกผีกองก๋อย  แต่ว่ามันแปลงกายได้นะพี่ท่าน”
          “เท่าที่พี่เห็นนะน้อง  รู้สึกว่ามันจะไม่มีใครอยู่สักตนเลยนี่นา”  ชายหนุ่มถามด้วยสงสัย
             “กลางวันมันจะหายตัวไปหมด  มันจะออกมาเฉพาะกลางคืนเท่านั้นจ๊ะ เหมือนน้องแหละ”
             “เห็นทีเราคงจะหลีกเลี่ยงมันไม่ได้เสียแล้ว   ด้วยมันขวางทางที่เราจะผ่านไปเสียด้วย”
ชายหนุ่มรำพึงพอได้ยิน
              “หากพี่จะคิดปราบมันต้องรอจนกว่าจะค่ำมืดถึงจะสามารถกำราบมันได้  ด้วยมันซ่อนตัว
อยู่ตามต้นไม้ต่างๆจ๊ะ นอกจากเหยื่อเข้ามาในบ้านนั่นแหละมันถึงจะออกมา”   นางพรายสาวตอบ
           “นี่ก็บ่ายคล้อยมากแล้วเห็นทีเราจะต้องหาที่อาศัยหลับนอนเอาแรงแล้วค่อยออกมากำราบมัน”
            “ให้พี่ท่านรีบหาที่พักผ่อนเอาแรงก่อนดีกว่าก่อนจะค่ำลง   ด้านซ้ายมือมีต้นไม้ใหญ่มีคาคบ
พอที่จะอาศัยได้จ๊ะ”

             ชายหนุ่มเหลียวมองไปด้านซ้ายมือทันทีเห็น ต้นไม้ใหญ่สูงชะลูดอยู่สองสามต้นขึ้นห่างกัน
ไม่มากนัก  จึงชวนกันเดินทางตรงไปยังต้นไม้ต้นหนึ่งที่ใหญ่ที่สุดและมีคาคบพอที่จะอาศัยได้
             เขาส่งสัญญาณให้เจ้าขนทอง   ทันใดเจ้าขนทองก็พุ่งร่างทะยานขึ้นไปยังต้นไม้ใหญ่ทันที
เมื่อมันสำรวจดูเห็นดีแล้ว    มันจึงไต่ลงมาชายหนุ่มปลดเถาวัลย์ที่คล้องใหญ่อยู่ส่งให้มันทันที
พอมันได้รับก็เลียนแบบชายหนุ่มนำมาคล้องแขนไหล่มันบ้างแล้วไต่ขึ้นไปพลางผูกเถาวัลย์ดัง
ที่มันเคยทำมา    หย่อนปลายเถาวัลย์มาให้ชายหนุ่มทันที   ชายหนุ่มได้รับปลายเถาวัลย์ก็ไต่ขึ้นไป
บนต้นไม้แล้วนอนรอเวลาให้ใกล้ๆค่ำที่ใกล้ๆจะมา
          ยามสนธยาดวงตะวันคล้อยลับเหลี่ยมภูเขาทอแสงบรรเจิดจับท้องฟ้าเขานอนมองดูมันช่าง
สวยงามยามแสงจับก้อนเมฆ  เขานึกถึงตอนที่ยังเด็กๆว่าเคยมองภาพก้อนเมฆแล้วนึกภาพที่กำลัง
ลอยทอแสงเป็นวิมานของเทพยดา  ปราสาทต่างๆที่ทอแสงระยิบบ้างสีส้ม แดง เหลือง ฟ้าแวววาว
งดงามนัก    มาบัดนี้เขานอนมองท้องฟ้าและก็ให้นึกภาพต่างๆไปด้วย   นางประกายแดงและนาง
ประกายเขียวมานั่งข้างๆเขาเมื่อไหร่เขาไม่รู้สึกตัวเลย  มัวแต่มองภาพสวยงามของบรรดาก้อนเมฆ
ที่แยกแตกตัวเป็นภาพที่เขาจินตนาการสร้างไว้

            หล่อนคงจะทราบอารมณ์ของชายหนุ่มจึงมิได้กล่าวอะไรขึ้น  นางเองก็ยังมองภาพสวยงาม
ต่างๆเหล่านี้เหมือนกัน จวบจนอากาศมืดสลัวๆบ่งบอกว่าค่ำแล้วนั่นแหละ  เขาจึงลดสายตาและพบ
ว่าแม่นางคนสวยทั้งสองมานั่งเคียงคู่เขาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ  จึงกล่าวขึ้นว่า
           “อ้าวๆๆๆ????....น้องเรามาตั้งแต่เมื่อไหร่พี่ไม่รู้ตัวเลย”
           “น้องทั้งสองเห็นพี่ท่านมองก้อนเมฆและนึกภาพต่างๆ  น้องเองก็ยังมองช่างงดงามนักนะ
มันประดับประดาเป็นรูปภาพสัตว์ต่างๆสอดแทรกด้วยสีสันต่างๆด้วยเหมือนกันจ๊ะ” นางพรายกล่าว
           “นั่นซีน้องรัก....พี่เองก็ยังอดนึกถึงวัยเด็กๆเวลาพระอาทิตย์ลับฟ้ามักจะออกมานั่งและมอง
ภาพก้อนเมฆต่างๆนึกไปต่างๆนาๆพร้อมแสงที่สอดแทรกเสมอๆแหละจ้า”    ชายหนุ่มกล่าวบ้าง
          “นี่ก็มืดค่ำแล้ว   รอบข้างพี่มองอะไรไม่เห็นเลย  เดือนหรือก็มืดค่ำมีแค่แสงดาวต่างๆเท่านั้น”
           “ใกล้แล้วท่านพี่    ท่านพี่สังเกตไปด้านที่มีบ้านต่างๆที่เห็นในตอนบ่ายๆซิ   ท่านพี่จะเห็นแสง
คบเพลิงมันจัดเรียงรายไปทั่ว   แม้แต่ในบ้านก็สว่างไสวจ้า”  นางพรายตอบ
    ถึงตอนนี้ชายหนุ่มนึกขึ้นได้จึงหันไปมองดู    จริงดังที่น้องนางพรายทั้งสองกล่าว
 เขามองเห็นแสงไฟเรียงราย    บ้างก็มีแสงไฟระยิบระยับมุ่งตรงมาทางที่เขาอาศัยอยู่

             “พวกมันมาแล้วพี่ท่าน   มันรู้แล้วว่าพี่ท่านกับเจ้าน้องขนทองอาศัยอยู่ที่นี้แล้วจ๊ะ”  นางพรายตอบ
            “เพียงมันสงสัยว่าเหตุใดจึงมีพวกน้องอาศัยอยู่ด้วยเท่านั้นเอง   หากกล่าวไปฤทธิ์เดชแล้วมันสู้
พวกน้องไม่ได้หรอกจ๊ะ   มันถึงกล้าๆกลัวๆ แต่ความหิวมันทำให้มันต้องกระทำจ๊ะ” 
            “หรือ???...น้องรักดังนั้นเห็นทีต้องอาศัยน้องเราเสียแล้วล่ะจ๊ะ”  ชายหนุ่มกล่าว
         “ถึงน้องจะมีฤทธิ์เดชมากว่ามันก็จริงแต่ น้องมีแค่สองคน มันมีสิบกว่าตนยากจะป้องกันพี่และน้อง
ขนทองได้สะดวกจ๊ะ”
             “ไม่เป็นไรหรอกน้องรัก   น้องเท่าที่จะช่วยได้ก็แล้วกัน ส่วนตัวพี่และเจ้าขนทองไม่ต้องห่วงหรอก
พี่เองคิดว่าสามารถปราบมันได้จ๊ะ”
              “แต่ท่านพี่ต้องระวังหน่อยนะด้วยความเป็นห่วง...มันจะมาในรูป?????.....” 
 พรายสาวหน้าแดงไม่กล้าตอบมากกว่านี้
              “อะไรหรือ????...ทำไมถึงไม่กล่าวต่อล่ะ”    ชายหนุ่มถามด้วยความสงสัย
              “อ้าๆๆๆ????.....มันรู้ว่าพี่เป็นหนุ่มโสด มันๆ????...จะมาในรูปร่างลักษณะที่ๆ...อุ๊ยๆ... ท่านพี่ดูเอง
ก็แล้วกัน น้องกระดากปากจ๊ะ”   หญิงสาวตอบ

          บัดดลแสงไฟหลายๆดวงได้ใกล้มาแถวบริเวณโคนต้นไม้ใหญ่   ภาพที่ชายหนุ่มเห็นถึงกับตะลึงหน้าแดง
ทันที     ด้วยผู้ที่ถือคบไฟนั้นล้วนแล้วแต่เป็นหญิงสาวสวยๆทั้งสิ้น แต่การแต่งกายหล่อนซิ  ช่างยั่วอารมณ์คน
หนุ่มยิ่งนัก  ท่อนบนเปลือยเปล่า ถันตั้งชูชันขาวผ่อง ท่อนร่างนั้นนุ่งผ้าปิดเพียงน้อยนิดเท่านั้นวับๆวอมแวมๆ 
        ร่างที่เห็นขาวโพลนในท่ามกลางแสงไฟและความมึดตัดกับร่างที่อรชรอ้อนแอ้นยิ่งนัก
   มารู้สึกตัวเมื่อเขาถูกนางพรายหยิกเอาจึงทำให้ชายหนุ่มสะดุ้ง  คืนกลับสู่สภาพเดิมได้
ว่านั่นเป็นแค่ภาพหลอกหลอนเท่านั้นหาใช่ตัวตนใดจริงไม่
        เมื่อคิดได้เช่นนี้แล้วชายหนุ่ม  ก็เข้าสมาธิทันทีเมื่อจิตสงบก็ร่ายพระเวทย์ที่จารึกในหนังสือที่เขาพกติดตัว
มาตลอดศึกษาจนช่ำชอง    พลางเป่าไปยังบรรดาร่างนางงามที่เห็นทั้งหลายทันที
        บัดดลเสียงร้องกรีดอย่างโหยหวนก็ดังสะท้านป่า   ร่างที่สวยงามนั้นหายวับไปทันทีกลับเป็นร่างของชาย
หญิงที่แห้งเหี่ยวหนังหุ้มกระดูก    รูปร่างน่าเกลียดน่ากลัว   บางตัวคล้ายๆลิงร้องเสียงดังกร๊อกๆๆ  บางตัวร้องเสียงดังก๋อยๆๆ  ไปทั่วบริเวณ   เล็บมือมันยาวงุ้มบางตัวพลางตะกายปีนขึ้นมาบนต้นไม้
       ชายหนุ่มเห็นดังนั้นก็ชักมีดดาบออกมาถือ  ตัวใดที่ปีนป่ายขึ้นมาได้ก็จะถูกชายหนุ่มฟันจนร่างมัน มือ
ที่ตะกายเข้ามาขาดสะบั้น  เสียงร้องอย่างโหยหวนน่าสะพึงสยองไปทั่วร่างมันหายวับไปทันใด   ชายหนุ่ม
มองไปข้างล่างเห็นแม่นางพรายทั้งสองต่างแยกย้าย กันเข้าตบทำลายร่างของเจ้าผีโขมดและกองก๋อยสิ้น
ไปหลายๆตน   เจ้าผีร้ายอีกตัวมาทางด้านหลังเขาก็ถูกเจ้าขนทองพุ่งร่างเข้าสกัดและฝังเขี้ยวแก้วมันลง
ไปเลือดมันสาดกระเซ็นคอขาดหายวับไปทันใด
          เมื่อชายหนุ่มเห็นเช่นนี้ก็รีบไต่เถาวัลย์ลงมายังโคนต้นไม้แล้วเข้าช่วยเหลือแม่นางพรายทั้งสองทันที
เขาฟาดดาบไปถึงที่ใดก็ดับสิ้นหายไป     เสียงร้องก้องอย่างโหยหวนดังและมีเสียงตอบรับก้องเข้ามาอีก
ทันใดนั้นภายใต้ต้นไม้ใหญ่ก็เรียงรายไปด้วยผีโขมดซึ่งรูปร่างมันคล้ายๆลิงสีดำแต่หัวเป็นคน 
        เจ้ากองก๋อยนั้นร่างมันเป็นคนที่มีแต่หนังหุ้มกระดูกแต่พละกำลังมันมากมายนัก
ยามกระโจนเข้ามาปะทะเขานั้นช่างรุนแรงจนเขาต้องเซ   เขารีบดึงมีดน้อยออกมาช่วยอีกเล่มหนึ่ง 
 จนชุลมุนไปทั่ว  การต่อสู้แบ่งออกเป็นสามฝ่ายทันที   เสียงกรีดร้องก้องโหยหวนก้องกังวานป่า  
บรรดานกที่อาศัยต่างตกใจบินว่อนร้องลั่นด้วยความตกใจ
       นางพรายกล่าวว่ามันมีประมาณสิบกว่าตน   แต่บัดนี้หาใช่ไม่    ไม่รู้ว่ามันมาจากที่ใดอีกช่าง
มากมายนัก   เขามองกะคร่าวๆคงไม่ต่ำกว่าห้าสิบหรือมากกว่านั้นเสียอีก
         เขาไม่รอช้าทะยานร่างเข้าใส่ยังฝูงโขมดลักษณะคล้ายๆลิงซึ่งตัวใหญ่กว่า เจ้ากองก๋อยมากนัก
ทั้งสองมือชายหนุ่มทั้งฟาดทั้งแทงร่าง   ด้วยอาวุธของชายหนุ่มนั้นผ่านการปลุกเสกวิทยาคมแก่กล้า
สามารถทำลายพวกผีได้มันรู้สึกจะกริ่งเกรงกลัว   แต่กระนั้นเสื้อผ้าเขาก็ถูกฉีกขาดเสียแทบจะหมด
สิ้น  แต่แปลกร่างกายเขาหาได้มีรอยเล็บเป็นรอยข่วนก็หาไม่หรือจะเป็นด้วยอำนาจของเลือดงูยักษ์
ที่มีอายุนับพันๆปีนั่นเองทำให้ร่างกายเขาคงกระพันชาตรี  เล็บของเหล่าผีร้ายจึงไม่อาจจะทำลายผิว
หนังเขาได้
          การต่อสู้อย่างดุเดือดได้ผ่านไป  เสียงร้องก้องและโหยหวนดังไปทั่วบริเวณก็ยังไม่อาจจะปราบ
พวกผีร้ายได้หมด   จนกระทั่ง..........

                    *   แก้วประเสริฐ.  *

n016.gif				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟแก้วประเสริฐ
Lovings  แก้วประเสริฐ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟแก้วประเสริฐ
Lovings  แก้วประเสริฐ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงแก้วประเสริฐ