4 มีนาคม 2553 14:45 น.
แก้วประเสริฐ
ลุ่มลึกอิสราวดี 37
ชายหนุ่มแลไปเห็นบรรดาเหล่าอำมาตย์แม่ทัพนายกองของหล่อยก่อถูกมัดมือนั่งเรียงราย
อยู่หน้าบัลลังก์ของเจ้าเมือง ครั้นเดินทางเข้าไปบรรดาแม่ทัพนายกองของชายหนุ่มต่าง
ก็ร้องถวายพระพรทันที ทำให้พวกเชลยทั้งหมดหันมามอง ครั้นเห็นเป็นเพียงแค่ชายหนุ่ม
ก็สร้างความแปลกใจสงสัยขึ้นว่า เหตุใดถึงได้เก่งฉกาจยิ่งนักที่สามารถรวมแว่นแคว้นต่างๆ
ได้อย่างรวดเร็ว
ทั้งยังฆ่าเจ้าเมืองหล่อยก่อซึ่งเป็นเมืองหลวง เข้าตีเมืองได้ในเวลาอันรวดเร็วใช้เวลาไม่นาน
การยึดเมืองหล่อยก่อนั้นหาจะใช่ได้มาโดยง่ายนัก ด้วยสภาพเป็นขุนเขาล้อมรอบทั้งยังอยู่ใน
ที่สูงยากต่อการเข้าโจมตี แต่แค่เพียงวันเดียวกับสามารถตียึดเมืองได้โดยฝ่ายเราไม่สามารถ
จะต้านทานได้ ทำให้เกิดความนับถือขึ้นในใจของเหล่าแม่ทัพนายกองหล่อยก่อที่มีต่อชายหนุ่ม
เป็นยิ่งนัก หากมาดแม้นว่าเจ้าเมืองหล่อยก่อมิได้ถือความโอหังเป็นใหญ่แล้วยากนักที่จะถูกยึด
เมืองได้ คงต้องใช้เวลาเนิ่นนานด้วยสภาพภูมิประเทศอำนวยตลอดยังสมบูรณ์ด้วยเสบียงอัน
มากมายยิ่งนัก ยิ่งคิดไปบรรดาอำมาตย์ขุนทัพนายกองก็ยิ่งบังเกิดความนับถือขึ้นเป็นอย่างมาก
แล้วชายหนุ่มก็ก้าวเดินผ่านบรรดาอำมาตย์ขุนทัพนายกองที่ต่างก็น้อมหัวคาราวะทันที
ครั้นถึงบัลลังก์ของเหมี่ยวสุรินทร์นราขึ้นนั่งยังบัลลังก์ทันที พร้อมสั่งให้ทหารเข้าแก้มัดบรรดา
เหล่าอำมาตย์และขุนทหารทั้งหลาย เมื่อเหล่าทหารได้แก้มัดให้แล้วก็ถอยหลังออกมา
ชายหนุ่มก็พลันกล่าวขึ้นว่า เรามังสุริยะชัยนั้นได้ส่งทูตเจรจากับทางท่านแล้วแต่หาได้รับการ
ต้อนรับดั่งธรรมเนียมทั่วๆไปที่ปฏิบัติกันมา เราจึงจำเป็นต้องเข้ายึดเมืองของพวกท่าน หากพวก
ท่านยินดีที่จะยอมอยู่ในอำนาจของฝ่ายเรา เราก็จะลดโทษให้ตามฐานะของแต่ละบุคคล
ครั้นฝ่ายเหล่าอำมาตย์ขุนทัพนายกองทั้งหลายได้ยินเช่นนั้น มหาอำมาตย์เมืองหล่อยก่อก็
กล่าวขึ้นทันทีว่า
“ ในเมื่อเหตุการณ์เช่นนี้ก็ด้วยเจ้าเมืองมิได้เชื่อฟังพวกเรา แต่ทว่าหาก
ถือตามธรรมเนียมแล้วก็อาจจะมิต้องเสียเมืองง่ายดายไปไม่ นายด่านนั้นแม้จะส่งสาสน์มา
ก็ตามแต่มันกับหยิ่งยโสไม่คำนึงถึงการควรมิควรกับจับกุมทูตพระองค์ผิดธรรมเนียมพระเจ้าข้า”
“ที่ท่านกล่าวเช่นนี้เสมือนหนึ่งดังยกความผิดให้แก่เจ้าเมืองคนเดียว พวกเจ้าหาได้เกี่ยวข้อง
อันใดฤา” มังสุริยะชัยเอ่ยขึ้น
“หามิได้พระเจ้าข้า พวกข้าก็ต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างเคร่งครัดอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าจะเสียเมืองหรือ
ไม่ก็ตามย่อมต้องถือหน้าที่เป็นใหญ่เพื่อรักษาเมืองไว้พระเจ้าข้า” มหาอำมาตย์กล่าวขึ้น
“ในเมื่อท่านกล่าวเช่นนี้ก็มีเหตุผลพอฟังได้หรอก ด้วยทุกๆคนย่อมจะรักเมืองของตนเองเป็น
ใหญ่แต่ทำไมท่านไม่เตือนหรือชี้แจงแก่เหล่าขุนนางทั้งหลายให้ช่วยคัดค้านการนี้ด้วยล่ะ”
“ที่ข้ากล่าวเช่นนี้หาใช่ว่าจะเอาตัวรอดก็หาไม่ ท่านลองถามท่านแม่ทัพซึ่งก็ได้คัดค้านการศึก
ครั้งนี้เหมือนกันดูเถิดพระเจ้าข้า”
“ใครล่ะเป็นแม่ทัพใหญ่คุมเมืองนี้ “ มังสุริยะชัยกล่าวขึ้น
“ข้าพระพุทธเจ้า มังกะยะ ส่วนท่านมังสุระ มังสีหะ เป็นรองแม่ทัพพระเจ้าข้า “
“อ้อ...ท่านเองหรือแล้วท่านมีความคิดเห็นประการใดล่ะ” ชายหนุ่มถาม
“ เรื่องนี้แล้วแต่พระมหากรุณาธิคุณตามแต่พระองค์จะตัดสินพระหทัย ข้าพเจ้ายอมรับทุกประการ
แม้แต่ชีวิตของข้าเองก็ยินยอมพระเจ้าข้า” แม่ทัพใหญ่กล่าวขึ้นมิอ้างอิงสิ่งใดๆทั้งสิ้น
“ฮ่าๆๆๆๆ....เจ้ากล่าวได้ดีจริงมังกะยอ อันตัวข้าและเหล่าขุนทหารทั้งหลายมิได้คิดที่จะมารุกราน
เบียดเบียนเมืองหล่อยก่อและแว่นแคว้นต่างๆ เพียงแต่หากรับฟังสาสน์เราแล้วมารวมตัวกันขึ้นเพื่อ
ก่อการรวมแผ่นดินไว้เป็นหนึ่งเดียว ไม่ถือตัวเองว่ามีความสามารถแยกตัวขึ้นเองได้แล้ว
ก็จะไม่มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นได้หรอก แต่ทว่าท่านพ่อเมืองของพวกท่านถือตนเอง
และอำนาจมิได้คำนึงถึงความเก่าที่เคย
ร่วมรบกันมาเพื่อรวบรวมแผ่นดิน ก็คงจะไม่ต้องเป็นเช่นนี้หรอก”
“เอาล่ะเมื่อเป็นเหตุเช่นนี้จะหาความผิดแก่พวกท่านก็มิได้ ด้วยต้องทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองเมือง
เป็นใหญ่ เราก็จะอภัยให้แก่พวกท่านแต่เพียงให้ท่านถือด้วยความจริงใจเท่านั้น เรารู้มาว่าพวกของ
เจ้าเมืองเก่าก็มีอีกที่เป็นเครือญาติหาได้สยบยอมด้วยความจริงใจ ซึ่งเราได้ให้ทหารเราจัดการหมดแล้ว
เพื่อถอนรากถอนโคนไป ส่วนพวกท่านนั้นเมื่อทหารเรามารายงานตัวว่าพวกท่านทั้งหลายหาได้มีความ
จริงใจต่อเจ้าเมืองเท่าใดนัก เรื่องพวกท่านเราก็รู้อยู่ก่อนแล้วอย่างละเอียดก่อนจะเข้ามาตีเมืองท่าน”
เหตุที่ชายหนุ่มคิดเช่นนี้ด้วยไม่อยากจะมีศึกหลายๆด้านจึงคิดที่จะถนอมน้ำใจเหล่าอำมาตย์และ
ขุนทหารทั้งหลายไว้ เพื่อรวบรวมไพร่พลไปตีแว่นแคว้นอื่นต่อไป หากทำการใดด้วยลุแก่อำนาจแล้ว
ย่อมยากจะปกครองเหล่าขุนนางทหารทั้งหลายได้นั่นเอง จึงคิดใคร่จะให้พวกมันสยบด้วยใจจริง
และจะได้ใช้สอย ไม่ต้องห่วงกังวลไป ด้วยต้องเดินทางไปยังแว่นแคว้นรัฐชิน
ซึ่งมีอาณาเขตอุดมสมบูรณ์ยิ่งนักเพื่อจะได้ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเสบียงอาหาร
ในการใช้เลี้ยงทหารมากมายเหล่านี้
“ ในเมื่อข้าเองคิดว่าหากผู้ใดยินยอมพร้อมใจกันพร้อมเสียสละชีวิตรวมเป็นร่วมตายแก่พวกเราก็ให้
ก้าวออกไปด้านข้างด้วย” ชายหนุ่มกล่าว
ปรากฏว่าเหล่าขุนทหารทั้งหลายต่างก็ก้าวออกมาเกือบทั้งสิ้น ยกเว้นเหล่าขุนนางอำมาตย์เท่านั้น
ที่ยังคงก้มหน้าอยู่ที่เดิม ชายหนุ่มจึงเอ่ยขึ้นว่า
“เหตุใดหรือพวกท่านถึงไม่ยินยอมพร้อมใจกัน”
“หามิได้ด้วยเหตุว่าพวกกระหม่อมมิได้ฝึกฝนด้านเกี่ยวการรบพระเจ้าข้า จึงมิอาจจะเข้าร่วมรบ
กับพวกพระองค์ได้พระเจ้าข้า”
เมื่อชายหนุ่มได้ยินดังนั้นก็หัวร่อเสียงดังทันที ถูกต้องมิใช่ว่าพวกเหล่าอำมาตย์ขุนนางนั้นจะไม่
ยินยอมก็หาไม่ แต่ด้วยประมาณตัวเองว่าไม่สามารถจะเข้าร่วมรบในสงครามได้นี่เอง ดังนั้นจึงเอ่ยขึ้น
“ฮ่าๆๆๆๆ ข้าก็ทราบอยู่แล้วว่าพวกเจ้าหาได้เป็นไปตามที่ข้าคาดการณ์ได้แล้ว หากมาดแม้นเหล่า
ขุนนางอำมาตย์ทั้งหลาย ก้าวตามเหล่าขุนทหารไป ข้าเองก็จะไม่ไว้ชีวิตพวกเจ้าทันทีเพราะด้วยความ
กลัวตายและหาได้มีความจริงใจใดไม่”
ทำให้บรรดาเหล่าอำมาตย์ขุนนางทั้งปวง เมื่อได้ยินเช่นนี้ก็ทราบทันทีว่าที่ชายหนุ่มสามารถเข้า
ตีแว่นแคว้นกะฉินได้ ก็ด้วยเปี่ยมไปด้วยสติปัญญาเป็นที่ตั้งยิ่งทำให้เกิดความนับถือเพิ่มขึ้นอีก
“ส่วนข้ามหาอำมาตย์ “เหมี่ยวมังกะยอชวา” ถึงมาดแม้นว่ามิได้ฝึกปรือด้านอาวุธมาแต่ก็สามารถ
ช่วยเหลือพระองค์ได้เท่าที่สติปัญญาของข้าจะทำได้ จะขอเข้าร่วมไปในสงครามด้วย เหตุด้วยข้าเอง
ได้เขียนแผนที่ของแผ่นดินต่างๆตลอดลู่ทางทั้งหมดไว้เรียบร้อยแล้วพระเจ้าข้า แต่มิได้นำเสนอต่อ
เจ้าเมืองด้วยเห็นเป็นคนโลภโมโทสันเอาแต่ใจตนเองหาได้เข้าใจคนอื่น ที่คิดลาออกไปก็จะเป็น
อันตรายแก่ครอบครัวจึงจำต้องทนอยู่พระเจ้าข้า” เหมี่ยวมังกะยะชวากล่าวทูลขึ้น
ครั้นชายหนุ่มได้รับฟังเช่นนั้นก็ให้ดีใจแต่มิได้แสดงกิริยาใดๆทั้งสิ้นจึงกล่าวว่า
“เมื่อท่านกล่าวเช่นนี้ ไหนลองเข้ามาหาข้าใกล้ๆหน่อยซิ”
มหาอำมาตย์ใหญ่เหมี่ยวมังกะยะชวาครั้นได้รับฟังเช่นนั้น ก็น้อมกายถวายคาราวะแล้วยืนขึ้นค่อยๆ
ก้าวเข้าไปหาชายหนุ่มทันที ชายหนุ่มสังเกตเห็นมีบุคลิกลักษณะฉลาดหลักแหลมยิ่งนัก ใบหน้ากลม
แก้มแดงเปล่งปลั่งหนวดเคราขาวโพลนหัวใหญ่ผิดปกติของคนธรรมดา ทั้งยังมีสง่าราศีนัก ก็ให้ชอบใจ
ชายชรายิ่งนัก จึงลุกขึ้นจากบัลลังก์เดินลงมาโอบไหล่ทั้งสองของชายชราทันทีพลางจูงมือ แล้วสั่งให้
ทหารหาเก้าอี้มาให้ชายชรานั่ง
เมื่อเป็นเช่นนี้ชายชราถึงกับทรุดกายลงกราบยังเท้าชายหนุ่มทันที พอเงยหน้าน้ำตาทั้งสองไหลออก
มา พลางกล่าวขึ้นว่า
“หากมาดแม้นเจ้าเมืองเก่ามีสติปัญญาอ่านรู้ใจคนเช่นดังพระองค์แล้ว เมืองหล่อยก่อก็จะขยาย
อาณาเขตได้กว้างขวางกว่านี้ พระเจ้าข้า”
“ข้าขอให้สัตย์ปฏิญาณตนต่อฟ้าดินว่าจะขอรับใช้พระองค์ไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ด้วยสติปัญญาอัน
น้อยนิดของกระหม่อมพระพุทธเจ้าข้า” แล้วชายชราก็ก้มกราบอีกครั้งหนึ่ง
ชายหนุ่มเห็นเช่นนั้นก็พยุงร่างมหาอำมาตย์ใหญ่พาไปนั่งยังเก้าอี้ข้างๆตนทันที แล้วหันไปถามว่า
“ข้าเองจะให้คนของข้าขึ้นปกครองเมืองหล่อยก่อท่านเห็นเป็นประการใดเล่า”
“ ถูกต้องยิ่งนักพระเจ้าข้าเหมี่ยวมังกะยอชวากล่าวขึ้น เหตุดังนี้เพราะว่าดังสุภาษิตกล่าวว่า รู้ใจเราไม่
รู้ใจเขานั่นเอง หากแม้นพระองค์ให้คนของพระองค์ปกครองก็จะสยบอำนาจต่อเจ้าเมืองไม่อาจจะแก่งแย่ง
ชิงดีชิงเด่นได้พระเจ้าข้า” มหาอำมาตย์กล่าว
“ฮ่าๆๆๆ.... ท่านกล่าวเช่นนี้ถูกใจข้ายิ่งนักนับได้ว่าเป็นผู้มองการณ์ไกลนัก เอาล่ะการรบต่อไปเพื่อ
รวบรวมแว่นแคว้นต่างๆให้เป็นหนึ่งเดียวกันนี้ เห็นทีต้องอาศัยสติปัญญาท่านแล้วล่ะ”
“หากแม้นพระองค์เชื่อมั่นเช่นนี้ ข้าพระพุทธเจ้าจะน้อมถวายหากผิดพลาดยินดีรับใช้ด้วยชีวิตพระเจ้าข้า”
“งั้นก็ดีแล้วข้าจะตั้งท่านให้เป็นที่ปรึกษาของข้าเกี่ยวกับการรบทั้งหมด หวังว่าท่านคงจะยอมรับส่วน
ครอบครัวท่านมิต้องเป็นห่วง ด้วยข้าเองคิดหาเจ้าเมืองใหม่ตลอดจนรองเจ้าเมืองไว้แล้วเพื่อถ่วงดุลซึ่งกัน
และกันโดยแยกกันควบคุมคนละครึ่งไว้แล้วล่ะ” ชายหนุ่มหรือมังสุริยะชัยกล่าว
“เป็นพระมหากรุณาธิคุณแก่ข้ายิ่งนักพระเจ้าข้า” ชายชรากล่าว
“บัดนี้ข้าขอยกโทษทั้งหมดให้แก่เหล่าอำมาตย์ขุนนางทั้งหลาย ส่วนด้านอำมาตย์นั้นให้ทำหน้าที่ของตัวไป
จะไม่มีหัวหน้าอำมาตย์อีกต่อไปให้ขึ้นตรงต่อเจ้าเมืองหรือรองเจ้าเมือง ส่วนขุนทหารแม่ทัพนายกองให้ติดตาม
เราไปพร้อมทหารกึ่งหนึ่ง พวกแม่ทัพนายกองจะเห็นเป็นประการใดในการเข้าร่วมศึกครั้งต่อไป หากผู้ใดขัดข้อง
ก็เอ่ยมาได้มิต้องเกรงใจข้า” ชายหนุ่มกล่าว
ทำให้บรรดาแม่ทัพใหญ่กระเหี้ยนกระหือทันทีหากได้เจ้านายเช่นนี้แน่นอนการศึกในครั้งหน้าคงจะ
ราบรื่นนัก จึงพากันส่งเสียงร้องว่าพร้อมจะเข้าร่วมรบแก่พระองค์พระเจ้าข้า
“ถ้าอย่างนั้น เจ้าเมืองข้าจะให้ เหมี่ยวมินยองแห่งแคว้น มังละ รองเจ้าเมืองให้มังกุรียะ แห่งแคว้น กุลา
ทหารส่วนหนึ่งไว้ปกครอง ข้าเองจะพักอยู่ไม่กี่วันก็จะออกเดินทาง ให้เจ้าจัดทัพทหารเข้าร่วมด้วย หน้าที่
การปกครองให้ร่วมกันปรึกษาทุกๆครั้งไป หากข้าได้ข่าวว่ามิปรองดองกันข้าก็จะไม่ละเว้นพวกเจ้าทั้งครองครัว
ด้วย เจ้าทั้งสองจงจำไว้ “
เหมี่ยวมินยอง กับมังกุรียะ ก้าวออกมาน้อมกายถวายบังคม พร้อมให้สัตย์ปฏิญาณตนแก่มังสุริยะชัยทันที
ชายหนุ่มจึงหันไปกล่าวกับมหาอำมาตย์มังกะยอชวาให้ไปแจ้งแก่ครอบครัวว่าต้องออกเดินทางไปร่วมรบด้วย
แล้วก็สั่งเลิกประชุมทันที บรรดาเหล่าแม่ทัพนายกองเมืองหล่อยก่อก็เข้าไปแสดงความคาราวะแก่แม่ทัพของ
ฝ่ายชายหนุ่มพร้อมชักชวนกันไปหาความสำราญกันยังบ้านของแม่ทัพใหญ่เมืองหล่อยก่อทันที ทั้งหมดเมื่อ
เป็นพวกเดียวกันแล้วก็มิได้ตั้งแง่แต่ประการใด ด้วยทุกๆคนมีความรักต่อเจ้าเหนือหัวทั้งสิ้น ฝ่ายทหารม้าพิเศษ
นั้นก็แยกทางอีกทางหนึ่งพร้อมด้วยทหารที่มาด้วยกันไปหาความสนุกสนานกันเอง อยู่ภายในวังทั้งสิ้นเพื่อคอย
อารักขามังสุริยะชัยนายเหนือหัวต่อไป
ข่าวคราวการยึดแว่นแคว้นกะยารวมถึงการตายของเจ้าเมืองหล่อยก่อนั้น ได้แพร่สะพัดไปทั่วแว่นแคว้น
ต่างๆ ทำให้เมืองในแว่นแคว้นทั้งหลายเกิดความปั่นป่วน บ้างก็นำบรรณาการมาเพื่อขอพึ่งบารมีของชายหนุ่ม
ส่วนที่มิยอมตกในอำนาจก็จัดสร้างกำแพงเมืองระดมทหารไว้ป้องกันเมืองระดมฝึกทหารและสร้างอาวุธไว้
ด้วยหวั่นเกรงต่อกองทัพชายหนุ่ม ดังนั้นข่าวที่แพร่ออกไปนั้นทำให้ข่าวแพร่สะพัดออกไปอย่างรวดเร็วจน
ล่วงรู้ไปถึงเจ้าเมืองแคว้นกะฉิ่นและท่านผู้เฒ่าและเจ้าหญิงในหุบผาทันที
ทุกๆคนปลาบปลื้มต่อชัยชนะครั้งนี้จนทำให้เจ้าหญิงใคร่อยากจะออกร่วมรบกับชายหนุ่ม
แต่ได้ถูกห้ามปรามจากท่านผู้เฒ่าว่ากิจการทหารนั้นควรเป็นของชายหาใช่สตรีใดไม่
หากแม้นว่าองค์หญิงจะร่วมก็จะเกิดความพะวักพะวงต่องานที่จะกระทำสู้ปล่อยให้ดำเนินไป
คนเดียวจึงจะถูกต้อง ดังนั้นเจ้าหญิงจึงต้องระงับการเดินทางคอยฟังข่าวชายหนุ่มคู่หมั้นตนเองต่อไป
ในเวลาไม่นานนักเสบียงอาหารและอาวุธใหม่ที่ชายหนุ่มแจ้งแก่ท่านมังสินธูก็ถูกลำเลียงมาเป็นจำนวนมาก
มอบให้แก่ชายหนุ่มทันที ชายหนุ่มจึงส่งสาสน์ไปให้เจ้าเมืองมิจีนาทราบด้วยถึงแผนการต่อไป ยามที่ชายหนุ่ม
ล่วงเข้าฝ่ายในโดยมีองครักษ์รับใช้นำทางไปที่ตำหนักของเจ้าเมือง
แต่ชายหนุ่มไม่ประสงค์เช่นนั้นกลับให้ทหารนำไปพักยังเรือนรับรองแขกเมืองเท่านั้น
บรรดานางสนมกำนัลตลอดจนพระมเหสีและองค์หญิงต่างๆต้องมีหน้าที่มาปรนนิบัติ
ชายหนุ่มตามประเพณีธรรมเนียม แต่ชายหนุ่มแจ้งแสดงความขอบใจให้ทุกๆคนทำตัว
แบบสบายๆไม่ต้องกังวลสิ่งใดๆ ที่ทำไปก็ให้ถือเช่นเดิมไม่ต้องมาปรนนิบัติเราหรอกให้กลับไปได้
ยกเว้นเครื่องเสวยและนางกำนัลบางคนเท่านั้น พระองค์สั่งแต่เพียงแค่ผลไม้และน้ำใช้ดื่มก็เพียงพอ
ทำให้เหล่าพระมเหสีองค์หญิงและนางสนมกำนัลพากันแปลกใจไปตามๆกัน
แต่ก็ไม่อาจจะขัดพระบัญชาได้ บรรดาองค์หญิงนั้นต่างมีสรีระร่างสวยงามทั้งสิ้น
เมื่อถูกปฏิเสธจากชายหนุ่มก็พลางใบหน้าสลดด้วยเห็นบุคลิกลักษณะของชายหนุ่มหล่อเหลายิ่งนัก
ตลอดจนพระมเหสีด้วยที่ยังสาวอยู่ ก็พยายามท้วงติงอ้างว่าเป็นพระราชประเพณี
แต่ชายหนุ่มบอกว่าถึงมาดแม้นเป็นประเพณีโบราณกาลก็ตามหาใช่ที่จะเปลี่ยนแปลงมิได้
เราเองจะขอขัดแย้งเปลี่ยนแปลงเสียเลยนับแต่นี้ไป แม้เจ้าเมืองใหม่ก็หามีสิทธิใดๆทั้งสิ้นเราจะกำชับไว้
ดังนั้น บรรดาเหล่ามเหสีองค์หญิงตลอดจนนางสนมกำนัลต่างเสียดายแต่มิอาจขัดพระหทัยได้จึงทูลถวาย
บังคมลากลับไปยังตำหนักของตัว
ส่วนกลางคืนนั้นนางพรายทั้งสองก็คอยเฝ้าปรนนิบัติชายหนุ่มอยู่แล้วตลอดจนเจ้าขนทองขนขาวก็ร่วม
กระเซ้าเย้าแย่กันเหมือนเดิมหาได้แตกต่างประการใด จนทำให้ทหารที่รักษาการณ์หน้าตำหนักพากันแปลกใจ
กันไปตามๆกัน ด้วยได้ยินเสียงหัวร่อของหญิงสาวอยู่ด้วยทั้งๆทีเห็นมีเพียงแต่ชายหนุ่มและลิงทั้งสองเท่านั้น
ใยจึงมีเสียงหัวร่อ อดที่จะลอบแอบมองเสียมิได้ ครั้นเห็นแม่นางพรายทั้งสองช่างสวยสดงดงามกระไรเช่นนั้น
ก็ไม่แปลกใจเลยที่ทำไมชายหนุ่มถึงไม่สนใจต่อสตรีทั้งหลายนัก.............
* แก้วประเสริฐ. *
3 มีนาคม 2553 14:39 น.
แก้วประเสริฐ
ลุ่มลึกอิสราวดี 36
เมื่อเคลื่อนพลเข้ารายล้อมเมืองหล่อยก่อแล้ว ชายหนุ่มก็ออกตรวจดูภูมิประเทศครั้นเห็น
ว่าไม่เหมาะสม ด้วยมีต้นหญ้าสูงเกือบเอวล้วนแล้วแต่แห้งทั้งสิ้นหากข้าศึกเพียงแค่จุดไฟ
เท่านั้นก็สามารถทำลายกองทัพได้ จึงได้สั่งให้ทหารทั้งหมดถอยทัพทันทีไปยังด้านที่มี
ต้นไม้สดล้อมรอบแล้วจัดตั้งค่ายหอประตูรบ พร้อมจัดตั้งค่ายกลอำพลางไว้หลายๆค่าย
ทางด้านเมืองหล่อยก่อนั้น เจ้าเมืองปกครองแคว้นกะยะ ครั้นได้ทราบว่ามีกองทัพที่ไม่
ทราบว่าเป็นของแคว้นใดมาล้อมเมืองเช่นนี้ เหมี่ยวสุรินทร์นราก็หัวร่อลั่นเมื่อได้รับรายงาน
ว่าทหารทั้งหมดมารายล้อมยังทุ่งหญ้า พลางหันไปทางนายทัพนายกองที่ปรึกษาด้านทหาร
ว่าหากมันเข้ามายังลานทุ่งหญ้านี้ก็เปรียบเสมือนมันเข้าสู่ทางตายเท่านั้นเอง ให้พวกเราจัด
เตรียมน้ำมันสนไว้ให้มากๆเพื่อจะได้เผาทหารทั้งหมดให้ตกอยู่ในกองเพลิงยากจะหลบหนี
รอดไปได้
สักครู่หนึ่งทหารก็เข้ามารายงานอีกว่าพวกมันได้ถอยทัพไปหมดสิ้นแล้ว ทำเอา
เหมี่ยวสุรินทร์นราถึงกับอึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง แต่ด้วยความเป็นคนเจ้าเล่ห์เพทุบายมันกล่าวว่า
อันเมืองเรานั้นตั้งอยู่บนที่ราบสูงเป็นเนินเขาล้อมรอบยากแก่การเข้าโจมตี ถึงหากจะโจมตีเรา
ก็ยากจะฝ่าเข้ามาได้ให้ตระเตรียมเชื้อเพลิงไว้ ด้วยมันต้องขึ้นเขามาถึงจะถึงเมืองเราหากเรา
ตั้งรับไว้ ยากนักมันจะตีเมืองเราได้ แล้วก็หัวร่อดังลั่นพลางหันไปสั่งแม่ทัพใหญ่ทันที
“ท่านมังกะยอ....ให้ท่านจัดทัพออกไปหยั่งเชิงฝ่ายศัตรูก่อนว่ามันมีความสามารถประการใด”
เมื่อแม่ทัพใหญ่ทราบเช่นนั้นจึงหันไปสั่งแม่ทัพอีกนาย
“ท่านมังสุระ....ท่านจงนำกำลังพลออกไปทดสอบกำลังฝ่ายศัตรูก่อน หากเหลือกำลังก็ให้รีบ
นำทัพกลับมา”
“ขอรับท่านแม่ทัพใหญ่” ข้าจะรีบนำทหารออกไปเดี๋ยวนี้แหละ” แล้วรองแม่ทัพใหญ่ก็ออกมา
จัดไพร่พลทหารยกกำลังออกนอกเมืองไปทันที
ด้านเจ้าเมืองหล่อยก่อก็จัดวางกำลังพลโดยนำแผนทีอาณาเขตล้อมรอบเมืองมาตั้งจัดวางกำลัง
ร่วมกับแม่ทัพใหญ่ หากแม้นว่าข้าศึกอ่อนล้าลงเมื่อใดก็จะได้ยกทัพออกไปเข่นฆ่าทันที หากจะอาศัย
แว่นแคว้นต่างๆก็ไม่ได้ ด้วยมันทราบว่าถูกฝ่ายข้าศึกยึดครองไปทั่วหมดแล้ว หากสิ้นเมืองหล่อยก่อ
เมื่อใดแว่นแคว้นทั้งหมดก็ตกไปในเงื้อมมือพวกนั้นทันที
ทางด้านมังสุระครั้นนำทหารประมาณห้าพันนายออกจากเมืองแลไปยังท้องทุ่งกว้างก็หาได้พบ
เหล่าทหารข้าศึกแต่อย่างไรในลานทุ่งหญ้าไม่ ก็ให้ฉงนจึงนำเหล่าทหารยกพลฝ่าทุ่งหญ้าเพื่อค้นหา
ทันที ครั้นมาถึงกลางลานทุ่งหญ้าก็แลเห็นค่ายทหารต่างๆได้ตั้งอยู่ในดงไม้รอบข้างหลายๆสิบค่าย
ก็ชักเอะใจยิ่งนัก ความคิดอ่านที่จะใช้ลานแห่งนี้เผาทหารข้าศึกบัดนี้เราก็มาอยู่ในทุ่งนี้เสียเองก็รีบ
สั่งให้ทหารถอยกลับเมืองทันที แต่ก็ต้องตกใจยิ่งนักด้วยเกิดไฟลุกท่วมสกัดด้านกลับเมืองเสียแล้ว
เมื่อเหตุดังนี้จึงต้องนำเหล่าทหารหนีไฟมาทางค่ายกลที่วาง ก็ให้ฉงนยิ่งนักด้วยค่ายนี้ได้เปิดกว้าง
มีทหารเรียงรายรักษาไว้ไม่มากนัก หรือว่าจะเป็นเพียงสร้างค่ายต่างๆหลอกพวกเรากระมัง แต่เมื่อมี
เหตุคับขันเกิดขึ้นก็จำเป็นต้องฝ่าเข้าไปค่ายเพื่อหลบหลีกไฟที่ไล่ตามหลังเหล่าทหารมา ทหารด้านหลัง
ก็ถูกเปลวเพลิงจากทุ่งหญ้าไหม้ตามตัว ร้องโหยหวนครวญคร่ำระงมไปทั่ว ที่เหลือก็พากันฝ่ายตีฝ่าเข้า
ไปในค่ายที่แลเห็นทันที ก็พบว่าเหล่าทหารที่รักษาค่ายต่างได้หลบหนีไปหมดแล้วครั้นเมื่อเข้าไปยังใน
ค่ายก็พบหมอกควันอันมากมายและมีเสียงร้องโหยหวนดังขึ้นคล้ายเสียงปีศาจมิผิด
ทำให้มังสุระตกใจยิ่งนักด้วยเหล่าทหารก็เกิดชุลมุนต่างสู้รบกันเองอลหม่านไปสิ้น เมื่อตวาดห้าม
ปรามอย่างไรพวกทหารก็ไม่ฟัง กลับหันมาทางมังสุระฟาดฟันและแทงมายังมังสุระทันที ต้องทำให้
มังสุระปัดป้องกันตัวและคิดจะหนีออกจากค่ายที่เต็มไปด้วยหมอกควันเสียงร้องคร่ำครวญก็มองหาทาง
ออกมิได้ ทำให้เกิดการฆ่ากันขึ้นเนื่องจากเหล่าทหารของตนได้ต่างเข้าล้อมรอบตัวเองโดยคิดว่าเป็น
ศัตรูหรือปีศาจไม่ปาน ดังนั้นมังสุระจึงจำเป็นต้องป้องกันตัวและฆ่าทหารเหล่านั้นเพื่อรักษาตัวให้รอด
แม้แต่ทหารคนสนิทที่เคียงข้างก็กลายเป็นศัตรูไปเสียสิ้น จึงควบม้าฝ่าหมอกควันมาก็ชนกับกำแพง
ของค่ายวกวนค้นหาทางออก จนพบก็พุ่งม้าออกมาได้เพียงผู้เดียว พลางหันไปทางในค่ายก็มองเห็นเหล่า
ทหารของตนกำลังเข่นฆ่ากันเอง จนล้มตาย มังสุระให้แปลกใจยิ่งนักด้วยมองจากนอกค่ายทางประตูกลับ
แลเห็นภายในค่ายได้ชัดเจนหาได้มีหมอกควันหนาทึบแต่ประการใดไม่ เมื่อเหล่าบริวารของตนห้าพันนาย
เข่นฆ่ากันเองล้มตายลงหมดสิ้น ก็รีบขี่ม้ากลับทางเดิมเนื่องจากไฟได้สงบลงไปคงเหลือเพียงแต่เปลวเพลิง
เพียงเล็กน้อย รีบเดินทางฝ่าทางที่เป็นช่องให้พอจะไปได้ พอเข้าเมืองแล้วเข้าไปรายงานแก่เจ้าเมืองทันที
ฝ่ายเหมี่ยวสุรินทร์นราครั้นทราบเหตุจากรองแม่ทัพใหญ่เช่นนี้ก็ให้ตกใจและสงสัยยิ่งนัก ไม่คิดว่าการณ์
ครั้งนี้หวังอาศัยลานหญ้าแห้งทำลายข้าศึก กลับเป็นฝ่ายทำลายพวกไปเสียเอง แต่ก็ให้นึกสงสัยถึงค่ายที่มังสุระ
กล่าวก็ยิ่งฉงนใจว่าจะมีเหตุเช่นนี้ได้หรือ นี่หากตัวรองแม่ทัพใหญ่ที่รอดมาเพียงคนเดียวมารายงานมันก็คงจะ
ไม่เชื่อถือหากเป็นรายงานจากทหารอื่น ดังนั้นมันจึงรีบเรียกประชุมเหล่าทหารทันทีเพื่อปกป้องเมืองอย่างเดียว
เมื่อชายหนุ่มหรือมังสุริยะชัยครั้นได้รับรายงานจากเหล่าทหารที่เฝ้าค่ายกลดังกล่าวทราบก็ดีใจ แล้วแจ้งให้
เหล่าทหารช่วยกันเผาหญ้าแห้งที่ยังเหลืออีกมากมายนัก เขาตรวจดูทิศทางของสายลมทราบว่าเป็นทางที่ต้องผ่าน
มายังทางกองทัพเขา ถ้าหากคอยเวลาให้ทิศทางลมเปลี่ยนไปอีกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ จึงจำเป็นต้องใช้พระเวทย์ของ
ท่านพญานาคาเสียแล้ว เพื่อจะได้เปลี่ยนทิศทางลมให้หวนไปยังเมืองของเจ้าเหมี่ยวสุรินทร์นราทันที เมื่อคิด
ได้เช่นนี้เขาจึงรีบสั่งให้ทหารรีบเผาไฟในทุ่งหญ้าทันที แม้จะได้รับการคัดค้านจากเหล่าแม่ทัพนายกองของเขา
ว่าหากเผาหญ้าแล้วหมอกไฟก็จะหวนกลับมาทางพวกเราเผาทำลายพวกเรากันเอง
มังสุริยะชัยหัวร่อ พลางปลอบใจว่าให้คอยดูและฟังคำสั่งเขาก็เพียงพอแล้วสิ่งอื่นใดไม่ต้องกังวลศึกคราวนี้
ข้าจำเป็นต้องทำให้อย่างรวดเร็ว ด้วยหากคอยลมเปลี่ยนทิศทางและจะคอยเสบียงอาหารจากเมืองมิจินา
ก็คงจะไม่ทันการณ์หรอก หากใครขัดคำสั่งเขาจะถูกลงโทษตามกฎทหารทันที
เหล่าแม่ทัพนายกองได้ฟังเช่นนั้นมิอาจจะขัดอีกต่อไปไม่ จึงได้รีบนำทหารออกจัดการเผาลานทุ่งหญ้า
ชายหนุ่มพลันหันมาสั่งทหารม้าคนสนิทว่าให้ลำเลียงอาวุธใหม่ที่เขาประดิษฐ์ไว้ออกมาเตรียมพร้อมด้วย
ครั้นเมื่อทุ่งลานหญ้าลุกโชติช่วงด้วยควันไฟไปเต็มลานก็เกิดพายุลมพัดกระหน่ำเพิ่มขึ้นอีกเหล่าต้นไม้ทั้ง
หลายก็ต่างเป็นเชื้อเพลิงที่ดี ชายหนุ่มหลับตาลงยกมือร่ายพระเวทย์ของท่านพญาธิบดีนาคราชทันที ทันใด
นั้นเองท้องฟ้าก็เกิดมืดครึ้มพายุพัดขึ้นอย่างรุนแรง กระแสลมกับยอกย้อนให้เปลวหมอกควันไฟทั้งหลายย้อน
กลับไปทางเหมืองหล่อยก่อ ทำให้เมืองหล่อยก่อเกิดความวุ่นวายขึ้นประชาชนและเหล่าทหารที่รักษา
กำแพงเมืองต่างยกผ้าขึ้นปิดจมูกมิอันทำหน้าทีได้ประกอบกับเปลวความร้อนก็ระดมพัดเข้าหาเมืองจนร้อนระอุ
ไปทั่วๆเมือง
ฝ่ายเจ้าเหมี่ยวสุรินทร์นราก็ตกใจด้วยแม้แต่ฝ่ายในก็เต็มไปด้วยความร้อนและควันอันมากมายจน ฝ่ายสนม
นางกำนัลทั้งหลายต่างร้องหวีดว้ายระงมไปทั่ง มันรีบออกมาเอาผ้าปิดจมูกแต่ไม่อาจปิดตาได้น้ำตาได้รินไหล
ออกมาสั่ง เหล่าทหารแม่ทัพใหญ่ให้คอยระวังเมืองไว้อย่าให้ข้าศึกบุกเข้ามาได้เป็นอันขาด ทันใดนั้นเองเสียง
ระเบิดได้ดังกระหึ่มไปทั่วเมือง มันตั้งแต่ปกครองแว่นแคว้นมาก็ยังไม่เคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้ได้ว่าการระเบิด
นั้นมีมาแต่อย่างใด ทันใดนั้นทหารองครักษ์ก็เข้ามารายงานทันทีว่าประตูเมืองทั้งสี่ได้ถูกอะไรไม่รู้
เป็นดวงไฟใหญ่ๆพุ่งเข้าชนและแตกระเบิดดังกึกก้องประตูได้ถูกทำลายไปแล้ว
พวกข้าศึกได้ทยอยเข้าเมืองมาแล้วขอให้ท่านเจ้าเมืองหาทางหลบหนีออกไปเถิด ด้วย ศัตรูกำลังใกล้เข้า
มาแล้วพระเจ้าข้า เหมี่ยวสุรินทร์นรายิ่งตกใจคว้าดาบออกนำทหารองครักษ์ด้วยมันมิคิดจะหลบหนีไปแจ้ง
รู้แก่ใจว่าหากหนีไปก็ไม่สามารถเล็ดรอดไปอาศัยแคว้นใดๆได้อีก ด้วยบัดนี้ตกอยู่ในอำนาจของศัตรูไปหมด
สิ้นแล้ว ไหนๆก็เป็นชายชาติทหารก็ขอสู้ตายในหน้าทีมันคิดได้เช่นนี้ก็นำเหล่าทหารองครักษ์ทั้งหมดออกมา
ยืนคอยอยู่ สักครู่ใหญ่มันแลเห็นชายหนุ่มขี่ม้าสีเทานำหน้าทหารเข้ามาและเข้าเผชิญหน้ากับมันทันที
ชายหนุ่มน้อมคาราวะเหมี่ยวสุรินทร์นราพลางหัวร่อว่าบัดนี้เมืองของท่านถูกข้าได้ยืดหมดสิ้นแล้ว เหตุใด
ท่านถึงไม่หนีไปล่ะ เหมี่ยวสุรินทร์นราเห็นผู้นำทัพมานี้เป็นชายหนุ่มก็ให้สงสัยนัก จึงกล่าวว่า
“นี่แน๊ะมึงไปแจ้งแก่หัวหน้ามึงให้มาต่อสู้กับกู ด้วยหากปะมือกับมึงกูก็จะไม่สมฐานะกัน”
“ฮ่าๆๆๆ???.....แล้วท่านว่าผู้ที่ควบคุมทัพทั้งหมดนี้มาตียึดเมืองท่านได้เป็นใครอีกล่ะท่าน” ชายหนุ่มกล่าว
“ข้าเองป่านนี้ยังไม่รู้เลยว่าใครบังอาจมาตีแว่นแคว้นของข้าได้โดยใช้เวลาไม่นานนัก มึงอย่ามาต่อริมฝีปาก
กับกูให้รีบไปเรียกนายมึงมาเถิด” เจ้าเมืองหล่อยก่อกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าเกรี้ยวกราดนัก
“หากข้าบอกท่านว่า ผู้ที่เข้าตีแว่นแคว้นและเมืองท่านเป็นข้าล่ะ เจ้าจะเชื่อหรือไม่” ชายหนุ่มชักไม่พอใจ
ในคำพูดเจ้าเมือง อะไรๆก็มึงอะไรๆก็กูช่างยโสโอหังนัก
“ฮ่าๆๆๆ???.....น้ำหน้าอย่างมึงหรือจะมีสติปัญญามาตีแว่นแคว้นเมืองของข้าได้เจ้าเด็กปากยังไม่สิ้น
กลิ่นน้ำนม” มันแหกปากหัวร่อลั่น แล้วถามว่า
“ ไหนๆมึงกล่าวเช่นนี้แล้วมึงชื่ออะไรหรือว๊ะ ไอ้หนุ่มน้อย”
“เอาล่ะไหนๆเมื่อก่อนจะตายข้าก็จะบอกให้ว่า ข้าเองมีชื่อว่า “มังสุริยะชัย” แห่งเมืองศิระสุริยันต์”
เจ้าเมืองหล่อยก่อถึงกับหัวร่อดังลั่นอีกครั้งหนึ่ง
“ อันเมืองศิระสุริยันต์นั้นใช่อดีตรวบรวมแว่นแคว้นต่างๆรวมทั้งแผ่นดินของกูไว้ บัดนี้ล่มสลายไปนาน
แล้ว ใยมึงจึงมาอ้างว่าเป็นคนเมืองศิระสุริยันต์อีกล่ะ”
“ในเมื่อท่านไม่เชื่อก็ตามใจท่านที่ข้าบอกว่าไหนๆก็จะสังหารเจ้าแล้วจะได้ เวลาตายไปไม่ต้องกังวล
สงสัยอะไรอีก” ชายหนุ่มกล่าวพลางชักดาบออกมา
ทันใดนั้นแม่ทัพใหญ่ฝ่ายชายหนุ่มก็เข้ามาคาราวะ พร้อมรายงานการยึดครองเมืองหล่อยก่อได้เรียบร้อยแล้ว
และได้วางกำลังตลอดจนปลอบขวัญชาวเมืองไม่ให้ตื่นตกใจ พร้อมกำชับทหารทุกๆคนอย่าได้เบียดเบียนชาวบ้าน
โดยเด็ดขาด ชายหนุ่มกล่าวขอบใจพร้อมแจ้งให้ไปคอยตรวจดูหน้าที่นี้ข้าจัดการได้
แม่ทัพใหญ่ของชายหนุ่มนาม “มังสุรเดชเดชา” กล่าวว่า
“ ขอให้เป็นหน้าที่ของหม่อมฉันก็แล้วกันพระเจ้าข้า อย่าได้ถึงมือพระองค์เลย”
“ เอาล่ะข้าขอขอบใจท่านมังสุรเดชเดชามาก ให้ท่านไปทำตามที่เราสั่งไว้ไปตรวจดูภายในวังแล้วปลอบ
ขวัญเหล่านางสนมกำนัลตลอดจนมเหสีด้วยเถิดนะ”
“ พระเจ้าข้า ข้าพระองค์จะจัดการให้เป็นที่เรียบร้อยพระเจ้าข้า” แม่ทัพใหญ่กล่าวแล้วน้อมคาราวะ
แล้วนำทหารออกฝ่าเดินเข้าไปเข่นฆ่าเหล่าทหารองครักษ์จนหมดสิ้น เพื่อไปควบคุมฝ่ายในทันที
บัดนี้เจ้าเมืองหล่อยก่อเชื่อแล้วว่า ชายหนุ่มคนนี้คือแม่ทัพที่นำทหารเข้าโจมตีแว่นแคว้นของมัน มันเจ้าเล่ห์
เห็นว่าหากทำท่าอ่อนน้อมก็อาจจะรักษาชีวิตไว้ได้แล้วอาจจะได้กลับคืนครอบครองเมืองต่อไป ดังนั้นมันจึงได้
ทิ้งดาบแล้วทรุดกายลง กล่าวขอชีวิตต่อชายหนุ่มทันที แต่ด้วยเคยได้ยินคำกล่าวของท่านลุงมาก่อนว่าเจ้าเมือง
นี้มันเล่ห์เหลี่ยมมากมายนักประดุจดังงูอย่าไว้เนื้อเชื่อใจเป็นอันขาด ดังนั้นเขาจึงทำเป็นใบหน้ายิ้มแย้มแล้ว
กล่าวว่า
“หากแม้นว่าท่านกระทำแต่แรกแล้วเราก็ไม่ต้องเสียเลือดเนื้อเหล่าทหารหรอกขอให้ท่านสั่งทหารท่าน
ทุกๆคนวางอาวุธได้แล้วล่ะ”
เมื่อเจ้าเมืองหล่อยก่อได้ฟังเช่นนั้นคิดว่าชายหนุ่มคงหลงกลมันแล้วจึงสั่งให้ทหารองครักษ์ทุกๆคนวาง
อาวุธให้หมด บรรดาทหารองครักษ์ครั้นวางอาวุธหมดสิ้นแล้ว ชายหนุ่มก็เดินไปถึงร่างของเจ้าเมืองทันที
พลางกล่าวขึ้นว่า
“ อันกิติศัพท์ของท่านเลื่องลือไปไกลเช่นนี้ ทำให้ข้าเองก็รู้สึกว่าให้บังเกิดนับถือในความคิดอ่านท่าน
ยิ่งนัก เอาล่ะไหนๆแล้วข้าขอบอกแก่ท่านด้วยว่า ข้าเองหาได้เชื่อในน้ำคำท่านก็หาไม่ โบราณกล่าวไว้ว่า
หากจะตีงูก็อย่าแค่เพียงหลังหักมันจะกลับหวนมากัดเราได้ หรือ อย่าปล่อยเสือเข้าป่าไป ดังนั้นข้าเองคิด
ว่าหากปล่อยให้ท่านมีชีวิตต่อไปไม่ช้าก็จะแว้งต่อข้าเองได้ อโหสิแก่กันและกันนะ”
เหมี่ยวสุรินทร์นราครั้นพอได้ฟังคำเช่นนั้น มันสะดุ้งเฮือกพลันคว้าดาบข้างตัวพุ่งเข้าแทงชายหนุ่มทันที
แต่ช้าไปเสียแล้ว คมดาบของชายหนุ่มตวัดตัดคอมันขาดกระเด็น เลือดไหลพุ่งดั่งพะเนียงแตก ทำเอาพวก
เหล่าองครักษ์ต่างหน้าซีดตกใจไปตามกัน ชายหนุ่มหันมากล่าวกับเหล่าองครักษ์ว่าหาใช่ความผิดของ
พวกเจ้าก็หาไม่ เราจะปล่อยพวกเจ้าไปละชีวิตให้เสียแต่ก็จะให้ทำหน้าที่เป็นองครักษ์ตามหน้าที่ต่อไป
มิต้องกังวลใดๆทั้งสิ้น ทำเอาหัวหน้าองครักษ์และเหล่าองค์รักษ์ทั้งหลายทรุดตัวลงกราบชายหนุ่มทันที
พร้อมให้คำปฏิญาณตนว่าจะเชื่อฟังคำสั่งชายหนุ่มทุกประการ ที่ไว้ชีวิตแก่พวกเขาตลอดลูกเมียที่ไม่
ต้องเดือดร้อน ชายหนุ่มกำชับว่าขอให้ทุกๆคนจะเอื้ออารีต่อกันและอย่าได้หยิ่งยโสโอหังถือตนเองว่าเป็น
ข้าราชการฝ่ายในเป็นอันขาด การมีเมตตาช่วยเหลือกันและกันย่อมก่อเกิดประโยชน์แก่พวกเจ้า คนเขาก็จะ
เคารพเอง และย่อมจะพึ่งอาศัยในต่อไปข้างหน้า เจ้าเมืองของพวกเจ้ากิติศัพท์เลื่องลือที่ข้ามาตีแว่นแคว้นต่างๆ
ได้ก็ด้วยความมีน้ำใจมิได้รุกรานเพื่อหวังจะในอำนาจก็หาไม่ เลยทำให้ข้ามีกำลังนับมหาศาลหากมาดแม้นว่า
พวกเจ้าที่คิดสวามิภักดิ์และมวลทหารในเมืองนี้ทั้งหลาย ล้วนแล้วมีความสัตย์ซื่อต่อเรา
เราก็จะละเว้นชีวิตหากยังมิเชื่อฟังขัดขืนต่อไปข้าเองก็จะไม่ไว้ชีวิตพวกมันหรือเสแสร้งก็ตาม
ขอให้เจ้าจงไปบอกแก่พรรคพวกทั้งหลายไว้ด้วย และให้แจ้งไปยังบรรดาแม่ทัพนายกองทั้งหลายให้มา
หาข้ายังที่ท้องพระโรงด้วย บรรดาเหล่าทหารองครักษ์ได้ยินเช่นนั้นก็ซาบซึ้งในน้ำใจชายหนุ่มยิ่งนักถึงกับ
บางคนน้ำตาไหลริน ล้วนแล้วให้ความนอบน้อมพร้อมให้คำสัตย์สาบานไว้ หลังจากชายหนุ่มกำจัดเจ้าเมือง
เสร็จสิ้น ก็เข้าไปยังฝ่ายในอันเป็นท้องพระโรงทันทีซึ่งเต็มไปด้วยบรรดาแม่ทัพนายกองทั้งหลายที่ควบคุมตัว
บรรดาอำมาตย์ข้าราชบริพารแม่ทัพนายกองของเมืองหล่อยก่อมา เพื่อให้ชายหนุ่มตัดสินคดีความ.............
* แก้วประเสริฐ. *
2 มีนาคม 2553 12:42 น.
แก้วประเสริฐ
ลุ่มลึกอิสราวดี 35
ครั้นเจ้าเมืองแห่งมิจินาเมื่อแลเห็นดวงตราประจำตัวของมหาอุปราชแห่งเมือง ศิระสุริยันต์
เช่นนั้น พลันชายชราเจ้าเมืองก็รีบลงจากหลังม้าพร้อมทั้งคุกเข่าลงทันทียกมือพนมพร้อมกับ
กล่าวขึ้นว่า
“โอ้????....ข้ามังสินธู ขอถวายพระพรพระมหาอุปราชพระเจ้าข้า”
ชายหนุ่มเห็นเช่นนั้นก็ตลึงพร้อมรีบลงจากหลังเจ้าสีเทา พลางก้าวเข้ามาโอบร่างเจ้าเมืองแห่ง
มิจินาทันที พร้อมพยุงร่างให้ลุกขึ้น พลางกล่าวขึ้นว่า
“ท่านลุง...ใยทำเช่นนี้เล่า ถึงมาดแม้นข้าพเจ้าเป็นมหาอุปราชก็จริงอยู่แต่ บัดนี้เมืองได้ล่มสลาย
ไปสิ้นแล้ว เพียงข้าพเจ้าจะคิดกอบกู้คืนกลับมาเท่านั้น ใยทำให้ข้าต้องอายุสั้นไปใยเล่า”
ชายชราลุกขึ้นตามมือของชายหนุ่มพร้อมก้มตัวเอ่ยว่า
“หากมาดแม้นเมืองศิระสุริยันต์จะล่มสลายไปก็จริงอยู่ แต่ท่านมังมหาสุริยะนรธาธิบดีมีคุณอัน
ยิ่งใหญ่นัก ที่ข้าได้ครองแคว้นกะฉินนี้ก็ด้วยพระราชอำนาจของพระองค์ที่มอบหมายให้ข้าได้ปกครอง
ดูแล ก่อนเก่าข้าเองก็เป็นอำมาตย์ของเสด็จพ่อพระองค์ได้เข้าปกครองแว่นแคว้นกะฉิน
ที่ปกครองมีเมืองทั้งสิ้นสิบเมืองใหญ่และเล็กๆอีกมากมายนั้นก็ด้วยพระบารมีของเสด็จพ่อพระองค์
คอยช่วยเหลือดูแลเสมอๆ ข้าเองเป็นข้าใต้เบื้องพระยุคลบาทหาได้ลืมเลือนไปก็หาไม่
นับได้ว่ามีคุณอันมหาศาลแก่แว่นแคว้นกะฉินเป็นยิ่งนักอันจะหาที่ใดมาเทียมเทียบมิได้พระเจ้าข้า”
ชายหนุ่มได้ยินเช่นนั้นก็กล่าวขึ้นว่า
“แล้วท่านยังจำท่านมังมหาสุรเดชาธิบดีได้อยู่หรือไม่ล่ะท่านพ่อลุง”
ชายชราได้ยินเช่นนั้นก็ทูลขึ้นว่า
“อันท่านมังมหาสุรเดชาธิบดีนั้นคือพระสหายร่วมสาบานกับพระบิดาของพระองค์และเป็นผู้ที่เลี้ยงดูฝึก
ฝนวิทยายุทธทั้งปวงให้แก่พระองค์พระเจ้าข้า” เจ้าเมืองมิจินากล่าวขึ้น
“แล้วท่านมังมหาสุรเดชาธิบดียังอยู่สบายดีเป็นประการใดหรือไม่พระเจ้าข้า” ชายชราถามขึ้นอีก
“อ้อๆท่านลุง ท่านยังสบายดีอยู่แต่ยังไม่ครบกำหนดที่ให้สัจจะแก่เสด็จพ่อเราไว้ และได้มอบสายสร้อย
พร้อมดวงตรานี้แก่ข้าเอง และได้กล่าวว่าต่อไปจะเป็นประโยชน์อย่างมากหากมาดแม้นเมืองใดที่ยังใฝ่จงรัก
ภักดีต่อเสด็จพ่อ หากได้เห็นดวงตรานี้ก็เปรียบเสมือนเห็นพระองค์นะท่านลุง” ชายหนุ่มกล่าวตอบ
“ในชีวิตของข้าจวบจนป่านนี้และสั่งลูกหลานทุกๆคนตลอดชาวเมืองกะฉินที่อยู่ภายใต้ปกครองของมิจินา
ว่า หากมาดแม้นวันใดเชื้อสายของพระเจ้ามังมหาสุริยะนรธาธิบดีมาอย่าได้ลุล่วงเป็นอันขาดมิฉะนั้นข้าจะไม่ไว้
เป็นเด็ดขาด ถ้าอย่างนั้นข้าพระองค์ขอ อัญเชิญพระองค์เข้าสู่เมืองมิจินาก่อนเถอะพระเจ้าข้า อ้อ เหล่าทหารของ
พระองค์ก็ให้เข้ามาด้วย มีทั้งหมดเท่าไหร่หรือพระเจ้าจ้า”
“ตอนนี้ข้านำมาเพียงแค่ห้าร้อยนายเท่านั้นเองแหละ แต่ยังมีอยู่อีกแล้วชายหนุ่มก็เล่าถึงเรื่องของ
เมืองอิสราวดีและนางกษัตริย์ให้แก่เจ้าเมืองมิจินาทราบทั้งหมดทันที”
“หากมาดแม้นเป็นพระประสงค์ของท่านมหาอุปราชกล่าวเช่นนั้น ข้าตลอดจนเมืองบริวารต่างๆหากจะ
รวบรวมเหล่าทหารทั้งหมดที่ขึ้นตรงต่อเมืองมิจินาแล้วคงได้ประมาณแสนกว่าๆพระเจ้าข้า หากมีพระประสงค์
จะให้ข้าออกศึกเมืองใดก็ ทรงแจ้งแก่ข้าพระพุทธเจ้าข้าจะได้ออกคำสั่งให้เมืองบริวารต่างๆระดมทหาร
เข้ามาทันทีพระเจ้าข้า” ชายชรากล่าวด้วยความนอบน้อม
“ยังหรอกพ่อลุง ข้าเองก็ยังนับถือน้ำใจของพ่อลุงมากนัก ถือเสมือนเป็นญาติผู้ใหญ่ของข้า หากจะกล่าว
กับข้าแล้ว ให้ถือเสมือนเป็นหลานของท่านพ่อลุงเถิด” ชายหนุ่มกล่าว
“หากเป็นความพระประสงค์ของพระองค์ ข้าเองก็น้อมรับใส่เหนือเกล้าไว้ นับแต่นี้ไปข้าจะเรียกท่าน
ฉันท์ใดดีล่ะพระเจ้าข้า”
“อ้อก็เรียกข้าว่าหลานชายก็แล้วกัน ส่วนชื่อข้านั้นให้เก็บไว้ก่อน เพียงเอ่ยชื่อข้าว่า มังสุริยะชัยก็พอแล้ว
หรือหลานลุงก็ได้ตามใจท่านเถิด” ชายหนุ่มในร่างของมหาอุปราชกล่าว
“ดังนั้นข้าจะขอล่วงเกินพระองค์จะเรียกพระนามว่า หลานมังสุริยะชัยก็แล้วกัน
เพื่อกลบเกลื่อนร่องรอย ด้วยบรรดาแคว้นอีกเจ็ดแคว้นนั้นไม่รู้ว่าจะคิดการประการใดหรือ"
“ดังนี้ก็ได้ท่านพ่อลุง” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น
“นับตั้งแต่ไอ้อำมาตย์มันจะเถลิงตัวเองขึ้นเป็นมหากษัตริย์นั้นก็เกิดลางร้ายฟ้าได้
ผ่ายอดปราสาทและฉัตรเหนือพระอาสน์หักสิ้นไปหมด มันจึงมิกล้าเพียงแต่ตอนนี้มันระดมพลและพักพวก
ข้าได้ทราบว่ามันเรียกพวกอาจารย์มันมาร่วมด้วย ส่วนบรรดาแว่นแคว้นต่างๆก็คิดจะตีตัวออกห่างไปหมดสิ้น
เพื่อประกาศตัวเป็นเอกราชไม่ขึ้นตรงต่อแคว้นอิสราวดีต่อไป ข้าเองหลังจากเมืองศิระสุริยันต์ล่มสลายก็มีเมือง
อิสราวดีนี้เท่านั้นที่พระธิดาเป็นคู่หมั้นหมายกับท่านมหาอุปราชและเป็นเมืองพี่เมืองน้องกัน ข้าเองถึงได้คอย
เฝ้าติดตามดูอยู่นะพ่อหลานชาย” เจ้าเมืองแห่งแว่นแคว้นกะฉินตอบ
“ตอนแรกระหว่างกำลังผลัดแผ่นดินกันอยู่ข้าเองก็คิดจะรวบรวมพลเข้ายึดอำนาจคืนแต่ติดขัดด้วย
พวก อาจารย์มันมีเวทย์มนต์และของวิเศษที่ข้าเองไม่อาจจะต้านทานได้ เลยต้องปล่อยเลยตามเลยแต่ใจ
ของข้านี้ช่างร้อนรุ่มเสียนี่กระไรนัก” เสียงชายชรากล่าวด้วยน้ำเสียงละห้อย
“มาบัดนี้พ่อหลานชายกลับมาแล้วทำให้ข้าเสมือนได้น้ำอมฤตมาชโลมใจแก่ข้าได้บ้าง”
พร้อมทั้งจูงมือชายหนุ่มแล้วหันไปสั่งทหารให้กลับเข้าเมือง รายงานไปยังวังให้จัดงานฉลองต้อนรับ
แก่หลานชายของข้าโดยเร็ว และให้ทหารทั้งหลายเข้าสู่กรมกองได้ตามปกติ เมื่อคำสั่งของเจ้าเมือง
แห่งมิจินาแจ้งออกไปดังนั้น บรรดานายทัพนายกองทั้งหลายต่างก็หันกลับเข้าสู่เมืองทันที พร้อมแจ้งไปยัง
หน่วยฝ่ายในวังให้ทราบถึงคำสั่งของเจ้าเมือง
ชายหนุ่มขอตัวแก่เจ้าเมืองมิจินาพร้อมทั้งสั่งให้ทหารที่เรียงรายให้จัดแถวเรียงรายเข้าสู่เมืองต่อไปได้
เมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าเมืองแห่งมิจินาก็ให้ทหารไปหาที่พักแก่มวลเหล่าทหารของท่านมหาอุปราชพร้อมเลี้ยง
ดูอย่าให้ได้ขาดตกบกพร่องแต่ประการใด ครั้นแล้วก็จูงมือองค์ชายเข้าสู่สถานชั้นในทันที
ภายในเมืองของเมืองมิจินาชายหนุ่มสังเกตภูมิประเทศแล้วช่างกว้างขวางใหญ่โตยิ่งนัก หากมาดแม้นว่า
เขากับเจ้าเมืองตกลงกันไม่ได้เห็นทีการรบพุ่งคงจะยืดเยื้อไปอีกนาน ด้วยเหล่าทหารของชาวเมืองมิจินาล้วน
แล้วแต่เชี่ยวชาญการศึกทั้งนั้น ด้วยเขาเห็นการจัดระเบียบเข้าเมืองของเหล่าขุนศึกแม่ทัพนายกองช่างมี
ระเบียบแบบแผน ส่วนชาวเมืองก็มาต้อนรับและมองเห็นบ้านช่องเรือนเคียงล้วนแล้วแต่โอ่โถงใหญ่โตมาก
แสดงถึงความเอาใจใส่และเกื้อกูลระหว่างเจ้าเมืองกับประชาชนเข้ากันได้เป็นอย่างดี
เมื่อเข้าไปถึงวังชั้นในแล้วภายในถูกประดับประดาล้วนแล้วอลังการทั้งสิ้น ชายหนุ่มและเจ้าเมืองได้ให้แม่ทัพนาย
กองเข้ามาร่วมในงานต้อนรับด้วย ส่วนเหล่าทหารชั้นรองชายหนุ่มก็ให้คอยกำชับทหารทั้งหลาย
อย่าได้ออกไปเดินเพ่นพ่านให้อยู่ในที่เขากำหนดไว้เท่านั้น
ครั้นชายชราเจ้าเมืองเข้าไปถึงโต๊ะประจำตำแหน่งก็หันมากล่าวกับชายหนุ่มว่า
“ข้าขอเชิญท่านนั่งยังเก้าอี้ของข้าแทนข้าด้วยเถิด” ชายชราเจ้าเมืองผายมือกล่าว
“มิได้หรอกท่านพ่อลุง ข้าเองนั้นมาในฐานะหลานชายจะล่วงเกินพ่อลุงของข้าไปได้อย่างไรกันขอเชิญ
พ่อลุงตามสบายเถิด” ชายหนุ่มกล่าวขึ้นบ้าง
“ถ้าอย่างนั้นข้าจะให้เขานำเก้าอี้มาเสริมนั่งเคียงคู่กันเลยนะท่านจะเห็นเป็นประการใดล่ะ”
“แล้วแต่ท่านพ่อลุงจะเห็นสมควรเถิด”
เมื่อเจ้าเมืองได้ยินเช่นนั้นก็ให้รีบไปนำเอาเก้าอี้ภายในวังฝ่ายในออกมาตั้งเคียงคู่กับเก้าอี้ในท้องพระโรง
ทันที แล้วทั้งคู่ก็ลงนั่งพร้อมๆกัน เบื้องหน้าล้วนแล้วแต่ขุนศึกนายทัพนายกองเหล่ามวลอำมาตย์ทั้งปวง
ตลอดจนที่ปรึกษาก็ร่วมกันเจรจาสนทนา เบื้องหน้าก็มีการจัดฟ้อนรำตามประเพณีของเมืองมิจินา ส่วน
บรรดาทหารทั้งหลายก็เสพย์อาหารเหล้ายาไป แต่ทหารของเมืองมิจินาจะพยายามเท่าใดเพื่อให้ทหารของ
ชายหนุ่มทานสุราหรือจิบบ้าง
ก็ได้รับการปฏิเสธสิ้นเชิงอ้างว่าเป็นคำสั่งของชายหนุ่ม หากผู้ใดฝ่าฝืนจะถูกลงโทษไม่เว้นใดๆทั้งสิ้น
ทำให้เหล่าทหารของเมืองมิจินาต่างแคลงใจกันไปต่างๆนาๆ ส่วนด้านขุนศึกถึงกับตลึงงัน
ถึงความมีระเบียบทหารของท่านมหาอุปราชยิ่งนัก ที่ห้ามปรามเหล่าทหารทั้งหลายมิให้เสพย์สุราของ
มึนเมาทั้งสิ้นแม้นจะเป็นงานต้อนรับก็ตามที เจ้าเมืองแห่งเมืองมิจินาก็ประกาศต่อ
ท่ามกลางอำมาตย์ขุนศึกแม่ทัพนายกองทุกๆคนถึงความเป็นมาของชายหนุ่ม ทำให้เหล่าทหารมวลอำมาตย์
ทั้งปวงต่างจ้องมองชายหนุ่ม ครั้นเห็นลักษณะองอาจสง่าราศีท่วงท่ากิริยางดงามยิ่งนัก
ก็ให้บังเกิดความนอบน้อมไปทั่วๆกัน และมหาอำมาตย์ฝ่ายมิจินาก็น้อมทูลขอถวายพระพรทันที
ทำให้มวลเหล่าทหารอื่นๆต่างลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวคำให้สัตย์ปฏิญาณว่าจะเชื่อฟังเคารพต่อคำสั่ง
ของท่านมหาอุปราชทุกๆประการ
สร้างความยินดีแก่เจ้าเมืองยิ่งนัก พลางกล่าวว่านี่เป็นหลานชายคนเดียวของเราที่อาจจะปกครอง
แว่นแคว้นเหล่านี้แทนตัวข้าในกาลต่อไป และชวนเหล่าทหารอำมาตย์ทั้งหลายดื่มฉลอง
แก่ชายหนุ่มทันที ครั้นดื่มเสร็จ ชายหนุ่มก็กล่าวขอบคุณและแจ้งว่าหากเขาผิดพลาดประการใด
ก็ให้ทุกๆคนมีสิทธิที่จะแนะนำแก่เขาได้อย่าได้เกรงใจเป็นอันขาด
ทำให้บรรดาอำมาตย์และเหล่าทหารหารถึงกับอึ้งไปถึงความไม่ถือตัว
มาดแม้นนับอยู่เบื้องสูงเป็นนายของพวกมันก็ตามแต่หาได้หยิ่งยโสโอหังแต่ประการใดไม่ ก็บังเกิดความ
รักต่อชายหนุ่มยิ่งขึ้นไปอีก
การเลี้ยงได้สิ้นสุดลงต่างทยอยๆกันกลับที่พัก ชายชราก็จูงมือชายหนุ่มเข้าสู้วังชั้นในเพื่อให้ชายหนุ่ม
ได้พักผ่อนตามสบาย แต่ชายหนุ่มกลับดึงมือเจ้าเมืองไว้แล้วกล่าวว่า
“ท่านพ่อลุงข้าเองคิดว่าจะขอพักผ่อนสักไม่กี่วันก็จะออกเดินทางต่อไปยังแว่นแคว้นกะยะ เจรจากับ
เจ้าเมืองหล่อยก่อต่อไป ท่านลุงเห็นเป็นประการใดเล่า”
“หลานรักอันแคว้นกะยะนั้นล้วนแล้วแต่ทุ่งไกลสุดสายตานัก ยากจะหาต้นไม้มิได้ภูมิประเทศก็กันดาร
เต็มไปด้วยหุบเขาภูเขามากมายยิ่งนัก ถ้าพ่อหลานชายจะไปข้าก็จะไปร่วมรบกับท่านด้วย
เพราะเจ้าเมืองหล่อยก่อนั้นเป็นคนหยิ่งยโสยิ่งนักถือในอำนาจบัดนี้มันได้แยกตัวออกเป็นแคว้นแรก
ไปก่อนใครๆ ด้วยเชื่อมั่นภูมิประเทศและทหารยิ่งนัก”
“พ่อลุง.....ข้าเองเห็นว่าจะทำความเดือดร้อนและเมืองมิจินานั้นเล่าก็จะขาดผู้ควบคุมดูแล ขอให้พ่อลุง
อย่าได้เป็นห่วงกังวลไปเลย ข้ามาในครั้งนี้จะใช้การทูตนำการทหารเป็นหลักนะท่านพ่อลุง”
“เอาอย่างนี้ดีกว่าหากเป็นเช่นนั้น ข้าเองจะมอบทหารแก่หลานรักไปสักห้าหกหมื่นคนทุกๆคนล้วนแล้ว
แต่เชี่ยวชาญภูมิประเทศแว่นแคว้นเมืองกะยะนัก ด้วยข้าเองก็มิวางใจเจ้าเหมี่ยวสุรินทร์นรานัก ด้วยมันเป็น
คนที่มีเล่ห์เหลี่ยมจัดมาก มันปกครองแว่นแคว้นต่างๆหกเจ็ดเมืองก็ใช้อำนาจเป็นใหญ่อาศัยพระเดช
แทนพระคุณ บรรดาแว่นแคว้นที่ตกอยู่ในอำนาจมันต่างไม่พอใจแต่ก็ทำอะไรมันไม่ได้ ถึงแม้ว่าเจ้าเมืองนั้นจะ
เป็นคนของมันก็ตามทีแต่เหล่าอำมาตย์ทหารบางหน่วยก็ล้วนแล้วแต่ทำไปตามหน้าที่เท่านั้นหาได้มีความจริงใจ
แก่มันไม่”
“หากพ่อลุงมอบทหารแก่ข้าเห็นที่ว่าแว่นแคว้นนี้คงไม่ยากต่อการยึดครอง แต่ข้าเองคิดว่าจะขออาศัยเมือง
มิจินาเป็นศูนย์กลางทั้งหมด หากข้าสามารถยึดครองแว่นแคว้นต่างๆได้ก็ให้มาขึ้นตรงกับแคว้นแห่งกะฉิน
ทั้งสิ้น” ชายหนุ่มกล่าว
“จะดีหรือพ่อหลานรัก “ ชายชราอดสงสัยมิได้
“ดีแน่ท่านพ่อลุง ด้วยแว่นแคว้นเมืองกะฉินตามที่ข้าสอดแนมมาแล้วล้วนแล้วแต่มีความสามัคคีมั่นคงยิ่ง
นักตลอดชาวเมืองมิจินา เองก็ถือเป็นแบบอย่างได้ด้วยใกล้ๆกับเมืองอิสราวดีหาก ข้าตีเมืองรอบๆทั้งหมดได้แล้ว
ก็จะรวบรวมกำลังทั้งหมดเข้ายึดเมืองอิสราวดีคืนให้กลับคืนสู่แม่นางต่อไป” ชายหนุ่มกล่าว
“ถ้าหลานรักเราเห็นอย่างไรเราก็เห็นด้วย แล้วจะออกเดินทางเมื่อใดล่ะ”
“ข้าเองคิดว่าคงจะเป็นอาทิตย์นี้ก็จะออกเดินทางไปแล้วล่ะ”
“ถ้างั้น???.....ข้าจะเรียกประชุมเหล่ามวลอำมาตย์และขุนศึกแม่ทัพนายกองระดมพลพร้อมเสบียงอาหาร
ในการทำศึกครั้งนี้ ขอหลานรักเราอย่าได้กังวลไป หากมาดแม้นขาดสิ่งใดก็ให้ทหารเร็วแจ้งมาเถิดเราจะรีบ
จัดส่งไปสมทบทันที” เจ้าเมืองมิจินากล่าวขึ้น พลางขอตัวไปพักผ่อนทันที
ครั้นได้เวลาที่ชายหนุ่มแจ้งกำหนดแก่เจ้าเมืองไว้แล้ว ต่างคนต่างโอบกอดกันและกัน ชายหนุ่มบอกว่าจะ
นำเอาแคว้นกะยะและเมืองหล่อยก่อมาเป็นของขวัญแก่ชาวเมืองกะฉินให้จงได้
เมื่อชายหนุ่มได้เดินตรวจตราทัพที่จะยกไปประมาณหกหมื่นกว่าคน รวมกับทหารของเขาอีกห้าร้อยคน
การณ์ครั้งนี้เขาได้นำอาวุธที่ประดิษฐ์ไว้มาด้วยครึ่งหนึ่ง มอบไว้ให้แก่ทางหุบเขาครึ่งหนึ่ง ดังนั้นเขาจึง
มีความมั่นใจยิ่งนัก เมื่อได้ตรวจพลเรียบร้อยแล้วเขาก็แจ้งถึงการประดิษฐ์สิ่งที่เขาคิดไว้ให้แก่ท่านผู้เฒ่าแห่ง
เมืองตลอดจนการทำไว้ให้ด้วยพร้อมแบบแปลนที่เขาเขียนขึ้นใหม่ แล้วสั่งว่าให้จัดทำให้มากๆไว้หากเขามี
ความต้องการจะให้คนมาแจ้งเพื่อใช้ในการต่อไป
ชายชรารับแบบแปลนมามองก็งุนงงยิ่งนักแต่ชายหนุ่มก็อธิบายส่วนผสมขนาดและการทดลอง
ให้แก่เจ้าเมืองไว้ ให้คนทำๆด้วยความระมัดระวังเพราะอันตรายมาก
เวลาทำให้ไปทำยังนอกเมืองอย่าได้ทำในเมืองเป็นอันขาด เมื่อเขาสั่งจนท่านผู้เฒ่าเข้าใจเป็นอย่างดีแล้ว
เขาจึงนำทัพทั้งปวงออกเดินทางทันที โดยให้เหล่าทหารม้าของเขาแบ่งออกเป็นสองหน่วยคุมหน้า
และคอยคุ้มกันด้านหลัง ด้วยเชื่อมั่นในฝีมือที่เขาฝึกปรือมา ส่วนทหารของเมืองมิจินานั้นเขายังไม่ทราบอะไร
มากนัก จึงให้แม่ทัพนายกองของเมืองควบคุมแทน เมื่อเดินทางมาได้ใกล้กับแว่นแคว้นกะยะแล้วก็ให้
หยุดทัพยังด่านที่จะผ่านทันที แล้วเขาส่งทูตเข้าไปเพื่อเจรจาแต่ไม่ได้ประสบผลด้วย นายด่านนั้นหยิ่งยโส
โอหังยิ่งนัก กลับจับทูตเขาไว้เป็นตัวประกัน พลางส่งตัวทูตของเขาคนหนึ่งมาส่งข่าวให้แก่ชายหนุ่มทราบ
เมื่อทราบดั่งนี้แล้ว ชายหนุ่มก็เกิดความโมโหสั่งให้เหล่าทหารทั้งหลายบุกเข้าโจมตีด่านแห่งแคว้นกะยะ
ทันที เหล่าทหารทุกๆคนแยกเข้าโจมตีผ่านเข้าสู่ด่านได้ การสู้รบผ่านไปไม่นานนักด้วยทหารม้า
ของชายหนุ่มมีความเชี่ยวชาญในการรบพุ่งยิ่งนักพร้อมกับทหารของเมืองมิจินาก็หลั่งไหลเข้าสู่ด่านแล้ว
ทำลายด่านลงเสียราบเรียบช่วยเหลือทูตที่เขาส่งไปได้ออกมาพร้อมทั้งฆ่านายด่านแห่งแคว้นกะยาทิ้งทันที
ข่าวคราวการยกทัพของชายหนุ่มล่วงรู้ไปสู่เมืองหล่อยก่อ สร้างความตื่นตระหนกตกใจแก่เจ้าเมืองยิ่งนัก
เมื่อเป็นเช่นนี้เขาจึงนำทัพทั้งปวงเข้าตีเมืองต่างๆของแคว้นกะยะ ทั้งเจ็ดเมืองได้ในเวลาไม่กี่เดือนก็สามารถ
เข้าควบคุมอาณาเขตของแคว้นกะยะได้เกือบทั้งหมดเว้นเมืองหล่อยก่อเท่านั้น เมื่อจัดการทัพและนำทหารของ
แคว้นต่างๆที่ยอมสวามิภักดิ์กับชายหนุ่ม ซึ่งนับรวมกันแล้วราวแสนกว่าคนเข้าโอบล้อมเมืองหล่อยก่อทันที......
* แก้วประเสริฐ. *
1 มีนาคม 2553 14:12 น.
แก้วประเสริฐ
ลุ่มลึกอิสราวดี 34
ครั้นตกเวลาสองทุ่ม เดือนมืดมิดชายหนุ่มคัดเลือกทหารประมาณสองร้อย
กว่าคน โดยคัดเลือกเข้าไปทำการเพียงยี่สิบนาย ส่วนที่เหลือให้คอยเสริมกำลัง
ไว้หาก เมื่อค่ายนั้นถูกเผาก็จะเกิดวุ่นวายขึ้นยามค่ายถูกเปิดและไหม้ไฟให้ทหาร
ทั้งหลายเข้าโจมตีทันทีโดยไม่รอช้า โดยสั่งให้นายกองที่ควบคุมจัดทหารฝ่ายธนู
ไว้คอยยิงช่วยเหลือ และให้ทุกๆคนผูกแขนด้วยผ้ายันต์สีขาวไว้ที่แขนเพื่อกันสับสน
ในระหว่างกลางคืน ด้วยสีขาวนี้จะสักเกตุได้ง่ายกว่าสีอื่นใดๆทั้งสิ้น เมื่อพร้อมเสร็จ
ทหารพร้อมด้วยอาวุธคบมือและเชื้อเพลิงที่ชุบด้วยน้ำมันสนเรียบร้อยแล้ว
เขาก็จูงเจ้าขนทองขนขาวออกเดินทางออกจากนอกหุบผา แลเห็นค่ายทหาร
ที่ปลูกเป็นกำแพงมีทหารเฝ้าจุดคบไฟเรียงรายไว้ประมาณสามสี่ค่าย
ดังนั้นเขาจึงจัดแบ่งกองกำลังออกเป็นสี่หน่วยทันทีหน่วยล่ะ ห้าคนแต่ละหน่วย
เขาสั่งโดยส่งสัญญาณให้ลิงขนทองและขนขาวทราบถึงแผนการจะเผาค่ายทหารโดย
แสดงกิริยาให้พวกมันรู้
เมื่อเห็นว่ามันเข้าใจเรียบร้อยแล้วจึงให้มันออกเดินทางนำทางไป
เพื่อที่จะเผาค่ายทหารนั้น ส่วนอีกสองค่ายเขาเองให้แม่นางพรายซึ่งตอนนี้ร่าง
ปรากฏกายเป็นคนนำทางให้ทหารออกไป ส่วนเขาเองนำทหารอีกห้าคนลัดเลาะ
ไปยังค่ายทหารที่ปลูกเรียงรายห่างกันไม่มากนัก
โดยแจ้งสัญญาณว่าหากค่ายใดเกิดเพลิงลุกไหม้ก็ให้จุดไฟขึ้นพร้อมๆกันและ
ให้รีบกลับมายังหน่วยทหารทันที เมื่อเกิดการวุ่นวายเกิดขึ้นให้เปิดค่ายทุกๆค่ายไว้
เพื่อให้พวกเราเข้าจู่โจมทหารภายในค่ายโดยแบ่งแยกทหารออกเข้าโจมตีห้ามจุดไฟ
โดยเด็ดขาด และได้มอบไข่มุกโดยห่อผ้าไว้มอบให้แก่เหล่านายกอง หากเมื่อเห็นแสงไฟ
แล้วก็ให้เปิดผ้าออก ไข่มุกก็จะเรืองแสงสว่างนำทหารเข้าช่วยเหลือโจมตีทันที
ครั้นสั่งการกำชับเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พวกเขายี่สิบกว่านายรวมทั้งเขาและเจ้าลิงทั้งสอง
ก็ค่อยๆคืบคลานไปเข้ายังค่ายทหารเมื่อได้ระยะใกล้ๆ ค่ายทันที ด้วยบริเวณนอกค่ายนั้นมืดมิด
ปราศจากแสงไฟ นอกจากแสงของดวงดาวที่พร่างพราวระยิบระยับเท่านั้น โดยคืบคลานอาศัย
แสงไฟจากค่ายทหารที่ปักเรียงรายตามหอคูประตูรบที่สร้างด้วยท่อนไม้ไว้เรียงราย ทั้งหมดแยก
ทางกันไปตามแต่ละค่าย
บรรดานายกองที่ควบคุมเหล่าทหารประมาณสองร้อยกว่าคนก็ แบ่งกองกำลังออกเป็นสี่
หน่วยทันที ค่อยๆย่องติดตามไปห่างๆเพื่อคอยเข้าช่วยเหลือเหล่าทหารที่ทำการอาศัยแสงของ
ไข่มุกนำทางเหล่าทหารไป เมื่อใกล้ระยะพอประมาณก็หยุดลงรอการปฏิบัติงานของเหล่าทหาร
ที่ชายหนุ่มนำทางไป นายกองสั่งการเหล่าพลธนูให้เตรียมพร้อมไว้หากผู้ใดมิได้ผูกผ้ายันต์สีขาว
ก็ให้ยิงได้ทันทีโดยมิต้องสั่งการ ซึ่งเหล่าทหารทุกๆคนหลังจากรับการฝึกปรือจาก
ชายหนุ่มมาแล้วก็ต่างกระเหี้ยนกระหืออยากจะทดลองฝีมือของตน ทุกๆคนมีจิตใจกล้าแข็งยิ่งนัก
เมื่อหน่วยจู่โจมไปถึงค่ายทั้งสี่พร้อมเพียงแล้วสัญญาณก็ถูกส่งออกมาว่าพร้อมกันแล้ว ดังนั้น
การปฏิบัติงานก็เริ่มทันที หน่วยแรกคือหน่วยของเจ้าขนทองและขนขาวที่มีความคล่องแคล่วว่องไว
ด้วยเป็นสัญชาติฌานของสัตว์มันก็ปีนป่ายขึ้นไปที่ค่ายได้อย่างรวดเร็วนักพร้อมกับนำอาวุธที่ชายหนุ่ม
มอบให้กำจัดยามที่เฝ้าทันทีอย่างง่ายดายนัก พร้อมด้วยพวกยามต่างๆไม่อาจรู้ได้เนื่องจากไม่คิดว่าจะ
เป็นลิงทำการนี้ เมื่อรู้ตัวก็ถูกกระบองและไม้ถือว่าเป็นของวิเศษชนิดหนึ่งทำลายเสียแล้ว
มันตีพวกยามจนสิ้นชีวิตไปเมื่อจัดการกับเหล่ายามที่ไม่รู้ตัว ก็พากันลงไปเปิดประตูค่ายทันที
พร้อมทั้งจุดด้ามที่หุ้มห่อด้วยน้ำมันสนเข้ากับไฟ พร้อมพุ่งร่างมันเข้าไปยังที่พัก
ที่ทำด้วยผ้าปีนขึ้นไปบนยอดแล้วจัดการเผาเมื่อไฟติด มันก็กระโดดลงมาและวิ่งไปจัดการที่พัก
ต่างๆทันที ร่วมกับพวกทหารที่เข้ามาได้ก็จัดการกับเต็นท์ต่างๆจนเพลิงลุกไหม้ไปเสียสิ้น
บ้างก็นำน้ำมาดับไฟเหล่าทหารและลิงก็พากันหนีออกมานอกค่ายไป
เมื่อเกิดไฟไหม้ พวกทหารทั้งหลายพากันเอะอะโวยวายร้องไปทั่ว บรรดานายทัพนายกองก็รีบออกมาสั่งการให้เหล่าทหารจัดการดับไฟและระวังค่ายโดยด่วน
แต่ช้าไปเสียแล้วด้วยเมื่อค่ายทั้งหลายๆถูกไฟเผาจนลุกโชติช่วง ส่วนทหารของชายหนุ่มที่คอยจังหวะก็ยก
พลเข้าบุกตีค่ายทันทีการรบพุ่งก็เกิดขึ้นชุลมุนไปหมด ด้วยฝีมือที่ได้ถูกเปลี่ยนแปลงผสมผสานกันผิดกับการฝึก
ของเก่า ทำให้บรรดาทหารของชายหนุ่มได้เปรียบในการต่อสู้มากมายนักนอกจากบาดเจ็บบ้างแต่ไม่อาจจะทำ
อันตรายใดๆคงจะเนื่องจากผ้ายันต์ที่ชายหนุ่มปลุกเสกไว้นั่นเอง การล้มตายจึงเป็นพวกทหารในเมือง
แทบทั้งสิ้น ในเวลาไม่นานนักบรรดาเต็นท์ต่างๆถูกเผาวอดวายเรียบค่ายต่างๆก็แตกยับเยิน
นายทัพนายกองก็สั่งให้ทหารทั้งหมดทิ้งค่ายหนีกลับเข้าเมือง แต่ต้องมาสังเวยชีวิตให้แก่บรรดาเหล่าพลธนู
ของชายหนุ่มที่เฝ้ารอคอยต้อนรับอยู่แล้วด้วยลูกธนู ที่เหลือรอดไปได้ก็อาศัยความมืดเท่านั้น
บรรดานายกองต่างๆก็ต้องสังเวยชีวิตในครั้งนี้จะเหลือรอดไปก็เพียงแม่ทัพนายกองบางคนเท่านั้น
จนเมื่อการโจมตีค่ายต่างๆบรรลุผลเป็นที่น่าพอใจแล้วก็ เขาจึงสำรวจทหารว่าจะเสียชีวิตไปเท่าไหร่
แต่ผลปรากฏว่าหาได้มีผู้ใดเสียชีวิตไปไม่ นอกจากบาดเจ็บคงเนื่องจากขาดความเชื่อถือในสิ่งที่
ชายหนุ่มมอบให้แต่ก็ไม่มากมายนัก เมื่อสำรวจเรียบร้อยแล้วก็ออกเดินทางกลับยังหุบเขาทันที
แล้วสั่งให้ทหารที่ได้รับบาดเจ็บไปรักษายังหน่วยพยาบาล แล้วเขาก็เข้าไปรายงานผล
แก่ท่านแม่ทัพใหญ่และเจ้าหญิงทันที ทำให้ต่างก็แสดงความยินดีกับชายหนุ่ม
ถึงความสามารถในการกำจัดศัตรูนอกหุบเขาไปจนหมดสิน แล้วก็เขาเพื่อให้ไปพักผ่อนได้
ครั้นรุ่งเช้าชายหนุ่มรีบไปตรวจเหล่าทหารที่รับบาดเจ็บสร้างกำลังใจให้แก่เหล่าทหารทั้งหลายเป็นยิ่งนัก
ที่ชายหนุ่มตอนนี้ถืออำนาจสูงสุดของบรรดาทหารทั้งหมดให้ความเอ็นดูพวกทหารซึ่งต่างไม่ได้รับการบาดเจ็บ
สาหัสเพียงแค่เป็นรอยฝังลึกๆเท่านั้นเอง เมื่อจัดการตรวจดุแลทหารที่บาดเจ็บแล้วชายหนุ่มก็ออกมาสำรวจ
บริเวณรอบๆแล้วให้เหล่าทหารสร้างกำแพงหินเป็นชั้นๆโดยขนย้ายวัชพืชพร้อมด้วยดินมาเพาะปลูกเพื่อสร้าง
บังตาแก่ข้าศึกอีกชั้นหนึ่ง ทหารก็เข้ามารายงานว่าได้พบไส้ศึกแอบแฝงมาประมาณสิบกว่าคนขอให้เขาเข้า
ไปพิจารณาสอบสวนด้วย
เมื่อทราบเช่นนี้เขาก็เดินตามทหารไปและสอบสวนทหารที่ปลอมตัวเข้ามา จึงทราบว่าที่พวกทหารที่เป็น
ไส้ศึกนี้ไม่อยากจะทำเนื่องจากติดขัดครอบครัวที่ถูกทางฝ่ายกบฏจับกุมไว้หากไม่สำเร็จ ครอบครัวก็จะถูก
ประหารจนหมดสิ้น ชายหนุ่มได้ฟังเช่นนั้นก็คิดถึงแผนการทันทีและเข้าเกลี้ยกล่อมเหล่าทหารไส้ศึกว่าการ
ที่ฝ่ายกบฏนั้นทำการครั้งนี้อีกไม่เท่าไหร่ก็จะต้องถูกพวกเขาทำลายในไม่ช้า ฉะนั้นไม่ต้องห่วงให้กลับไปราย
งานว่าทางพวกเขามีกำลังพลไม่เท่าไหร่เพียงอาศัยหุบผาเป็นชัยภูมิที่ดีเท่านั้น จะคอยช่วยเหลือครอบครัว
ของเหล่าทหารนี้ให้ได้กลับคืนโดยเร็ววัน พร้อมจัดที่อยู่ให้อย่างปลอดภัย ครั้นบรรดาเหล่าไส้ศึกได้ฟัง
บรรดาพวกไส้ศึกต่างก็ก้มลงกราบซาบซึ้งใจแก่ชายหนุ่มและแจ้งว่าบัดนี้ทางฝ่ายโน้นนั้นมีอาจารย์ของ
มหาอำมาตย์ที่ยึดครองเมืองไว้มันมาช่วยด้วยประมาณห้าหกคนแล้ว ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ทรงวิทยายุทธ์และเวทย์
มนต์ยิ่งนักมันพร้อมกับสัตว์ประหลาดอีกด้วย ทำให้ชายหนุ่มนึกถึงชายชราที่แขนขาดถึงถามไปว่า
“ในบรรดาอาจารย์ของเจ้าอำมาตย์นั้น มีชายแขนขาดข้างหนึ่งหรือไม่”
“มีขอรับ....ท่านและพวกเหล่าที่มาร่วมด้วย คิดว่ามันคงจะชักวนกันมาขอรับ” ไส้ศึกคนหนึ่งกล่าว
“เหตุใดเจ้าจึงรู้ความมากเช่นนี้เล่า????...” ชายหนุ่มถาม
“ที่ข้าพเจ้ารู้นั้น ด้วยข้าพเจ้าเป็นหัวหน้าหน่วยนี้มาสอดแนมและ ทำงานอยู่เป็นหัวหน้าหมู่ฝ่ายองครักษ์
ฝ่ายในขอรับ” ชายหนุ่มรูปร่างกำยำตอบด้วยเสียงอ่อนน้อม
“แต่ด้วยความห่วงใยครอบครัว ด้วยบรรดาองค์รักษ์ทั้งหลาย ครอบครัวต่างถูกนำตัวไปควบคุมไว้ยัง
สถานที่แห่งหนึ่ง ข้าพเจ้าเองก็พยายามค้นหาแต่ไม่พบคิดว่าคงจะไม่ได้อยู่ในเมืองขอรับ” เขาตอบอีก
“ถ้าอย่างนั้นพวกท่านไม่ต้องเป็นห่วงอะไร เราจะจัดกำลังไปช่วยพวกครอบครัวท่านเอง ขอให้ท่านไป
แจ้งแก่เหล่าทหารองครักษ์ทั้งหลายแต่ต้องเป็นคนที่พอจะไว้วางใจที่ไม่ฝักใฝ่เท่านั้นนะ” ชายหนุ่มกล่าว
“ขอรับข้าพเจ้าขอสาบานว่า หากท่านช่วยเหลือครอบครัวข้าพเจ้าทั้งหลายนี้ได้แล้วก็จะสวามิภักดิ์ต่อพวก
ท่านทันทีพร้อมกับจะนำกองกำลังองครักษ์มาสมทบอีกขอรับ” ชายหนุ่มหัวหน้าไส้ศึกกล่าว
“ไม่ต้องหรอกท่าน เพียงแต่คอยเป็นหูเป็นตาให้แก่พวกเราก็เพียงพอแล้ว ให้ทำหน้าที่ต่อไปอย่าให้เขา
จับได้เสียก่อนล่ะ และอย่าแสดงพิรุธ หากเขาถามว่าเจ้าหนีมาได้อย่างไรให้แจ้งว่าหนีมาโดยปะปนกับพวก
เบื้องหลังหุบเขานี้ เดี๋ยวเราจะพาเจ้าไปดูแล้วให้พวกเจ้ากลับทางนั้น ด้วยเป็นทางลัดไปสู่ตัวเมือง”
เหตุที่ชายหนุ่มกล่าวเช่นนี้เสมือนลองใจทหารเหล่านี้นี่เอง
“เจ้าไปแค่สองคนเท่านั้นนะ เมื่อได้ความอย่างไรหากเขาสอบถามมาก็แจ้งว่าทางเข้านี้อันตรายมากๆเข้า
ไปได้เพียงแค่สามคนติดหน้าผาแคบมากๆ จะนำทัพมาย่อมไม่อาจจะเข้ามาได้หากเขาสอบถามก็บอกตาม
ที่ข้าบอกก็แล้ว” ชายหนุ่มกล่าว
“ขอรับท่านข้าไม่ทำให้พวกท่านต้องผิดหวังหรอก เมื่อได้ยินท่านกล่าวว่าจะช่วยเหลือครอบครัวพวกข้า
เท่านั้นก็ยินดีแล้ว หากผลเป็นประการใดข้าก็จะให้ทหารรีบมาแจ้งแก่พวกท่านทันที
พร้อมจะเป็นที่สอดแนมสิ่งต่างๆภายในวังให้ท่านทราบด้วยขอรับ” หัวหน้าทหารกล่าว
“ดีแล้วหากผลงานท่านสำเร็จ ข้าก็จะให้คนของข้ารีบไปค้นหาครอบครัวท่าน แล้วจะแจ้งให้ท่านทราบ”
พร้อมกับแจ้งรหัสการติดต่อไว้ให้ด้วยให้แก่หัวหน้าหน่วยสอดแนมคนนั้นเพื่อใช้ในการติดต่อกับ
นายกองที่แอบแฝงเป็นพวกพ่อค้าในเมือง โดยให้เขียนไว้ที่อันสามารถมองเห็นได้ชัดในตลาดในเมือง
เมื่อหัวหน้าที่เป็นไส้ศึกทราบดีแล้ว เขาก็สาบานตนเองว่าจะขอสวามิภักดิ์แก่เขาจนกว่าชีวิตจะหาไม่หาก
เขาช่วยเหลือครอบครัวของเขาออกมาได้ ชายหนุ่มเรียกทหารมาเพื่อนำทางให้แก่หัวหน้าไส้ศึกนั้นทันที
พร้อมทั้งแจ้งความลับแก่ทหารไว้ด้วยพร้อมกำชับอย่างเข้มงวด
เมื่อหัวหน้าไส้ศึกออกเดินทางไปแล้ว เขาก็ให้เตรียมพร้อมเหล่าทหารทั้งหมดเข้าประจำการทางด้าน
หลังเขาทันที พร้อมกวดขันอย่างเข้มงวดแจ้งแก่นายกองที่จะควบคุมเหตุการณ์นั้นๆ พร้อมทั้งสั่งการให้
ส่งข่าวไปยังนายกองที่ปลอมตัวเป็นพ่อค้าในเมืองและให้รีบออกเดินทางไปในเมืองทันที ส่วนอีกทางหนึ่ง
ก็ให้เหล่าทหารรีบสำรวจทางระหว่างที่ครอบครัวเหล่าทหารองครักษ์ทั้งหลายถูกกักขังควบคุมไว้ว่าอยู่ที่ใด
เพื่อจะได้เข้าช่วยเหลือ หากแม้นเป็นผลสำเร็จก็จะเป็นประโยชน์อันมหาศาลต่อพวกเขามากมาย
หลังจากสั่งการเรียบร้อยแล้วก็เข้าไปแจ้งยังแม่ทัพใหญ่ผู้เฒ่าและองค์หญิงทันที ทั้งสามปรึกษากันส่วน
ท่านองค์หญิงบอกว่า ทุกๆอย่างให้เป็นหน้าที่ของชายหนุ่มตัดสินใจได้เลยไม่ต้องมาบอกพวกเขาก็ได้
ทำให้ชายหนุ่มยิ่งซาบซึ้งใจยิ่งนักตั้งปณิธานว่าจะช่วยเหลือหญิงสาวให้สำเร็จผลทุกๆประการ พร้อมทั้งแจ้ง
แก่ท่านผู้เฒ่าว่าหากได้รับรายงานจากหัวหน้าฝ่ายไส้ศึกแล้วให้ส่งข่าวให้เขาทราบด้วย ด้วยเหตุที่เขาจะนำ
ทหารทั้งหลายบางส่วนไป โจมตียึดเมืองเล็กๆต่างๆที่อยู่ไม่ห่างจากเมืองอิสราวดีไม่มากนักมาเป็นขุมกำลัง
ก่อนโดยให้เหตุผลว่าตอนนี้คือช่วงดีที่สุด เพราะว่าภายในเมืองกำลังวุ่นวายกันอยู่และบรรดาหัวเมืองต่างก็เริ่ม
จะกระด้างกระเดื่องขึ้นมาแล้ว หากได้หัวเมืองก็จะได้ทหารและยุทโธปกรณ์มาเพื่อเข้ายึดเมืองอิสราวดีต่อไป
ครั้นแม่ทัพใหญ่ทราบเจตนาของชายหนุ่มเช่นนี้ก็บังเกิดความซาบซึ้งต่อเขายิ่งนัก ยิ่งองค์หญิงก็ห่วงหา
อาลัยต่อชายหนุ่มที่จะต้องจากไปในสงครามอีกครั้งหนึ่ง จึงเตือนให้เขาระมัดระวังตัวให้มากๆด้วย
ชายหนุ่มกล่าวว่า เขาจะนำทหารม้าทั้งหมดพร้อมทหารเดินเท้าบางส่วนไปประมาณ ห้าร้อยนายเท่านั้นเพื่อ
จะเข้ายึดเมืองมิคจีนาของแคว้นกะฉินก่อน ด้วยเป็นทำเลติดกับแม่น้ำอิรวดีทั้งยังอุดมสมบูรณ์ยิ่งนักเป็นแคว้น
เล็ก คิดว่าสามารถยึดเมืองได้แต่บางทีอาจจะไม่ต้องเสียกำลังทหารมากมายนัก
ดังนั้นจึงมอบดวงตราประจำแคว้นอิสราวดีมอบให้แก่เจ้าหญิงไว้ ส่วนเขาเองห้อยสร้อยของมหาอุปราช
แห่งเมืองศิระสุริยันต์ซึ่งเขาคิดว่า หากเขาสามารถแสดงตนเองว่าเป็นมหาอุปราชจากแคว้นศิระสุริยันต์
นั้นการรบพุ่งอาจจะได้มาโดยง่าย แต่หากนครนี้ได้ล่มสลายไปนานจะได้รับการเชื่อถืออีกต่อไปหรือไม่แต่
ก็จะใช้ทูตนำทางก่อน เมื่อได้เวลาฤกษ์งามยามดีที่เขากำหนดเองแล้วก็นำหน่วยทหารห้าร้อยนายพร้อมด้วย
ทหารม้าพิเศษที่เขาฝึกปรือด้วยตนเองออกเดินทางไปในเช้าวันรุ่งขึ้นทันที
โดยการเดินทัพมุ่งทางลัดที่ทหารม้ารู้เส้นทางดีไม่นาน อาศัยทหารเพียงไม่เท่าไหร่จึงไม่สร้างความตกใจ
ให้แก่เหล่าราษฎร์ชาวเมืองมิจินาเท่าไหร่นัก ก่อนจะถึงเมืองมิจินาเขาได้ฝ่าด่านต่างๆของเมืองพาทหารทั้งหมด
เข้ากวาดล้างไปเสียสิ้น ยิ่งทำให้ทหารของเขามีความฮึกเหิมยิ่งๆขึ้น ยามออกศึกเขาจะขึ้นนำหน้าเหล่าทหารทุกๆ
ครั้งไป ซึ่งไม่เหมือนกับกองทัพอื่นๆที่มีแม่ทัพนำหน้าส่วนทัพหลวงตามหลัง แต่นี่เขาเป็นถึงหัวหน้าใหญ่ของ
พวกเขา กลับนำทัพออกหน้าด้วยตัวเองยิ่งสร้างขวัญกำลังใจแก่เหล่าทหารยิ่งๆขึ้น เขาตีฝ่าไปทางด้านใดทางนั้น
ก็ราบเรียบไปทั่ว ส่วนเจ้าขนทองและเจ้าขนขาวซึ่งต่างก็ขี่ม้าคนละตัวกัน ใช้อาวุธนั้นเข้าทำลายล้างข้าศึกตายกัน
ระนาวควบเคียงข้างร่างชายหนุ่มตลอดเวลา พวกทหารชาวด่านเมืองมิจินา ต่างแปลกใจและต้องตกใจเมื่อเห็น
ลิงทั้งสองสามารถฆ่าเหล่าทหารๆได้อย่างมากมายเช่นนี้ ครั้นยึดเมืองด่านได้เขาห้ามทหารทำร้ายประชาชน
โดยเด็ดขาด ไม่ต้องการที่จะสร้างรอยร้าวให้เกิดมากขึ้นในภายหน้า
ข่าวการโจมตีด่านถูกรายงานเข้าไปยังเมืองมิจินาทันที เมื่อชายหนุ่มเข้าถึงหน้าประตูเมืองมิจินานั้นก็พบ
กองทหารที่ออกมารอรับเพื่อปกป้องเมืองไว้ ตามกำแพงเมืองนั้นเต็มไปด้วยเหล่าทหารทั้งหลาย ครั้นชายหนุ่ม
เห็นทหารของมิจินาออกมา ก็นำหน่วยทหารม้าทั้งหมดเข้าไปแต่มิได้ทำการสู้รบเพียงแค่จะขอเจรจากับเจ้าเมือง
ก่อน แม่ทัพที่นำทัพออกมาปกป้องนอกเมืองเมื่อทราบดังนั้นจึงให้ทหารเข้าไปรายงานเจ้าเมืองมิจินาทันที
ชายหนุ่มในเมื่อเจรจากับแม่ทัพของเมืองมิจินาแล้ว เขาก็มารอฟังอยู่หน้าแนวทหารม้าที่เรียงรายกันเป็นหน้า
กระดานของเขา
สักครู่ใหญ่ก็ปรากฏร่างของชายชราแต่สภาพร่างกายกำยำยิ่งนักแข็งแรงถือหอกขี่ม้านำเหล่าทหารออกมา
แสดงถึงความกล้าหาญของเจ้าเมืองชาวเมืองมิจินาแห่งแคว้นกะฉินยิ่งนัก ที่กล้าหาญชาญชัยมิเกรงกลัวแต่อย่าง
ใดทั้งสิ้น ทำให้ชายหนุ่มอดที่จะทึ่งในความกล้าหาญของเจ้าเมืองยิ่งนัก ดังนั้นชายหนุ่มจึงชักม้าสีเทาออกไป
เมื่อถึงยังร่างของชายชรา พลางก้มคาราวะแล้วแจ้งชื่อทันทีว่า
“ข้าพเจ้า มังสุริยะชัย แห่งแคว้น ศิระสุริยันต์ที่สลายไปแล้ว จึงใคร่จะมาเคารพเยี่ยมเยียนแก่ท่านลุงเพื่อ
สมานน้ำใจไมตรีดังเก่า แต่เพียงแค่รวบรวมไพร่พลน้อยนิดครั้นจะหาสิ่งของบรรณาการมาเคารพตามประเพณี
ก็แสนยากด้วยพึ่งก่อตั้งใหม่ๆพระเจ้าข้า” พร้อมทั้งปลดสายสร้อยที่เขาคล้องคอออกมาแสดงต่อเจ้าเมืองแห่ง
มิจินาทันที...............
* แก้วประเสริฐ. *
28 กุมภาพันธ์ 2553 12:01 น.
แก้วประเสริฐ
ลุ่มลึกอิสราวดี 33
ภายหลังจากการฝึกม้าป่าให้เป็นม้าศึกได้สำเร็จลงเรียบร้อยแล้ว หัวหน้าการฝึกฝนม้าก็เข้า
มารายงานแก่ผู้เฒ่าแม่ทัพ ชายหนุ่มพลันกล่าวขึ้น
“ แล้วทั้งหมดมีจำนวนเท่าไหร่ยกเว้นเจ้าสีเทาม้าเราล่ะ”
“ ทั้งหมดมี สามร้อยห้าสิบห้าตัว ไม่นับทั้งแม่ม้าและลูกม้าขอรับ” หัวหน้าคนฝึกกล่าว
พลางหันมากล่าวกับผู้เฒ่าว่า
“ หากเป็นเช่นนั้นข้าเองจะคัดเหล่าทหารที่ข้าฝึกไว้เอง ขอให้ท่านช่วยเรียกทหารทั้งหมดที่
ผ่านการฝึกฝนจนชำนาญแล้ว ขอให้มาประชุมด่วน เวลาไม่อาจจะล่าช้าได้นักแล้วจะทำการคัด
แยกทหารออกเป็นทหารม้า เป็นพิเศษขึ้นท่านผู้เฒ่า”
ครั้นชายผู้เป็นแม่ทัพใหญ่ได้รับฟังเช่นนั้น ก็หันไปทางทหารสนิทสั่งให้ประชุมด่วนทันที
ไม่นานนักเหล่าทหารทั้งหลายก็มาประชุมหน้าลานพร้อมเพรียงกัน
ชายหนุ่มเดินสำรวจร่างกายของทหารทั้งหมดทุกตัวนาย พลางชี้ตัวแยกคัดเลือกออกมาเอง
ให้ครบจำนวนม้าที่ได้รับการฝึกฝนแล้ว
เมื่อได้ครบจำนวนแล้วก็สั่งให้ทหารทั้งหมดกลับได้คงเหลือไว้เพียงทหารที่ถูกคัดเลือกไว้
ชายหนุ่มเริ่ม เรียกให้ชายหัวหน้าคนฝึกม้านำพวกทหารไปยังคอกม้าทันที แล้วให้ทหารเข้าคลุก
คลีกับม้าทั้งหลายตามใจชอบ ครั้นบรรดาทหารทั้งสามร้อยกว่านายได้ต่างคัดเลือกม้าตามที่ถูก
ใจแล้ว ก็ขี่ม้าออกมายืนเข้าแถวเรียงราย เสียงบรรดาม้าต่างร้องก้องคะนองไปทั่ว
ชายหนุ่มฝึกให้บรรดาทหารขี่ม้ายืนบนหลังม้าจนเชี่ยวชาญก่อนและให้หย่อนร่างกายหลบไป
ยังใต้ท้องม้า ในเวลาเพียงไม่กี่วันบรรดาทหารทั้งหมดก็ฝึกได้คล่องแคล่วทั้งการยืนบนหลังม้า
และหลบหลีกใต้ท้องม้า พร้อมๆกับการใช้อาวุธต่างๆได้อย่างคล่องแคล่วสำหรับในการรบต่อไป
ทหารที่ได้รับการฝึกพิเศษนี้สามารถยิ่งธนูและใช้หอกดาบบนหลังม้าตลอดจนขว้างก้อนหินได้อย่าง
แม่นยำยิ่งนัก เขาควบคุมการฝึกด้วยตัวเองจนเกิดความแน่แก่ใจแล้วว่าหน่วยทหารนี้ชำนาญทั้งการ
รบบนหลังม้าและบนดิน ก็แบ่งแยกออกเป็นสองหน่วยเข้าประลองรบกันเองต่างก็ก่ำกึ่งซึ่งกันและกัน
ดังนั้นเขาจึงแบ่งแยกเหล่าทัพม้าทั้งหมดออกเป็นออกเป็นสิบหน่วยทันที และคัดเลือกผู้ควบคุมหน่วย
หน่วยละสามสิบห้ามีคนควบคุมหนึ่งคนและรองลงมาสองคน หากเกิดการผิดพลาดให้คนรอง
ลงมาสามารถบัญชาการรบต่อไปไม่ต้องคำนึงถึงให้ทำหน้าที่หัวหน้าหน่วยต่อไปสั่งการได้ทันที
เมื่อจัดการใช้ในการฝึกและตัวหน่วยรบทหารม้าขึ้นผ่านไปเกือบสามเดือน ทุกหน่วยต่างเข้าฝึกการรบพุ่ง
กันเองและประสานงานเข้าช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
เขาก็ให้เหล่าทหารม้าทั้งหมดมาสาบานตัวกินน้ำที่ผสมด้วยเลือดของเหล่าทหารม้าทั้งหมด
ให้ถือเสมือนเป็นพี่น้องร่วมกันมา ต่างต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกันตามสถานการณ์พร้อมทั้งเรียก
หัวหน้าทั้งหมดรวมทั้งรองมาอธิบายแผนการรบการเข้าไปในค่ายกลที่เขาวางไว้ตลอดวิชาการต่างๆ
ให้ทราบไปช่วยฝึกเหล่าทหารทั้งหลายด้วย เวลาผ่านไปประมาณหกเดือนทั้งหมดก็เชี่ยวชาญการรบพุ่งนัก
ต่างกระเหี้ยนกระหืออยากจะเข้าสู่สงครามโดยเร็ว ทุกๆคนมีขวัญกำลังใจดีเยี่ยมเชื่อฟังเขาคนเดียว
เขาเองก็เขียนแบบแปลนให้หัวหน้าช่างเหล็กสร้างอาวุธพิเศษให้แก่เหล่าทหารม้า และแจ้งให้เหล่า
ทหารม้าให้ขึ้นตรงแต่เขาเพียงผู้เดียวที่จะสั่งการนี้ได้ ทั้งหมดน้อมคาราวะเขาและทุกๆคนได้รับการแจก
ผ้ายันต์ที่เขาสร้างขึ้นไว้ให้ทุกๆคนใช้ผูกแขนไว้เวลาออกรบจะได้ไม่สับสนกันเอง ครั้นจัดการหน่วยทหาร
ม้าจนเป็นที่พอใจแล้ว ก็พอดีหน่วยลำเลียงของที่เขาสั่งแก่ท่านผู้เฒ่าก็ส่งของมาถึงเป็นจำนวนมากพร้อม
ด้วยเสบียงอาหารที่ใช้เลี้ยงแก่เหล่าทหารทั้งหมด
ครั้นแล้วเขาก็มอบแบบแปลนที่เขาเคยร่ำเรียนจากช่างทำบ๊องไฟมาเขียนการวางกำหนดระยะทางขาตั้ง
ที่ใช้ในการปล่อยบ๊องไฟขึ้นสู่ในอากาศตลอดจนการบรรจุดินดำและจัดทำชนวนไฟไว้ด้วย พร้อมทั้งกล่าว
ให้ท่านผู้เฒ่าว่า ดินประสิวก็ดี กำมะถันก็ดี ตลอดจนถ่านให้แม่บ้านที่เป็นหญิงติดตามมาในการหนีจากเมือง
มารวมอยู่ด้วย เป็นคนตำของทั้งหมด แล้วเขาก็เรียกเหล่าแม่บ้านทหารมาอธิบายการจัดทำการผสมดินดำ
ชนวนประทุในการใช้จุดไฟ ซึ่งใช้กระดาษเป็นส่วนผสมนำไปตากแห้งให้สนิทอย่าได้มีความชื้นเข้าไปได้
และบอกถึงอันตรายหากใช้หรือทำรุนแรงไปก็จะระเบิดเป็นไฟทันที จนเหล่าแม่ทหารทั้งหลายเข้าใจและมา
รับหน้าที่ทันที เขาแจ้งว่าต้องการเร่งให้จัดทำเครื่องมือต่างๆให้ฝ่ายช่างทำเหล็กเร่งมือโดยด่วน
ครั้นท่านผู้เฒ่าทราบดังนั้นก็สั่งให้ทหารใกล้ชิดไปแจ้งแก่นายช่างพร้อมมอบแบบแปลนที่ชายหนุ่มเขียน
ขึ้นให้เร่งมือทำให้เสร็จในวันสองวันนี้ด้วย เมื่อชายหนุ่มวางแผนการเรียบร้อยแล้วเกือบทั้งวันทั้งคืนเขาไม่
ได้รับการพักผ่อนมากนัก เพียงคิดถึงแผนการต่างๆพร้อมกับแม่นางพรายทั้งสองก็ระดมความคิดช่วยเหลือเขา
เป็นอย่างดี เขาเองได้เล่าเรื่องแม่นางจะขอพบแม่นางพรายทั้งสองด้วย หล่อนก็ไม่ขัดข้องด้วยเห็นนางกษัตริย์
นั้นเป็นคนจิตใจดีโอบอ้อมอารียิ่งนัก
ในที่สุดทั้งหมดก็สามารถเข้ากันได้และบังเกิดรักใคร่กลมเกลียวกันไปมาหาสู่กันเสมอ ส่วนนางพราย
นั้นไม่ยอมจากชายหนุ่มอ้างว่าต้องคอยดูแลคุ้มครองยามค่ำคืนเสมอๆ ครั้นทั้งหมดร่วมกันวางแผนที่จะยึดเมือง
ต่างๆไว้ทีละขั้นตอนแล้ว ต่างก็ฉลองกันอย่างสนุกสนานแต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้นหาได้จัดอย่างใหญ่โตไม่
ในระหว่างทานอาหารนั้นชายหนุ่มขอให้ท่านแม่ทัพช่วยกำชับเหล่าทหารทั้งหลายห้ามเด็ดขาดไม่ว่าจะมีงาน
เลี้ยงใดๆห้ามทานเหล้าเป็นอันขาด เพราะถึงแม้จะสร้างความกล้าก็จริงแต่ว่าย่อมขาดสติในการป้องกันตัวเอง
สู้ความกล้าในด้านจิตใจไม่ได้ เขาแจ้งว่าได้พาทหารเกือบทั้งหมดทดสอบความแข็งแกร่งจนทุกๆคน
เกิดความแข็งแกร่งกว่าทหารทั่วๆไปสามารถวิ่งได้นับเป็นกิโลๆโดยไม่เหน็ดเหนื่อยแต่ประการใดไม่
ทำความพอใจแก่ชายหนุ่มยิ่ง ดังนั้นชายหนุ่มจึงชวนแม่นางกษัตริย์และแม่ทัพใหญ่พร้อมเหล่าทหารหัวหน้าไป
พร้อมๆกับนำอาวุธในการขว้างปาด้วยกระสุนดินดำ และบ๊องไฟที่เรียบร้อย เมื่อครั้นติดตั้งบ๊องไฟเสร็จแล้วจึง
ชวนท่านผู้เฒ่าและแม่นางไป ที่ด้านเขาอีกลูกหนึ่งชายหนุ่มเมื่อจัดบ๊องไฟที่ทำไว้พร้อมขาตั้งที่วางเรียงไว้สามตอนเชื่อมต่อและถอดขาออกมาได้เพื่อสะดวกในการขนย้ายไปการสู้รบต่อไป
เมื่อเขาจัดการจุดประทุให้ติดไฟแล้ว เมื่อประทุถึงบ้องไฟที่ทำด้วยเหล็กพร้อมด้วยกระสุนเหล็ก
ก็พุ่งทะยานใส่ยังภูเขาอีกลูกหนึ่งทันที เสียงระเบิดดังสนั่นลั่นผลทำให้ภูเขาลูกนั้นระเบิดเป็นผุยผงเป็นโพลง
ใหญ่ทันทีพร้อมกับระเบิดได้เกิดเสียงดังอีกครั้งทำให้ภูเขาขนาดย่อมๆแถบนั้นทะลายลงมาเป็นหน้ากลอง
ทำให้ทุกๆคนต่างตกตลึงต่อเหตุการณ์เช่นนี้ กับเพิ่มกำลังใจให้เหล่าทหารทั้งหลาย ชายหนุ่มกล่าวขึ้นทันทีว่า
“การที่เราคิดทำครั้งนี้เพื่อใช้ในการทำลายกองข้าศึกที่เข้มแข็งตลอดประตูเมือง ซึ่งมีไม่มากนักส่วนระเบิด
ที่สามารถพกติดตัวได้เราจะมอบให้แก่หัวหน้าหน่วยทหารไว้ทุกๆคน หากจำเป็นจริงๆก็ให้ใช้ได้ด้วยมีจำกัดไม่
มากนัก ฉะนั้นขอให้ทหารเราอย่าเพียงคิดว่าเมื่อมีอาวุธเหล่านี้แล้วจะไม่ต้องใช้ดาบ ธนู หอกอาวุธอื่นๆอีก ด้วย
นี้เป็นแค่สิ่งเสริมเท่านั้นเอง จงจำไว้”
เหล่าทหารทุกๆคนรับคำว่าหากไม่จำเป็นก็จะไม่ใช้ ชายหนุ่มกล่าวว่าหากออกเดินทางไปรบเราถึงจะมอบ
ของเหล่านี้ให้ พร้อมๆกับนำท่อนกระบอกขนาดเล็กๆมาจุดแล้วสอนวิธีการจุดให้ด้วยเมื่อได้ระยะของประทุ
ที่จะเข้าไปภายในก็ขว้างออกไปยังเบื้องหน้าทันที กระบอกขนาดเล็กครั้นถูกขว้างไปยังก้อนหินตกยังพื้นก็เกิด
เสียงระเบิดทันทีก้อนหินก้อนโตก็แตกทลายลงหมดสิ้น พร้อมกับแจ้งว่าให้กะระยะของประทุที่จะจุดว่าจะต้อง
คำนวณว่าใกล้ๆหรือไกลง หากไกลๆก็ให้เว้นระยะให้ห่างๆไว้ มิฉะนั้นมันจะระเบิดก่อน ซึ่งทุกๆคนต่างก็เข้าใจ
เมื่อหลังเสร็จสิ้นแล้วทหารก็เข้ามารายงานว่ามีหน่วยทหารเดินทางมาถึงปากทางแล้วจะให้ทำประการใด
เมื่อเป็นเช่นนี้ ชายหนุ่มพร้อมคนทั้งหมดก็รีบออกเดินทางไปยังปากทางเข้าหุบผาทันที ครั้นไปถึงเห็นหน่วย
ทหารทั้งหลายมุ่งมาทางนี้ เขาจึงได้จัดส่งทหารลงไปเพื่อหลอกล่อแจ้งให้ทราบว่าครั้นถึงปากค่ายกลแล้วให้หลบ
เลี่ยงออกทั้งสองข้างกลับมาที่เดิมทันที นายทหารครั้นได้รับทราบคำสั่งจากชายหนุ่มแล้วก็รีบนำทหารออกไป
เมื่อทหารทั้งหลายไปถึงก็นำกำลังเข้าหลอกหล่อซึ่งใช้ม้าที่มีอยู่ก่อนแล้ว เข้าประจัญบานกับทหารภายในเมือง
ทันที ทำเป็นพ่ายแพ้ถอยร่นหนีกลับมาทางปากหุบเขา
เหล่าทหารในเมืองต่างก็ไล่ทะยานเข้ามาและเลยเข้าไปยังค่ายกลทันที เมื่อเหล่าทหารของชายหนุ่มกลับมาแล้วซึ่งเขามองเหตุการณ์อยู่เบื้องบนเห็นทหารของข้าศึกต่างร้องโหยหวนก้องกังวานทำให้บรรดาทหารข้าศึกที่
ทยอยกันมาต่างชะงักและรีบหวนกลับไปรายงานต่อนายทหาร นายทหารที่นำทัพมาก็มุ่งหน้ามาครั้นเห็นทหาร
ของพวกต้นหายไป ก็หันไปตวาดกับทหารที่มาส่งข่าวว่า
“ไหนๆ ข้าไม่เห็นทหารของเราอยู่หรือว่ามันจะเลยเข้าไปในหุบเขาแล้วกระมัง” ทำเอาทหารที่มารายงาน
ครั้นหันไปมองก็เห็นเป็นที่โล่งเปล่ามองผ่านเลยไปได้ ก็ตลึงไม่รู้จะกล่าวประการใด
“พวกข้าเห็นเสียงร้องของทหารของพวกเรายามผ่านเข้าไปถึงกลางทางหุบเขาต่างร้องก้องทั้งม้าทั้งคนนะ”
ท่านนายกอง
“แต่นี่หามีทหารหลงเหลือสักคนนี่นา หากไม่แน่ใจอย่ากลับมารายงานข้าเป็นอันขาดมิฉะนั้นต่อไปข้า
จะทำโทษเจ้าอีก “
พร้อมสั่งให้ทหารทั้งหมดซึ่งล้วนเป็นทหารม้าล่วงหน้าไปข้างหน้า โดยนายกองที่ควบคุมทหารมาก็ออก
นำหน้าเดินทางเข้าหุบเขาทันที เมื่อเข้าไปยังค่ายกลแรกก็พบร่างทหารทั้งหลายต่างฆ่ากันเองล้มตายลงหมดสิ้น
ก็ให้แปลกใจ จึงให้ทหารทั้งหมดผ่านเลยไป ลุล่วงไปข้างหน้าขบวนทหารก็ติดตามนายกองผู้นั้นพร้อมทหาร
เดินเท้าก็เข้าสู่ค่ายกลที่สองทันที ครั้นนายกองพอลุล่วงเข้าสู่ค่ายกลที่สองก็ไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดๆทั้งสิ้น
พลันบังเกิดเปลวไฟลุกโชติช่วงพุ่งเข้าสู่ร่างเขา ดังนั้นจึงชักดาบออกฟันไปยังดวงไฟที่แลเห็น ปรากฏเสียง
ร้องก้องแล้วดวงไฟก็หายวับไปทันที เกิดประกายไฟขึ้นมาอีก
บรรดาทหารทั้งหลายก็เห็นเช่นเดียวกับนายกองผู้นั้นต่างก็ใช้อาวุธฟาดฟันดวงไฟเหล่านั้น
เสียงร้องก้องระงมไปทั่วๆบริเวณ ดวงไฟที่มันแลเห็นก็คือบรรดาทหารของพวกมันนั่นเอง
ต่างก็เข่นฆ่ากันจนกระทั่งเหลือนายกองที่มีฝีมือเพียงคนเดียวเมื่อเหล่าทหารต่างล้มตายมันจึงแลเห็น
สภาพภายในค่ายกลได้ จึงทราบว่าดวงไฟที่มัน ฟาดฟันนั้นที่แท้ก็คือเหล่าทหารพวกมันกันเองก็ให้แปลกใจนัก
จึงชักม้าถอยหลังกลับแต่ก็ไม่สามารถออกจากค่ายกลได้ด้วยมีเปลวไฟล้อมรอบบริเวณกว้างมันชักม้าวนเวียน
เพื่อหาทางออกก็ไม่สามารถออกไปได้
ดังนั้นชายหนุ่มเห็นจึงให้ทหารที่ตนเองฝึกมากับมือใช้ธนูทดลองยิงนายกองนั้นทันที ทหารที่ผ่านการฝึกจากเขาก็ หยิบคันธนูพร้อมลูกธนูน้าวแล้วยิ่งออกไป ปรากฏร่างนายกองนั้นถึงกับผงะตกกับหลังม้าสิ้นใจตาย
เมื่อเป็นเช่นนั้นผู้เฒ่าและแม่นางเห็นอานุภาพของค่ายกลที่ทำลายล้างข้าศึกโดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อฝ่ายตนเอง
แต่ประการใดไม่ ก็ให้นึกชมชายหนุ่มหากแม้นเขาเป็นฝ่ายตรงกันข้ามเห็นทีพวกเราจะตายสิ้นสมแล้วที่สายตาของ
ท่านแม่ทัพมองได้ลึกซึ้งยิ่งนัก ครั้นเห็นชายหนุ่มนำทหารพวกหนึ่งลงไปข้างล่างเดินฝ่าค่ายกลไปพร้อมทหาร
ทั้งหลายแล้วก็จัดระเบียบค่ายกลใหม่พร้อมนำอาวุธยุทโธปกรณ์ของฝ่ายตรงข้ามพร้อมม้ากลับออกมา
เพื่อใช้ในโอกาสต่อไป แล้วเขาสั่งให้นายกองที่เขาฝึกฝนนำทหารนำร่างศพข้าศึกออกมาไปจัดการฝังยังชายป่า
ไม่ให้อุจาดนัยน์ตาต่อไป พร้อมทั้งให้กลบเกลื่อนร่องรอยหมดสิ้น หลังจากนั้นเขาก็ขึ้นมาหาแม่นางและผู้เฒ่ากล่าวขึ้นว่า
“กำลังของมันที่ยังตกค้างอยู่เหลือไม่มากนัก คงจะสงสัยและอาจจะยกเข้ามาอีก ทางด้านนี้ปล่อยไว้ได้แล้ว
ข้าเองได้กำชับแก่นายกองของเราไว้แล้วหากเข้ามาให้จัดการแบบเดิมอีก ไม่ต้องเข้าต่อสู้กับพวกมันจนกว่ามันจะ
ตกตายไปเองแล้วเก็บอาวุธและม้ากลับมาสะสมไว้เพื่อเป็นขุมกำลังเราต่อไปนะ
ท่านผู้เฒ่า”
“หากไม่ได้ท่านมาช่วยเหลือการครั้งนี้เห็นทีว่าหุบผาเราจะต้องเสียแก่มันเป็นแม้นมั่นด้วยฝ่ายของกำลังทหารเรานั้น
น้อยนิดเท่านั้นมิอาจต้านทานได้หรอก” ชายชราแม่ทัพใหญ่กล่าว
“อ้อๆ???....ข้าเองก็ยังไม่ทราบจำนวนทหารของฝ่ายเราว่ามีสักประมาณสักเท่าไหร่เลย” ชายหนุ่มกล่าว
“ตกราวๆหมื่นกว่าคนแหละพ่อหนุ่ม ส่วนในเมืองก็มีไม่กี่ร้อยคนเท่านั้นเอง แต่ได้ข่าวว่าทหารที่ทนต่อ
เหตุการณ์ของไอ้อำมาตย์ไม่ได้ต่างแปรพักตร์แอบหนีมาจะเข้ามาสมทบกับเราแต่เราไม่กล้ารับไว้ พ่อหนุ่มมี
ความคิดเห็นเป็นประการใดล่ะ” ชายชรากล่าว
“คนเรานั้นรู้หน้าไม่รู้ใจแต่ทว่าในเมื่อเหตุการณ์เป็นดังนี้เห็นควรจะตรวจสอบให้แน่ใจก่อน โดยเรารับ
พวกมันไว้แล้วค่อยๆมา จำแนกออกทีละคนๆก็จะทราบเอง หากมีพิรุธสงสัยก็
ให้ฆ่ามันทิ้งเสีย ส่วนที่นำครอบครัวมาด้วยนั้นไม่จำเป็นหรอกด้วย
พวกนี้มีความตั้งใจแน่วแน่จึงนำครอบครัวมาด้วย ไส้ศึกนี้สำคัญนักให้แจ้งแก่ทหารหน่วยราชการลับคอยสอด
ส่องผู้คนมาใหม่ทุกๆย่างก้าวก็แล้วกันนะ” ชายหนุ่มกล่าว
“ได้ซิพ่อหนุ่ม เราจะทำตามที่ท่านกล่าวมานี้ทั้งหมด งั้นเรากลับก่อนทหารข้าศึกเพียงไม่เท่าไหร่นี้ข้า
คิดว่ามันคงไม่กล้าเข้ามาในหุบเขาเราหรอก คงจะตั้งมั่นอยู่นอกหุบเขาสร้างค่ายไว้ ค่อยค่ำคืนจึงจะนำทหาร
ออกไปโจมตี ป่านนี้มันคงส่งรายงานกลับไปเมืองหลวงแน่แล้วท่านผู้เฒ่า” ชายชรากล่าวด้วยสันทัดยิ่งนักเกี่ยวกับ
สงคราม ซึ่งมีประสบการณ์มากกว่าชายหนุ่มมากมายนัก
แล้วทั้งหมดก็เดินทางกลับไปยังที่พักเพื่อปรึกษากันถึงแนวทางที่จะเข้าโจมตีค่ายทหารในค่ำคืนนี้ต่อไป.....
* แก้วประเสริฐ. *