11 มีนาคม 2553 20:51 น.
แก้วประเสริฐ
ลุ่มลึกอิสราวดี 47
ครั้นใกล้วันที่ชายหนุ่มจะออกเดินทางไปยังเมืองซิตเว แม่ทัพใหญ่ท่านอลองพญาก็ขอเข้าพบ
เมื่อ ท่านอลองพญามาพบชายหนุ่มในค่ายที่พักแล้ว ชายหนุ่มก็เรียกให้นั่งพลางกล่าวว่า
“ท่านแม่ทัพใหญ่มีเรื่องอะไรจะแจ้งให้เราทราบหรือ”
“บัดนี้ข้าพระองค์นำทหารที่ได้จัดรวบรวมทหารฝีมือดีทั้งแม่ทัพนายกอง รวมไพร่พลได้จำนวนห้าหมื่น
นายมาแล้วพระเจ้าข้า” แม่ทัพใหญ่รายงานด้านทหารแก่ชายหนุ่ม
เมื่อชายหนุ่มทราบเช่นนั้นก็ยินดีเป็นยิ่งนัก พลางกล่าวขึ้นว่า
“ที่ท่านแม่ทัพใหญ่กล่าวเช่นนี้เราขอขอบใจท่านยิ่งนัก ทั้งหมดนี้ขอให้ท่านเป็นคนบัญชาการ
เองเมื่อเราสั่ง อ้อๆ ท่านนำแผนที่ในเมืองและบริเวณเมืองซิตเวมาด้วยหรือเปล่าล่ะ”
“นำมาด้วยพระเจ้าข้า” พลางล้วงไปในอกเสื้อนำแผนที่ดังกล่าวมาส่งให้ชายหนุ่มทันที
“ท่านได้คัดลอกไว้ด้วยนะ ด้วยต่อไปในเบื้องหน้าจะเป็นประโยชน์แก่เมืองหงสามาก”
“พะย่ะค่ะ กระหม่อมได้ทำขึ้นสองฉบับเนื้อหาเหมือนกันพระองค์ทรงทอดพระเนตรเถอะ
พระเจ้าค่ะ” แม่ทัพใหญ่กล่าว
ชายหนุ่มรับมากางพิจารณาเพียงเดี๋ยวเดียวก็ยื่นฉบับหนึ่งมอบให้แก่ทัพใหญ่ทันที แล้วเอ่ยว่า
“เดี๋ยวเราจะติดตามท่านไปยังเมืองหงสา เพื่อลาพระแม่เจ้าพร้อมกับเจ้าด้วย หลังจากนั้นก็จะกลับ
มาพร้อมๆกันเพื่อเดินทางไปยังเมืองซิตเวด้วยกัน”
“พระย่ะค่ะ เกล้ากระหม่อมไม่มีอะไรนอกจากมาทูลแก่พระองค์พร้อมแผนที่ แล้วพระองค์จะเสด็จ
ไปจากหงสาเมื่อไหร่ล่ะพระเจ้าข้า” แม่ทัพใหญ่กล่าว
“เดี๋ยวนี้เลยล่ะ อ้อให้ท่านจัดคนที่ท่านไว้ใจได้เรื่องอำนาจนั้นมันไม่เข้าใครออกใคร เมืองหงสานั้น
ข้าเองก็หวังเพียงแต่เจ้าเท่านั้นจะเป็นหลักในการปกครองไว้เท่านั้น บอกตรงๆคนอื่นข้าหาได้ไว้วางใจนัก
ยิ่งพวกอำมาตย์นั้นยิ่งไปกันใหญ่ เดี๋ยวข้าจะไปเจรจากับพระแม่เจ้าเอง งั้นเราออกเดินทางได้แล้วล่ะ”
กล่าวแล้วชายหนุ่มก็หันไปแจ้งแก่แม่นางทั้งสามว่าให้คอยดูแลค่ายทหารทั้งหมด เราจะเข้าเมืองไป
คนเดียวพร้อมกับเจ้าขนทอง ส่วนเจ้าขนขาวเราจะไม่นำไปหากมีปัญหาให้เจ้าขนขาวไปส่งข่าวแก่เราก็
แล้วกัน
หญิงสาวทั้งสามก็รับคำ ดังนั้นชายหนุ่มจึงแจ้งแก่แม่ทัพใหญ่ว่าบรรดาทหารที่เจ้านำมานั้นให้พักรอ
คอยไว้หากเราและเจ้ากลับมาก็จะออกเดินทางต่อไปทันที แม่ทัพใหญ่อลองพญาครั้นได้รับคำพระบัญชา
แล้วก็รีบไปสั่งรองแม่ทัพให้คอยควบคุมแจ้งแก่ทหารทั้งหลายให้เตรียมพร้อมไว้อย่าได้คลาดเคลื่อน
สักครู่ใหญ่ชายหนุ่มก็ได้รับรายงานว่าอาวุธที่ให้จัดสร้างนั้นได้ส่งมาถึงแล้วมากมายนักจะทำฉันท์ใดดี
ชายหนุ่มก็ให้นายแม่ทัพผู้นั้นไปจัดที่เก็บไว้และให้ไปแจ้งแก่แม่ทัพนายกองทั้งหลายว่าให้รื้อค่ายต่างๆออก
เสีย หากเรากลับมาก็จะออกเดินทางไปเมืองซิตเวทันใด แม่ทัพก็ถวายบังคมลาออกไปจัดการตามคำสั่ง
ชายหนุ่มทันที แล้วชายหนุ่มก็เดินออกนอกค่ายพร้อมกับเจ้าขนทองและม้าสีเทาร่วมเดินทางเข้าเมืองหงสา
เมื่อชายหนุ่มเข้าเฝ้าแม่นางเจ้าเมืองหงสาแล้วก็ถวายความเคารพต่อเจ้าเมือง แล้วขอเวลาพบเป็นการ
ส่วนตัว ทำเอาแม่นางสิริสาอลงกรณ์แปลกพระหทัยนัก ดังนั้นจึงจูงมือชายหนุ่มเข้าไปยังด้านในห้องลับ
ทันที และสั่งทหารและเหล่าสนมกำนัลห้ามบุคคลใดเข้าเป็นอันขาดหากไม่ได้รับเรียกพร้อมให้รีบนำอาหาร
มาด้วย ครั้นนางกำนัลได้รับคำสั่งแล้วก็ไปเตรียมอาหารพร้อมจัดวางยังโต๊ะไว้แล้วก็ออกไป และสั่งทหาร
หน้าห้องให้ไปยืนรักษาการณ์ที่ไกลกว่าจะได้ยินคำสนทนาของเจ้าเมืองและท่านมหาอุปราช
ครั้นเตรียมการเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มและเจ้าเมืองนั่งโต๊ะอาหารพลางสนทนาวิสาสะพอสมควร
ชายหนุ่มก็ล้วงหยิบหนังสือขึ้นมาสองฉบับพลางกล่าวขึ้นว่า
“ข้าเองเป็นห่วงเมืองหงสานักก่อนเดินทางหนึ่งเพื่อมาลาพระแม่เจ้า สองเมื่อสั่งการบางอย่าง สามเพื่อ
มอบหนังสือไว้ให้เปิดอ่านยามที่ข้าได้ออกเดินทางไปแล้ว การปกครองเมืองนั้นหากเป็นหญิงมักจะไม่ค่อย
ได้รับความเชื่อถือมากนัก อาจจะมีเหตุไม่สมควรเกิดขึ้น ด้วยข้าพเจ้าดูลักษณะของท่านอลองพญาแล้วเป็น
คนมีความสัตย์ซื่อและประกอบด้วยสติปัญญาความละเอียดรอบรู้งานทั้งด้านทหารและด้านการเมืองนักด้วย
ข้าเองได้ส่งสายสืบไปตรวจสอบที่บ้านของอลองพญาแล้ว หาสิ่งมีค่าใดไม่ ไม่สมกับเป็นถึงแม่ทัพใหญ่แสดง
ถึงความไม่โลภรักเมืองยิ่งกว่าชีวิต ก่อนที่ข้าจำนำเขาไปร่วมทัพก็เพื่อจะให้เขามีประสบการณ์ด้านต่างๆเพิ่ม
มากยิ่งขึ้น ดังนั้นวันนี้จึงใคร่ขอพระแม่เจ้าซึ่งไม่มีพระโอรสสืบสายโลหิตเพื่อจะครองเมืองได้ในอนาคต
ก่อนจะไปจึงขอให้พระแม่เจ้าเรียกประชุมเหล่าขุนนางทหารทั้งปวงด้วยเพื่อแต่งตั้งให้ท่านอลองพญา
ขึ้นเป็นอุปราชครองเมืองต่อจากพระแม่เจ้าด้วย หากแต่งตั้งแล้วจะทำให้บรรดาขุนนางเหล่าอำมาตย์ทหาร
ซึ่งต่างเกรงกลัวในอำนาจของท่านอลองพญาจะได้มิกล้าฮึกเหิมทำการลุล่วงแก่พระแม่เจ้าได้ อีกประการหนึ่ง
ข้าเองก็ศึกษาตำราเกี่ยวกับลักษณะคนเห็นว่า ท่านอลองพญาคนนี้นี่แหละจะทำให้เมืองหงสายิ่งใหญ่ในภาค
พื้นนี้ตลอดจนแว่นแคว้นต่างๆได้ ข้าจึงสนับสนุนเขาด้วยเมื่อสมควรแก่เวลาพระแม่เจ้าจะมอบเมืองให้เขา
ครองก็อยู่ที่พระแม่เจ้า แต่ข้าอยากขอร้องท่านไว้ว่าอย่าคิดแต่งตั้งใครขึ้นเป็นรัชทายาทเด็ดขาดจะทำให้เกิด
การปั่นป่วนในเมืองหงสา เหล่าทหารหาญก็จะถูกแบ่งแยกออกจากกันทันที หาใช่ว่าข้าเองจะเอ็นดูท่าน
อลองพญาก็หาไม่ แต่ตามตำราบ่งบอกเช่นนั้นจึงคิดแจ้งแก่พระแม่เจ้าโดยลำพัง”
“เมื่อเป็นพระประสงค์ของท่านมหาอุปราชเช่นนี้ใยข้าจะกล้าขัดขืนใดได้ ด้วยข้าเองคิดว่าท่านคือราชบุตร
ของข้าคนหนึ่ง เมื่อโอรสต้องการสิ่งใดผู้เป็นแม่ก็ย่อมตามใจลูกอยู่แล้วล่ะ” กล่าวจบก็นำร่างชายหนุ่มมาโอบ
กอดทันที อันที่จริงในใจข้าคิดว่าจะรอเวลาเสร็จศึกเมื่อใดก็จะคืนบัลลังก์ให้แก่ลูกเราครองต่อไป”
ครั้นชายหนุ่มได้ยินเช่นนี้ก็ก้มลงกราบยังพระแม่เจ้าเมืองหงสาทันที พลางทูลขึ้นว่า
“จะด้วยเหตุใดมิอาจทราบได้ ข้าเองก็ให้นึกรักท่านเปรียบประดุจญาติสนิทคนหนึ่ง ดังนั้นเสด็จแม่
ขอจงดำเนินตามลูกกล่าวไว้ด้วยเถิด ส่วนหนังสือสองฉบับนี้หากถึงในกรณีฉุกเฉินจนปัญญาแก่เสด็จแม่
แล้วก็จงเปิดอ่านฉบับที่หนึ่งก่อน ส่วนฉบับที่สองนั้นใช้ยามคับขันจริงๆพระเจ้าข้า”
“อ้อๆ....อีกประการหนึ่งขอให้เสด็จแม่จงทรงจัดตั้งกองกำลังพลไว้นอกเมืองให้เป็นความลับขึ้น และ
ห้ามเขาเข้ามายังเมืองเด็ดขาด จัดหาคนที่เสด็จแม่ไว้ใจด้วยเป็นหัวหน้าคุมกองกำลัง ที่ดีควรเป็นในป่าลึกที่มี
หุบเขาซับซ้อนนั่นแหละดีพระเจ้าข้า”
“โอรสเราแม่ได้ยินความห่วงใยของเจ้าเช่นนี้ยิ่งทำให้ข้าอดที่จะให้เจ้าครองบัลลังก์ยิ่งนัก แต่ด้วยเจตนา
อันแน่วแน่ยากจะหาสิ่งใดมาเปลี่ยนแปรความคิดอ่านนี้ได้แล้ว แม่จะคอยเจ้ากลับมาเยี่ยมแม่อีก ให้เจ้าระวัง
เนื้อระวังตัว แม่อยากจะได้ปรนนิบัติลูกแม่ทำหน้าที่เป็นแม่ของเจ้า”
“ข้าให้สัญญาแก่เสด็จแม่ว่า หากมาดแม้นว่าการณ์ครั้งนี้สำเร็จตามความคิดอ่านแล้วจะมาเยี่ยมเสด็จแม่
แน่นอน ขอเสด็จแม่อย่าเป็นห่วงประการใดเลยรังแต่ทำให้สุขภาพเสียไปพระเจ้าข้า” ชายหนุ่มกล่าว
ดังนั้นพระนางสิริสาอลงกรณ์ก็มีคำสั่งให้เหล่าอำมาตย์ข้าราชบริพารเข้าประชุมด้วยด่วน ณ ท้องพระโรง
ทำให้บังเกิดความสงสัยในการรับสั่งด่วนของเจ้าเมืองครั้งนี้ยิ่งนั่ง ต่างก็รีบเข้ามาเฝ้าเจ้าเมืองพร้อมเพรียงกัน
ทันที ครั้นพระแม่เจ้าเมืองนั่งบัลลังก์ออกว่าราชการแล้วก็ให้อาลักษณ์อ่านคำประกาศแจ้งแก่เหล่าอำมาตย์
น้อยใหญ่ตลอดจนแม่ทัพนายกองทั้งหลายให้ทราบทันที ส่วนชายหนุ่มนั้นก็อยู่ในพระสูตรด้านหลังมิได้
ออกไปนั่งเคียงข้างยังบัลลังก์คอยฟังและสำรวจพวกเหล่ามหาอำมาตย์ขุนทัพนายกองทั้งหลาย
ครั้นอาลักษณ์นำพระราชสาสน์จากพระแม่เจ้าเหนือหัวแล้ว ก็นำมาอ่านให้บรรดาอำมาตย์แม่ทัพนายกอง
สรุปความว่าบ้านเมืองยังไม่อยู่ในสภาวะปลอดภัยจึงใคร่แต่งตั้งมหาอุปราชรัชทายาทเพื่อครองเมืองต่อจากเรา
ด้วยเราเองก็มีอายุมากแล้ว ปราศจากหน่อเนื้อเชื้อไขกษัตริย์พระองค์เดิมจึงจะให้แม่ทัพใหญ่ คือท่านอลองพญา
ขึ้นดำรงตำแหน่งมหาอุปราชเมืองหงสานับแต่บัดนี้เป็นต้นไป ให้ท่านอลองพญาเข้ามารับการแต่งตั้งพร้อมด้วย
เครื่องอิสริยยศจากเรา ณ บัดนี้ เป็นต้นไป
การอ่านพระราชสาสน์โดยอาลักษณ์จบลง ทำให้บรรดาอำมาตย์น้อยใหญ่และเหล่าทหาร โดยเฉพาะทหาร
ต่างพากันโห่ร้องแสดงความยินดี ส่วนท่านมหาอำมาตย์ใหญ่ถึงกับใบหน้าเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยแต่ก็แสดงความ
ยินดีในการครั้งนี้ด้วย แต่หาได้ลอดพ้นจากสายตาชายหนุ่มไปก็หาไม่ ดังนั้นจึงเขียนสาสน์ขึ้นมาอีกแล้วให้นาง
สนมไปรีบยืนมอบให้พระแม่เจ้าทันที ครั้นพระแม่เจ้าเมืองหงสาได้รับอ่านสาสน์จบก็แจ้งแก่อาลักษณ์ให้นำ
หมายตราแผ่นดินพร้อมที่เขียนหนังสือมาโดยด่วน เมื่อฝ่ายอาลักษณ์ทราบดังนั้นก็หันไปให้รองไปรีบนำตรา
ประจำแผ่นดินพร้อมที่เขียนหนังสือมาด้วย
เมื่อท่านแม่ทัพใหญ่เข้ามาถวายบังคมทูลน้อมกายถวายคำสัตย์ปฏิญาณตนต่อเจ้าเหนือหัวแล้วก็น้อมรับ
เครื่องราชอิสริยาภรณ์ พระแม่เจ้าก็ทรงลุกจากพระราชบัลลังก์นำเสื้อประจำตัวมหาอุปราชคลุมสวมให้แก่ท่าน
อลองพญาแม่ทัพใหญ่ พร้อมของประกอบยศต่างๆ ครั้นเสร็จก็ดำเนินไปนั่งยังราชบัลลังก์ต่อไปหลังจากรับ
ตราประจำเมืองพร้อมแล้วก็ ทรงประทับบนพระราชสาสน์ของชายหนุ่มลงพระนามกำกับไว้ได้ แล้วให้หัวหน้า
อาลักษณ์อ่านต่อไป
หัวหน้าอาลักษณ์น้อมกายถวายบังคมน้อมรับมาแล้วก็อ่านด้วยเสียงอันดังสรุปว่า แม่ทัพใหญ่เมืองหงสา
ในเมื่อท่านอลองพญาได้เลื่อนเป็นท่านมหาอุปราชแล้วจึงแต่งตั้งท่านรองแม่ทัพใหญ่ คือท่าน พญาสีหอลองขึ้น
ดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่มีอำนาจเด็ดขาดทางทหารเมืองหงสา บรรดาตำแหน่งรองลงมาให้เลื่อนสูงขึ้นไป
ตามลำดับชั้นหน่วยทหารนั้นๆด้วย ส่วนท่านมหาอำมาตย์ใหญ่นั้นอายุชราภาพมากแล้วให้ปลดออกจากตำแหน่ง ตลอดจนบรรดาอำมาตย์บางคน แล้วแต่งตั้งให้ เหนี่ยวสุรินทราขึ้นเป็นมหาอำมาตย์ใหญ่แทน
และให้เลื่อนจากรองต่างๆให้ทดแทนตำแหน่งว่างลงทันที และให้ท่านมหาอำมาตย์ใหญ่เก่าได้รับเบี้ยหวัดประจำปีต่อไป บัดดลก็เกิดความวุ่นวายฝ่ายด้านปกครองการเมืองทันทีแต่
เมื่อพระแม่เจ้าทรงตรัสว่าหากผู้ใดมิเห็นชอบต่อคำสั่งเราให้ลุกขึ้นเดินแยกไปทางขวามือทันที
เสียงนั้นถึงได้เงียบลงแต่หามีผู้ใดเดินออกไปไม่ แล้วพระแม่เมืองหงสาก็มอบตำแหน่งมหาอำมาตย์ใหญ่พร้อม
เครื่องอิสริยยศแก่เหนี่ยวสุรินทราทันที เมื่อเสร็จแล้วทรงรับสั่ง
ให้ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งใหม่ด้านมหาอำมาตย์และทหารสองนายให้คอยอยู่ก่อน นอกนั้นให้กลับไปได้
ทำให้เกิดความยินดีแก่เหล่าอำมาตย์และทหารทั้งหลายที่ได้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นโดยไม่คาดคิดมาก่อน
ต่างถวายบังคมลาแล้วรีบกลับไปฉลองกันเป็นที่เอิกเกริกและเล่าขานสืบๆกันไป
ต่างชมเชยพระแม่เจ้าเหนือหัวว่าช่างเด็ดขาดนัก แม้นเป็นหญิงก็ตามแต่บริหารราชการแผ่นดิน
ถูกต้องมิคำนึงด้วยความเด็ดขาดยิ่งนัก มิเห็นแก่หน้าผู้ใดคนที่คิดไม่ยินยอมในใจต่างก็พากันชื่นชมยินยอมด้วย
ได้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นตามลำดับ
พวกที่เคยเชื่อฟังมหาอำมาตย์เก่าพากันหันเหทางลมใหม่แต่อำนาจที่ได้รับเลื่อนขึ้นทำให้คลายศรัทธาลงไป
ด้วยท่านมหาอำมาตย์ใหญ่เก่าไร้ซึ้งอำนาจวาสนาสิ้นแล้วย่อมไม่อาจจะบัญชาเกี่ยวกับตำแหน่งใดๆได้อีกต่อไปแล้วกลับถูกปลดร่วมด้วยบรรดาพรรคพวกบางคน ที่ประจบสอพลอและวางอำนาจเขื่องใหญ่โตนัก
เมื่อเหล่าขุนนางทหารกลับไปแล้วก็คงเหลือพระแม่เจ้าและเหล่ากำนัล ท่านอุปราชใหม่และมหาอำมาตย์ใหม่
ชายหนุ่มจึงก้าวออกมาจากม่านพระสูตรทันที พลางก้าวไปถวายคาราวะแก่พระแม่เจ้าแห่งหงสาทันที
พระนางเจ้าจึงเอ่ยขึ้นว่า โอรสเรามามะมาๆมานั่งใกล้ๆแม่นะ เหล่าท่านอลองพญามหาอุปราชใหม่แห่งหงสา
และมหาอำมาตย์และแม่ทัพใหญ่ซึ่งได้รับการแต่งตั้ง ครั้นแลเห็นท่านมหาอุปราชแห่งศิระสุริยันต์เช่นนั้นก็ล้วนต่างเข้าใจเหตุการณ์ทั้งสิ้นว่า การจัดบ้านเมืองนี้คงเป็นคำสั่งของท่านมหาอุปราชแห่งศิระสุริยันต์นั่นเอง
พร้อมน้อมถวายคาราวะแก่ชายหนุ่มด้วยความซาบซึ้งยิ่งนัก
ครั้นทุกๆอย่างเป็นไปตามแผนการที่ชายหนุ่มวางไว้แก่เมืองหงสา ก็กล่าวทูลลาพระแม่เจ้าทันที
“เสด็จแม่ ข้าค่อยคลายความกังวลใจต่อเสด็จแม่ในเมืองหงสาแล้ว ขอให้เสด็จแม่คอยการกลับมาของลูก
ก็แล้วกันลูกจะเอาแว่นแคว้นต่างๆมาฝากเสด็จแม่ด้วยพระย่ะค่ะ” ชายหนุ่มกล่าว
พระนางสิริสาอลงกรณ์ก็พลันโอบกอดชายหนุ่มพร้อมจุมพิตทั้งซ้ายขวาด้วยความรักใคร่ พร้อมทั้งกล่าวว่า
“แม่ขออวยพรให้ลูกแม่จงแคล้วคลาดปลอดภัยประสบแต่ชัยชนะแก่การศึกครั้งนี้ รักษาเนื้อรักษาตัวนะลูก
แม่จะคอยวันคอยคืนการกลับมาของลูกรักของแม่” เจ้าเหนือหัวแห่งหงสากล่าวกับชายหนุ่มทันที แล้วหันไป
กำชับมหาอุปราชท่านอลองพญาว่า
“ข้าขอให้เจ้าจงคอยดูแลปกป้องลูกรักข้าด้วยนะ หากลูกข้าเป็นอะไรไปเจ้าคนแรกที่จะถูกลงโทษอย่าง
แสนสาหัส จงจำคำข้าให้ขึ้นใจไว้นะเจ้ามหาอุปราช”
“พะย่ะค่ะ หากพระแม่เจ้าไม่สั่งข้าเองก็พร้อมที่จะสละชีพแทนเจ้าชายอยู่แล้วพระเจ้าข้า”
“ดีแล้วข้าเองจะได้สบายใจเมื่อได้ยินเจ้ากล่าวเช่นนี้ ด้วยเชื่อมั่นต่อเจ้ายิ่งนัก” พระแม่เจ้ากล่าวขึ้น
ดังนั้นชายหนุ่มและมหาอุปราชแห่งหงสาก็ทูลลาแล้วออกเดินทางออกจากตัวเมืองหงสาทันที เมื่อเดินทาง
ถึงเหล่าบรรดาทั้งหลาย ท่านอลองพญาก็ลงจากหลังมาพร้อมทั้งกราบไปยังชายหนุ่มทันทีพลางกล่าวขึ้นว่า
“ในชั่วชีวิตนี้ข้าพระองค์จะไม่ลืมเลือนพระองค์เป็นอันขาด หากมาดแม้นไม่ได้พระองค์ ข้าพระพุทธเจ้า
คงมิได้เป็นถึงมหาอุปราชแห่งหงสาได้ ที่เป็นก็ ด้วยพระบารมีปกเกล้าพระเจ้าข้า” แล้วพลางกราบกับพื้นทันที
ชายหนุ่มลงจากหลังม้าพยุงร่างให้ยืนขึ้นพร้อมกล่าวว่า
“ขอเพียงท่านต่อไปเป็นกษัตริย์ทำนุบำรุงชาวอาณาประชาราษฎร์ให้อยู่เย็นเป็นสุขปกครองด้วยทศพิศราช
ธรรม ช่วยเหลือแว่นแคว้นต่างด้วยพระคุณอย่าใช้พระเดชก็จะทำให้ท่านเป็นที่เลื่องลือไปทั่วทิศาแล้วล่ะ”
“ข้าพระพุทธเจ้าขอน้อมรับไว้เหนือเกล้าพระเจ้าข้า”
“ไปเถอะไพร่พลคงจะรอพวกเราอยู่แล้ว” ครั้นชายหนุ่มและมหาอุปราชแห่งหงสาเดินทางมาถึงกองทัพก็
สั่งให้เคลื่อนพลเข้าสู่ดินแดนซิตเว จวบทัพทั้งหมดถึงยังค่ายที่รายล้อมตรงไปยังกองบัญชาการที่ท่านที่ปรึกษา
ใหญ่อยู่ ท่านมหาอุปราชแห่งหงสาครั้นแลเห็นเหล่าทหารของท่านมหาอุปราช
เช่นนี้ก็ตกตลึงนึกในใจว่า หากหงสาเป็นเป้าหมายอันแท้จริงแล้วบัดนี้เมืองหงสาเห็นทีจะล่มสลายไปในชั่ว
พริบตา ด้วยกำลังพลไม่รวมแม่ทัพนายกองแล้วคงราวๆเกือบหนึ่งล้านคน อย่างนี้หรือเมืองซิตเวถึงแม้จะมี
ขุนเขาเป็นชัยภูมิที่ดีก็มิอาจจะต้านรับได้แน่นอน..............
* แก้วประเสริฐ. *
11 มีนาคม 2553 15:32 น.
แก้วประเสริฐ
ลุ่มลึกอิสราวดี 46
ครั้นประตูเมืองหงสาถูกกระบองนาคราชทำลายล้มลงแล้ว ชายหนุ่มและหญิงสาวทั้งสาม
ที่กระหนาบข้างก็ขี่ม้านำหน้าหน่วยทหารม้า ตีฝ่าเหล่าทหารหงสาที่เรียงรายอยู่ภายในเมือง
การต่อสู้พัวพันชุลมุนไป หญิงสาวทั้งสามก็แยกย้ายกันเข้าต่อสู้กับทหาร แต่เหล่านางทั้งสาม
มุ่งแต่เข้าหาแม่ทัพนายกองที่ฆ่าฟันทหารภาคพื้นดินล้มตาย นางจันทิราก็รีบยิงธนูไปยังร่าง
ของนายกองทันที ลูกธนูก็เสียบยังร่างของนายกองหงสาตกจากหลังม้าสิ้นชีวิตไป
แล้วนางก็ตีฝ่าหน่วยทหาร ส่วนพระธิดาเรวดีอรทัยกับพระธิดากัลยาเทวีต่างแยกย้ายยิงธนู
เข้าไปยังบรรดาแม่ทัพนายกองหงสาและเหล่าทหารหงสาดุจห่าฝน เมื่อหมดลูกธนู
พระนางก็ชักดาบออกฟาดฟันต่อสู้กับเหล่าทหารหงสาเป็นพัลวัน
บรรดาทหารหงสาซึ่งมาจำนวนมากมายนัก ก็มิอาจจะต้านทานฝีมือแม่นางทั้งสามได้
ต่างล้มตายไม่ก็พิการไป การรบพุ่งผ่านไปไม่เท่าไหร่ทหารหงสาก็เหลือน้อย
รีบหนีไปรวมกับพวกทหารองครักษ์ทันทีเพื่อรวมกำลังต่อต้านหน่วยทหารม้าที่
ครั้นประตูเมืองถูกทำลายบรรดาทหารเมืองฮะคาและตองอูต่างก็ทะลักกันเข้าไปในเมือง
เพื่อควบคุมสถานการณ์ เกิดการต่อสู้กับทหารเมืองหงสาเป็นพัลวันและถูกทำลายไปเกือบสิ้น
ด้วยกำลังใจทหารเมืองหงสานั้นเปรียบแล้วก็เสียขวัญกำลังใจยิ่งนัก ทหารของฮะคาและตองอู
ซึ่งเชี่ยวชาญด้านศึกที่ถูกคัดเลือกทหารฝีมือดีมาทั้งสิ้น ทหารฝ่ายหงสาจึงมิอาจจะต้านทานได้
ต้องแตกกระเจิง ด้วยบรรดาผู้ควบคุมต่างเสียชีวิตไป เมื่อขาดผู้นำสั่งการเช่นนี้ต่างก็หนีกัน
อลหม่านหาได้เป็นกองทหารได้ บรรดาพ่อค้าชาวเมืองต่างปิดประตูหลบภัยหมดทั้งเมือง
ชายหนุ่มควบเจ้าสีเทาเข้าประจัญบานแต่ก็ไม่อาจต้านทานอาวุธดาบของชายหนุ่มได้
ล้วนแต่ล้มตายดาบก็หักสิ้นไปหมดเหล่าหน่วยทหารหงสาซึ่งบนหอคอยต่างก็ยิงธนูเข้าใส่
แต่ บรรดาเหล่าทหารม้าของชายหนุ่มซึ่งต่างก็ได้รับการฝึกฝนเป็นอย่างดีล้วนต่างก็หลบ
ลูกธนูยังใต้ท้องม้าแล้วยิงธนูโต้ตอบไป บ้างก็ขว้างก้อนหินเข้าใส่ทำให้เหล่าทหารบนหอคอย
ต่างล่วงตกลงมาตายสิ้น เมื่อพ้นจากเหล่าทหารบนหอคอยแล้วเหล่าทหารม้าก็กลับนั่งบนหลังม้า
ตามเดิมแล้วควบฟันฝ่าทหารหงสา ติดตามชายหนุ่มจนเข้าไปในเขตพระราชฐาน ต่างก็ฆ่าบรรดา
เหล่าทหารองครักษ์ที่ปกป้องพระราชวังทั้งหลายต่างก็พากันล้มตาย
เสียงร้องหวีดว้ายก้องระงมของบรรดาเหล่าสนมนางกำนัลทั้งหลาย เหล่าทหารม้าก็เข้าไปยัง
ที่พำนักของพระมเหสีและเหล่าประยูรญาติเข้าตีฝ่าทหารที่เรียงรายปกป้องพระนางมเหสีจนสิ้น
ชีวิตไปหมดแล้วก็เข้าควบคุมองค์พระมเหสีและเหล่าราชวงศ์จนหมดสิ้น ส่วนด้านชายหนุ่มก็นำ
ทหารเข้าไปยังท้องพระโรง เห็นพระเจ้าเมืองหงสายืนถืออาวุธรอบล้อมด้วยเหล่าทหารนายทัพ
นายกองจำนวนมาก เหล่าทหารของชายหนุ่มก็เข้าปะทะรบกันอย่างชุลมุน ชายหนุ่มได้ตีฝ่า
เหล่าทหารของพระเจ้าหงสาจนถึงตัวพระเจ้าหงสาซึ่งบัญชาการอยู่ ครั้นมาถึงพระองค์
พระเจ้านะระสีหะราชาซึ่งยกดาบเข้าปะทะกับดาบของชายหนุ่มทันที ต่างฝ่ายมีอาวุธที่คมกล้า
พอๆกัน การสู้รบผ่านไปเนิ่นนานแต่ด้วยวิชาที่ชายหนุ่มร่ำเรียนประยุกต์กับดาบของเมืองไทย
ท่าดาบจึงผิดเพี้ยนไม่เหมือนชาวเมืองในแว่นแคว้นนี้ด้วยท่าร่างอันพิสดารทำให้ ชัยชนะเริ่ม
ส่อเค้าบังเกิดขึ้น และแล้วดาบของชายหนุ่มก็สามารถตัดพระเศียรของเจ้านะระสีหะราชาแห่ง
เมืองหงสาขาดออกจากกันทันที แล้วนำพระเศียรของพระเจ้านะระสีหะราชาชูขึ้นพลางประกาศ
ให้หน่วยทหารเมืองหงสารทราบ ทำให้เหล่าทหารแม่ทัพนายกองครั้นแลเห็นพระเศียรของ
เจ้าแห่งตน ต่างก็ยอมแพ้วางอาวุธลงทั้งสิ้น ทหารของชายหนุ่มก็เข้าเก็บอาวุธควบคุมตัวไว้จนหมด
ข่าวคราวนี้ได้ แพร่สะพัดไปยังบรรดาทหารที่กำลังต่อสู่อยู่ภายในเมือง ต่างก็ยินยอมวางอาวุธ
และให้เหล่าทหารของชายหนุ่มควบคุมตัวไว้ยังหน้าลานพระมหาราชวังทันทีเพื่อรอคำสั่งของชายหนุ่ม
เมื่อทหารของชายหนุ่มเข้าควบคุมเมืองได้หมดแล้ว ต่างวางกำลังไว้ตามเชิงเทินเมืองแล้วชักธงของ
แคว้นศิระสุริยันต์เหนือกำแพงเมืองทุกทิศ ตลอดจนมหาราชวัง ธงศิระสุริยันต์โบกสะบัดพลิ้วตามลม
บัดนี้ศึกในเมืองหงสาก็สิ้นสุดลง ส่วนภายในท้องพระโรงชายหนุ่มได้ออกคำสั่งให้เก็บบรรดาศพ
ทหารออกไป ส่วนศพของฝ่ายตนก็ให้คลุมด้วยธงเมืองศิระสุริยันต์ทุกๆนาย นำออกไปประกอบพิธีด้วย
เกียรติยศ ส่วนศพของเหล่าทหารเมืองหงสาก็จัดการฝังเสียแล้วให้บรรดาเหล่าทหารวังล้างชำระเลือด
ให้สะอาด ก่อนครั้นภายในท้องพระโรงสะอาดหมดจดแล้ว ก็ให้ทหารนำเหล่าพระประยูรญาติและ
พระมเหสีเข้ามา แต่ชายหนุ่มให้เกียรติแก่พระมเหสีเสมือนหนึ่งกับเมืองตองอูจนทำให้พระมเหสีและ
เหล่าประยูรวงศานุวงศ์ต่างคลายความหวาดกลัวลงได้ ครั้นเมื่อทราบว่าชายหนุ่มผู้ที่เข้าโจมตีเมืองหงสา
นั้นคือพระมหาอุปราชแห่งแว่นแคว้นศิระสุริยันต์ที่ล่มสลายไป ซึ่งก่อนที่เมืองหงสาจะจัดตั้งขึ้นเสียอีก
เหล่าชาวเมืองนี้ก่อนเก่าก็เคยขึ้นตรงกับศิระสุริยันต์มาทั้งสิ้น หลังการล่มสลายไปของเมืองศิระสุริยันต์
จึงทำให้เกิดการแบ่งแยกต่างสร้างตนขึ้นเป็นใหญ่ไม่ขึ้นต่อเมืองอิสราวดีที่เป็นเครือญาติของเมืองศิระสุริยันต์
อีกต่อไป พระมเหสีครั้นทราบว่าเป็นองค์รัชทายาทแห่งแคว้นศิระสุริยันต์ก็ให้สิ้นสงสัยที่คลางแคลงใจ
ว่าผู้ที่สามารถรวบรวมตีแว่นแคว้นต่างๆรวมทั้งตองอูซึ่งก็คิดแยกตัวออกจากรัฐมอญเหมือนกับเมืองหงสา
ที่คิดแยกตัวเองจากรัฐยะไข่เช่นกัน บรรดาทหารทั้งหลายต่างถูกฝึกฝนเชี่ยวชาญกล้าหาญนักถึงกับไม่สามารถ
ต้านทานการสู้รบของเหล่าทหารของท่านมหาอุปราชไปได้ ครั้นทราบดั่งนี้แล้วพระมเหสีก็ทรงทรุดตัวลงนั่ง
ถวายบังคมแด่องค์มหาอุปราชทันที พลางกล่าวว่า
“ข้า สิริสาอลงกรณ์พระมเหสีแห่งเมืองหงสา ขอน้อมถวายพระพร ด้วยไม่ทราบว่าเป็นท่านมหาอุปราชแห่ง
แว่นแคว้นศิระสุริยันต์ ที่ร่ำลือกันว่าหายสาบสูญไปเนิ่นนานแล้ว ครั้นชายหนุ่มเห็นดังนี้ก็ทรงน้อมกายลง
“พลางดำรัสว่าขอพระแม่นางแห่งหงสาอย่ายึดถือขนบธรรมเนียมมากมายนัก ข้าเองนั้นอายุยังเยาว์วัยนัก
จะทำให้อายุข้าสั้นลงไป จึงขออัญเชิญนั่งยังพระเก้าอี้ของพระแม่เจ้าด้วยเถิด”
“หากเป็นพระประสงค์ของพระองค์ มิได้รังเกียจว่าหม่อมฉันเองเป็นแค่เชลยศึก ก็ให้รู้สึกซาบซึ้ง
หฤทัยยิ่งนักตอนนี้พระองค์เป็นผู้ชนะศึกในครั้งนี้ครอบครองเมืองหงสาไว้ถือได้ว่าเปรียบเสมือนกษัตริย์
แห่งหงสาแล้วเพค่ะ”
พระนางพลางมิกล้าที่จะเข้าไปนั่งยังเก้าอี้ประจำตำแหน่งพระมเหสียังเพียงแค่ยืนขึ้นเท่านั้น ครั้นชายหนุ่ม
ครั้นได้ยินแม่เมืองหงสากล่าวเช่นนี้ ก็กล่าวขึ้นว่า
“ถ้าเป็นอย่างนั้นข้าก็จำเป็นอาศัยอำนาจดังที่พระแม่เจ้ากล่าว ขอให้ไปนั่งยังพระเก้าอี้พระแม่เจ้าด้วยเถิด”
ครั้นพระนางสิริสาอลงกรณ์ได้ฟังเช่นนั้น ว่าอันท่านมหาอุปราชนี้ทรงให้เกียรติแก่พระนางก็ให้ซาบซึ้งใจยิ่งนัก
ถึงกับหลั่งน้ำพระเนตรไหลเป็นทาง ดังนั้นชายหนุ่มทรงเข้าไปเอาสไบของแม่เจ้าแห่งหงสาเช็ดน้ำพระเนตร
ให้ทันที ยิ่งทำให้พระนางถึงก็หลั่งน้ำพระเนตรมากยิ่งขึ้น ถือโอกาสสวมกอดชายหนุ่มทันทีพร้อมกล่าวว่า
“ข้าเองขอฝากชีวิตและชาวเมืองหงสาไว้แก่พระองค์ขอทรงโปรดพระเมตตาแก่ชาวประชาราษฎร์ด้วย
เถิดเพค่ะ” ชายหนุ่มถึงกับอึ้งไปทันทีจวบบัดนี้พระนางเจ้ามิได้ห่วงตัวเองและครอบครัวกับห่วงใจแก่
ชาวประชามากกว่าส่วนตัวเสียอีก ก็ให้นึกบูชาน้ำใจในพระนางยิ่ง จึงได้กล่าวถามไปว่า
“ข้าแด่พระแม่เจ้าหงสา พระองค์มีพระราชบุตรธิดาเท่าไหร่พระเจ้าข้า”
“ข้าเองหาได้มีโอรสธิดาประการใดไม่เพค่ะ แม้แต่เจ้าจอมทั้งหลายสนมกำนัลก็หาได้มีพระโอรสธิดา
แต่ประการใดเพค่ะ” เจ้าแม่แห่งหงสาทูลถวาย
ครั้นชายหนุ่มได้ยินดังนี้แล้วก็หัวร่อเบาๆ พอดีแม่นางทั้งสามก็นำทหารเข้ามารายงานผลงานทั้งหมด
แก่ชายหนุ่มทันที หัวหนุ่มหัวร่อชมเชยในความเก่งกล้าสามารถต่อหน้าเหล่าทหารทั้งปวง แล้วให้มายืนข้าง
พร้อมทั้งให้แม่นางทั้งสาม ถวายบังคมแม่นางเจ้าแห่งหงสาทันที ครั้นแม่นางทั้งสามถวายบังคมตามคำสั่ง
ของชายหนุ่มแล้ว ก็ถอยออกมายืนแนบข้างชายหนุ่ม
แม่เจ้าแห่งเมืองหงสาไม่คิดเลยว่าทหารทั้งสามที่ยืนเคียงข้างชายหนุ่มนั้นจะเป็นถึงอิสตรีและยังมียศสูงส่งยิ่ง
ก็ให้บังเกิดความสงสัย ถึงความสามารถของชายหนุ่มคนนี้อายุยังน้อยนักแต่ทำไมถึงผูกใจเหล่าเมืองต่างๆ
ได้อย่างแน่นแฟ้นยิ่งนักตลอดมองไปยังบรรดาทหารทั้งหลายก็ล้วนแต่ห้าวหาญทั้งสิ้นก็สิ้นสงสัยว่าเหตุใด
เมืองหงสาที่ผ่านการคัดเลือกทหารฝีมือดีๆจึงได้พ่ายแพ้แก่กองทัพซึ่งมีไม่มากนัก หากเปรียบไปแล้วยัง
น้อยกว่าทหารเมืองหงสาเสียอีก ก็ยังสามารถตีเมืองหงสาซึ่งมีจำนวนพลมากมายนักได้ ก็ยิ่งบังเกิดความ
รักใคร่เอ็นดูตลอดจนซาบซึ้งความไม่หยิ่งยโสเช่นบรรดาเมืองอื่นๆ ซ้ำยังนอบน้อมถ่อมตนยิ่งนักและให้
เกียรติแก่ศัตรู ความคิดแค้นอาฆาตในใจก็สูญสิ้นมลายหายไป บังเกิดความรักเอ็นดูแก่ชายหนุ่มมาก
ซ้ำชายหนุ่มคนนี้ยังจัดพระศพพระสวามีให้เกียรติเป็นไปตามราชประเพณีชาวเมืองหงสาอีกด้วยเพียง
แต่รอการถวายพระเพลิงศพเท่านั้นเอง โดยจัดอย่างถูกต้องดั่งกับว่าเคยเข้าใจเรื่องภายในหงสามากมายนัก
ภายในใจจึงมิได้คิดอาฆาตแต่ประการใดก็หาไม่ จึงไม่ได้กล่าวอะไรอีก
เมื่อชายหนุ่มเห็นพร้อมเพรียงกันเรียบร้อยแล้วต่างก็ให้แก้มัดเหล่าบรรดาอำมาตย์ทหารแม่ทัพนายกอง
ออกให้เป็นอิสระทุกๆคนทั้งหมด ครั้นเมื่อเหตุการณ์เข้าที่เข้ารอยแล้วก็พลันประกาศขึ้นทันที
“ข้าเองมาเมืองหงสานั้นเพียงใคร่คิดเป็นทางผ่านหาได้ประสงค์จะเป็นจ้าวครองนครนี้ก็หาไม่ ครั้นขอ
เชื่อมสัมพันธ์ไมตรีไว้แล้วก็ไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าเหนือหัวของหงสา จึงต้องทำการเช่นนี้ บัดนี้เจ้า
เหนือหัวหงสาได้สวรรคตไปแล้วในการศึกสงครามสมเป็นวีรบุรุษแห่งเมืองหงสายิ่งนัก ข้าเองยังนึกใคร่
ชื่นชมในฝีมือและพระบารมีของพระองค์ หากเราทั้งสองสามารถทำความเข้าใจกันได้เหตุการณ์ก็คงจะไม่
เป็นดังนี้ แต่พระองค์ถือในทิฐิมานะว่ากองกำลังของข้าน้อยนิดเท่านี้มีหรือจะสามารถยึดเมืองหงสาได้
ข้าเองจึงจำเป็นอย่างยิ่งต้องรุกรานเมืองหงสา แต่หาได้หวังในสิ่งของใดๆในเมืองหงสาทั้งสิ้น มาบัดนี้เมือง
หงสาจะขาดเจ้าเมืองไปมิได้ เพื่อให้เมืองหงสาอยู่เย็นเป็นสุขข้าเองได้คำนึงถึงประชาราษฎร์เป็นหลักรวม
ทั้งเหล่าทหารทั้งหลายด้วย จึงคิดใคร่แต่งตั้งกษัตริย์ขึ้นใหม่ให้แก่เมืองหงสา ท่านเหล่าอำมาตย์และเหล่า
แม่ทัพนายกองจะเห็นเป็นประการใดให้แจ้งให้ข้าว่าสมควรจะให้ผู้ใดขึ้นครองราชย์สมบัตินี้”
อันชายชายหนุ่มกล่าวนี้เป็นนัยอย่างหนึ่งคิดทดสอบเหล่าอำมาตย์ขุนนางทหารทั้งสิ้น บรรดาอำมาตย์
และแม่ทัพนายกองหงสา ได้ยินเช่นนี้ต่างก็ให้บังเกิดความปลาบปลื้มยินดีปราศจากอคติต่อชายหนุ่มทันที
ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เนื่องจากองค์เจ้าเหนือหัวถือทิฐิมากเกินไปนั่นเอง และแม้แต่ทหารเราตลอด
ที่ปรึกษาต่างก็เก่งเชี่ยวชาญยังมิอาจต้านท่านมหาอุปราชได้ แสดงถึงบุญญาธิการขององค์มหาอุปราช
มีมากมายกว่าเจ้าเหนือหัวของเรานักจึงเป็นไปถึงเพียงนี้
อีกแผนการต่างๆการจัดส่งกำลังและทหารของท่านมหาอุปราชนั้นต่างมีความสามารถเฉพาะตัว
เกือบทั้งสิ้น หนึ่งคนสามารถต่อสู้กับทหารเราได้นับสิบ
ดังที่เห็นแจ้งในการรบพุ่งครั้งนี้ก็ให้บังเกิดความเคารพนับถือภายในใจของเหล่าทหารๆทั้งปวงยิ่งนัก
จึงพากันกล่าวขึ้นว่า
“พวกข้าเองใคร่ขออัญเชิญท่านมหาอุปราชขึ้นครอบครองราชย์สมบัติสืบไปพระเจ้าข้า ด้วยอาณาเขต
ของเมืองหงสาตลอดตัวเมืองกว้างขวางใหญ่โต และล้วนอุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหารอันมาก
เสบียงตลอดอาวุธสงครามมากมาย และพระองค์ก็ทรงมีพระเมตตาตลอดบุญญาธิการยิ่งนักพระเจ้าข้า”
ครั้นชายหนุ่มได้ฟังเหล่าอำมาตย์แม่ทัพนายกองทหารกล่าวเช่นนั้น ก็หัวเราะลั่น พลางกล่าวว่า
“ข้าเองขอขอบใจพวกท่านทั้งหลายยิ่งนักที่ให้เกียรติแก่ข้า แต่ข้าขอฝากเมืองหงสานี้ไว้ก่อนแก่พวกท่าน
แต่ข้าหาคนได้แล้วที่จะครอบครองราชย์สมบัติเมืองหงสาต่อไป”
เหล่าทหารและอำมาตย์ทั้งปวงต่างมองหน้ากันแล้วพร้อมทูลขึ้นว่า
“ข้าแด่ท่านมหาอุปราชผู้ยิ่งใหญ่และประกอบด้วยพระบารมีมากยิ่งนัก ฉะนั้นสายพระเนตร
ย่อมกว้างไกลและมองกาลอนาคตได้ หากได้พระองค์ก็ย่อมจะทำให้เมืองหงสารุ่งโรจน์ต่อไปในอนาคต
แน่นอน พวกข้าทั้งหลายต่อนี้ไปขอให้สัตย์ว่าจะซื่อสัตย์และเชื่อฟังพระองค์ตราบชั่วชีวิตจะหาไม่
แต่พระองค์ทรงพระดำรัสเช่นนี้ พวกข้าทั้งปวงก็บังเกิดความสงสัยยิ่งนักว่าพระองค์ทรง
คิดจะให้ใครรักษาการณ์แทน ส่วนพวกข้าทั้งหลายตอนนี้ต่างยินยอมพร้อมใจทั้งกายแล้วพระเจ้าข้า”
ครั้นชายหนุ่มแลเห็นเหล่าอำมาตย์เสนาบดีแม่ทัพนายกองเห็นพร้องกันและให้สัตย์ปฏิญาณตน
แล้ว ก็ให้ปลื้มปิติยินดียิ่งนัก จึงกล่าวว่า
“ข้าเองยังมีหน้าที่ต้องไปยึดเมืองซิตเวอีก ด้วยกองทัพของข้านั้นตลอดจนที่ปรึกษาใหญ่ยังคอย
ตัวข้าอยู่จะปล่อยไปก็ไม่ได้ จึงอยากจะใคร่ขอกำลังพวกท่านให้ช่วยเหลือการครั้งนี้ด้วยท่านอำมาตย์
แม่ทัพนายกองจะเห็นเป็นประการใด”
บรรดาอำมาตย์แม่ทัพนายกองครั้นได้ฟังเช่นนั้น แม่ทัพนายกองก็เสนอตัวทันที
“ข้า อลองพญา เป็นแม่ทัพใหญ่แห่งเมืองหงสาได้ยินพระดำรัสเช่นนี้ ก็ใคร่คิดที่จะนำเหล่าทหารหาญ
ทั้งหลายหาประสบการณ์และจะเข้าร่วมรบกับพระองค์ด้วยพระเจ้าข้า”
“อีกประการหนึ่งเมืองซิตเวนั้น ข้าพระพุทธเจ้ามีแผนที่ทั้งนอกเมืองในเมืองไว้ ด้วยคิดจะยึดครองอยู่
แล้ว เมื่อการครั้งนี้สมใจยิ่งนักจึงใคร่จะขอถวายชีวิตแด่พระองค์พร้อมด้วยเหล่าทหารแห่งหงสา
หากให้พวกข้าเข้าโจมตีตามแผนที่นี้ก็ย่อมเป็นประโยชน์ยิ่งแก่พระองค์พระเจ้าข้า”
“ข้าขอขอบใจท่านอลองพญายิ่งนัก เอาล่ะให้ท่านจัดเตรียมไพร่พลและตัวท่านก็ร่วมนำทัพไปด้วยจะได้
หรือไม่ล่ะท่าน”
“เป็นพระมหากรุณาธิคุณแก่ข้ายิ่งนัก ขอน้อมถวายชีวิตและรับคำพระบัญชาพระเจ้าข้า
และจะออกเดินทางเมื่อใดหรือพระเจ้าข้า”
“อันการณ์นี้จะล่าช้าไม่ได้เห็นว่าอีกสองวันเพื่อคอยท่านรวบรวมทหารก่อนแล้วค่อยออกเดินทางไป แต่
ก่อนไป ข้าขอประกาศในที่นี้เลยว่าตอนนี้ราชบัลลังก์หงสานี้จะขาดคนดูแลไม่ได้ ยังไม่รู้ว่าข้าเองนั้นอาจจะ
ได้กลับมาอีกหรือไม่ก็เป็นสิ่งในอนาคตกาล ดังนั้นข้าจึงประกาศแก่เหล่าอำมาตย์แม่ทัพนายกองทั้งหลายว่า
ข้าเองคิดใคร่จะแต่งตั้งพระแม่เจ้า “สิริสาอลงกรณ์” ขึ้นเถลิงราชสมบัติต่อไป พวกท่านจะเห็นเป็นประการใด”
เมื่อบรรดาเหล่าอำมาตย์แม่ทัพนายกองได้ยินเช่นนี้ ก็ต่างปลื้มปิติยินดียิ่งนัก ด้วยเนื่องคิดว่าจะเป็นคนของ
ท่านมหาอุปราช แต่พระองค์หาได้มุ่งในสมบัติในเมืองหงสาก็หาไม่ยิ่งทำให้บังเกิดความนับถือมากเป็นล้นพ้น
ครั้นชายหนุ่มกล่าวเสร็จ ก็หันไปอัญเชิญพระแม่นาง สิริสาอลงกรณ์จากพระที่เก้าอี้ให้มานั่งลงยังบัลลังก์ของ
กษัตริย์แห่งเมืองหงสา พร้อมนำมงกุฎซึ่งเตรียมพร้อมอยู่แล้ว พลางยกมือไหว้ขออภัยแล้วก็สวมบนพระเศียร
ของพระแม่นางเมืองหงสาทันที ก็บังเกิดเสียงถวายพระพรแด่แม่นางเจ้าซึ่งเสวยราชสมบัติสืบต่อไป........
* แก้วประเสริฐ. *
10 มีนาคม 2553 20:58 น.
แก้วประเสริฐ
ลุ่มลึกอิสราวดี 45
บรรดาอำมาตย์และนายกองทั้งหลายต่างหันมามองหน้ากันต่างมิคาดคิดว่า ชายหนุ่มคนนี้อายุน้อยสามารถ
คิดการใหญ่ได้สำเร็จ และบรรดาแว่นแคว้นต่างๆของรัฐยะไข่เล่าก็ต่างตกอยู่ในอำนาจชายหนุ่มคนนี้ไปแล้ว
ยิ่งบังเกิดความรู้สึกต่างๆกันไป ต่างก็บังเกิดความคิดว่าชายหนุ่มผู้นี้ยังมีอัธยาสัยไม่ถือว่าข้าคือผู้ชนะศึกครั้งนี้
กับมีกิริยาท่าทางนอบน้อมนัก ล้วนแล้วแต่บังเกิดความชื่นชมภายในใจแทบทุกตัวนาย แม้แต่เมืองตองอูนับแต่
ก่อนมา จะหาความเข้มแข็งเท่ายุคนี้ได้ยากแล้วพร้อมมูลด้วยทหารที่เชี่ยวชาญการรบมากนักยังถึงกับพ่ายแพ้แก่
ทหารของชายหนุ่มในชั่วไม่ทันข้ามคืน ยิ่งคิดก็ยิ่งบังเกิดความชื่นชมมากยิ่งขึ้นด้วยชาวตองอูชอบคนเก่งกล้า
ครั้นชายหนุ่มหลังจากแก้มัดอำมาตย์ผู้หนึ่งแล้วก็จูงมือเดินพามายังเบื้องหน้าบรรดาเหล่าเชลยทั้งปวง
ด้วยเขาเห็นว่าอำมาตย์นี้มีบุคลิกที่สง่างามผิดกับพวกอำมาตย์ทั้งปวงจึงถามว่า
“ท่านผู้เฒ่าเป็นอำมาตย์เมืองตองอูนี้ดำรงตำแหน่งใดหรือ???...”
“เรียนท่านผู้ชนะศึก ข้าเองนั้นเป็นแค่อำมาตย์ต่ำต้อยน้อยนิดเป็นแค่ที่ปรึกษาดูแลงานด้านการคลังเท่านั้น
ตลอดการเก็บส่วยต่างๆเข้าท้องพระคลังขอรับ” ชายชรากล่าวขึ้นแล้วย้อนถามว่าท่านเองนั้นเล่าอายุเพียง
เท่านี้ทำหน้าที่แม่ทัพคุมทหารเชียวหรือ”
ทหารที่ยืนเรียงรายรวมทั้งแม่ทัพมังกะยะสินธูแห่งเมืองฮะคาพลันตวาดว่า
“ท่านมิรู้หรือว่าที่ท่านกำลังเจรจาอยู่นี่ คือท่านมหาอุปราชแห่งเมืองศิระสุริยันต์บัดนี้เป็นแม่ทัพใหญ่แห่ง
ผู้กำราบแว่นแคว้นต่างๆเพื่อคิดจะรวบรวมแผ่นดินเป็นหนึ่งเดียว ยังไม่ถวายคาราวะพระองค์อีก”
ชายชราอำมาตย์นั้นถึงกลับตกตลึงทรุดเข่าลงทันทีพลางกล่าวว่า
“ขอเดชะข้าสมควรตายพระเจ้าข้า ด้วยมิรู้ความความผิดนี้กระหม่อมยินยอมจะให้พระองค์ลงโทษทุกๆ
ประการ ควรมิควรแล้วแต่พระองค์จะทรงโปรดพระเจ้าข้า” พลางก้มหน้าลง
แต่ชายหนุ่มมิได้ถือสาประการใดบอกให้นั่งลงเบื้องหน้าได้ พลางหันไปทางด้านสานุวงศ์พลางน้อมกาย
คาราวะมเหสีของเจ้าเมืองตองอูพลางกล่าวว่า
“ข้ามหาอุปราชแห่งเมืองศิระสุริยันต์ขอถวายพระพรพระมเหสีพระเจ้าข้า”
ทำให้มเหสีตกตลึง ด้วยนึกไม่ถึงว่าท่านมหาอุปราชผู้มีชัยครั้งนี้จะนอบน้อมถ่อมตนยิ่งนัก ก็ให้บังเกิดความรัก
ใคร่ปราศจากอาฆาตแค้นที่สู้รบกับพระสวามีและสิ้นชีพไป รวมทั้งราชบุตรและราชธิดาด้วยต่างพากันงงงันไป
ตามๆกัน เมื่อเหล่าทหารมารายงานว่าบัดนี้เมืองตองอูได้สู่สภาวการณ์ปกติแล้ว จึงหันไปทางพระมเหสีทรง
เอ่ยขึ้นว่า
“ข้าน้อยขอโทษที่ต้องถามพระมเหสีว่าพระองค์มีพระราชบุตรธิดาเท่าใดพระเจ้าข้า”
ฝ่ายมเหสีที่เห็นลักษณะกิริยาของชายหนุ่มเช่นนี้ ก็ให้ทรงหายกริ้วในพระหฤทัยใดๆ พลางเอ่ยว่า
“ข้าแด่ท่านมหาอุปราช ข้าพระองค์มีราชบุตรเพียงหนึ่งเดียวชื่อ มังสุริโย มีราชธิดาสองพระองค์
องค์โตนามว่า เรวดีอรทัย องค์เล็กนามว่า กัลยาเทวี เพค่ะ” พร้อมทั้งน้อมกายถวายบังคมทูล
“อันหม่อมฉันนั้นหาใช่ที่ต้องการรุกรานเมืองตองอูก็หาไม่ หากผิดพลาดประการใดขอทรงโปรด
พระราชทานอภัยแก่หม่อมฉันด้วย แต่การศึกก็คือการศึกจะละเว้นเสียมิได้มิฉะนั้นงานใหญ่ของหม่อมฉัน
คือการรวมเป็นแผ่นดินเดียวกัน จึงจำเป็นต้องลุอำนาจของฝ่ายตองอู หวังว่าทรงจะเห็นใจหม่อมฉันด้วย
พระเจ้าข้า” แล้วชายหนุ่มก็ยกมือไหว้คาราวะมเหสีทันที ทำให้พระมเหสีถึงกลับหลั่งน้ำตามิคิดว่าผู้ชนะ
ศึกในครั้งนี้จะมิลุล่วงแก่อำนาจกลับให้เกียรติแก่เชื้อวงศ์ ตลอดจนยิ่งบังเกิดความรักมากยิ่งขึ้นเมื่อแลเห็น
ชายหนุ่มก้าวเดินเข้าไปหา องค์ชายมังสุริโยลูกชายของนางเอง แล้วทรงสวมกอดแล้วเชิญออกมายืนยังเบื้อง
หน้าเหล่าทหารหาญและอำมาตย์ของเมืองตองอู
ครั้นมังสุริโยเห็นองค์มหาอุปราชให้เกียรติเช่นนี้ความในใจก็หายสิ้น ด้วยท่านมหาอุปราช
หาได้ถือยศถือตัวในฐานะผู้ชนะศึกก็หาไม่ และการสิ้นพระชนม์ของพระบิดาก็สมศักดิ์ศรีลูกผู้ชายด้วยกัน
การรบย่อมมีแพ้มีชนะ แต่ผู้ชนะกลับมิได้หลงในอำนาจดุจชายหนุ่มเบื้องหน้านี้ซึ่งอายุก็คงจะ
รุ่นราวคราวเดียวกันอีกด้วย ดังนั้นความแค้นที่ต้องสูญเสียพระบิดาไปก็มลายหายสิ้นเมื่อยิ่งได้ยินคำขอโทษ
จากปากของชายหนุ่มอีกครั้งหนึ่ง
“องค์ชายในศึกสงครามนี้ย่อมต้องมีการสูญเสียกันทั้งสองฝ่าย พระบิดาก็สมศักดิ์ศรีชายชาติทหารยิ่งนัก
แต่ก็ไม่อาจจะต้านรับมือกับหม่อมฉันได้เป็นธรรมดาพระเจ้าข้า”
“ แต่ข้าพระองค์ดีใจที่ท่านพระมหาอุปราชให้เกียรติแก่พระบิดาที่สิ้นพระชนม์ทำตามราชประเพณี
ทุกประการแล้วพระเจ้าข้า ฉะนั้นสิ่งฝังแน่นในพระหทัยของหม่อมฉันบัดนี้มิมีเหลือแล้วพระเจ้าข้า ส่วนพระองค์จะทรงโปรดพิจารณาอย่างไรหม่อมฉันตลอดจน
หม่อมแม่ยอมรับผลทุกๆประการจะไม่คิดอาฆาตแค้นสิ่งใดเลยพระเจ้าข้า” กล่าวพลางองค์ชายทรงทรุดกายลง
ถวายคาราวะแก่ชายหนุ่มทันที
ชายหนุ่มครั้นได้ฟังเช่นนั้นก็ทรงพระสรวลแล้วรีบพยุงร่างเจ้าชายมังสุริโยขึ้นมา แล้วพลางประกาศแก่เหล่า
อำมาตย์และทหารหาญแห่งเมืองตองอูว่า ต่อไปนี้ข้าจะขอแต่งตั้งองค์ชายขึ้นครองราชย์สมบัติแห่งเมืองตองอู
แทนพระเจ้าแผ่นดินองค์เดิม แต่ด้วยข้าเองไม่มีเวลาอันมากนักจึงจะทำการสวมมงกุฎขึ้นก่อนให้เสวยราชสมบัติ
แล้วพวกท่านก็หาฤกษ์งามยามดีฉลองขึ้นภายหลัง หากมาดแม้นว่าข้าคิดการสำเร็จและทันก็อาจจะมาร่วมใน
พระราชพิธีนี้ด้วย” พลางนำมงกุฎที่เขาได้นำไปวางไว้บนราชบัลลังก์ล่วงหน้าก่อนแล้ว นำมาสวมลงบนศีรษะ
ของมังสุริโยทันที พร้อมทั้งประกาศอีกว่าจะขอแต่งตั้งให้ท่านอำมาตย์ผู้เฒ่าคนนี้เป็นมหาอำมาตย์มาดแม้นจะ
ลุล่วงแก่พระเจ้ามังสุริโยก็ตาม พลางหันไปกล่าวแก่มังสุริโยว่า
“การที่หม่อมฉันลุล่วงเช่นนี้ด้วยมองเห็นว่าท่านอำมาตย์คนนี้เป็นคนซื่อสัตย์ยิ่งนักข้าเองให้ทหารของข้าไป
ตรวจยังบ้านท่านอำมาตย์ผู้นี้ ปกติผู้ที่มีหน้าที่ดูแลฝ่ายการคลังและส่วยนั้นที่ผ่านมามักจะร่ำรวยผิดปกติ แต่บ้าน
ของท่านอำมาตย์ผู้นี้กลับยากจนหาสิ่งของมิค่าใดไม่ หากไม่รีบจัดการเสียก่อนเมืองตองอูก็จะขาดคนที่มีความ
ซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินเยี่ยงอำมาตย์ผู้นี้ได้จึงเสียดายยิ่งนักพระเจ้าข้า”
กษัตริย์องค์ใหม่ครั้นได้ยินเช่นนั้นก็ถึงกับนึกในใจว่า ด้วยเหตุดังนี้ฤาถึงทำให้ท่านมหาอุปราชนี้สามารถ
ครองใจคนทั้งหลายได้มากมายเช่นนี้ เห็นเราจะต้องเรียนแบบอย่างบ้าง พลางน้อมกายลงทรงกล่าวขึ้นว่า
“หากนับด้วยศักดิ์ศรีแล้วข้าพระองค์นับเนื่องด้วยเป็นข้าแผ่นดินของศิระสุริยันต์เช่นกันเมื่อได้รับทรงโปรด
เช่นนี้ถือได้ว่าได้รับเกียรติอันสูงส่งพระเจ้าข้า”
“ส่วนด้านการทหารนั้นขอให้ท่านซึ่งเป็นกษัตริย์จัดการคัดเลือกเอาเองก็แล้วกัน อีกประการหนึ่งข้าเองก็จะ
ขอให้พระองค์ช่วยเหลือแก่ข้าบ้างพระเจ้าข้า” ชายหนุ่มกล่าว
“ทรงโปรดรับสั่งมาเถิดพระเจ้าข้า ว่าจะให้กระหม่อมทำประการใดบ้าง กระหม่อมก็พร้อมเสมอด้วยใจ
และกายแก่พระองค์จนหมดสิ้นแล้วพระเจ้าข้า” พระเจ้า มังสุริโยเอ่ยขึ้น
“ข้าเองเพียงต้องการทหารเข้าร่วมรบแก่พระองค์จำนวนหนึ่งเท่านั้นแหละพระเจ้าข้า” ชายหนุ่มกล่าว
“กระหม่อมจะจัดการรวบรวมไพร่พลฝีมือดีมอบให้ แต่ขอเวลาสักพักหนึ่งพระเจ้าข้า”
“ข้าเองว่าเมื่อทางนี้เรียบร้อยแล้วก็จะอยู่ไม่เกินสองสามวันแหละพระเจ้าข้า”
“หากเช่นนั้นข้าพระองค์ขอร่วมไปหาประสบการณ์กับพระองค์ด้วยได้ไหมพระเจ้าข้า”
“อย่าเลยท่านซึ่งเป็นกษัตริย์ก็จริงแต่ยังใหม่อยู่ขอให้ดำรงปกครองโดยทศพิธราชธรรมทำนุบำรุงเหล่า
ทหารและราษฎร์ให้ร่มเย็นเป็นสุขจัดเตรียมไพร่พลไว้ให้พร้อม ด้วยเราอาจจะต้องขออาศัยพึ่งพาท่านอีกใน
วันข้างหน้านะ” ชายหนุ่มกล่าว
“หากเป็นพระประสงค์ของพระองค์ข้าน้อยอยู่ทางนี้ก็จะถือปฏิบัตินับท่านเป็นเยี่ยงอย่างต่อไปพระเจ้าข้า”
พลางชายหนุ่มก็หันไปทางพระมเหสีพลางน้อมกายถวายความเคารพ พลางดำรัสว่า
“ ข้าพระพุทธเจ้าขอลากลับไปยังกองทัพ ส่วนทางด้านนี้ให้กษัตริย์สุริโยจัดการ ด้วยเวลามีไม่มากนัก
วันมะรืนนี้ก็ต้องออกเดินทางไปยังกรุงหงสาเพื่อทำงานบางประการ ฉะนั้นจึงขอทรงอภัยแก่หม่อมฉันด้วย
พระเจ้าข้า”
ครั้นมเหสีได้ฟังดังนั้นก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้พร้อมด้วยราชบุตรีเดินเข้ามาหา พระมเหสีทรงสวมกอดชายหนุ่ม
แล้วกล่าวว่า
“อย่าหาว่าข้าละลาบละล้วงเลยนะพระองค์ ข้าถือเสมือนหนึ่งพระองค์ทรงเป็นราชบุตรของข้าการครั้งนี้
ทำให้ข้ารู้สึกปลาบปลื้มยิ่งนัก ถึงแม้จะเสียพระสวามีไปในสงครามก็นับเป็นเรื่องของลูกผู้ชาย จึงใคร่จะขอมอบ
เจ้าหญิงสององค์ให้เป็นข้ารับใช้เบื้องพระยุคลบาทแก่พระมหาอุปราช ขออย่าได้ปฏิเสธโปรดเห็นใจข้าด้วยนะ
อนึ่งอย่าคิดว่าราชธิดาสององค์นี้ล้วนแล้วมีฝีมือในการสู้รบไม่แตกต่างจากชายนักหรอกนะ” พระมเหสีทรงเอ่ย
ครั้นชายหนุ่มได้ยินก็ถึงกับสะดุ้งตกใจ แต่ได้ยินกษัตริย์มังสุริโยเอ่ยว่า
“ขอพระองค์ทรงรับไว้เถิดเพื่อภายภาคหน้าเราได้เป็นทองแผ่นเดียวกันต่อไปในอนาคตกาล เสด็จแม่
ยากนักและรักพระธิดาทั้งสองมาก มีเมืองอื่นๆมาขอก็ยังไม่ยินยอมต้องเถียงกับเสด็จพ่อเนืองๆ ข้าเองก็ยัง
นึกแปลกใจเหตุใดเสด็จแม่ถึงทรงดำรัสเช่นนี้ น้อยครั้งนักจะทรงดำรัสพระเจ้าข้า”
ดังนั้นชายหนุ่มมิอาจจะปฏิเสธด้วยมองไปทางไกลว่าการเข้าตีเมืองมะละแหม่งรัฐมอญนั้นหากได้เมือง
ตองอูช่วยด้วยถือเป็นวงศานุวงศ์ด้วยแล้วก็จะง่ายยิ่งขึ้นเพราะทางเมืองตองอูก็เชี่ยวชาญทางน้ำก็สามารถตี
กระหนาบข้างเมืองมะละแหม่งก็อาจจะได้มาโดยง่าย ระหว่างทางเมืองหงสาและเมืองซิตเวนั้นก็ระยะทาง
ไกลนัก หากได้แคว้นตองอูร่วมการรวมแผ่นดินครั้งนี้ก็จะบรรลุสมความปรารถนา เหลือแต่เมืองอิสราวดี
ก็ยากจะพ้นเงื้อมมือเราไปได้ เมื่อคิดเช่นนั้นก็ทรงทรงร่างเข้าไปน้อมกราบที่พระมเหสีเมืองตองอูทันที
“ข้าพระองค์มิอาจล่วงเกินต่อพระหฤทัยของพระแม่เจ้าได้หรอก หากการใดผิดพลาดไปขอให้พระแม่
เจ้าจงอภัยแก่ข้าน้อยด้วยเถิดพระเจ้าข้า” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น
สร้างความดีใจแก่องค์พระมเหสีและพระราชธิดาทั้งสองยิ่งนัก ด้วยความองอาจท่าทางใบหน้าล้วน
แล้วสง่างามยากหาบุรุษใดเทียมเทียบได้ ก็ทรงเขินเอียงอายตามวิสัยหญิง ครั้นมเหสีเห็นท่านมหาอุปราช
ไม่ทรงปฏิเสธยินยอมเป็นทองแผ่นเดียวกันก็ทรงพระเกษมพระหฤทัยยิ่งนัก เรียกพระธิดาทั้งสองให้ไปน้อม
ถวายฝากตัวแก่พระมหาอุปราชทันที เจ้าหญิงเรวดีอรทัยและเจ้าหญิงกัลยาเทวี ก็น้อมพระวรกายถวายความ
เคารพแก่ท่านมหาอุปราชทันที พระมเหสีก็ทรงกำชับพระธิดาให้ไปเตรียมตัวออกเดินทางร่วมกับท่านมหา
อุปราชทันที
ครั้นเมื่อจัดการทางนี้เรียบร้อยแล้วชายหนุ่มพร้อมทหารทั้งปวงก็ออกจากเมือง กษัตริย์สุริโยมาส่งถึงประตู
เมืองพร้อมมอบทหารส่วนหนึ่งให้แก่ท่านมาอุปราชทันทีราวสองหมื่นกว่าคนพร้อมม้าอาวุธเสบียงเพียบพร้อม
ส่วนพระธิดาทั้งสองก็แต่งกายเป็นทหารมือถืออาวุธดาบคู่กายสพายด้วยคันธนูและลูกธนูท่าทางทะมัดทะแมง
ยิ่งนัก นางจันทิราถึงกับอึ้งเมื่อขณะที่ยืนเคียงข้างอยู่กับชายหนุ่มแต่ก็มิได้กล่าวประการใดด้วยเชื่อมันในความ
คิดอ่านของชายหนุ่มยิ่งนัก ดังนั้นในค่ายทหารจึงมีหญิงถึงสามคนหากรวมแม่นางพรายก็รวมเป็นห้าคน แต่วิสัย
อิสตรีย่อมมีความหึงหวงแต่พอได้สนทนาปราศรัยกันก็สามารถเข้าใจกันได้ จึงไม่สร้างความหนักใจแก่ชายหนุ่ม
มากนัก
เมื่อเดินทางมาได้ระยะหนึ่ง ชายหนุ่มจึงเรียกแม่ทัพนายกองทั้งหมดนำแผนที่มาชี้แจง โดยแบ่งกำลังออกเป็น
สองทางแยกกันเข้าโจมตีเมืองหงสาต่อไป อันเมืองหงสานี้อาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลนักถึงแม้ว่าจะพึ่งก่อตั้ง
ก็ตาม ดังนั้นชายหนุ่มจึงต้องคำนวณเวลาและเป้าหมายการโจมตีครั้งเดียวให้ได้เมืองหงสาทันที เมื่อใช้เวลาเดิน
ทางผ่านไปสองอาทิตย์กว่าๆก็ถึงเมืองหงสา ทางเมืองหงสาก็รู้ตัวจัดเตรียมไพร่พล ออกมาสู้รบแต่ก็พ่ายแพ้แก่
เหล่าทหารของมหาอุปราช
ในการสู้รบครั้งนี้แม่นางทั้งสามต่างแสดงฝีมือการรบพุ่งสามารถเข่นฆ่าบรรดานายกองทั้งหลายล้มตายไป
จนถึงกำแพงเมือง พวกทหารหงสาหนีกลับเมืองไปแล้วจึงถอยทัพกลับคืนมายังหน่วยทหารเล่าความทั้งหลาย
ให้ชายหนุ่มฟัง ทหารเมืองหงสาก็หาความท้อถอยส่งเหล่าทหารฝีมือดีเข้ามาตีอีกหลายๆครั้งเสียไพร่พลไปเป็น
จำนวนมากต่างพ่ายแพ้ทุกๆครั้ง เจ้าเมืองหงสาคือหม่องโดยอพญาก็ให้ทหารทั้งหมดป้องกันเมืองอย่างเข้มงวด
กวดขัน สร้างสิ่งกีดขวางตลอดแนวทางรอบล้อมเมืองป้องกันไว้ในเวลากลางคืน
เมื่อชายหนุ่มยกทัพมาถึงก็พบสิ่งกีดขวางดังนั้นจึงให้บรรดาแม่ทัพนายกองนำแท่งไฟออกมาปาใส่ไปยัง
สิ่งกีดขวางเหล่านั้นทันที เสียงระเบิดดังสนั่นลั่นไปถึงในเมือง สิ่งกีดขวางก็ถูกทำลายเสียสิ้นจึงนำทหารบุกเข้า
โจมตีเมืองหงสาทันที แต่ไม่สามารถตีฝ่ากำแพงเมืองเข้าไปได้ต้องสั่งให้ถอยทัพมา อาวุธใหญ่ที่ใช้ทำลายกำแพง
ก็เหลือน้อยลง หากใช้แล้วไม่สามารถทำลายประตูเมืองได้เห็นทีจะตีหงสาไม่แตกแน่นอน จึงกลับเข้าค่ายมาพักผ่อน คิดหาหนทางรำพึงว่าจะทำอย่างไรในการศึกครั้งนี้
นางพรายทั้งสองก็ออกมาบอกว่าท่านจะร้อนรนประการใดเล่าในเมื่อของวิเศษกระบองนาคราชนั้นท่านยัง
ไม่ได้เคยนำมาใช้เลย หากจนปัญญาเช่นนี้เห็นต้องนำมาใช้แล้ว ให้นำออกมาใช้การณ์ครั้งนี้คงสำเร็จเป็นแน่แท้
ครั้นชายหนุ่มได้รับฟังแม่นางพรายทั้งสองก็ให้นึกได้ด้วยบัดนี้เขาลืมไปว่ายังมีอาวุธวิเศษอยู่ จึงกล่าวคำ
ขอบใจแก่แม่นางพรายทั้งสอง วันรุ่งขึ้นจึงให้ทหารยิงอาวุธใหญ่ใส่ประตูเมืองทันที แต่ประตูเมืองหงสานั้น
แข็งแกร่งนัก ยิงไปถึงสามลูกก็ไม่สามารถทำให้ประตูทลายลงไปได้ ชายหนุ่มจึงเปลี่ยนแผนใหม่ให้ยิงเข้าไป
ในเมืองเพื่อสร้างความโกลาหลแก่ชาวเมือง อันเมืองหงสากว้างใหญ่มากนัก เกินกว่าอาวุธจะทำลายได้หมด
ด้วยหากตีเมืองหงสาไม่ได้ก็ไม่สามารถยึดครองเมืองซิตเวได้แน่แล้วด้วยต้องใช้เวลานาน อันอาจะทำให้
ทหารที่รอคอยเสียขวัญได้ ดังนั้นจึงนำกระบองนาคราชออกมาแล้วร่ายพระเวทย์ของท่านพญานาคมอบไว้
ให้พลางโยนกระบองนาคราชไปในอากาศทันที บัดดลกระบองนาคราชก็ขยายใหญ่พุ่งทะยานเข้าใส่ยังประตู
เมืองหงสา พลันประตูเมืองหงสาก็ล้มทลายลง กระบองนาคราชก็แยกร่างเป็นชิ้นเล็กๆเข้าทำลายทหารบน
เชิงเทินกำแพงเมืองตายเสียมากมาย บ้างหนีได้ก็รอดแต่ส่วนใหญ่แล้วสิ้นชีพไป.............
* แก้วประเสริฐ. *
10 มีนาคม 2553 20:51 น.
แก้วประเสริฐ
ลุ่มลึกอิสราวดี 44
“ เราอย่าได้ประมาทจงฝึกทหารและพวกยาพิษทั้งหลายไว้ให้มากๆเพื่อป้องกันมันย้อนหวนกลับมาอีก
หากเป็นกลศึกของมัน”
มังตเวสีหะกล่าวขึ้นแล้วก็ให้จัดทำอาหารต่างๆมาฉลองแก่อำมาตย์และแม่ทัพนายกอง
ทั้งหลายทันที ตลอดการฟ้อนรำต่างๆ บรรดาชาวเมืองครั้นทราบว่าทหารที่มาเรียงรายด้านล่างเขานั้นได้ถอยทัพ
ไปหมดสิ้นแล้ว ต่างก็โห่ร้องร่าเริงพากันฉลองเป็นที่ครึกครื้นกันยิ่ง
ฝ่ายแม่ทัพใหญ่ของศิระสุริยันต์อันมังสุรเดชเดชาและเหมี่ยวสุรการก็ยกทหารทั้งหมดแยกตัวตามทางที่
แผนที่กำหนดยกเข้าโอบล้อมตีเมือง กังสีขะอันเป็นเมืองติดกับเมืองซิตะเวเป็นเมืองไม่ใหญ่นักก็สั่งทหารเข้า
โจมตีทันทีโดยไม่ให้ตั้งตัว ด้วยเจ้าเมืองคิดว่าทหารของศิระสุริยันต์คงจะเกรงกลัวเจ้าเมืองซิตเวไม่กล้ามา
รุกรานแว่นแคว้นของเมืองยะไข่เป็นแน่จึงตกอยู่ในความประมาท เพียงแค่ชั่วเวลาไม่เกินวัน มังสุรเดชเดชา
กับเหมี่ยวสุรการก็สามารถเข้าเมืองได้แต่สังหารเจ้าเมืองกับอำมาตย์แม่ทัพบางนายเสีย แล้วแต่งตั้งผู้ที่ยินยอม
ตกอยุ่ภายใต้อำนาจของตน ให้ขึ้นครองแถมยังได้ทหารของเมืองกังสีขะอีกประมาณหมื่นคนร่วมทัพด้วยก็รีบ
ออกเดินทางเข้าดินแดนกุละอันเป็นแหล่งเพาะปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารส่งให้เมืองกังสีขะนำส่งแต่เป็นเมือง
เล็กๆก็ไม่อาจต้านทานทัพได้ จึงเสียเมืองภายในครึ่งวัน มังสุระเดชเดชาก็ทำตามคำสั่งของท่านมหาอุปราช
ทันทีครั้นจัดการเมืองเรียบร้อยแล้วนำกำลังของเมืองนี้น้อยนิดไปด้วยกลายเป็นกองกำลังใหญ่ขึ้นตามลำดับ
ยกพลเดินหน้า ตีเมือง ยะมุกา กะหะ ยุกะวะ กังกิงอไว้อยู่ภายใต้อำนาจจึงสั่งทหารให้หยุดพักทัพไว้เพื่อให้
เหล่าทหารได้พักผ่อนแต่กำชับห้ามเหล่าทหารแม้แต่ทหารเมืองต่างๆห้ามยุ่งเกี่ยวกับราษฎร์เกี่ยวกับหญิงโดย
เด็ดขาด และพยายามให้เข้ากับราษฎร์ให้ได้มากขึ้น ซึ่งเหล่าทหารซึ่งรักใคร่เป็นหนึ่งเดียวก็หาได้ขัดคำสั่งใดไม่
ทางด้านแม่ทัพใหญ่ มังนายะเดชะกับมุสะกะยะ ครั้นล้อมเมืองมะละแหม่งแล้ว
ครั้นได้เวลาสมควรก็ถอนทัพนำกำลังทัพทั้งหมดเข้าตีเมืองเล็กเมืองน้อย โดยยกกองทัพตีเมือง กะเวตะ ยินมะ
กังสุการ ยะกังวะ ได้ทหารเมืองต่างๆเข้าร่วมรบและปฏิบัติตามคำสั่งท่านมหาอุปราชทันที บางเมือง
ก็ยินยอมอ่อนน้อมต่อกองทัพของมังนายะเดชะ ส่วนเมืองได้ขัดขืนก็ถูกฆ่าตายหมดสิ้น เมื่อได้กำลังพลของ
เมืองต่างๆอันมากมายนัก
ก็รีบเดินทัพเข้ารวมกับทัพของท่านแม่ทัพมังสุรเดชเดชะทันที เมื่อทั้งสองกองทัพพบกันก็ต่างหัวร่อยินดี
และต่างแจ้งว่าได้ทหารจากแว่นแคว้นยะไข่ไว้ในการศึกอีกจำนวนมากต่างเลี้ยงฉลองชัยชนะร่วมกันว่าตอน
นี้เหล่าทหารเรานั้นมีขวัญกำลังใจดีเยี่ยม อย่าเสียเวลาเลยให้รีบยกทัพไปประชิดเมืองยะไข่พร้อมทั้งเข้าพบ
ท่านที่ปรึกษาใหญ่ขอความคิดเห็นซึ่งต่างก็ตรงกัน ดังนั้นทัพใหญ่ทั้งหมดก็เคลื่อนพลเข้ารายล้อมเมืองยะไข่
ทางด้านเมืองยะไข่นั้นครั้นทราบว่าแว่นแคว้นที่ส่งเสบียงอาหารมาให้เมืองตนที่อยู่บนเขานั้นกำลังถูกโจมตี
ก็รีบส่งทหารหลายหมื่นเข้าไปเพื่อช่วยเหลือแว่นแคว้นต่างๆทันที แต่ในระหว่างทางนั้นกลับถูกทหารของฝ่าย
ศิระสุริยันต์ซึ่งซุ่มรอคอยอยู่ก่อนแล้วก็เข้าโจมตีขาดกลาง แล้วถูกแบ่งออกเป็นสองถูกทหารของศิระสุริยันต์อัน
เป็นทหารของเมืองหล่อยก่อเมืองปะอานเป็นหลักก็สามารถทำลายกองทัพเมืองยะไข่ไปหมดสิ้นแม้จะมีอาวุธ
ที่เป็นพิษแต่ทางเมืองหล่อยก่อและเมืองปะอานซึ่งก็ชำนาญเรื่องยาพิษอยู่แล้วแก้ไขได้ ทำให้ทหารเล็ดรอดไป
ได้เพียงเล็กน้อยเข้ารายงานแก่เจ้าเมืองซิตเวทันที
ฝ่ายเจ้าเมืองซิตเว มังตะเวสีหะก็ให้ตกใจยิ่งนักระดมทหารเข้าปกป้องเมืองทันทีสั่งแม่ทัพนายกองให้ระดม
ชาวเมืองซิตเวมาทำการฝึกใหม่ทดแทนทหารเก่าที่เสียชีวิตไปในศึกครั้งนี้ ลาดตะเวนตลอดเวลามิได้ขาด แต่
ปรากฏว่ามื่อได้รับรายงานจากทหารหน่วยสอดแนมแจ้งว่า บัดนี้มีทัพใหญ่ไพร่พลมากมายมารายล้อมเมืองไว้
ทั้งทางด้านบนภูเขาและทางด้านท้องทุ่งไว้ทุกๆด้านแล้วแต่หาได้ทำการโจมตีแต่อย่างใดไม่
ทำให้มังตะเวสีหะหักลัดกลุ้มยิ่งนัก หากเป็นเช่นนี้นานๆเข้าทางเมืองเราซึ่งไม่สามารถเพาะปลูกพืชพันธุ์ได้
ถึงมีก็เพียงเล็กน้อยตามไหล่เขาเท่านั้น บัดนี้ได้ถูกฝ่ายข้าศึกยึดไปหมดสิ้นแล้วหากนานๆเข้าบรรดาเสบียงอาหาร
ที่ใช้เลี้ยงดูทหารและราษฎร์ก็จะขาดแคลนลง บ้านเมืองเกิดการปั่นป่วนภายในขึ้น จึงประชุมฝ่ายอำมาตย์และ
แม่ทัพนายกองทั้งปวง หากทางที่จะช่วยเหลือราษฎร์และทำประการใดดี
แต่บรรดาอำมาตย์และทหารนั้นก็จนปัญญาต่างมองหน้ากันไปมาทั้งสิ้นหาคำตอบมิได้ ยิ่งทำให้
เจ้าเมืองซิตเวถึงกับท้อแท้ใจ ครั้นจะยอมสยบแก่ข้าศึกเพื่อขจัดปัญหาเหล่านี้ แต่ก็ได้รับการต้านทานจาก
เหล่าอำมาตย์และแม่ทัพใหญ่ของเมืองซิตเวไปเสียสิ้นว่า ถึงแม้ว่าเราจะถูกล้อมแต่ชัยภูมิมั่นคงนักฝ่ายข้าศึก
ยากที่จะเข้าโจมตีเราได้ ด้วยระยะนี้กำลังใกล้หน้าฝนหากฝนตกลงมาไข้ป่าและสัตว์พิษต่างๆก็จะเข้าไปหา
พวกกองทัพยากจะแก้ไขพวกสัตว์พิษทั้งหลายได้ ควรรอไปสักพักก่อนหากจวนตัวจริงๆถึงจะยอมอ่อนน้อม
เจ้าเมืองซิตเวครั้นได้รับฟังมีเหตุผลเช่นนี้ก็ตามใจเหล่ามหาอำมาตย์แม่ทัพนายกองแต่กำชับให้ระวังไว้ด้วย
ด้านชายหนุ่มหลังจากแยกทางกับกองทัพทั้งหลายแล้วก็นำทหารต่อแพข้ามไปยังฝั่งด้านเมืองตองอูซึ่ง
อยู่ห่างไกลจากตัวเมือง ลัดเลาะไปตามทางแผนที่ที่ท่านปรึกษามอบไว้ให้ทันที ครั้นพบเหล่าทหารของเมือง
ฮะคาที่แยกย้ายกันอยู่ แม่ทัพที่ควบคุมทหารเมืองฮะคาจำชายหนุ่มได้ดีก็รีบเข้ามาคาราวะพร้อมทูลขึ้นว่า
“ข้าพุทธเจ้า มังกะยอสินธู เป็นแม่ทัพนำเหล่าทหารจำนวนหมื่นกว่าคนแยกย้ายกันอาศัยอยู่ตามที่ต่างๆบัดนี้
หม่อมฉันได้ส่งสัญาณแจ้งให้มารวมพลกันแล้วพระเจ้าข้า”
“ข้าเองก็นำเหล่าทหารชาญศึกมาประมาณห้าร้อยคนแต่คิดว่าสามารถโจมตีเมืองตองอูได้ ด้วยความชะล่าใจ
ว่าทางเราไม่ได้มุ่งหมายจะยึดเมืองนี้ไว้ด้วยต้องข้ามน้ำมาซึ่งกว้างย่อมไม่คิดว่าเราจะอ้อมหลีกเลี่ยงมาด้านเขา
ฉะนั้นขอให้เจ้าสั่งหน่วยทหารอย่าได้ส่งเสียงอึกกระทึกมากมายนักยิ่งเงียบได้เท่าไหร่ก็ยิ่งดี ด้วยภายในเมือง
ข้าเองได้จัดส่งทหารปลอมตัวเป็นพวกพ่อค้าสุ่มกำลังพลไว้มากแล้ว” ชายหนุ่มกล่าว
“พระยะค่ะ เกล้ากระหม่อมจะปฏิบัติโดยเคร่งครัดแก่เหล่าทหารทั้งปวงพระเจ้าข้า”
“ดีแล้วท่านแม่ทัพ ใช้เวลากลางคืนเป็นช่วงการเดินทางส่วนกลางวันให้เหล่าทหารพักผ่อนจนกว่าจะถึง
เมืองตองอูด้วยล่ะ”
“พระเจ้าข้า ถ้าอย่างนั้นจะมีอะไรรับสั่งอีกไหมพระเจ้าข้า หากไม่มีกระหม่อมจะไปตระเตรียมการไว้”
“ไม่มีแล้วท่านแม่ทัพ ไปกำชับทหารให้เตรียมพร้อม ทั้งจัดหน่วยสอดแนมตระเวนรอบที่พักไว้ด้วยหาก
มีสิ่งใดผิดปกติให้รีบมารายงานด่วน”
“พระเจ้าข้า”
ครั้นแม่ทัพมังกะยอสินธูกลับไปแล้ว ชายหนุ่มจึงหันไปทางแม่นางจันทิราซึ่งแต่งเครื่องแบบทหารยืนม้าเคียง
ข้างอยู่สั่งนางทันที
“กลางคืนนี้ให้แม่นางพร้อมกับแม่นางพรายทั้งสองช่วยตระเวนไพร่พลพวกเราด้วยเราอยู่ท่ามกลางอันตราย
ไว้วางสิ่งใดมิได้หรอก”
ทันใดนั้นเสียงกระซิบแม่นางพรายแจ้งว่าไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนี้ ให้เป็นหน้าที่ของน้องเองเถอะ ส่วนแม่นาง
จันทิราให้พักผ่อนให้เต็มที่ได้
“ไม่ต้องแล้วน้องจันทิรา เมื่อกี้นี้พี่เจ้าแจ้งมาให้พี่ทราบแล้วว่าให้น้องไปพักผ่อนได้ เป็นหน้าที่ของพี่เจ้า
ทั้งสองจะรับผิดชอบเอง แต่อย่าให้ทหารทั้งหลายจับพิรุธว่าน้องเป็นหญิงนะ” ชายหนุ่มกล่าว
“เจ้าข้าแต่ว่า???....น้องจะขออาศัยนอนในเต็นท์ร่วมกับท่านพี่จะได้หรือไม่เล่าท่านพี่”
“หากเป็นความประสงค์ของน้อง พี่เองก็ไม่ขัดข้อง แต่ทว่าสร้างความลำบากแก่น้องหน่อยนะ”
“ไม่เป็นไรหรอกท่านพี่ น้องมีขนทองขนขาวเป็นเพื่อนแล้ว จะได้ช่วยเหลือในยามกะทันหัน อย่าคิดว่า
น้องเป็นหญิง แต่ผ่านการรบศึกมานับไม่ถ้วนกับพวกผู้ชายมาแล้วนะ” นางอดอวดแก่ชายหนุ่มเสียมิได้
“หรือถ้าอย่างนั้นยิ่งทำให้พี่หมดความกังวลไปจ๊ะ” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น
“เรารีบนำทหารออกเดินทางไปเถอะ ครั้นใกล้ค่ำจะได้หาทำเลที่พักหน่วยทหารได้ อ้อ???...เมื่อกี้นี้พี่
ลืมแจ้งแก่แม่ทัพว่าการเคลื่อนพลของพวกเรานั้นอย่าได้รวมตัวให้แยกออกเป็นกลุ่มๆ หากกลุ่มใดได้รับภัย
ก็รีบส่งสัญญาณแจ้งเพื่อจะได้มาช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ขอน้องเราจงไปรายงานให้ท่านแม่ทัพทราบด้วยนะ”
“จ๊ะท่านพี่น้องจะไปเดี๋ยวนี้แหละ”
ดังนั้นหญิงสาวก็รีบไปแจ้งแก่แม่ทัพมังกะยะสินธูทันที ดังนั้นบรรดาทัพของฮะคาก็แบ่งกำลังออกเป็นหน่วยๆ
ทิ้งระยะห่างกันไม่มากนัก กลางวันพักผ่อนกลางคืนออกเดินทางอาศัยแสงแห่งไข่มุกของชายหนุ่มที่แบ่งให้
หน่วยต่างๆใช้เป็นแสงสว่างนำทางแทนคบไฟ ซึ่งอาจเป็นที่สงสัยแก่ทหารตองอูที่ลาดตระเวนอยู่ได้ ในไม่ช้านัก
ทหารทั้งหมดก็เข้ารายล้อมเมืองตองอู ส่วนบรรดาพ่อค้าที่นำอาวุธมาส่งนั้นบรรดาลูกเรือต่างก็เป็นทหารฮะคา
ทั้งหมดรวมกับลูกเรือด้วย เมื่อส่งอาวุธเสร็จพวกพ่อค้าก็แกล้งทำเป็นซื้อสิ่งของล่าช้าคอยเวลาอยู่
ครั้นเที่ยงคืนเมื่อพร้อมเสร็จเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มก็ให้นำอาวุธใหญ่ออกมาแล้วสั่งยิงที่ประตูเมืองทันที
เสียงดังหวีดหวิวลอยเหนือท้องฟ้าพุ่งมายังเมืองตองอู เหล่าหน่วยทหารที่รักษาการณ์เชิงเมืองต่างจ้องมองดูด้วย
ความประหลาดใจ ด้วยปลายของอาวุธนั้นเป็นลำแสงสวยงามยิ่งนักนึกว่าดาวตกมายังเมืองต่างชี้ชวนกันมุงดูกัน
ส่งเสียงเฮฮากันลั่น มิคิดว่าเป็นอาวุธร้ายด้วยไม่เคยเห็นมาก่อน ครั้นลำแสงนั้นพุ่งลอยลงมายังประตูเมืองก็พลัน
เกิดระเบิดขึ้นสนั่นหวั่นไหวทำให้ประตูเมืองทะลายลงทันที อีกหลายลูกก็พุ่งเข้าไปภายในเมืองและระเบิด
ตามบ้านช่องร้านค้า บางลูกล่วงเข้าใส่ยังราชวังของเจ้าเมืองแล้วระเบิดสร้างความตื่นตระหนกตกใจไปตามๆกัน
แต่เจ้าเมืองมังสุรินทราหาได้คิดว่าถูกข้าศึกโจมตีไม่ กลับคิดว่าเป็นดาวตกลงมานั่นเอง ฉับพลันก็ได้ยินเสียงกลองศึกตีขึ้น บรรดาเหล่าทหารม้าของชายหนุ่มสามร้อยกว่านายก็ฝ่าทะยานเข้ามาในเมืองตรงไปยังวังทันที
ด้วยทหารฝ่ายทางตองอูไม่ทันตั้งตัวด้วยไม่คิดว่าจะมีข้าศึกโจมตี
ชายหนุ่มที่ควบเจ้าสีเทานำหน้าทหารม้าก็เข้าสู้ตีฝ่าทหารองครักษ์ที่ต่างชุลมุนกันไปทั่วต่างถูกฆ่าเสียเป็น
ส่วนมาก ส่วนบรรดาแม่ทัพนายกองทหารเมืองตองอูกว่าจะรู้ตัวเพราะเป็นเวลาเที่ยงคืนและไม่มีวี่แววว่าจะมี
ข้าศึกโจมตี บางคนยังแต่งตัวไม่เสร็จก็รีบออกมา บ้างแต่งตัวได้เพียงครึ่งท่อนเท่านั้นต่างก็ถูกทหารฝ่ายฮะคา
ทั้งทางบกทางน้ำเข้าควบคุมตัวไว้หมดสิ้น รวมถึงบรรดาอำมาตย์ข้าราชบริพารทั้งหลาย
ส่วนเจ้าเมืองตองอูครั้นเห็นชายหนุ่มเข้ามาถึงก็เข้าต่อต่อสู้กับชายหนุ่มทันทีต่างฝ่ายต่างปะดาบกันเพียง
แค่สองสามครั้งดาบของเจ้าเมืองตองอูก็ขาดสะบั้นหาได้สู้คมดาบของชายหนุ่มได้ไม่คมดาบได้ฟันไปยังร่าง
ของเจ้าเมืองขาดออกเป็นสองท่อนทันที ครั้นบรรดาเหล่าทหารองครักษ์เห็นดังนั้นต่างก็ร้องบอกออกไปทั่วๆ
ว่าเจ้าเมืองตองอูสิ้นพระชนม์ชีพแล้ว พากันวางอาวุธลงยอมพ่ายแพ้โดยดี
ที่ภายนอกราชวังการต่อสู้ระหว่างแม่ทัพใหญ่เมืองตองอูกับแม่ทัพแห่งเมืองฮะคาต่างต่อสู้กันเป็นพัลวันใน
ที่สุด มังกะยอสินธูก็สามารถตัดหัวแม่ทัพใหญ่ได้สงครามก็สิ้นสุดลง เหล่าทหารตองอูที่ใช้อาวุธของเมืองฮะคา
บรรดาดาบก็หักสะบั้นด้วยแผนการเจ้าเมืองฮะคาวางเล่ห์การสร้างดาบไว้ จึงถูกฆ่าตายเป็นจำนวนมาก ครั้นได้
ยินทหารร้องบอกว่าแม่ทัพใหญ่ และรองแม่ทัพนายกองทั้งหลายตกตายหมดสิ้นแล้ว ก็ต่างวางอาวุธยอมแพ้ทันที
เมืองตองอูก็ตกอยู่ในอำนาจของชายหนุ่มไปหมดสิ้น ครั้นรุ่งเช้าการรบพุ่งได้สิ้นสุดลงชายหนุ่มก็ให้ทหาร
ทั้งหลายเพื่อไปจับกุมเหล่าอำมาตย์มา แต่ไม่ทันสั่งการทหารก็ควบคุมเหล่าอำมาตย์เดินเข้ามาแล้วซึ่งยังแต่ง
ตัวไม่เรียบร้อยก็มี แต่ท่านมหาอำมาตย์ของเมืองตองอูได้ฆ่าตัวตายไปเสียก่อนที่จะถูกจับกุม แล้วชายหนุ่มสั่ง
ทหารทั้งหลายได้พากันไปปลอบขวัญกำลังใจแก่ราษฎร์ชาวเมืองตองอู ตลอดจนบรรดาสานุวงศ์ทั้งหลายไม่
ต้องหวั่นเกรงภัยทั้งสิ้น ด้วยพระมหาอุปราชสั่งการนี้ไว้ ทำให้เหล่ามเหสีองค์หญิงองค์ชายต่างๆ
และเหล่าสนมที่ขวัญเสียต่างสงบลง และพร้อมใจกันเข้าเฝ้าท่านมหาอุปราช
ครั้นแลเห็นเป็นชายหนุ่มมิได้แก่เฒ่าแต่ประการใดก็ให้บังเกิดความสนใจแปลกใจ
เหตุไฉนใยจึงเก่งกล้าสามารถยิ่งนัก พลางเข้าถวายพระพรแก่ชายหนุ่มทันที
เมื่อชายหนุ่มทราบก็หาได้รังเกียจใดไม่ ก็ให้นั่งยังที่เคยนั่งอันเหมาะสมตามตำแหน่งดั่งเดิม
การครั้งนี้ชายหนุ่มให้นึกชมเชยแม่นางจันทิรายิ่งนัก แม้นหล่อนจะเป็นหญิงก็จริงแต่ยามเข้ารบกับแม่ทัพ
นายกองต่างๆกับเชี่ยวชาญกล้าหาญยิ่งนัก สามารถฆ่าแม่ทัพนายกองลงเสีย ไม่มีผู้ใดต้านทานได้สักแม้คนเดียว
ทำให้ชายหนุ่มถึงกับทึ่งในความสามารถไม่คิดว่า ร่างอรชรอ้อนแอ้นเช่นนี้แต่พละกำลังกับมากมาย ส่วนเจ้า
ลิงทั้งสองมันฆ่าเหล่าทหารด้วยอาวุธคู่กายกระบองแก้วกระบองมหากาฬ จากม้านี้ไปม้าโน้นทำลายไปมากมาย
จนข้าศึกบางคนถึงกับวิ่งหนีมัน
ครั้นเมื่อบรรดาอำมาตย์นายกองบางคนมาถึงที่เบื้องหน้าชายหนุ่มแล้ว ชายหนุ่มพลันหวนคิดถึงสงคราม
ที่จะต้องใช้กำลังรบของพวกตองอูในการรบพุ่งกับแคว้นมอญในคราวต่อไป จึงเข้าไปแก้มัดบรรดาอำมาตย์
และนายกองส่วนคนอื่นๆก็ให้ทหารต่างช่วยแก้มัดหมด บางกล่าวกลับชายชราที่เป็นอำมาตย์ด้วยความนอบ
น้อมหาได้ล่วงก้าวร้าวแต่อย่างใดไม่..................
* แก้วประเสริฐ.
10 มีนาคม 2553 14:50 น.
แก้วประเสริฐ
ลุ่มลึกอิสราวดี 43
แม่นางพรายทั้งสองหันมามองหน้ากัน แล้วพลางหัวร่อกันเบาๆพรายประกายเขียวก็พลันตอบ
“โอ้!!!!....แม่นางจันทิรานั้นหาใช่คนขี้เหร่ก็หาไม่นี่เจ้าค่ะ สวยออกอย่างนี้ ท่านพี่ก็หล่อเหลา
นักมีหรือจะไม่ใหลหลง” แล้วนางก็ส่งเสียงหัวร่อดังๆอีก
“ใช่แล้วเจ้าค่ะท่านพี่ น้องประกายเขียวตอบถูกต้อง น้องเองก็คิดเหมือนกันว่าท่านพี่คงจะไหล
หลงและหลงใหลแม่นางไปแล้วกระมัง” นางพรายประกายแดงก็หัวร่อต่อกระซิกกัน ทำให้ชายหนุ่ม
ถึงกับอ้ำอึ้งๆไปทีเดียว
“หากเปรียบความสวยแล้วพี่เองว่าสู้น้องพี่ทั้งสองไม่ได้หรอกจ้า ทั้งสวยทั้งเก่งกาจอะไรปานนั้นหาก
พี่จะหลงใหลก็คงจะเป็นน้องทั้งสองนี่แหละจ้า” ชายหนุ่มย้อนกลับ
คราวนี้เล่นเอาเสียงหัวร่อหยุดชะงักไปทันที ทั้งสองต่างหน้าแดง
“เป็นความจริงหรือเจ้าค่ะท่านพี่” ทั้งสองกล่าวเสียงเกือบพร้อมๆกันแต่ใบหน้ากับแดงด้วยความอาย
ตามวิสัยของสตรีที่ถูกชายหนุ่มที่สนใจมาชมต่อหน้าเช่นนี้
“แต่น้องหามีตัวตนไม่ปราศจากเนื้อหนังมังสา ใยเล่าท่านพี่จะสนใจเจ้าค่ะ” นางพรายเลี่ยงตอบ
“อันคนเรานั้นหากชอบพอกันแล้วถึงปราศจากร่างกายที่ประกอบด้วยเนื้อหนังมังสาก็หาไม่หรอกน้อง
สิ่งที่ชอบเช่นพี่นี้หากแม้นไม่มีสิ่งดังกล่าว ลองชอบแล้วก็คือชอบจ๊ะ เช่นน้องทั้งสองของพี่เป็นต้น”
ชายหนุ่มย้อนกลับคืนทันใด
คราวนี้ทำเอาแม่นางพรายทั้งสองกลับหน้าแดงกล่ำไปกว่าเดิมเสียอีก ครั้นได้ยินชายหนุ่มที่นางพึงต้องใจ
กล่าวขึ้นอีกก็ยิ่งทำให้นางคิดพลางหาทางหลีกเลี่ยงทันที
“จริงๆนะหากมาดแม้นว่าให้พี่เลือกได้แล้วล่ะ พี่คงจะเลือกน้องทั้งสองนี่แหละจ้าที่คอยปรนนิบัติดูแลพี่
ตลอดมาด้วยความทุกข์ยากแสนเข็ญที่ผ่านมาจ๊ะ” ชายหนุ่มเอ่ยเย้าขึ้นอีก
“เอาล่ะจ๊ะท่านพี่ แล้วพรุ่งนี้เรื่องศึกสงครามจะออกเดินทางจะเริ่มกันเมื่อไหร่จ้า” นางได้โอกาสนอกเรื่อง
ทันที เพื่อหลีกเลี่ยงคารมอันคมคายของชายหนุ่ม ครั้นชายหนุ่มเห็นดังนั้นก็ทราบทันทีถึงความในใจนางกำลัง
จะเอ่ยตอบ พอดีทหารมาบอกว่าแม่นางจันทิราขอเข้าพบ เล่นเอาแม่นางพรายถึงกับใบหน้าง้ำทันทีแล้วก็ใช้
อิทธิฤทธิ์มิให้แม่นางจันทิราเห็นร่างกายแห่งตนยืนเคียงข้างชายหนุ่มทันที
“เชิญแม่นางเข้ามาได้” ชายหนุ่มกล่าวกับทหารที่มารายงาน ครั้นทหารได้รับฟังคำสั่งเช่นนั้นก็ออกไปเชื้อ
เชิญแม่นางให้เข้ามาได้ ร่างแม่นางจันทิราเข้ามาครานี้มาในร่างของอิสตรีหาได้แต่งเครื่องแบบทหารแต่อย่างไร
กับส่งประกายระยิบของเสื้อผ้ายามกระทบแสงไฟร่างขาวเหลืองนวลผ่องใบหน้ากลมแต่ผ่องใสยิ่งนักนับได้ว่า
เป็นนางงามที่สวยยิ่งนางหนึ่งตามชนเผ่าที่อยู่ตามขุนเขา ร่างที่อวบอัดของวัยสาวเต่งตึงตลอดจนปทุมถันที่ล้นจน
ล้ำทำให้เสื้อผ้าเด่นนูนออกมา ทำให้ชายหนุ่มถึงกับตาค้างไปในทันใด เมื่อนางนวยนาดเดินเข้ามาแล้วชายหนุ่ม
ก็เชิญให้นั่งยังเก้าอีก พลาวขึ้นทันที
“โอ้????.....แม่นางน้องเราให้เกียรติมาค่ำคืนนี้มีอะไรหรือ”
“หามิได้ท่านพี่ น้องเองก็คิดสงสัยว่าหากพี่นำทหารไปเพียงเล็กน้อยอาศัยทหารของชาวเมืองฮะคานั้นที่
คงจะมีจำนวนไม่มากนัก จะสามารถตีเมืองตองอูที่น้องคิดว่ามีกำลังมากกว่าเรา จึงใคร่จะมาเตือนเรื่องนี้แก่
พี่ท่านเจ้าค่ะ” นางกล่าวพลางหันไปมองรอบๆข้าง ด้วยนางยืนรอทหารยามที่เฝ้าหน้าห้องนั้นได้ยินเสียงของ
สตรีสองนางที่พากันหัวร่อเสียงดังเล็ดรอดออกมา ว่าท่านมหาอุปราชแห่งเมืองศิระสุริยันต์ใยจึงมีสตรีทั้งๆที
ตลอดเวลานางหาพบสตรีแต่อย่างไรไม่ ครั้นมองไปรอบๆเต็นท์ที่พักก็หาได้พบอิสตรีหรือสถานที่พอจะ
ซุกซ่อนร่างได้ ก็ยิ่งทำให้แปลกใจยิ่งนัก พลางอุทานออกมาทำให้ชายหนุ่มได้ยินแต่ก็เงียบไว้ไม่กล่าวแต่
อย่างใด
“เอ๊ะๆๆ....แปลกเหลือเกินก่อนที่จะเข้ามาน้องได้ยินท่านพี่คุยกับอิสตรีสองนาง แต่ใยเล่าบัดนี้หาได้มีไม่
หรือว่าน้องเองจะหูฝาดไปกระมัง เห็นหัวร่อต่อกระซิกกันและได้ยินคำพูดของท่านพี่เจรจาด้วยเจ้าค่ะ”
ชายหนุ่มหัวร่อเบาๆ พลางกล่าวว่า
“พี่เองนั้นลืมบอกแม่นางไปว่ามีน้องอยู่สองคนบัดนี้ก็ยังยืนอยู่เคียงข้างพี่นี่แหละ”
โอ้ยๆๆ?????.... ชายหนุ่มร้องเสียงดัง เมื่อพรายสาวทั้งสองต่างหยิกไปที่ท่อนแขนของเขาค่อนข้างแรง
“จริงหรือท่านพี่ที่กล่าวมาเมื่อกี้นี้นะ แต่น้องใยมิเป็นเล่าล่ะเจ้าค่ะ” นางขมวดคิ้วตอบ
“จริงซิพี่เองนั้นหาใช่เป็นคนที่โป้ปดมดเท็จใดเล่า เอาล่ะเดี๋ยวจะให้น้องพี่เห็น หากนับแล้วก็สมควรเป็นพี่ของ
แม่นางได้แล้วล่ะ” ชายหนุ่มกล่าว
แล้วพลางหันไปกล่าวแก่แม่นางพรายทั้งสองให้ปรากฏตัวได้เพื่อจะได้ทำความรู้จักกันไว้ ครั้นแม่นางพราย
ได้รับฟังชายหนุ่มกล่าวเช่นนั้น ด้วยความจำเป็นจึงต้องปรากฏร่างให้แม่นางจันทิราเห็น ด้วยเกรงชายหนุ่มจะ
โกรธเอา เนื่องจากนางก็มีความรักชอบต่อชายหนุ่มอยู่แล้ว
ครั้นเมื่อนางพรายทั้งสองปรากฏร่างให้แม่นางจันทิราเห็น ทำให้แม่นางถึงกับตกตลึงด้วยคาดคิดมิถึงว่า
ชายหนุ่มที่หล่อนเองหมายปองจะมีหญิงที่ช่างงดงามสดสวยกว่านางไปเสียอีกยืนเคียงข้างกระหนาบร่างคนที่
หล่อนเองหมายปองคิดว่า ในกองทัพนี้มีเพียงแต่นางผู้เดียวหามีหญิงอื่นใดไม่ ครั้นประสบดังนั้นแม่นาง
จันทิราก็ย่อกายลงทำความเคารพแก่แม่นางพรายทั้งสองทันที พลางกล่าวขึ้นว่า
“น้องจันทิราขอฝากเนื้อฝากตัวแด่ท่านพี่ทั้งสองด้วย หากน้องผิดพลาดประการใดขอท่านพี่จงเอ็นดูอย่าถือสา
ในความผิดของน้องเลยนะท่านพี่”
ครั้นนางพรายทั้งสองเห็นแม่นางจันทิราให้เกียรติพวกตนเช่นนี้ก็ให้นึกบังเกิดความเอ็นดู พลางกล่าวขึ้นว่า
“น้องพี่ไม่ต้องมากความไปใยเล่า ในเมื่อเราเองทั้งหมดก็อยู่ร่วมกันมาเนิ่นนานแล้วให้คิดว่าเราเสมือนหนึ่งดัง
ครอบครัวเดียวกันก็แล้วกัน นี่แน๊ะ “ พลันนางประกายเขียวก็ชี้ไปยังนางประกายแดงทันทีบอกนามออกมา
“นี่คือประกายแดงพี่สาวของข้าเอง ส่วนข้าชื่อประกายเขียว ส่วนชื่อท่านนั้นข้าทราบมานานแล้วด้วย
คอยติดตามท่านพี่ตลอดเวลา” นางพรายเอ่ยขึ้น
“นั่นซิน้องถึงไม่เคยเห็นท่านพี่ทั้งสองเลย ยังคิดว่าในกองทัพนี้จะมีแค่น้องเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นหากเป็น
เช่นนี้ก็นับได้ว่าน้องช่างมีบุญวาสนาที่มีพี่สาวทั้งสองเป็นเพื่อนสนทนา ต่อเบื้องหน้าขออัญเชิญท่านพี่ทั้งสอง
ไปเยี่ยมยังเต็นท์น้องบ้างนะจ๊ะท่านพี่” นางจันทิรากล่าวพลางยกมือไหว้ ทำให้นางพรายทั้งสองเอ็นดูยิ่ง
ขึ้นและทราบมาแล้วว่านางนี้มีฝีมือยิ่งนักเห็นจะเป็นกำลังสำคัญช่วยชายที่ตนหมายปองในกลางวันได้ ซึ่งนาง
เองช่วยได้ก็ไม่เต็มที่นัก ก็ให้บังเกิดความยินดีความอิจฉาริษยาหายไปหมดสิ้น
หาใช่ว่าเรามีแค่สามเท่านั้นยังมีนางหนึ่งซึ่งเป็นคู่หมั้นหมายของท่านมหาอุปราชหรือท่านพี่เราอีกนางหนึ่ง
แต่แม่นางเคยเป็นกษัตริย์แห่งเมืองอิสราวดีที่ถูกอำมาตย์คิดคดทรยศยึดอำนาจมาปกครองเสียเอง ชื่อคู่หมั้นของ
ท่านพี่ มีนามว่า “แม่นางอิสวดีนารี” หรืออีกนัยหนึ่งคือ “ อิสรวชิรบดินเดชา “ จ๊ะ” นางพรายกล่าวระหว่าง
เดินเข้าไปโอบร่างของนางจันทิรามาสวมกอดไว้ ทำให้ชายหนุ่มถึงกับโล่งในใจไปกลัวว่านางทั้งสามจะเข้ากัน
มิได้อันอาจเป็นรอยร้าวขึ้นในกาลข้างหน้า มาบัดนี้นางต่างเข้าใจกันและกันแล้วก็ทำให้ชายหนุ่มแสนจะยินดี
ปรี่เปรมยิ่งนัก จึง เชิญแม่นางทั้งสาม นั่งร่วมรับทานอาหารร่วมกันซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นผลไม้ นางพรายทั้งสอง
จึงแนะนำเจ้าประกายทองกับเจ้าประกายเงินแก่แม่นางจันทิรา
พลางชี้ไปยังร่างเจ้าลิงขนทองว่า มีชื่อว่า “ประกายทอง” และลิงขนขาวมีชื่อว่า “ประกายเงิน”แก่แม่นางทำ
ให้บังเกิดความสนเท่ห์แก่นางจันทิรายิ่งนักอยากทราบความเป็นไปเป็นมาของทั้งห้าทันที ชายหนุ่มก็เล่าความ
เบื้องหลังให้แม่นางฟัง และบอกชื่อเหล่านี้เขาเองเป็นคนตั้งชื่อให้ทั้งหมด พลันนางจันทิราก็กล่าวเสริมขึ้นว่า
ในเมื่อพี่น้องเราต่างมีชื่อนำหน้าว่าประกายทั้งสิ้น ข้าเองก็อยากจะขอร่วมมีส่วนร่วมด้วย จึงขอตั้งชื่อข้าเองว่า
ประกายจันทิราก็แล้วกันแล้วจะแจ้งให้ท่านพ่อทราบภายหลัง ทั้งหมดก็ต่างพากันหัวร่อต่างรับทานอาหาร
สนทนาเรื่องต่างๆไป ตลอดจนกลยุทธ์ในการศึกด้วย เจ้าขนทองเจ้าขนขาวเหมือนจะรู้เข้าใจยิ่งจึงคลอเคลีย
กับแม่นางจันทิราทันที แสดงอาการกระโดดโลดเต้นตามวิสัยลิงทั่วๆไปทั้งๆที่ร่างกายมันไล่เลี่ยกันเกือบจะ
เท่าร่างของคนก็ว่าได้ แต่ความคล่องแคล่วหาได้ล่าช้าไปไม่
ครั้นได้เวลานางจันทิราก็เชิญพี่ประกายแดงประกายเขียวและเจ้าลิงทั้งสองไปเยี่ยมเต็นท์นางบ้าง ครั้นเมื่อ
ถึงก็สั่งทหารที่เฝ้าหน้าเต็นท์ว่าหากทั้งสี่นี้เข้ามาไม่ต้องขัดขวางแต่ประการใดให้สั่งหน่วยยามให้ทราบทั่วๆกัน
ยิ่งทำความสนิทสนมแก่ทั้งหมดมากยิ่งๆขึ้น
จวบจนพระอาทิตย์ส่องแสงในยามวันใหม่สูงทอดแสงสว่างไสวไปทั่วบริเวณ บรรดาทหารทั้งหลายทั้ง
แม่ทัพนายกองก็เก็บค่ายต่างๆเสร็จสิ้นรอคำสั่งของชายหนุ่มที่จะสั่งการต่อไปด้วยความกระตือรือร้นยิ่งนัก
พอได้เวลาฤกษ์งามยามดีแล้วชายหนุ่มเดินออกมาพร้อมด้วยที่ปรึกษาใหญ่พลางกล่าวขึ้นว่าให้ทุกๆคน
จงร่วมใจเพื่อจะรวบรวมผืนแผ่นดินอาณาเขตต่างๆเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันประดุจดั่งพี่น้องทุกๆแคว้นเหมือนดั่ง
ก่อนเก่า บัดนี้ข้าจะให้ท่านที่ปรึกษาเป็นทัพหลวงคอยส่งกำลังหนุนไว้ การเดินทางคอยติดตามพวกเราไปเพื่อ
จะได้เสริมกำลังที่ยังขาดตกบกพร่อง ส่วนท่านแม่ทัพใหญ่ทั้งสองฝ่ายให้ดำเนินตามแผนที่เราวางไว้ เราเองก็
จะไปร่วมกับทหารแห่งฮะคาพร้อมกำลังทหารม้าและทหารราบเพียงแค่ห้าร้อยนายเท่านั้น
หากบรรลุตามเป้าหมายที่วางไว้ให้รวบรวมทหารแบ่งแยกไปเป็นสองฝ่ายดังเดิมเข้าโอบล้อมเมืองซิตเวทันที
อย่างพึ่งเข้าโจมตีเมือง รอจนกว่าจะได้รับคำสั่งจากท่านที่ปรึกษาใหญ่ท่านเหมี่ยวมังกะยอชวา ในการนี้เราคิดว่า
จะใช้ทหารภูเขาของเมืองหล่อยก่อและปะอานเป็นหลักแนวหน้าด้วยความเจนจบ ในภูมิประเทศที่เป็นเขาติดตาม
ด้วยทหารของแว่นแคว้นเมืองยะไข่ที่อาจจะเข้ามาร่วมรบเป็นพวกเดียวกับเราเป็นหน่วยเสริม ส่วนทหารที่ท่าน
แม่ทัพคุมอยู่ให้คอยเป็นกองกำลังหนุนหลัง ให้ท่านแม่ทัพนายกองทั้งหลายจัดกำลังพลดังที่ข้าสั่งไว้ คิดว่าหาก
ทหารภูเขาทั้งสองเจอกันย่อมก้ำกึ่งซึ่งกันและกันครั้นได้จังหวะให้หน่วยหนุนนำเหล่าทหารเขาร่วมเสริมทันที
หวังว่าทุกๆท่านคงจะเข้าใจตามแผนที่ที่เรามอบไว้ให้ท่านแล้ว ถึงแม้นตายในสนามรบถือได้ว่ามีเกียรติ
อันสูงส่งยิ่งนัก ทุกๆคนที่เก็บศพได้ให้ต่างคลุมร่างด้วยธงแห่งศิระสุริยันต์ทุกนายก่อนจะเผา หรือฝังตามสภาพ
ภูมิประเทศ อย่าให้บังเกิดอุจาดว่าพวกเราไม่กลมเกลียวกันรักใคร่ซึ่งกันและกันจงให้เกียรติแก่เหล่าทหารที่
เสียชีวิตประดุจหนึ่งดังญาติเราทั้งสิ้น แม่ทัพนายกองทั้งหลายจงจำคำของเราไว้ให้ดีอย่าได้เกิดผิดพลาดจาก
คำสั่งเราเกี่ยวกับทหารทั้งสิ้น
เสียงขานรับของแม่ทัพนายกองพร้อมเหล่าทั้งปวงกระหึ่มไปทั่วบริเวณขยายกว้างออกไปไกลๆ เหล่าพลทหาร
เมื่อได้ยินคำกล่าวของท่านแม่ทัพใหญ่เช่นนี้ก็ให้บังเกิดกำลังใจยิ่งขึ้นว่าถึงแม้ว่าตัวจะตายแต่ก็ได้รับเกียรติ
สูงส่งยิ่งนัก เพิ่มขวัญกำลังใจกระเหี้ยนกระหรือใคร่จะเข้าสู่สงครามปราศจากความเกรงกลัวใดๆทั้งสิ้น
ครั้นเสียงโห่ร้องจบลง ชายหนุ่มก็กล่าวขึ้นว่า ส่วนเราเองก็จะไปร่วมสมทบหลังจากปราบเมืองตองอู
และเมืองหงสาได้เรียบร้อยแล้วจะรีบนำทัพเข้าเมืองซิตเวทันที หากมาดแม้นมิทันการก็ให้ท่านที่ปรึกษา
ใหญ่ท่านเหมี่ยวมังกะยอชวาสั่งการแทนเราได้เมื่อโอกาสอำนวย ไม่จำเป็นต้องรอคอยเราหรอก พลางหัน
ไปทางท่านเหมี่ยวมังกะยอชวาแล้วเอื้อนเอ่ยว่า
“ศึกใหญ่ครั้งนี้เห็นว่าจะทำความลำบากใจแก่ท่านผู้เฒ่ายิ่งนักแล้ว”
“หามิได้พระเจ้าข้า หากแม้นว่าข้าจะสิ้นชีพก็ตามก็หาได้เสียดายไม่ด้วยได้รับใช้เบื้องยุคลธุลีพระบาทของ
พระองค์เช่นนี้ นับได้ว่าให้เกียรติแก่ข้าอย่างสูงส่งหาที่ใดเปรียบปานเสมอเหมือนมิได้พระเจ้าข้า”
พลางก็น้อมกายลงแสดงความคาราวะบนหลังม้าศึกทันที
เอาล่ะท่านทั้งหลายบัดนี้ถึงเวลาเริ่มแล้วให้พวกเราออกเดินทางร่วมกัน ครั้นถึงสถานที่ตามแผนที่ที่ข้ามอบ
แก่นายทัพนายกองให้แยกทางกันขอให้ประสบความโชคดีมีชัยแก่การในครั้งนี้ด้วยเถิด หากมาดแม้นฟ้าดินเอ็นดู
ต่อข้านักที่คิดจะรวบความผืนแผ่นดินเข้าเป็นหนึ่งเดียว การครั้งนี้ก็คงจะสำเร็จ
ทันใดนั้นนั่นเองเสียงคำรามลมพัดอ่อนๆจากฟากฟ้าก็ดังสะเทือนแล้วก็หายไปเสมือนหนึ่งดังอวยพร
แก่เหล่าทัพทั้งปวง ครั้นเมื่อชายหนุ่มได้ยินร่วมกับทหารทั้งปวงก็บังเกิดความยินดียิ่ง ที่ฟ้าดินยังอวยพร
ให้แก่เหล่าทหารทั้งปวงในการศึกเช่นนี้ยิ่งสร้างขวัญกำลังใจมากเป็นเท่าทวีคูณ เสียงเคลื่อนพละกำลังหลายแสน
ก็เริ่มขึ้นก้องกังวานออกไปไกล สร้างความตื่นตระหนกตะใจแก่เหล่าหน่วยสอดแนมของรัฐยะไข่ยิ่งนัก แม้แต่
เมืองซิตเวก็รีบกลับไปรายงานเจ้าเมืองทันทีว่า เหล่าทหารของเมืองศิระสุริยันต์ต่างถอยทัพไปหมดสิ้นแล้วทำให้
เจ้าเมืองซิตเว “มังตเวสีหะถึงกับส่งเสียงหัวร่อลั่นไปทั่ว พลางกล่าวเหล่ามหาอำมาตย์และแม่ทัพนายกอง
เมืองซิตเวว่า พวกมันคงเกรงกลัวในอำนาจของเรายิ่งนัก
พวกมันเป็นทหารราบไหนเลยจะเข้าตีเมืองเราซึ่งเต็มไปด้วยภูเขาและเหล่าต้นไม้ใหญ่เป็นเกราะกำบังเมือง
เป็นอย่างดี คงจะหนีหัวหดกลับยังแว่นแคว้นต่างๆที่มันตีได้
เพื่อหาหนทางมารุกรานพวกเราอีก ................
* แก้วประเสริฐ. *