แดนพิศวง ๑๓ (ออกเดินทาง) ภายในห้องพักชายหนุ่ม เก็บของใช้ส่วนตัวบางอย่างลงในกระเป๋าใบไม่ใหญ่ นัก แต่ไม่ลืมหยิบจดหมายที่เขียนไว้เพื่อส่งให้แม่บ้านฝากให้พี่ชายไว้ ชาย หนุ่มตรวจสิ่งของจำเป็นบางอย่างครั้นเห็นว่าครบถ้วนแล้ว จึงหันซ้ายแลขวา ไปมองยังห้องนอนของเขา พลันก้าวออกนอกห้องพบแม่ม่อมกำลังยกแก้ว น้ำส้มมาให้เขาตามหน้าที่ แม่บ้านชะงักพรืดเมื่อเห็นเขาสะพายกระเป๋าใบ หย่อมๆบนไหล่ ก็เอ๋ยปากถามว่า “คุณชายจะไปไหนหรือเจ้าค่ะ????...” “จะไปเที่ยวต่างประเทศสักหน่อย อ้อๆๆนี้จดหมายฝากให้พี่นิวัฒน์ด้วยนะ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกเสร็จธุระจะกลับมาจ้า” พลางยกแก้วน้ำส้มยกขึ้นดื่มจนหมดแล้วแล้ววางกลับคืนบนถาดไป “แล้วจะไปกันสักกี่คนล่ะจ๊ะคุณชาย” “อ้อๆๆผมไปคนเดียวแหละจ้าแม่ม่อม เสร็จธุระก็จะกลับมาเองแหละ” “แล้วคุณชายบอกคุณชายนิวัฒน์หรือยังล่ะเจ้าค่ะ” “ไม่ได้บอกเขาคงจะรู้ว่าผมไปไหนหรอกจ้า เดี๋ยวนี้การเดินทางสะดวก มากจ้าแม่ม่อมไม่ต้องห่วงหรอก ผมไปล่ะนะแม่ม่อม” หญิงวัยกลางคนหันมามองด้วยความแปลกใจที่ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา หล่อน ไม่เคยเห็นคุณชายเล็กจะออกไปเที่ยวที่ไหน เวลาจะไปหรือก็ไม่มี กระโตกกระตากเสียเลย นำถามน้ำส้มไปวางไว้แล้วก็เอ่ยขึ้นว่า “อาหารเช้าล่ะเจ้าค่ะ ไม่ทานก่อนจะไปหรือ?????...” “คงจะไม่หรอกจ้าแม่ม่อม ขอโทษด้วยนะที่ลืมบอกว่าไม่ต้องจัดอาหารเช้า ไว้ให้ผมด้วย” “ขอโทษเจ้าค่ะ???...แล้วจะไปประเทศไหนล่ะเจ้าค่ะ” “ผมตั้งใจว่าจะไปประเทศเนปาล เพราะที่นั่นมีศิลปะหลากหลาย มีทั้งพุทธ ฮินดู และอื่นๆอีกมากจ๊ะ จะไปศึกษาหาความรู้สักหน่อย” “แล้วหากท่านทั้งสองกลับมาคุณชายยังไม่กลับจะรายงานอย่างไรล่ะเจ้า ค่ะ??? เพราะอย่างไรท่านต้องถามม่อมอยู่ดีหรอก” “เรื่องนี้ไม่ต้องห่วงหรอกจ้าแม่ม่อม เพราะในจดหมายฉันเขียนบอกท่านไป หมดแล้วล่ะ เดี๋ยวสายรถประจำทางจะหมดเวลาเสียก่อนไปล่ะจ๊ะแม่ม่อม” “อ้าวๆๆให้เจ้าจ้อยมันขับรถไปส่งก็ได้นี่นาจะได้ไม่ต้องเสียเวลาเจ้าค่ะ” “ไม่เป็นไรหรอกแม่ม่อม ฉันชอบไปคนเดียวเสมอๆๆแม่ม่อมก็รู้นี่นา” เพื่อไม่ให้เสียเวลามากนักชายหนุ่มหันมายิ้มกับแม่ม่อมเป็นครั้งสุดท้าย เพราะเขาเองก็ไม่มั่นใจว่าจะได้กลับมาอีกหรือไม่ ด้วยงานนี้มันมืดมนเสียสิ้น ดีหากโชคดีได้พบสองสิ่งที่ตั้งใจไว้ก็ต้องออกเดินทางไปอีกที่อีกแห่งหนึ่ง เพื่อ ช่วยเหลือเขาตามคำมั่นสัญญา เขาเองยังไม่รู้ชะตากรรมเลยว่าจะเป็นอย่างไร ดังนั้นจึงก้าวหลีกแม่ม่อมที่ยืนอ้าปากค้าง แต่ไม่วายเขายื่นมือไปตบไหล่ แม่ม่อมเพื่อเป็นการปลอบใจ แล้วเดินออกจากบ้านไปทันที อากาศตอนนี้ยังเช้าอยู่แสนสดชื่นคลื่นวิ่งเข้าหาฝั่งเป็นระลอกๆ เขาก้าวเดิน ไปชมวิวทิวทัศน์อันสวยงาม อดที่จะหันหลังกลับมามองบ้านหลังน้อยที่ให้ ความสุขแก่เขามาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ถึงแม้ว่าจะมีคฤหาสน์อันใหญ่โตใน กรุงเทพฯก็ตาม แต่เขาชอบสถานที่นี้มากว่าคุณพ่อคุณแม่ก็ตามใจและหมั่นมา หาเขาอยู่เสมอๆ เขาหันไปมองยังแหลมที่ยื่นออกไปในทะเล ยืนเพ่งพิศสักครู่ หนึ่ง ก็รีบเดินออกไปเพื่อเข้ากรุงเทพฯเขาไม่ได้ไปที่ท่ารถยนต์โดยสารที่จะ วิ่งเข้ากรุงเทพฯหรอก เขาเดินหลีกเข้าไปในชายป่าริมเขาที่อยู่ด้านหลังบ้าน น้อยพร้อมทั้งกำหนดจิตรวบรวมพลัง ร่างของเขาก็ลอยขึ้นจากพื้นแล้วมุ่งหน้า ไปยังสนามบินทันทีด้วยความรวดเร็วปานสายฟ้า หลบหลีกฝูงชนลัดเลาะ เลี้ยวไปตามหมู่ไม้ ในไม่ช้าเขาก็มาถึงสนามบินสุวรรณภูมิ แม้จะมีบ้างในการ เดินสวนกับฝูงชนหรือรถต่างๆแต่ไม่มีใครสังเกตุว่าเท้าของเขาหาได้แตะพื้น ไม่เพียงแค่ผ่านแว๊ปเดียวร่างเขาก็หายไปแล้ว ดังนั้นจึงไม่เป็นปัญหาในเรื่องนี้ หลังจากผ่านการตรวจสอบที่ท่าอากาศยานไปเรียบร้อยแล้วเขาก็ได้ที่นั่ง ติดใกล้กลับหน้าต่างเครื่องบิน เขานำกระเป๋าลูกเดียววางบนชั้นบนเหนือศีรษะ เขา พร้อมนำหนังสือพิมพ์ที่ซื้อไว้พร้อมด้วยแผนผังการท่องเที่ยวของประเทศ เนปาลมานั่งอ่าน ในไม่ช้าเจ้าหน้าที่ก็บอกให้รัดเข็มขัดเพราะเครื่องบินจะออก เดินทางแล้ว เพียงไม่ช้าเท่าไหร่เครื่องบินก็ทยานเหนือท้องฟ้ามุ่งหน้าไปทาง ประเทศอินเดียแล้วหยุดพัก เขาต้องเปลี่ยนเครื่องบินใหม่ระยะเวลาไม่นาน เครื่องบินก็ทยานออกเดินทางต่อไปยังประเทศเนปาลทันที ครั้นถึงประเทศเนปาลเขาก็ก้าวลงผ่านการตรวจสอบเนื่องจากเขาไม่มี สัมภาระมากจึงผ่านได้สะดวก เขาเดินออกมาทางหน้าสนามบินพลางเรียก แท๊กซี่ให้ไปส่งยังโรงแรมที่เขาจองไว้เป็นโรงแรมขนาดปานกลางหลังจากได้ ห้องเป็นที่เรียบร้อย เขาก็นำแผนที่ประเทศเนปาลทั้งหมดมากางบนโต๊ะอ่าน เพื่อค้นหาเป้าหมายเพื่อจะออกเดินทางในวันรุ่งขึ้น เวลาเขาไม่มีมากมายนัก จุดประสงค์เพียงค้นหาของบางอย่าง แต่ไม่รู้ว่าจะได้หรือไม่เท่านั้น เมื่อเขา อ่านศึกษารายละเอียดเรียบร้อยแล้ว ก็เข้าไปอาบน้ำและพักผ่อน ที่ประเทศนี้ การแต่งกายก็เหมือนชาวอินเดียทั่วๆไป แต่ประเทศนี้นับถือหลายศาสนาส่วน ใหญ่เป็นพวกฮินดู รองมาก็เป็นชาวพุทธ และอิสลาม ส่วนมากต่างอยู่ร่วมกัน ไม่มีปัญหาใดๆเกิดขึ้นเลย ผิดกับเมืองไทยที่ช่างวุ่นวายเสียจริงๆ ครั้นตกค่ำๆหน่อยเขาก็ออกจากห้องพักออกเดินทางไปยังตลาดค้าของเก่า ซึ่งเขาแน่ใจว่า บางครั้งสิ่งที่ต้องการอาจจะหลงเหลืออยู่ก็เป็นไปได้ ของทุก อย่างวางไว้ในชั้นที่เก็บ แต่เขาไม่ลืมนำหนังสือเดินทางติดตัวไว้เสมอ ในไม่ ช้าเขาก็มาสู่ยังตลาดค้าของเก่า ซึ่งเป็นซอยเล็กๆ ส่วนใหญ่เป็นแผงเล็กๆหน้า ร้านใหญ่อีกทอดหนึ่ง แต่เนื่องจากมีชาวต่างประเทศมาท่องเที่ยวมากดังนั้นเขา จึงไม่เป็นที่ต้องสงสัยสังเกตุของชาวเมืองเว้นแต่การแต่งกายเท่านั้นที่บอกว่า เขาเป็นชาวต่างชาติ เขาเดินไปหลายๆซอยของขายแต่ล่ะอย่างมักจะเป็นพวกที่ จัดสร้างใหม่ๆทั้งสิ้นมีลวดลายแปลกประหลาดทำด้วยทองเหลืองกับเงินผสม เป็นส่วนมาก หรือไม่ก็เป็นพวกทองแดงผสมหลายๆอย่างกันแต่วิจิตรงดงามยิ่ง ส่วนลูกแก้วลูกปัดต่างๆก็มีจำนวนมากมาย แต่ไม่ใช่สิ่งที่เขาปรารถนาก็หาไม่ เมื่อเขาเดินสำรวจไปนั้นเขาไม่ได้สนใจอะไรมากนักเพราะล้วนแล้วแต่สิ่งที่ เขาไม่เกิดความกระตือรือล้นเสียเลย แม้พวกพ่อค้าแม่ขายจะโฆษณาของๆเขา อย่างไรก็ตาม เมื่อได้เวลาพอสมควรแล้วก็หันหลังกลับไปที่พักตั้งใจว่าพรุ่งนี้ จะไปยังวิหารต่างๆที่มีชาวพื้นเมืองให้ความเคารพบูชา ครั้นรุ่งเช้าเขาก็ออก เดินทางไปยังวิหารฮินดูก่อน เป็นวิหารที่กว้างขวางมากมีรูปปั้นต่างๆของพวก ที่ชาวฮินดูนับถือ บ้างก็สวดมนต์เพื่อมิให้เป็นที่สงสัยเขาก็ซื้อของเข้าไปบูชา เทพเจ้าทั้งหลายด้วย ออกจากวิหารนี้ก็ไปอีกวิหารจวบเวลาจวนค่ำนั่นแหละ เขาถึงได้เดินทางกลับ มานอนคิดว่าสงสัยของเหล่านี้จะไม่มีในประเทศนี้ เสียแล้ว แต่ยังมีสถานที่หนึ่งที่เขายังไม่ได้ไปคือตลาดเก่าแก่มากๆที่ขายของเก่า จึงคิดว่าน่าจะลองไปดูหากไม่มีอะไรก็จะออกเดินทางไปธิเบตดีกว่า หลังจาก สั่งอาหารมาทานปกติเขาเป็นคนทานของง่ายอยู่แล้ว จึงไม่เป็นปัญหาเรื่อง อาหารการกิน เพียงแค่แป้งโรตีกับแกงที่อุดมไปด้วยเครื่องเทศมากเป็นพิเศษก็ พอสำหรับเขาแล้ว ก็อาบน้ำพักผ่อนว่ารุ่งเช้าจะไปยังตลาดขายของเก่าอีกที่ หนึ่งหากไม่พบก็จะออกเดินทางไปธิเบตทันที ระหว่างก่อนจะนอนเขามักจะฝึกนั่งสมาธิประจำเสมอรวบรวมพลังงาน ต่างๆไว้เป็นประจำ วูบหนึ่งในขณะที่เขากำลังฝึกรวบรวมสมาธิรวมเป็นหนึ่ง เดียว ก็เกิดแรงสั่นสะเทือนกระเพื่อมเข้ามาทันที เขาเพ่งมองดูแต่ประหลาด สักครู่หนึ่งก็หายไปทำให้เขามีกำลังใจมากขึ้นอีก สงสัยว่าพรุ่งนี้อาจจะได้พบ อะไรบางอย่างเป็นแน่จากตลาดขายของเก่านั้น หลังจากทดลองพลังงานต่างๆ จนพอใจแล้วก็ล้มตัวลงนอนทันที ในขณะที่เขากำลังหลับสนิทอยู่ก็นิมิตไปว่า เขาได้ไปพบของสิ่งหนึ่งในลังเก่าๆที่ซุกซ่อนไว้ภายในร้านแห่งหนึ่ง ยาว ประมาณหนึ่งคืบกว่าๆเห็นจะได้จากร้านเก่าๆแล้วนิมิตนั้นก็หายไป ครั้นตื่นขึ้นมาแล้วหลังจากชำระล้างร่างกายให้สะอาดก็มานั่งทบทวนฝัน เมื่อคืนนี้อีกครั้ง แปลกเขายังจำได้ว่าหน้าร้านนั้นมีรูปนกแปลกประหลาดห้อย แขวนอยู่ตัวหนึ่ง ดังนั้นเขาไม่รีรอรีบโทรฯสั่งอาหารมากินอย่างรวดเร็วแต่ อาหารทางนี้ไม่ค่อยถูกปากเขาเท่าไหร่นักมักจะตบท้ายด้วยนมสดเสมอๆ แต่ เขาไม่สนใจมากนัก หลังเรียบร้อยแล้วก็บอกบ๋อยว่าหากเขากลับมาแล้วให้ไป บอกแคชเชียร์ว่าเขาจะเช็คเอาท์ออกในวันรุ่งขึ้นพร้อมทีปรางวัลไปให้ก้อน หนึ่ง ทำให้บ๋อยนั้นกระวีกระวาดจัดการอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มสอบถามบ๋อย ว่าที่ตลาดที่เขาจะไปบอกว่าหน้าร้านมีนกแขวนไว้มีหรือเปล่า???.... บ๋อยถามอะไรเขาบางอย่างเขาก็บอก มันพยักหน้าบอกว่ามีอยู่สุดซอยที่เขา จะไป มีอยู่ร้านเดียวเท่านั้นที่แขวนรูปนกแปลกปลาดไว้ นอกนั้นไม่มีเขาพยัก หน้ารับทราบแล้วก็รีบออกเดินทางไป ระยะทางไม่ไกลมากนักอาศัยที่เขาใช้ พลังงานในการเดินทางจึงไปได้อย่างรวดเร็ว ไม่ช้าก็พบซอยดังกล่าวอยู่แต่ไม่ ค่อยมีคนจะเข้าไปใช้บริการมากนัก เขาเดินชมไปเรื่อยๆพลางชำเลืองสายตาไป หน้าร้าน ตามนิมิตบอกและบ๋อยแจ้งให้ทราบ ซอยนี้มีระยะทางยาวไกลมากแต่ ไม่เป็นปัญหาสำหรับเขานัก เมื่อเขาเดินมาเกือบจะสุดซอยก็เห็นรูปนกแขวน ไว้หน้าร้าน แต่มันช่างมีลักษณะที่แปลกประหลาดงดงามไปอีกแบบหนึ่ง จริงดังที่บ๋อยมันบอกมันเป็นนกที่แปลกประหลาดตั้งแต่เขาเห็นมา จะว่าเป็นมังกรก็ไม่ใช่จะเป็นกิเลนก็ไม่เชิงเพราะมีปีกทั้งสองข้างมีเล็บเกาะบน กิ่งไม้เก่าๆ มันแปลกตรงที่ไม่มีลมแต่เจ้านกนี้มันแกว่งไปๆมาๆได้อีกด้วย เขานึกฉงนใจอย่างยิ่งจึงเดินเข้าไป คนขายเป็นชายชราอายุมากแล้วหลังค่อม เล็กน้อย กำลังนั่งบนเก้าอีกไม่ค่อยสนใจใครเท่าใดนัก ส่วนใหญ่จะมีพ่อค้า แม่ค้ามาเรียกลูกค้าเข้าร้านเพื่อซื้อของ แต่ชายชราคนนี้ไม่เรียกใครเลยนั่งเฝ้า ของอยู่อย่างเดียว เขาเดินเข้าไปหาพลางแกล้งหยิบของโน่นของนี่ดูแล้วก็วาง ลง พลางหันไปถามชายชราว่าของมีแค่นี้หรือ ชายชราเงยหน้าขึ้นมองเขา พลาง ถามเขาว่า “ก็เห็นจะมีเท่านี้หรอกพ่อหนุ่ม พ่อหนุ่มต้องการอะไร?...หรือ????....” “ ผมต้องการจะซื้อของเก่าๆไม่เห็นวางขายที่นี่เลยนี่นา มันเป็นของที่อยู่ใน กล่องไม้ออกสีแดงๆ ลุงมีหรือเปล่าล่ะ????” “คุณต้องการเอาไปทำอะไรหรือ???...” พร้อมทั้งมองหน้าชายหนุ่มตั้งแต่ศีรษระจรดปลายเท้า พลางหัวร่อฮึๆเบาๆ “ผมฝันเห็นว่าร้านลุงนี่แหละมีขายอยู่ แต่ไม่เห็นวางขายนี่นา” ทันใดนั้นชายชราจ้องหน้าเขาเขม็งพลางส่งภาษาที่ไม่ใช่ภาษาพื้นเมืองทันที แต่เขาฟังออกว่า ชายชราคนนั้นกล่าวว่ากระไร แล้วชายชราคนนั้นก็หันมา ทางเขาอีกพลางว่า “มันเป็นของตกทอดกันมาจากคนรุ่นปู่ย่าตาทวด สั่งให้เก็บรักษาไว้ว่าหาก วันใดมีคนมาสอบถามให้มอบของแก่เขาไป พร้อมด้วยนกที่แขวน พลางชี้ไป ยังนกหน้าร้านทันที” “ผมเดินทางมาที่นี่ต้องการของสิ่งนี้แหละพ่อลุง ขอชมดูหน่อยได้ไหม ล่ะ???บางทีอาจจะเป็นเหมือนอย่างในที่ฉันฝันนะลุง” “หากพ่อหนุ่มสามารถเปิดหีบออกและดึงของจากฟักมีดได้ก็เอาไปเลยไม่ ต้องมาซื้อหรอกนะ แต่หากพ่อหนุ่มไม่สามารถทำได้ก็เชิญไปจากร้านได้แล้ว เพราะถึงอย่างไรลุงก็ขายให้ไม่ได้” “รับรองลุง ผมจะไม่บอกให้ใครรู้อีกด้วยล่ะ แต่ขอทดลองดูหน่อยนะเผื่อมี วาสนาเป็นเจ้าของก็ได้ แล้วลุงเคยเห็นของนั้นหรือยังล่ะในฝักมีดนะ” “ยังเลยพ่อหนุ่ม ลุงพยายามหลายๆครั้งแล้วไม่สามารถเปิดกล่องที่เก็บ รักษาไว้ และชักมันออกจากนอกฝักได้เลย เลยไม่รู้ว่าเป็นอะไรกันแน่” “ถ้าอย่างนั้นขอให้ผมทดลองหน่อยได้ไหมล่ะลุง หากไม่ได้ก็จะสนนาคุณลุง อีกด้วยล่ะ ส่วนนกนั้นมันก็แปลกนะลุงไม่รู้ทำด้วยอะไรมันมีตาสีแดงแล้ว แกว่งไปๆมาๆได้อีกด้วยซิลุง” “หาๆพ่อหนุ่มว่าอะไรนะ นกนั้นนะหรือแกว่งไปๆมาๆได้ด้วย” “จริงจ๊ะลุงมันแกว่งไปๆมาๆได้อีกด้วยยามผมจ้องมองมัน ตาสีแดงก็รู้สึกว่า มันจะมีประกายแสงออกมาด้วยซิ” “ฮ้าๆๆจริงๆหรือพ่อหนุ่มไม่หลอกลุงนะ ลุงอยู่กับมันมาตั้งแต่เด็กจำความ ได้ยังไม่เคยเห็นมันแกว่งได้เลย แม้จะพยายามแกว่งมันเท่าไหรมันคล้ายๆมี อะไรมาดึงดูดไว้นะ และไม่รู้ว่ามันทำด้วยอะไรด้วยซิ” “จริงๆจ๊ะลุง ดูซิโน่นไงมันแกว่งไปๆมาๆอีกด้วยล่ะ” ชายชราหันไปมองตามที่ชายหนุ่มชี้ให้ดู ก็ถึงกับตาโตปากอ้าค้างทันที ใช่ ตอนนี้ไม่มีลมสักนิดแต่นกมันทำไมแกว่งไปๆมาๆได้อีกด้วย แปลกๆพลางหัน มามองหน้าชายหนุ่มทันที หรือว่าๆๆๆๆมันพบเจ้าของมันแล้วชายชราคิดพลาง หันมาพูดกับชายหนุ่มทันที “ถ้าอย่างนั้นพ่อหนุ่มคอยเดี๋ยวนะจะยกของออกมาให้พ่อหนุ่มทดลองหน่อย ว่าจะเปิดได้หรือไม่ แต่มีข้อแม้ว่าหากพ่อหนุ่มเปิดได้จริง พ่อหนุ่มไปไหนเอา ฉันไปด้วยคนนะ ว่าไงตกลงไหมล่ะ???” คราวนี้หนุ่มนิรุทธ์อึ้งไปทันทีลำพังตัวเขาเองก็ยังไม่รู้ว่าจะเอาตัวรอดหากได้ ชายชรานี้ไปด้วยมีสร้างความลำบากใจแก่เขาหรือ???” “น่าๆๆลุงไม่ทำความวุ่นวายให้แก่พ่อหนุ่มหรอกบางทีอาจจะช่วยเหลือพ่อ หนุ่มบ้างก็ได้นะ เพราะลุงร่ำเรียนวิชามาก็มากเสียด้วย ที่พ่อหนุ่มเห็นฉันนี้ฉัน แกล้งทำหรอก” “หาๆๆๆลุงไม่ได้แก่อย่างนี้หลังค่อมเลยหรือ????” คราวนี้ชายชราหัวร่อพลางเอ่ยว่า “อันที่จริงลุงไม่ได้แก่อย่างนี้หรอก เพียงใช้วิชาหดเส้นเอ็นกระดูกเท่านั้นเอง แหละ เพราะคอยมานานเพื่อจะมาคนที่เป็นเจ้าของสิ่งของนี้เท่านั้นเอง แล้วพ่อ หนุ่มจะเห็นเองแหละ ฮ่าๆๆๆๆๆ” คราวนี้ชายหนุ่มอ้าปากค้างบ้างล่ะเพราะมีวิชาหดเส้นเอ็นกระดูกด้วยหรือ เป็นมีแต่ในตำราทางจีนเท่านั้นเอง แต่อย่างไรชายหนุ่มก็รับปากว่า “หากลุงไม่สร้างปัญหาแก่ผมล่ะก็ไม่ขัดข้องหรอก แต่ยังไม่รู้เลยว่าจะเปิด ได้หรือไม่อย่างไรก็ไม่รู้ได้ อย่าพึ่งดีใจอะไรมากนักนะ” “ปู่ทวดบอกว่าหากนกประหลาดตัวนี้มันเชื่อฟังใคร และใครเป็นเจ้าของ จะแจ้งให้คนๆนั้นรู้ นี่ฉันก็เห็นมากับตาแล้วจึงเชื่อมั่นว่าคงไม่ผิดหรอก คอย เดี๋ยวนะ จะไปเอาของมาให้ดูก่อนคอยตรงนี้แหละ” ว่าแล้วชายในร่างชราก็หันกายออกเดินเข้าไปข้างในสักพักหนึ่งก็ยกหีบไม้ ที่สลักลวดลายสวยงามมากๆ นำมาปัดฝุ่นที่จับจนคลุ้งไปหมด ชายหนุ่มถอย หลังออกมาหน่อยหนีฝุ่นที่ปลิวฟุ้ง สภาพกล่องแม้จะเก่าแต่ก็ดูไม่เก่านัก เมื่อเรียบร้อยแล้วชายชราก็กวักมือเรียกชายหนุ่มเข้าไปในร้านทันที แต่ เป็นห้องแคบๆโล่งๆเล็กนิดเดียว เขาเดินตามชายชราเข้าไป พลางหันหลังให้ ประตู เอื้อมมือมาคลำรู้สึกถึงพลังงานซ่อนเร้นแอบแฝงอยู่ข้างในพุ่งออกมาสู่ ฝ่ามือเขาทันที ดังนั้นชายหนุ่มจึงเร่งเร้าพลังงานแห่งจักรวาลออกไป ฉับพลัน เสียงดังแชะๆดังขึ้นสามครั้ง ชายชรายืนมองอยู่ใกล้ๆใจหรือก็แปลกใจเพราะ เขาเองก็ได้ยินเสียงนี้เหมือนกัน พอชายหนุ่มเปิดฝากล่องออกมาก็ปรากฏว่ามี กล่องอีกใบหนึ่งวางอยู่ภายใน จึงเปิดฝาออกอีกก็พบกล่องขนาดเล็กซ้อนอยู่อีก ชั้นหนึ่ง จึงเปิดขึ้น แล้วก็เห็นลักษณะของที่ซ่อนอยู่ภายในเป็นแท่งยาวๆ แกะสลักไว้วิจิตรพิสดารมาก ดังนั้นเขาจึงหยิบมันขึ้นมายกขึ้นส่องมองดู ชายชราก็รีบเข้ามาใกล้ๆ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ชายชราเห็นแม้แต่กล่องเขายังไม่มีปัญญาเปิดได้เลยแต่นี่ ชายหนุ่มกลับสามารถนำสิ่งของนี้ออกมาได้ ชายหนุ่มหลังจากพิจารณาดูแล้วก็ ชักด้ามออกจากตัวฝักทันที ปรากฏเสียงดังสนั่นลั่นประกายวูบวาบ หลากหลายสีพรายแสงออกมาทันที ปรากฏว่ามันเป็นแท่งผนึกแก้วนั่นเอง รูปร่างคล้ายกริชหรือพระขรรค์ก็ไม่เชิงประกายแวววาวสดสวยงดงามมาก พลางหันมาทางชายชราเพื่อจะให้ได้ชมดู แต่ปรากฏว่าชายชรานั่งคุกเข่ายก มือขึ้นท่วมหัวเหมือนจะเคารพต่อสิ่งนี้ พร้อมทั้งกราบลงทันทียามเมื่อเหลือบ ตามองไปยังสิ่งของ น้ำตาไหลออกจากนัยน์ตาทั้งสองเบ้า พลางเอ่ยว่า “พบแล้วเจ้าของที่ข้ารักษามานมนานรุ่นปู่ย่าตาทวด บัดนี้พบเจ้าของแล้ว ขอขอสักการะบูชาต่อของวิเศษนี้ นับเป็นบุญตาแก่ข้าจริงๆ” ทันใดนั้นเอง เสียงร้องก้องของนกที่แขวนหน้าร้านมันทิ้งคอนกระพือปีกบินเข้ามาหาทันที แล้วร่างมันค่อยๆใหญ่ขึ้นๆ พลางผงกหน้าก้มหัวเหมือนคล้ายคาราวะชายหนุ่ม ตัวมันใหญ่มากจนร้านค้าเล็กๆนั้นพังทะลายลงในพริบตา........... * แก้วประเสริฐ. *
แดนพิศวง ๑๒ ( เตรียมออกเดินทาง ) ชายหนุ่มเหลือบสายตามองเห็นแล้วทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ในการมาของ พี่ชายเขา จึงเดินเลี่ยงไปชมต้นไม้ต่างๆที่กำลังชูดอกสะพรั่งส่งกลิ่น หอมหวน พลางสนทนากับพวกแมลงเบาๆอย่างสนุกสนานใจ “เฮ้ยๆๆ!!!!ๆๆๆ จะเลี่ยงไปไหนล่ะว๊ะเจ้ารุทธิ์ แล้วเรื่องล่ะ ว่าอย่างไรกัน ไม่เห็นตอบกลับเดินหนีไปเสียอย่างนี้แหละ” “ผมบอกพี่ไปก็พวกนั้นก็ไม่มีปัญญาหาได้หรอกเพราะจะไปหาได้ ที่ไหนล่ะที่มีขนาดใหญ่ๆนะ” “แล้วมันอะไรกันล่ะ ทำไมพวกนั้นเขาร่ำรวยมากมีหรือจะหา ไม่ได้” “หากผมบอกไปจะหาได้หรือ ที่ต้องมาทำเป็นมีดนะ ต้องมีขนาด ใหญ่ยาวมากเสียด้วยนะ” “แล้วอะไรล่ะ????...บอกมาเถิดจะได้ไปบอกเขาสักทีว๊ะ” “อ้าวก็ เพชร ไงล่ะที่มีความแข็งแกร่งแม้แต่กระจกก็ยังตัดขาดได้ แล้วเขาจะไปหาได้ที่ไหนกันได้เล่า???...เพราะต้องใช้จำนวนมาก ต้องมาสั่งทำอีกแล้วก็ใช้หลายเล่มเสียด้วยซิ” “เพชรหรือ????!!!!... เพชรๆๆหวังว่าหูข้าไม่เพี้ยนนะ” "เพชรหรือ???!!!!....เฮ้ยเพชรที่เขาใช้ทำเครื่องประดับหรือ จริงๆหรือ ว๊ะ???...เพชร???แน่นะโว้ยเจ้ารุทธ์ เอ็งไม่ได้หลอกข้านะ" คราวนี้ชายผู้พี่งุนงงทันที จริงของมันว่าจะไปหาได้ที่ไหนราคา หรือก็แพงเสียด้วยซิ แล้วอย่างอื่นทดแทนไม่มีอีกหรือว๊ะเจ้ารุทธ์” “มีนะมีหรอก แต่ก็คงเหมือนกันนั่นแหละ เป็นของเทียมเช่นเพชร รัสเซีย สวิสเซอร์แลนด์ ยังไง เพราะเพชรนี้เป็นคาร์บอนที่ผ่าน อุณหภูมิความร้อนสูง กว่าจะได้สักก้อนหนึ่งก็แสนยากแต่ก็ยังดีกว่า เพียงเป็นรองสิ่งหนึ่ง ซึ่งมีพลังงานในตัวเองอีกด้วย” “หากไม่ใช่เพชรเทียมแล้วก็อะไรอีกว๊ะเจ้ารุทธิ์” “ก็แก้วหินคริสตัลที่เกิดจากธรรมชาตินะจะไปหาได้ที่ไหน นอกจากนั้นฉันเองก็มองไม่เห็นว่าจะมีสิ่งใดที่มาทดแทนได้นะ” “เออๆๆๆแก้วหินคริสตัลพอจะหาได้หรอกนะ เพราะเห็นเขาสร้างกัน และมีจำหน่ายทั่วๆไปราคาก็ไม่แพงนักเห็น เป็นเครื่องภาชนะกันไว้โชว์กันมันใช่พวกแก้วนี่นาจะใช้ได้หรือว๊ะ” “แก้วหินคริสตัลที่เขามาทำกันนั้นเป็นของเทียมของแท้จะอยู่ตาม ภูเขาในป่าลึกๆยากจะค้นหา มักอาศัยอยู่ในที่ชื้นแฉะอุณหภูมิความร้อนสูง มากๆ ในแถบภูเขาไฟเป็นส่วนใหญ่มักอยู่ ตามถ้ำ บางแห่งก็ถูกทับถมอยู่ภายในใต้ดินลึกๆมากๆเสียด้วยส่วน ใหญ่ลึกไปในใต้ดิน แล้วเขาก็จะออกเดินทางไปในเดือนหน้านี้แล้ว ไม่ใช่หรือ จะมีเวลาหาทันหรือลองคิดดูซิ” คราวนี้หนุ่มนิวัฒน์อ้าปากค้างทันที น้องชายมันรู้ได้อย่างไรว่า พวกนักค้นหาของโบราณตามลายแทงจะเดินทางไปค้นหาในเดือน หน้านี้ มันรู้ได้อย่างไรกัน จึงถามด้วยความสงสัยว่า “แล้วแกรู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาจะออกเดินทางไปในเดือนหน้านี้ ว๊ะ พี่ชักสงสัยเสียแล้วแกมันดูแปลกๆยังไงชอบกลนัก” “อ้อๆๆๆ ฉันเดาเอาเองแหละเพราะอากัปกิริยารู้สึกกระตือรือล้น ยิ่งนักนี่นา นี่เขาติดต่อเพื่อนเขาไว้ อ้อๆๆๆหากเขาหาสิ่งที่บอกได้ นะให้เอาให้มาผมดูก่อนได้ไหมล่ะ เพื่อจะได้ตรวจสอบอะไรบาง อย่างเสียก่อนแล้วจะคืนให้ แล้วพี่ไม่ไปกับเขาด้วยหรือ คุณพัชราเขา ก็ไปด้วยนา เดี๋ยวคุณสุเมธจะเอาไปกินเสียก่อนนะ” คำพูดของน้องชายยิ่งทำให้ชายผู้พี่งุนงงเพิ่มขึ้นไปอีก มันบอกว่า เดาแต่ดันรู้ว่าคุณพัชราก็จะไปด้วยได้อย่างไรกัน เขาหารู้ไม่ว่าที่ น้องชายเขารู้เพราะอ่านจิตใจเขาออกหมดแล้ว “แล้วแกจะเอามาดูทำอะไรหาหอกอะไรหรือ???...” “หากหาไม่ทันพี่ไปบอกเขาก็ได้ว่าให้เขา เอางาช้างมาทำอาวุธไว้ แต่ต้องนำมาให้ผมพิสูจน์ดูก่อนก็แล้วกัน พี่ไปบอกเขาแค่นี้แหละ เพราะว่าผมก็จะออกเดินทางไปทำธุระบางอย่าง ยังไม่รู้ว่าจะกลับ เมื่อไหร่ให้พี่ดูแลทางนี้ก็แล้วกันนะ” “งาช้างหรือ เออๆๆๆงั้นก็ยังพอจะหาได้ทันหรอก แล้วพี่จะไป บอกเขาให้รู้ไว้ หากเขาทำเสร็จก็จะนำมาให้เอ็งตรวจสอบอีกครั้ง หนึ่งนะแล้วหากงาช้างไม่ครบแล้วอย่างอื่นใช้ได้อีกไหมล่ะ???...” “ก็เห็นจะมีพวกเขี้ยวสัตว์นี่แหละ เช่น เขี้ยวเสือ หรือเขี้ยวหมูป่า แต่มันสั้นๆกันไปเห็นยาวๆก็มีแค่เขี้ยวหมูป่าเท่านั้นแต่มันไม่ตรงจะ ยาวไม่พอเสียส่วนมากนะ จึงไม่ค่อยมีประโยชน์เช่นจำพวกงาช้างซึ้งยาวกว่าเขี้ยวอื่นๆ สามารถเอามาทำมีดสั้นหรือมีดยาวได้นะ แต่สิ่งสำคัญต้องทำให้ แหลมคม สามารถใช้แทงได้และหากใช้ฟันได้ด้วยก็ยิ่งดี” “อืมม!!!???...แล้วพี่จะไปบอกเขาและจะให้เขาเอามาให้แกดูจะ ใช้เวลาดูนานไหมล่ะ เห็นเขากระวนกระวายตื่นเต้นนักเรื่องนี้นะ” “ไม่นานหรอกวันสองวันคงจะเรียบร้อยแหละพี่ เมื่อผมจัดการ เรื่องนี้เรียบร้อยแล้วก็จะต้องเดินทางไปเที่ยวยังต่างประเทศบ้าง ส่วน พวกนั้นเขาคงจะเดินทางไปหมู่เกาะเปอร์โตริโก้กระมัง” “นี่หากเอ็งเป็นหมอดูนะ คนมาให้ดูเพียบเลยว๊ะ ใช่แล้วล่ะ” ชายหนุ่มหัวเราะ ฮึๆๆๆแต่ไม่กล่าวว่าอย่างไร ก็ได้ยินพี่ชายเขาพูด ว่า งั้นพี่ไปก่อนนะเอ็งจะดูต้นไม้ดอกไม้ก็ตามใจแก่เถอะนะ” “อ้อๆๆแล้วจะไปต่างประเทศไหนล่ะไม่เคยเห็นแกค่อยไปเที่ยว ไหนเลยนี่นา ขนาดพี่ชวนไปยังไม่ไปเลยนี่นา” “ผมว่าจะไปเที่ยวแถวภูเขาหิมาลัยสักหน่อยนะ ไม่มีอะไรหรอกพี่ เพราะจะหาทางเปิดหูเปิดตาบ้างเท่านั้นเองแหละ” “งั้นตามใจแกเถอะว๊ะ ทางนี้ไม่ต้องห่วงหรอก พี่จะเฝ้าบ้านเอง ไป เที่ยวทางทัวร์หรือ” “เปล่าจะไปคนเดียว หลังจากพวกเขาออกเดินทางไปก่อนแล้วล่ะ นะ แล้วค่อยจะไป พี่รีบไปบอกเขาเถอะพวกเขาป่านนี้คงวางแผนไว้ เรียบร้อยแล้วล่ะ คงคอยฟังจากพี่เท่านั้นเองแหละ” “ใช่ๆเขาจะออกเดินทางเดือนหน้านี้แหละ ติดต่อเพื่อนเขาทาง โน้นไว้เรียบร้อยแล้ว เพียงแต่เชื่อเอ็งเรื่องอาวุธนี้แหละจึงวานให้มา ช่วยถามเท่านั้นแหละ งั้นพี่ไปก่อนนะตามสบายเอ็งเถอะจะชม ดอกไม้ก็ตามใจเอ็ง พี่ไปล่ะ” แล้วร่างหนุ่มนิวัฒน์ก็หันหลังกลับเดินทางเข้าบ้าน สักครู่หนึ่ง เสียงรถยนต์ก็แล่นออกจากบ้าน ชายหนุ่มนึกว่าการไปของคณะนี้ จะต้องประสบภัยพิบัติอย่างคาดคิดมิถึงแน่นอน แล้วเราล่ะจะทำ อย่างไรจะออกเดินทางเมื่อไหร่ดี เพราะของที่เขาต้องการนี้ยังไม่รู้ แน่นอนเลยว่าอยู่ที่ใด แต่ช่างเถอะเขานึกถึงสุภาษิตที่กล่าวว่ายิ่งอยาก ได้สิ่งนั้นยิ่งยากแก่การค้นหาย่อมห่างไป สิ่งใดที่ไม่อยากได้มักจะ พัวพันเข้ามาหาเอง ฉะนั้นเขาจึงปล่อยวางเฉยปล่อยให้เป็นไปตาม วาสนาเถอะจะดีกว่า เมื่อเขาคิดได้เช่นนี้ก็เที่ยวเดินชมสวนไปเรื่อยๆ จนเบื่อแล้วก็เดินทางเข้าไปในบ้าน เมื่อเข้าไปในบ้านก็พอดีแม่ม่อมถือถาดแก้วน้ำส้มคั้นมาส่งให้เขา ดังนั้นจึงนำเข้าไปยังห้องนอน นั่งบนโต๊ะนั่งเล่นจิบน้ำส้มพลาง คิดไปทางว่าจะไปเนปาลก่อนหรือว่าธิเบตก่อน ก่อนนั้นตั้งใจว่าจะ ออกเดินทางเลียบไปทางเหนือเข้าสู่พม่าแล้วไปยังอินเดีย หากเป็น เช่นนั้น จะต้องเสียเวลาเดินข้ามเขาต่างๆไปจะทำให้เสียเวลามาก และไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะพบหรือไม่ บัดนี้เขาเปลี่ยนใจแล้ว จึง ไปยังโทรศัพท์จองตั๋วเครื่องบินไปประเทศเนปาลทันที โดยสั่งจองตั๋วเครื่องบินล่วงหน้าไว้ก่อน พร้อมทั้งบอกเวลาวัน เดือนในการจะออกเดินทางเพื่อค้นหามรกตสีทองต่อไป แต่แรง สังหรณ์ใจบางอย่างจึงได้เดินไปค้นหาสิ่งของสิ่งหนึ่งในลิ้นชักบน หัวเตียงเขานำออกมา มันเป็นขนนกสีต่างๆแวววาวนัก ของบุรุษทั้ง สามที่ทิ้งไว้ให้เขาเก็บเอาไว้ ดังนั้นจึงได้เพ่งมองพร้อมรวบรวม พลังงานต่างๆลงไปบรรจุในขนนกสีอันสวยงามนั้น พลันปรากฏ แสงแผ่กระจายออกมาแวววาวสวยสดงดงามมาก จึงไปนำสายสร้อยที่ทำด้วยเชือกไนล่อนมาพันที่ก้านขนนกนั้น แล้วขมวดเป็นวกกลมจนแน่น ในขณะที่เขาทำนั้นได้ใช้เวทย์มนต์พร้อม พลังงานแห่งจักรวาลใส่ลงไปด้วย แล้วนำเชือกไนล่อนนั้นมาปลุก เสกอีกครั้งหนึ่งถ่ายเทพลังงานต่างๆลงไปแล้วนำไปเก็บไว้ในกล่อง กำมะหยีสีแดงเก็บไว้ในที่หัวเตียงเขาดังเดิม เสียงดังขลุกขลักดังใน กล่องกำมะหยีสีแดงนั้นไหวไปๆมาๆ จึงได้ใช้มือถ่ายทอดพลังงาน เพิ่มเติมลงไปอีก เหตุการณ์จึงเข้าสู่ปกติดังเดิม ครั้นเรียบร้อยแล้ว เพียงคอยเวลาให้พี่ชายเขานำสิ่งของที่บอกไว้มา เขาก็จะทำพิธีดัง กล่าวไว้แล้วค่อยส่งมอบคืน เพราะเขาทราบว่าสิ่งของเหล่านี้จะช่วย ให้พวกนักค้นคว้าใช้ในการป้องกันตัวได้ไม่มากก็น้อย มิฉะนั้นคงจะ ต้องเสียชีวิตหมดภายในพายุหมุนซึ่งจะเกิดมิติที่ถูกเปิดออกแน่นอน เขามองเห็นภาพเหตุการณ์ต่างๆได้อย่างชัดแจน หากเมื่อเขาทำพิธี เรียบร้อยแล้ว พอได้โอกาสก็จะเริ่มออกเดินทางต่อไปทันที เวลาผ่านไปไม่เกินสามวันสิ่งของต่างๆก็นำมาให้เขาตรวจสอบ ดูทันที พร้อมพี่ชายเอ่ยขึ้นว่า “นี่ทั้งหมดนี้ไปหาอย่างแกว่าไม่ได้หรอกจึงได้แค่งาช้างเท่า นั้นเอง และก็เป็นแค่เพียงมีดสั้นบ้างยาวบ้างเท่านั้น แกลองตรวจดูซิ ว่าจะพอใช้ได้หรือเปล่า” ชายหนุ่มไม่กล่าวกระไรพลางบอกกับพี่ชายของเขาว่า “อย่างนั้นขอเวลาผมตรวจดูก่อนนะ อีกสองวันพี่วัฒน์ก็มานำไป ให้แก่เขาก็แล้วกัน” เขาพูดจบเท่านั้นไม่ตอบคำถามใดๆอีกจึงรีบเดินเข้าห้องไปพร้อม ลั่นดานใส่กลอนทันที พร้อมนำออกมาตรวจที่ละเล่มเห็นว่ามีทั้ง ความแหลมคมและลักษณะคล้ายๆกริชไทย เพียงแต่ไม่มีรอยหยัก เท่านั้นเอง เรียกว่าพระขรรค์ขนาดพอเหมาะมือ เมื่อตรวจแล้วมี เพียง หกเล่มเท่านั้นเองจึงได้นำเหล็กแหลมเมื่อได้มาแล้ว จึงเข้าเจริญ สมาธิทำจิตให้แน่วแน่รวมเป็นหนึ่งเดียวตามกรรมฐานทางพุทธ ศาสนา เจริญสมาธิตั้งแต่อุปาจารสมาธิไปจนถึงเอกัคคัตตารมย์แล้ว ลงมายัง อุปจารสมาธิพลางร่ายเวทย์มนต์ที่ร่ำเรียนมาจากตำราทั้งสาม เป่าลงไปบนเหล็กปลายแหลมแล้ว พร้อมบรรจุพลังงานลงไป ทันใด นั้นเหล็กแหลมก็บังเกิดแสงสว่างไสวกระจายไปทั่วสว่างไสวรอบ ห้องนอนของเขาทันที เมื่อชายหนุ่มเห็นเช่นนั้นก็รู้ว่าเขาทำสำเร็จ แล้วจึงได้ เป่ามนต์คาถาอาคมลงไปกำกับอีกชั้นหนึ่งพร้อมพลังงาน นำมาลงอักขระบนพระขรรค์แต่ละเล่มมากบ้างน้อยบ้างซึ่งสร้าง ด้วยงาช้างทั้งหมด เมื่อระหว่างลงเขาเรียกสูตรทุกๆตัวอักขระ พลาง เป่ามนต์ลงบนพระขรรค์ทันใดพร้อมส่งพลังงานต่างๆใส่ไว้ด้วย ทำ ให้พระขรรค์ทั้งหกเล่มลอยขึ้นไปในอากาศทันทีหมุนเวียน แต่ละ เล่มเปล่งสีสรรค์ต่างๆนาๆ เมื่อเขาเห็นเช่นนั้นจึงเรียกพระขรรค์ ทั้งหมดมายังฝ่ามือ พร้อมทั้งพนมมือเร่งพลังงานต่างๆลงไปอีกครั้ง หนึ่ง พร้อมสั่งพระขรรค์แต่ละเล่มให้ไปทำลายสิ่งของบางอย่าง ตามใจที่เขานึกได้ทุกประการ สิ่งของที่ถูกพระขรรค์นั้นพุ่งโดนก็พลันแตกกระจายเป็นชิ้น เล็กชิ้นน้อยทันที เมื่อเขาทดลองทั้งหกเล่มครบเรียบร้อยแล้ว ก็เดิน ไปวางไว้ยังใต้หมอนเขาทันทีเพื่อรอคอยที่จะส่งมอบให้แก่พี่ชาย รวมทั้งกล่องกำมะหยี่สีแดงที่เขาประสงค์จะมอบ ให้แก่สาวพัชราไว้คล้องศีรษะด้วยเพื่อใช้ในระหว่างเดินทาง การ กระทำของเขานี้ใช้เวลาเกือบทั้งคืนจึงลุล่วงสำเร็จ แต่เขาก็ไม่แน่ใจ เหมือนกันว่าในมิตินั้นจะทรงอานุภาพเหมือนในโลกนี้หรือไม่ แต่ อย่างน้อยก็สร้างกำลังใจให้แก่ผู้ใช้ได้เป็นอย่างน้อย ครั้นเวลาผ่านไปสองวันเขาจึงนำสิ่งของทั้งหมดห่อผ้าไว้ เรียบร้อย แล้วจึงเดินออกจากห้องทันทีก็เห็นพี่ชายเขากำลังนั่งทาน กาแฟอยู่จึงเดินไปหา พร้อมทั้งนั่งลงพลางเอ่ยขึ้นว่า “ผมตรวจดูแล้วใช้ได้และได้ห่อผ้าไว้ให้เรียบร้อยแล้วล่ะครับพี่ อ้อๆๆๆส่วนกล่องกำมะหยี่นั้นเป็นสร้อยมอบให้คุณพัชราเป็นพิเศษ ให้หล่อนคล้องไว้อย่าได้เอาออกเป็นอันขาดไม่ว่าในกรณีย์ใดๆ ทั้งสิ้นแม้จะเข้าห้องน้ำก็จะไม่เป็นปัญหาใดๆด้วย พี่นำไปมอบให้ พวกเขาได้แล้ว ผมคิดว่าพวกเขาคงจะรอคอยอยู่แล้วล่ะ” พี่ชายมองเห็นห่อผ้าน้องชายที่ยื่นมาวางไว้ข้างหน้า พลางแกะ ออกตรวจดู เห็นว่าของต่างๆได้ถูกจารึกด้วยอักษรอะไรเขาไม่อาจจะ ทราบได้ว่าน้องชายเขาลงอะไรไว้ แล้วพลางเปิดกล่องออกดูเห็นเป็น ขนนกสีสรรค์ต่างๆแปลกๆ ก็ถามว่า “อย่างอื่นนั้นพี่ไม่สงสัยหรอกเจ้ารุทธ์เพียงสงสัยขนนกนี้มันมี สีสรรค์แปลกๆคล้ายๆมีประกายอะไรซ่อนเร้นไว้ มันคือขนนกอะไร หรือ พอจะบอกพี่ได้ไหมล่ะ???...” “ผมเองก็ไม่รู้หรอกครับพี่ เพียงเก็บได้จากชายหาดที่แหลมหน้า บ้านเราเองแหละเห็นสวยดีก็เก็บเอาไว้ มีอยู่อันเดียวจึงมอบให้คุณพัช ราไว้เท่านั้น เห็นว่ามีสีสรรค์หลายๆสีแปลกๆดีนะ” พี่ชายของชายหนุ่มมองหน้าพลางหัวร่อ “เจ้าคงจะชอบหล่อนแล้วซินะเจ้ารุทธ์” “ไม่หรอกพี่ผมไม่กล้าแย่งไปจากพี่กับคุณสุเมธได้หรอก รู้ว่าพี่ทั้ง สองชอบหล่อนและเรื่องผู้หญิงผมก็ไม่ค่อยสนใจเท่าใดนักหรอก” “อ้าวแล้วจะมอบให้หล่อนทำไมล่ะ???.....ในเมื่อไม่ชอบหล่อน??? หากนำไปให้เขาคงจะคิดว่าน้องพี่คงจะชอบเขาก็ได้นะเจ้ารุทธ์” ชายหนุ่มหัวร่อ ฮึๆๆ พลางเอ่ยกับพี่ชายเขาว่า “คงจะมีอะไรพิเศษๆอยู่อาจจะป้องกันตัวได้นะผมเองคิดเช่นนั้น เห็นเป็นหญิงคนเดียวก็เลยมอบให้ บางทีอาจจะมีประโยขน์บ้าง ผมมานั่งคิดว่าน่าจะมีอะไรพิเศษๆอยู่ในขนนกนี้นะซิครับและ หล่อนเป็นผู้หญิงไม่เหมือนผู้ชายอาจจะช่วยเหลือหล่อนได้ในเมื่อถึง คราวจำเป็นก็อาจจะเป็นไปได้กระมัง จึงได้มอบให้เธอไว้ใช้ติดตัว” “อ้าวพระขรรค์นี้มีตั้งหกเล่ม พี่เองไม่ได้ไป ที่ไปแค่ห้าคนทำไม เขาทำถึงหกเล่มไว้นะ พี่เองก็สงสัย????....” “เขาคิดว่าพี่อาจจะเปลี่ยนใจไปก็ได้นี่นา อย่าคิดมากไปมอบให้เขา ก็แล้วกันนะครับ เท่านี้นะครับผมจะไปเดินเล่นชายหาดสักหน่อย” “งั้นก็ตามสบายแกเถอะ พี่เองก็จะรีบไปหาพวกเขาเหมือนกัน นะ นี่ก็จวนสายแล้วจะได้หมดเรื่องเสียที เสียเวลาเที่ยวเตร่ว๊ะ” เมื่อพี่ชายเขาขับรถออกไปจากบ้านในขณะที่เขากำลังมุ่งหน้าไป ยังแหลมที่เคยฝึกวิทยายุทธ์อยู่นั้น ก็หัวร่อในใจดีแล้วล่ะที่พี่ชายเขา ไม่ไปในครั้งนี้ทำให้เขาหมดห่วง หากพี่ชายเขาไปเขาเห็นจะต้อง ออกเดินทางร่วมไปด้วยเพราะความเป็นห่วง เมื่อคิดได้เช่นนี้เขาก็ เดินทางมาถึงแหลมชายหาดพลางมองไปในท้องทะเลอันกว้างใหญ่ ไพศาล มองไปยังปลายขอบฟ้าพลางนึกในใจว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ ธรรมดาเสียแล้วต่อพวกค้นคว้าวัตถุโบราณอย่างแน่นอน............. * แก้วประเสริฐ. *
* แดนพิศวง ๑๑ * (กำหนดทิศทาง) หลังจากที่คณะโบราณคดีได้กลับไปแล้วพร้อมด้วยพี่ชายเขา แม่ม่อมกำลัง สั่งการให้บรรดาเด็กรับใช้เก็บสัมภาระที่บนโต๊ะอยู่ เป็นระหว่างที่ชายหนุ่ม กำลังครุ่นคิดหาทางจะออกเดินทางไปยังดินแดนลี้ลับ เขาเองยังไม่ทราบว่าจะ เริ่มต้นจากที่ใดดี ส่วนพวกนักโบราณคดีนั้นเขาทราบแล้วว่าต้องออกเดินทาง ไปค้นหาหลักฐานต่างๆแน่นอน ชายหนุ่มหัวร่อเบาๆเพราะรู้ทางกระแสร์จิต แล้วว่าหากพวกนี้ออกเดินทางไปจะประสบเหตุการณ์ที่ทุกๆคนจะคาดไม่ถึง แน่นอน ในยามว่างเช่นนี้เขาก็ไปนำหนังสือเล่มที่สองที่บันทึกเกี่ยวกับ พลังงานต่างๆไว้ พลางพลิกหน้าไปๆมาๆก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างแอบซ่อนไว้ ภายในหลังปกหนังสือนั้น ด้วยความหนาของปกหนังสือหน้าหลังไม่เท่ากัน จึงนำหนังสือทั้งสามมาเปรียบเทียบดู มีเพียงเล่มนี้เล่มเดียวเท่านั้นที่แปลก ซึ่งอาจจะมีอะไรซ่อนเร้นอยู่ในนั้น พลางมองอย่างพินิจพิจารณาด้วยความ ฉงนสนเท่ห์นัก จึงหยิบหนังสือขึ้นมาส่องยังแสงอาทิตย์ที่ลอดเข้ามาทาง หน้าต่างเขาเพื่อตรวจสอบว่าจะหาทางใดที่จะนำสิ่งนั้น ซึ่งเขาคิดว่าอาจจะมี บางสิ่งบางอย่างซ่อนเอาไว้ก็อาจจะเป็นไปได้ เพราะปกหนังสือก็ราบเรียบเป็น ปกติ เพียงแต่ความหนาเท่านั้นที่ไม่เท่ากัน จึงลองไปหยิบมีมาค่อยๆแงะ รอยต่อของหนังสือ เพราะคมมีดไม่สามารถจะกรีดไปบนแผ่นกระดาษนั้นได้ เลย ทันใดสมองแว๊ปหนึ่งก็ฉุกคิดได้ว่าในเมื่อเป็นเช่นนี้เห็นทีจะต้องใช้ พลังงานมาช่วยเสียแล้วกระมัง เนื่องจากหนังสือนี้มีความพิสดารอยู่แล้ว ดังนั้นชายหนุ่มจึงตั้งสมาธิเร่งพลังงานในตัวเขาออกมาพร้อมลูบไปยัง ด้านในของปกหนังสือโดยใช้พลังงานดึงดูดสิ่งนั้นออกมา พลังงานดึงดูดของ เขา แผ่นว่างเปล่าปกหนังสือก็ค่อยๆนูนออกมาแล้ว กระดาษที่ซ่อนไว้ก็ทะลุ ผ่านปกหลังด้านในออกมา ชายหนุ่มดีใจมากจึงลดพลังงานลงพร้อมดึงดูด แผ่นกระดาษนั้นลอยมาในมือเขา แปลกแผ่นด้านหลังปกหนังสือก็ยังราบเรียบ เหมือนเดิม เขาพลันคลี่กระดาษแผ่นนั้นออกมาอ่านซึ่งเป็นรอยพับไว้ขนาด เท่ากับหนังสือพอดี ในข้อความระบุถึงพลังงานอำนาจจิตหรือโทรจิตสามารถ ที่จะสื่อสารไปกับสัตว์ต่างๆได้ หากรู้จักแนวทางในการใช้นั้นให้ถูกต้อง เหมาะเจาะกับภาษาสัตว์ต่างๆได้อย่างสมดุลย์กัน อาศัยพลังงานด้านโทรจิตให้ เป็นสื่อสัญญาณในการติดต่อไว้ ชายหนุ่มจึงเริ่มต้นค่อยๆฝึกซึ่งอำนาจระบุไว้ ว่าการใช้พลังงานทางด้านโทรจิตนั้นล้วนแล้วขนาดของสัตว์นั้นๆ หากใช้ เกินไปจะทำให้สัตว์นั้นถึงตายได้ ผู้ใช้จึงต้องระมัดระวังพลังงานให้สมดุลย์ เหมาะสมพอดีเท่านั้น มิอาจมากหรือน้อยไปได้ควรต้องศึกษารูปร่างอีกด้วย ดังนั้นชายหนุ่มมองกระดาษที่อยู่ในมือมีอยู่สามแผ่น แบ่งแยกขนาดปริมาตร ของบรรดาสัตว์ทั้งหลายไว้ ด้วยความดีใจเขาจึงเริ่มต้นค้นคว้าศึกษาตั้งแต่หน้า แรก เนื่องจากชายหนุ่มมีพลังงานในตัวอยู่มากมายและสามารถควบคุม พลังงานนั้นได้ด้วยตามใจนึก เพียงไม่ช้าเขาก็สามารถเข้าใจและอ่านหนังสือ เหล่านี้จนจบทั้งสามหน้า แต่ละวรรคตอนได้กำหนดขนาดของพลังงานไว้ ตามลักษณะขั้นตอนของสัตว์นั้นๆ เวลาผ่านไปไม่นานเขาก็ฝึกฝนจนสำเร็จ หมดสิ้น เขาค่อยๆแยกพลังงานในร่างกายเขาเก็บไว้ในส่วนต่างๆของร่างกาย เขา หากเขาต้องการใช้กับสัตว์ประเภทใด เมื่อฝึกสำเร็จแล้วก็นำกระดาษนั้น ไปวางทาบยังหลังปกหนังสือด้านหลังพลางค่อยๆใช้พลังงานส่งกระดาษที่วาง เรียงไว้แล้วถ่ายทอดพลังงานลงไปในกระดาษกับปกหลังหนังสือ กระดาษทั้ง สามแผ่นก็ค่อยๆแทรกหายไปในหนังสือเหมือนดังเดิม ชายหนุ่มนึกทบทวน วิชาโทรจิตส่งสัญญาณกับสัตว์แบ่งวาระขนาดได้อย่างแม่นยำ เพียงขาดการ จะทดลองของจริงเท่านั้น เขาจึงก้าวออกมาจากห้องเวลาก็ผ่านใกล้พลบค่ำไปแล้ว เขารำพึงในใจว่าจะ ทดลองในวันพรุ่งนี้ตอนเช้าดีกว่า ด้วยช่วงนี้กับช่วงเย็นมักจะมีพวกนกต่างๆ มาในสวนหลังบ้านเขา ถึงแม้ว่าบ้านเขาจะไม่ใหญ่นักแต่ก็ปลูกต้นไม้นาๆชนิด ไว้ทั้งเล็กและใหญ่ พวกนกต่างๆมักจะมาหาอาหารกันในช่วงนี้เป็นประจำ อีกทั้ง บ้านเขาก็ไม่ห่างไกลจากท้องทะเลมากนัก ครั้นแล้วเขาก็รีบไปทาน อาหารที่ทางแม่ม่อมจัดวางไว้ ซึ่งแม่ม่อมก็ยังนั่งคอยเขาอยู่ครั้นเห็นชายหนุ่ม ออกมา ก็รีบลุกขึ้นยืนทันทีเพื่อทำหน้าที่เสริฟย์อาหาร ชายหนุ่มทดลองอ่าน ใจของแม่ม่อมว่ากำลังคิดอะไร ก็หัวร่อทันทีด้วยเป็นเรื่องส่วนตัวของแม่บ้าน เขาเองจึงไม่กล่าวอะไรให้แม่ม่อมรู้ว่าเขาอ่านจิตใจหล่อนออกเสียแล้ว ด้วย แม่บ้านเขาเมื่อรับใช้เขาเสร็จก็จะออกเดินทางไปข้างนอก เพื่อไปยังตลาดและ จะรีบไปสั่งเด็กรับใช้ให้คอยติดตามหล่อนไปด้วย พร้อมซื้อของส่วนตัวด้วย ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่กล่าวอะไรอีก รีบรับทานอาหารให้เร็วครั้นเสร็จ แล้ว ก็หันไปทางแม่ม่อมพร้อมควักเงินจากกระเป๋ามาส่งให้แม่ม่อมปึกใหญ่ เพื่อหล่อนจะได้เป็นค่าใช้จ่ายในการซื้อของส่วนตัวและของใช้ภายในบ้านนี้ ด้วยเขาทราบว่า แม่ม่อมกำลังกังวลเรื่องเงินที่จะไปใช้จ่ายว่าจะคงไม่พอและ ได้ของมาน้อยต้องเสียเวลา ครั้นจะเบิกเงินก็ดูกระไรอยู่ เล่นเอาแม่ม่อมสะดุ้ง เพราะชายหนุ่มเอาเงินมาส่งให้เหมือนกับจะรู้ความในใจหล่อน “เอาไปเถอะแม่ม่อม เงินที่เหลือคงจะไม่พอและอีกอย่างหนึ่งของที่แม่ม่อม ต้องการนั้นคงเกรงว่าจะไม่เพียงพอกับค่าอาหารในคราวต่อไป เงินจำนวนนี้คง จะเพียงพอนะ หากขาดเหลืออะไรไม่ต้องเกรงใจหรอกบอกได้เลย” เล่นเอาแม่ม่อมถึงกับอ้าปากค้างอะไรๆช่างเหมาะเจาะเช่นนี้ คุณชายรู้ได้ อย่างไรกันว่าหล่อนกำลังต้องการเงินเพิ่ม “เจ้าค่ะ???...เงินขนาดนี้คงพอและจะเหลืออีกนะเจ้าค๊ะ” “ที่เหลือแม่ม่อมเก็บไว้ซื้อของใช้ส่วนตัวที่แม่ม่อมต้องการก็แล้วกัน เท่านี้นะ ผมจะออกไปเดินเล่นในสวนสักหน่อย” “เจ้าค่ะ นี่ก็เย็นมากๆแล้วควรไปดูพระอาทิตย์อัสดงมิดีหรือเจ้าค๊ะ อากาศ กำลังเย็นสบายอยู่ด้วยล่ะ” “อืมมๆๆๆๆจริงซินะ ในสวนก็คงจะมืดไป งั้นผมไปก่อนนะแม่ม่อมจะไป เดินเล่นชายหาดสักหน่อย” “เจ้าค่ะ!!!!!.....ประเดี๋ยวดิฉันจะเอานางเล็กไปข้างนอกเหมือนกัน เพราะ ตอนนี้อากาศยังไม่มืดเท่าใดนัก เป็นเวลาที่พวกแพปลาเขานำของมาขายแล้ว คุณชายจะทานอะไรเพิ่มเติมหรือเปล่าเจ้าค๊ะ” “ไม่หรอกจ้าแม่ม่อม ซื้อของตามใจแม่ม่อมก็แล้วกันของใช้ส่วนตัวของแม่ ม่อมด้วยนะ เดี๋ยวลืมไปเสียล่ะ” แล้วชายหนุ่มก็หัวร่อเบาๆ พลางก้าวเดินออกจากประตูบ้านไม่กล่าวอะไร อีก เล่นเอาแม่ม่อมยิ่งงงมากยิ่งขึ้น คุณชายรู้ได้อย่างไรว่าเราจะไปซื้อของใช้ ส่วนตัวที่ขาดอยู่ด้วย จึงมองไปยังร่างชายหนุ่มจนร่างลับสายตาไป ก็รีบ กระวีกระวาดเรียกเด็กรับใช้ให้มาหา เพื่อจะออกไปซื้อสิ่งของต่างๆ เช่นเดียวกัน ด้วยระยะทางไกลพอสมควรจะมืดเสียก่อน ร่างชายหนุ่มเดินทอดน่องไปตามทางครั้นถึงบริเวณชายหาดก็เดินลงไป ยังน้ำทะเล ก็แลเห็นฝูงนกนางนวลกำลังบินกันเป็นทางยาวเพื่อกลับสู่รัง จะมีบ้างบางตัวที่มุ่งหน้าหาปลากินอยู่ ชายหนุ่มใคร่จะทดลองการสื่อสาร กับสัตว์ทางโทรจิตว่าจะได้ผลประการใดบ้างด้วยพึ่งฝึกมาใหม่ๆ จึงมองไปยัง นกนางนวลที่ใกล้ที่สุด พลางเอ่ยถามทางโทรจิตทันที “เป็นอย่างไรจ๊ะแม่นก ทำไมยังไม่กลับอีกล่ะเห็นพวกๆกำลังกลับกันแล้ว” นกนางนวลสะดุ้งสุดตัวมองซ้ายแลขวาไม่เห็นใครนอกจากชายหนุ่มที่อยู่ชาย หาดเพียงคนเดียว ที่ยืนแช่น้ำอยู่จ้องมาทางแม่นกนั้น ก็หันมามองดู พลาง มองด้วยความสงสัย ว่าใครมาถามเพราะว่าพวกมันก็บินห่างไปไกลแล้ว เหลือเพียงมันตัวเดียว และอีกไม่กี่ตัวก็อยู่ห่าง มีแต่ชายคนนี้ที่ใกล้ที่สุด “ฉันเองแหละจ้าที่ยืนแช่น้ำอยู่นี่แหละ เป็นอย่างไรหากินวันนี้ไม่พออีกหรือ เดี๋ยวจะไม่ทันพวกๆแม่นกนะ” คราวนี้แม่นกนางนวลก็แน่แก่ใจ จึงบินร่อนมาใกล้ๆแต่ยังไม่กล้าเท่าใดนัก “มาเถอะจ้า ฉันไม่ทำอะไรแม่นกหรอกเพียงสงสัยเท่านั้นเองแหละ” คราวนี้แม่นกแน่แก่ใจแล้วว่าคนที่พูดกับหล่อนคือชายหนุ่มคนนี้นี่เองแต่ ก็แปลกใจที่ทำไมถึงรู้ภาษาของหล่อนได้ดี พลางร้องแล้วตอบว่า “เพราะฉันต้องหาให้มากๆจ้าเพื่อจะนำไปฝากลูกๆฉันที่รอคอยอยู่จ้า” “อ้อๆๆๆ....อย่างนี้หรืองั้นฉันไม่รบกวนแม่นกนะ เชิญเถอะจ้าแม่นก” “แล้วท่านรู้ภาษาฉันได้อย่างไรกันจ๊ะ” “ฉันรู้ได้ก็แล้วกันนะจ๊ะ อย่าสงสัยอะไรเถอะ ฉันออกมาเดินเล่นเท่านั้นเอง พอดีเจอแม่นกที่อยู่ใกล้ที่สุดนี่แหละ จึงสงสัยคิดสนทนาด้วย” ครั้นแล้วแม่นกก็บินมาเกาะบนไหล่ของชายหนุ่มพลางเอียงคอด้วยความ สงสัยเพราะว่าหล่อนรู้แล้วว่าชายคนนี้ไม่เป็นภัยแก่หล่อนแน่นอน “เดี๋ยวจะมืดค่ำเสียก่อนจ้า โน่นๆฝูงปลาอยู่ไม่ไกลนักแม่นกลองไปดูเถอะจ้า เดี๋ยวมันจะหนีไปหมดแล้วล่ะ” แม่นกหันไปมองตามที่ชายหนุ่มชี้มือก็เห็นฝูงปลาฝูงหนึ่งกำลังเล่นน้ำอยู่ เหนือผิวน้ำ ดังนั้นจึงหันมาทางชายหนุ่มกล่าวว่า “ขอบใจมากจ้า ฉันไปก่อนนะเดี๋ยวได้อีกสักไม่กี่ตัวก็จะรีบไปให้ลูกๆที่คอย อยู่จ้า เอ๊ะฉันตั้งแต่เกิดมาก็พึ่งได้ยินว่าคนสามารถพูดภาษาฉันได้ก็คราวนี้เอง” ชายหนุ่มหัวร่อเบาๆ พลางเอื้อมมือไปลูบบนหัวนกพลางเอ่ยว่า “ไปเถอะจ๊ะฝูงปลามันพูดกันว่าจะกลับกันแล้ว เดี๋ยวจะไม่ทันนะ” “อย่างนั้นฉันไปก่อนนะ ไว้วันหน้าจะแนะนำพ่อนกให้รู้จักท่านอีก เดี๋ยวไม่ ทันฝูงปลานั้น” “จ้าไปเถอะเดี๋ยวจะไม่ทันนะแม่นก เอาแค่พอประมาณก็พอ” “จ้าขอบใจพ่อหนุ่มมากจ้า ฉันไปล่ะ” แล้วแม่นกก็ผละจากไหล่ชายหนุ่มพุ่งร่างไปยังเบื้องหน้าที่มีฝูงปลากำลังร่า เริงอยู่ พลางเฉี่ยวแล้วรีบกลืนลงท้องจนเห็นว่าเพียงพอแล้วจึงได้รีบบินจาก ไป เมื่อชายหนุ่มทดลองวิชาเห็นผลดังนั้นก็มีความดีใจมากที่การฝึกของเขา สำเร็จ เป็นโอกาสพอดีว่าตั้งใจจะทดลองในวันรุ่งขึ้นเห็นว่าคงจะไม่ต้องแล้ว ดังนั้นชายหนุ่มจึงเดินชมวิวไปเรื่อยๆ และมองพระอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้า อากาศเริ่มขมุขมัว เขาจึงหันหลังกลับเดินเข้าบ้าน ก็พบแม่ม่อมกับเด็กสาวชื่อ เล็กกำลังช่วยกันหิ้วของพะรุงพะรัง แต่ชายหนุ่มลัดเลาะไปอีกทางเพื่อเข้าบ้าน เพื่อทบทวนวิชาที่พึ่งร่ำเรียนสำเร็จใหม่ๆ นี่ดีนะที่เขาแบ่งพลังงานไว้ตามใจ นึกได้สำเร็จ ก็คิดว่าเขาจะออกเดินทางเมื่อใดดีและทางนี้เขาไม่ห่วงอยู่แล้ว ด้วยยังมีพี่ชายเขาคอยดูแล จึงเดินเข้าห้องพลางร่างจดหมายถึงคุณพ่อคุณแม่ว่า เขาจะออกเดินทางไม่ต้องห่วงแล้วหากงานสำเร็จเรียบร้อยจะกลับมา แต่เขาไม่ บอกว่าไปทำงานอะไร ซึ่งเขาก็ทราบจิตใจพ่อแม่ดีอยู่แล้วว่าคงจะไม่ห่วงเขา นักด้วยเชื่อใจเขานั่นเอง เมื่อร่างจดหมายเรียบร้อยแล้วก็ใส่ซองไว้บนหิ้ง หนังสือ ว่าจะฝากให้แม่ม่อมเวลาเขาออกเดินทางไป แต่ทิศทางที่เขาจะไปนั้น จะตรงกันข้ามกับ เพื่อนพวกนักโบราณคดีกำลังวางแผนกันจะออกเดินทาง ชายหนุ่มคิด เขาจะมุ่งเป้าไปที่เนปาลก่อน เพราะที่นั่นมีศาสนสถานมากมาย โชคดีอาจจะพบดวงแก้วก็อาจจะเป็นไปได้ ชายหนุ่มคิดคำนึงการผจญภัยของ เขาครั้งนี้ยังไม่รู้ว่าจะเป็นประการใดดี หากไม่พบก็จะเลยขึ้นไปธิเบตแล้วล่อง ลงมายังเผ่านาคาซึ่งที่นี่เขาไม่แน่ใจนัก ถึงแม้จะมีเชื้อสายเผ่าอินคาก็ตาม ด้วยชนพวกนี้หันกลับมานับถืองูเป็นส่วนมาก ดังนั้นดวงแก้วนี้คงจะไม่อยู่ ด้วยแน่นอนเพราะพลังงานเหล่านี้ บรรดางูทั้งหลายจะเกรงกลัวยิ่งนัก ตามข่าว สารคดีเผ่านี้ก็ล้วนแต่นับถือพวกงูอยู่และ พวกงูยังอาศัยในบ้านเหล่านี้อีกด้วย ที่ที่เขาคิดว่าน่าจะไม่ที่ประเทศเนปาลก็คงจะเป็นที่ธิเบตมากกว่า การเดินทาง ของเขาหากเขาจะอาศัยพลังงานในการล่องลอยไปก็จะเป็นที่สงสัยแก่คนทั้ง หลาย จึงคิดที่จะเริ่มต้นเดินทางผ่านป่าทางด้านทิศเหนือลัดเลาะผ่านพม่าแล้ว วกเข้าประเทศอินเดียมุ่งสู่ประเทศดังกล่าวเห็นจะดีกว่าจะเดินทางโดย เครื่องบินเพราะต้องเสียเวลาเช็คคนเข้าเมืองอีก เรื่องการตรวจสอบเขาคิดว่า ไม่เป็นปัญหาสำหรับเขาแน่นอน หรือบางครั้งอาจจะได้พบวัตถุอีกชิ้นที่เขา เองก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร เพียงพบดวงแก้วก่อนแล้วเรื่องนั้นค่อยว่ากันที่หลัง เขาคิดเช่นนั้น จึงตั้งใจว่าหากการฝึกการเรียนรู้ภาษาสัตว์ได้คล่องแคล่ว กว่านี้ก็จะเริ่มออกเดินทางทันที จึงสะบัดศีรษะเบาๆแล้วเดินเข้าห้องไป เพื่อฝึกฝนวิชาการต่างๆให้คล่องแคล่วมาขึ้น พลังงานทางโลกเรานี้กับ พลังงานสถานที่ลี้ลับนี้จะเข้ากันได้อย่างไรกันหรือไม่ นี่คือสิ่งที่เขาคิด บางครั้งหรืออาจจะเป็นไปได้ว่าพลังงานในสถานที่ลี้ลับที่เขาจะเดินทางนี้ คงจะทรงพลังสูงกว่า ถ้าถึงตอนนี้เห็นที่จะต้องเริ่มต้นประสานกันใหม่อีก เป็นแน่แท้ จริงอยู่พลังงานในร่างกายเขาจะมีมากมายก็ตามหากไปพบกับ พลังงานในอีกที่หนึ่ง อาจจะอ่อนด้อยก็เป็นไปได้ แต่เขาก็เชื่อในบันทึกที่ เขาได้รับจากชายสามคนที่ตกทอดสืบกันมาว่าสามารถที่จะทำได้อย่าง แน่นอน มิฉะนั้นคงไม่ติดตามหาตัวเขาและก็แปลกที่ดวงแก้วทั้งสอง คือดวงแก้วสุริยันต์จันทราก็ยินยอมและอยู่ในร่างกายเขาอีกด้วย จึงเพิ่ม ความมั่นใจแก่ตัวเขามาก เขาคิดว่าด้วยความรู้เกี่ยวกับพลังงานต่างๆนี้ อาจจะช่วยเหลือเขาได้ไม่มากก็น้อย หากได้ดวงแก้วอีกดวงซึ่งมีอิทธิฤทธิ์ มากกว่าดวงแก้วสองดวงนี้แล้วไซร้ พร้อมกับได้วัตถุอีกชิ้นหนึ่งคงจะไม่ สร้างปัญหาใดๆแก่เขามากนัก ชายหนุ่มยิ้มกับตัวเองอาทิตย์หน้าเขาคงจะ เริ่มออกเดินทางได้แล้ว ส่วนพวกนักโบราณคดีนั้นเขาสังหรณ์ใจว่าจะต้อง มาพบกับเขาในอีกมิติหนึ่งอย่างแน่นอน หรือว่าวัตถุชิ้นนั้นยังถูกเก็บไว้ใน ท้องมหาสมุทรแอตแลนติคอยู่ แต่ช่างเถอะขอให้เขาพบดวงแก้วนี้เสียก่อน เรื่องอื่นค่อยมาคิดภายหลัง ดังนั้นเมื่อคิดปลงได้เช่นนี้เขาก็เอนกายลงบน ที่นอนแล้วทบทวนวิชาการต่างๆด้วยความคล่องแคล่วว่องไวแล้วผลอยหลับ ไปเมื่อไหร่ไม่รู้ตัว ครั้นถึงวันใหม่ย่างเข้ามาเขารีบตื่นแต่เช้าแล้วออกไปเดินชมสวนซึ่งมีดอก ไม้ต่างๆส่งกลิ่นหอมทำให้อารมณ์เขาสดชื่น และได้พูดคุยกลับพวกแมลงที่ กำลังเชยชมเกสรดอกไม้เพื่อค้นหาน้ำหวาน อย่างสนุกสนาน ตลอดจนนก ต่างๆอีกด้วย ตอนแรกพวกแมลงและนกต่างตกใจกันไปตามๆกัน แต่เขา บอกว่าไม่เป็นไร ฉันไม่ทำอันตรายพวกเธอหรอก เพียงอยากจะสนทนา เท่านั้นเอง แต่กว่าจะเข้าใจกันได้ก็ใช้เวลานานเหมือนกันถึงจะไดด้ความ ไว้วางใจกัน ซึ่งการกระทำเช่นนี้เพื่อที่จะให้เกิดความชำนาญในวิชาการมาก ยิ่งๆขึ้นไปกว่าเดิม จนเขาสามารถรับรู้ภาษานกและแมลงต่างๆได้เป็นอย่างดี ในขณะที่เขากำลังเพลิดเพลินอยู่นี้ มีนกตัวหนึ่งบอกแก่เขาว่ามีคนเดินทางมา ด้านนี้ เขาจึงหันหน้าไปมองเห็นร่างของพี่ชายกำลังเร่งรีบเดินมาหาเขาอย่าง รีบร้อนนัก ดังนั้นจึงเอ่ยปากถามขึ้นว่า “มีอะไรหรือครับพี่วัฒน์ถึงได้เร่งรีบเช่นนี้” “ไอ้ห่า!!!!!...ตามหาตั้งนานดีนะแม่ม่อมบอกว่ามาเดินเล่นในสวน มีเรื่อง หนึ่งจะถามแกหน่อย” “เรื่องอะไรหรือ???...พี่วัฒน์ หรือ มีเรื่องร้ายแรงไหม???” “ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงหรอก เพียงแต่ ดร.รพีท่านให้มาถามว่าอะไรหรือที่ให้ นำติดตัวไปไม่ใช่โลหะ พี่เองคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออกตลอดจนคนเหล่านี้ ด้วย เพราะว่าเขาจะรีบออกเดินทางในไม่กี่วันนี้แล้วล่ะ” “อ้อๆๆๆ...เรื่องแค่นี้หรือนึกว่าเรื่องเกี่ยวกับคุณพ่อคุณแม่เสียอีก วัตถุที่ ผมบอกไปนั้นต้องมีความแข็งแกร่งแหลมคมไม่ใช่โลหะ พี่วัฒน์คิดไม่ออก จริงๆหรือ???...” “เออซิว๊ะ...หากคิดออกจะมาถามทำไม ปกติพี่เองก็ไม่สนใจเท่าใดแต่เกรง ใจ ดร.รพีเท่านั้น และไม่คิดจะร่วมไปด้วยอีกล่ะ” “เกรงใจ ดร.รพีหรือว่าเกรงใจ คุณ พัชรา ใช่ไหมล่ะพี่” “ไอ้นี่วอนเสียแล้วซิ เออๆๆๆทั้งสองอย่างแหละว๊ะ” “แล้ว คุณพัชราจะร่วมเดินทางไปด้วยหรือไงถึงเป็นห่วงใยมากเช่นนี้” “ก็เพราะว่าคุณพัชราเขาโทรฯมาหานะซิ ให้มาถามเอ็งด้วยเพราะพวกเขา คิดกันไม่ออกโว้ย!!!!.....” “มันมีตั้งหลายอย่างว๊ะ ไม้ก็ไม่ใช่โลหะ กระดูก แก้ว เขาสัตว์ก็ไม่ใช่เพราะ ไม่มีความแข็งแกร่งอีกด้วย บอกมาเถอะยิ่งพูดยิ่งงงว๊ะ???...”.................. ๐ แก้วประเสริฐ. ๐
* แดนพิศวง ๑๐ * (เสาะค้นวิธีการแก้ไข) หลังจากที่หนุ่มนิรุทธ์กล่าวจบ ก็จะลุกขึ้น แต่ถูกคัดค้านจาก ดร.สุเมธ “จะรีบไปไหนล่ะคุณ นิรุทธ์ ตามที่คุณอธิบายมานั้นพวกผมหายข้องใจ ต่อหนังสือและแผนที่ลายแทงนั้น แต่มีข้อหนึ่งคือว่า บริเวณหมู่เกาะแคริเบียน นั้นเหตุใดจึงไม่ค่อยเกิดพายุทอนาโทเหมือนกับแถวอเมริกาเสียล่ะ พ่อหนุ่ม พอจะรู้บ้างไหม??...” ดังนั้นชายหนุ่มก็นั่งต่อพร้อมอธิบายตามที่เขาเข้าใจ พลางเอ่ยปากขึ้นว่า “ตามความเห็นผมนะครับท่าน เพราะว่าเป็นดินแดนอยู่ใกล้เส้นศูนย์กลาง ของโลก อีกประการหนึ่งประเทศนี้สะสมพลังงานนิวเครียสเป็นพลังงาน ที่สอดคล้องกับ พลังงานที่เหลือไว้ในใจกลางใมหาสมุทรแอตแลนติค ผสาน กับกระแสลมพลังงานเมื่อเกิดขึ้น อันเป็นผลกระทบกันและเป็นทางสายลม ที่พัดเข้าฝั่งยังแผ่นดินกว้างใหญ่เป็นประเด็นหนึ่ง จะเกิดพลังหมุนเวียนอาจ บางครั้งอาจจะนำไปสู่ยังอีกมิติหนึ่ง ฉะนั้นการค้นคว้าจึงไม่พบวัตถุที่ถูก ดึงดูด เช่นเหล่าเครื่องบิน เรือ หรือสิ่งบางอย่างเป็นต้น อีกประเด็นหนึ่งพลังงานในทวีปอเมริกากับพลังงานของมหาสมุทรอยู่ใน ลักษณะคล้ายคลึงกัน ดังนั้นพลังงานจึงเข้ากันได้และมักจะเกิดแถวแนวฝั่ง เมอร์บิวด้าเพราะเป็นจุดของสามเหลี่ยมนี้ที่รวมกันก็อาจจะเป็นไปได้ครับท่าน เพราะประเทศนี้มีโรงงานพลังนิวเคลียร์ไว้มากๆและค่อนข้างใกล้ ไปทางพลังงานที่ก่อกำเนิดขึ้นจากมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไพศาล พลังงานทั้งสองจึงเข้ารวมตัวกัน นี่เป็นความคิดเห็นผมนะครับ จึงเกิดการหมุนเวียนมักเกิดเป็นพายุทอนอโดขึ้นมากกว่าประเทศอื่นๆตลอดจน กระแสน้ำที่หมุนเวียนย่อมเข้าหาฝั่งทางด้านผืนแผ่นดินนี้อีกด้วยครับ” “ข้อนี้ผมก็คิดเหมือนกันแต่คิดไปเกี่ยวกับลมบกลมทะเล เมื่อมหาสมุทรอัน กว้างใหญ่ไพศาลมากเท่าไหร่การหมุนของคลื่นและลมย่อมมากเท่านั้น แต่ไม่ คิดว่าจะมีมากและแทบจะเป็นประจำเสียด้วยเฉพาะประเทศนี้ครับ” “เหมือนประจุไฟฟ้าของขั้วบวกลบแหละครับ ย่อมจะเข้าหากันเสมอๆครับ หากพลังงานใดมีมากทัดเทียมกันย่อมเข้าหากันและกัน เป็นธรรมดาครับท่าน เท่านี้นะครับท่าน ผมจะไปทำธุระในห้องผมหน่อยครับ เพื่อค้นคว้าบางอย่างครับ” “คุณกำลังค้นคว้าอะไรอีกหรือพ่อนิรุทธ์” ดร.รพีเอ่ยถาม พร้อมมองหน้าเขา ก็เห็นเพียงรอยยิ้ม แต่ทว่าการยิ้มของเขานั้น ทำให้สาวพัชราถึงกับถอดหายใจเฮือกใหญ่ เพราะสองแก้มเขามีรอยบุ๋ม สร้าง เสน่ห์ไปในรูปแบบหนึ่งรับกับใบหน้าที่หล่อเหลาอีกด้วย จวบจนชายหนุ่มยืนขึ้น “เดี๋ยวก่อนซิพี่อนุรุธน์ เสร็จก็จะรีบไปเลยหรือ????..” “มีอะไรหรือครับคุณพัชรา หากไม่มีอะไรผมจะรีบไปครับ” อะไรหรือหล่อนก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเรียกสอบถามเขาในเรื่องอะไร เพราะเหตุใด???... “พัชอยากทราบว่าทำไมคุณรอบรู้มากมายนัก ขอโทษนะค่ะว่าเรียนหนังสือจบ ชั้นใดกันแน่จึงทำให้พัชสงสัยนัก” “อ้อๆๆ...ผมเรียนจบปริญญาเอกทางวิทยาศาสตร์ด้านพลังงานต่างๆ ของจักรวาลและดาราศาสตร์อีกด้วย ส่วนทางด้านธรณีวิทยา และด้านโบราณคดีเพื่อประดับความรู้เท่านั้นเองแหละครับครับคุณ ส่วนด้านชีววิทยาก็ศึกษามาแต่ไม่จบครับ ด้วยผมชอบทางด้านพลังงาน มากกว่าของทางจักรวาลและทางดาราศาสตร์ครับคุณพัช” ดร.สุเมธและดร.รพีตลอดทุกๆคน หันหน้ามามองเขาทันทีด้วยความสงสัย หมายความว่าชายหนุ่มคนนี้ก็เป็นถึงดอกเตอร์เหมือนพวกเขาด้วยซินะ ซึ่ง เขาไม่ทราบจากคุณนิวัฒน์มาก่อนเลยว่าน้องชายสำเร็จการศึกษาถึงขั้นนี้ “แล้วเรียนจบจากที่ไหนหรือพ่อนิรุทธ์” ดร.สุเมธถามด้วยความสงสัย???....ดร.รพี โกเมศ และพัชราก็หันมามองหน้าเขา “จากประเทศอเมริกา รัสเซีย และญี่ปุ่นตลอดจนอีกหลายประเทศอีกด้วยครับ ก่อนนั้นทางองค์การนาซ่าสนใจผมมากส่งหนังสือมาติดต่อผม แต่ผมไม่ สนใจงานวิจัยของเขาครับ หากจะทำก็จะเกิดปัญหามากมายขึ้นไม่เป็นตัว ของตัวเองครับ สู้ออกมาค้นคว้าจากแหล่งต่างๆเพิ่มเติมจะดีกว่าครับ” “โอ้ว!!!????....เรียนจบขนาดนี้แล้วไม่คิดหางานทำเลยหรือ แปลกจริงๆ “เพราะฐานะด้านการเงินคุณพ่อคุณแม่สร้างไว้ให้ผมแยะครับท่านตามใจผม อีกด้วย เนื่องจากผมไม่ชอบงานทางด้านธุระกิจการค้าประการหนึ่ง อีกประการ หนึ่งผมชอบค้นคว้าทางด้านภูมิศาสตร์อีกด้วยจึงไม่คิดจะทำงานครับ” “ใช่ครับคุณอา เจ้ารุทธ์มันเรียนจบจากเมืองนอกมา ผมก็พึ่งรู้ว่ามันสำเร็จ มาหลายแขนง เพียงได้ยินคุณพ่อบอกว่ามันยังได้เกียรตินิยมทุกวิชาอีกด้วย ผิดกับผมไม่ค่อยชอบการเรียน เพียงจบแค่เมืองไทยเท่านั้นก็พอแล้วไม่รู้ว่าจะ เรียนกันไปทำไมครับ เงินทองกินใช้ทั้งชาติก็ไม่หมด” “นั่นซิคุณรุทธ์ถึงได้รอบรู้มากจริงๆ ผมนึกว่าแค่เป็นหนอนหนังสือเท่านั้น” “หากไม่มีอะไรผมขออนุญาตขอตัวก่อนนะครับ เพราะมีธุระต้องรีบทำครับ” กล่าวจบไม่ฟังอะไรทั้งสิ้นรีบลุกขึ้นยกมือไหว้ ลาทุกๆคนยืนขึ้นก้าวออกมา พร้อมออกเดินเข้าไปในห้องของเขาทันที คงปล่อยให้พวกนั้นวิจารณ์กันต่างๆนา เพราะเขารู้ในใจเหล่านี้ว่าจะต้องถามอะไรจากเขาอีก ซึ่งเขาไม่ต้องการตอบปัญหา เพื่อตัดปัญหาโดยเฉพาะหญิงสาวพัชรา อีกอย่างหนึ่งเขาขณะกำลังอธิบายอยู่ ความคิดหนึ่งแว๊ปเข้ามาเรื่องเกี่ยวกับเวทย์มนต์ต่างๆในอีกมิติหนึ่งนั้นเกี่ยว กับพลังงานธรรมชาติ ที่ชายทั้งสามตลอดจนหนังสือแจ้งเอาไว้อีกด้วย หากพ่อมดและเจ้าโหราธิบดีรู้เวทย์มนต์ก็ต้องรู้ด้านพลังงานไปด้วยและต้อง ใช้ประกอบกันจึงจะมีอนุภาพที่รุนแรง เขาจึงหาวิธีแก้ไขให้ได้เสียก่อน อีกประการหนึ่งเขาต้องการศึกษาเกี่ยวกับวิชาเวทย์มนต์จากศาสนาต่างๆ อีกด้วย เพื่อจะนำมาเปรียบเทียบกันว่าสิ่งใดจะสามารถช่วยเหลือเขาได้ ซึ่งปกติแล้วเขาจะไม่ค่อยสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้เท่าไหร่นัก แต่นี่เหตุการณ์ มาบังคับเขา หากเขาไม่รู้ก่อนก็จะพลาดพลั้งในภายหน้าได้อย่างแน่นอน ครั้นเข้ามาในห้องแล้วก็ลั่นกลอนไว้ทันที พร้อมรีบค้นคว้าเวทย์มนต์ ของชาวอียีปต์ก่อนเมื่ออ่านทบทวนแล้วหาได้อัศจรรย์ใดไม่ จึงไปยังศาสนา อื่นๆ จนมาสะดุดในศาสนาพุทธที่เกี่ยวข้องกับอภิญญาฌานแต่ไม่ได้ระบุไว้ เกี่ยวกับเรื่องเวทย์มนต์แต่อย่างใด และทำให้เขานึกถึงภิกษุสงฆ์ที่ตั้งตัวเป็น เกจิอาจารย์ล้วนใช้พลังงานทางจิตแต่ที่สำเร็จได้มักจะเป็นอภิญญาสิบเสียเป็น ส่วนมาก ส่วนศาสนาอิสลามก็ระบุไว้เช่นกันแต่ในหนังสือคัมภีร์กุรอ่านไม่ได้ ระบุไว้ เว้นแต่ศาสนาพุทธทางหินยานและมหายานที่กล่าวถึงเรื่องอำนาจที่แอบ แฝงในร่างกายมนุษย์ไว้ แต่เป็นแค่เพียงส่วนน้อยนิดเท่านั้นเอง จึงเริ่มค้นคว้าเกี่ยว อักษรต่างๆทั่วโลกและของโบราณไว้เพื่อจะได้ร่ำเรียนตำราต่างๆไว้เท่านั้น ดังนั้นเขาจึงเก็บหนังสือทั้งหลายยกเว้นด้านพุทธศาสนาซึ่งสอดคล้องกับ ทางด้านพลังงานจิตและพลังงานอื่นๆไว้อีกด้วย เขาเริ่มต้นนั่งสมาธิทันที ด้วย ที่เขามีพลังงานในตัวอยู่แล้วจึงเป็นสิ่งที่ไม่ยากเท่าใดนัก เขาก็ฝึกฝนจนสำเร็จ เมื่อฝึกฝนสำเร็จและหนังสือเกี่ยวกับเวทย์มนต์คาถาต่างๆก็สามารถจะลบล้าง อำนาจมืดหรือที่เรียกว่าไสย์ดำหากพลังงานทางด้านจิตมีมากก็สามารถลบล้าง อำนาจของพ่อมดได้เป็นอย่างดี หากเอาพลังงานแห่งโลกและจักรวาลเข้ามา ประกอบกับเวทย์มนต์ก็สามารถจะลบล้างกันได้ มีเรื่องหนึ่งจากหนังสือที่ได้ รับมานั้นเกี่ยวกับการร่ำเรียนรู้ภาษาสัตว์ต่างๆ ซึ่งเขาไม่ค่อยจะเข้าใจเท่าใดนัก จึงได้ฝึกฝนจากสัตว์แถวๆบ้านก่อน จนสามารถเข้าใจภาษาสัตว์ต่างๆได้เป็น อย่างดีสามารถพูดคุยกับสัตว์ต่างๆได้ถึงแม้จะไม่มากนัก แต่หากเป็นสิ่งที่เขา ไปและจะสามารถสนทนากันได้หรือไม่นี่คือข้อกังวลของเขจา การเรียนรู้ เช่นี้ทำให้ชายหนุ่มดีใจเป็นอย่างมากและเริ่มต้นทดลองก็ได้ผล เป็นที่น่าพอใจแก่ตัวเขาเอง เขานึกในใจว่าเขาพร้อมแล้วที่จะออกไป ต่อสู้กับอำนาจของพ่อมดและโหราธิบดีพร้อมสามารถหาวิธีการเพื่อแก้ไข ทำลายอำนาจการสาปของนครนั้นได้อย่างแน่นอน โดยอาศัยอำนาจของพุทธคุณ ประกอบกอบกับอำนาจของพลังงานแห่งจักรวาลอันลี้ลับนี้ผสมผสานกันและกัน ตลอดจนพลังงานในตัวของเขา และค้นหาสิ่งของอีกสองมามาเพิ่มเติมพลังงานเขา เพื่อมิให้พลังงานขาดช่วง จึงทดลองใช้อำนาจแห่งจิตบังคับวัตถุต่างๆให้ลอยไป ลอยมาได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว พร้อมลองใช้อำนาจในกายสร้างแสงพลังงาน พุ่งออกมาจากนิ้วมือตามใจบังคับอำนาจนั้นๆ ครั้นแล้วจึงตั้งสติสมาธิรวบรวม พลังงานภายในร่างกายเขาเพื่อใช้ทดชอาวุธต่างๆในโลกนี้ว่าจะได้ผลประการ ใด บัดดลก็มีลำแสงสีเขียวนวลพุ่งออกมาจากปลายนิ้วมือเขาไปยังสิ่งของและ วัตถุที่ต้องการทันที แต่ปราศจากเสียงระเบิดใดๆ เสร็จแล้วเขาก็ไปยังแจกันที่วาง ไว้ซึ่งยังคงสภาพเดิมอยู่พลางเป่าลมออกจากปากไปยังแจกันนั้น ทันใดแจกันนั้น ก็สลายเป็นผุยผงทันที เขาทดลองจากเล็กไปหาใหญ่ก็มีสภาพเหมือนกันคือเป็น ผุยผงหล่นกองไว้ เขาทดลองใช้พลังงานหนุนร่างกายเขาไว้ให้เกิดความเบาแล้ว วนเวียนไปรอบๆห้องได้อย่างคล่องแคล่วไม่ติดขัด จึงกลับมานั่งมองไปยังด้าน นอกซึ่ง เหล่านักโบราณคดียังกำลังถกเถียงกันเกี่ยวกับการเดินทางไป เขาหัวร่อ ในใจ นึกว่าการทำงานของพวกนี้อาจจะประสบสิ่งไม่คาดคิดอาจจะทำให้พวก เหล่านี้พบในสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เป็นไปได้อย่างสูง แล้วก็เอนกายลงนอนยังเตียงเขา เพื่อค้นคิดวิธีการเดินทางค้นหาสิ่งของสองอย่างคือ ดวงแก้วมรกตสีทองและของ อีกอย่างหนึ่งที่เขาไม่รู้เพียงทราบจากจิตว่าเป็นอาวุธร้ายแรงมากที่ทำลายอำนาจ ของพลังงานต่างๆได้เพราะเก็บพลังงานต่างๆไว้มากแต่จะเป็นอะไรเขานึกอย่างไร ก็นึกไม่ออก อีกประการหนึ่งเขาจะเริ่มเดินทางจากที่ใดก่อน นี่คือสิ่งที่เขาคิดมาก แล้วทางบ้านนี้ล่ะเขาจะบอกแก่คนในบ้านอย่างไรดี แต่ข้อนี้คงจะไม่เป็นปัญหา ยามที่เขาต้องออกเดินทางไปแต่นี้ไม่ใช่ประเด็นสำคัญนัก เพียงเขียนจดหมาย แจ้งไว้ให้คนในบ้านรู้เท่านั้น ทางนี้พี่นิวัฒน์ก็คงจะไม่ไปไหนหรอกแน่นอน แต่ที่สำคัญคือการไปสู่นครต้องสาปนั่นแหละคือสาเหตุสำคัญและจะ ไปโดยวิธีใดหรือ???.... หรือว่าต้องพึ่งพาอาศัยชายแปลกหน้าทั้งสามอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่ต้องการนักและก็รู้ด้วยพลังงานแห่งโทรจิตว่าชายเหล่านี้ก็คงจะไม่ รู้เช่นเดียวกัน เพราะว่าตอนนี้อำนาจพลังงานเขาจะสูงล้ำกว่าชายทั้งสามอย่างแน่นอน หรือว่าเขาจะไปหาพวกชายทั้งสามก่อนแล้วค่อยคิดที่หลังถึงการเริ่มต้นเดินทาง แต่นั่น มันหมายความว่าเขาต้องได้รับของสองสิ่งนี้มาก่อนเท่านั้น หรือว่าเขาต้อง ออกผจญภัยไปในที่ต่างๆด้วยตัวคนเดียวเสียแล้ว จึงหันไปยังที่เก็บหนังสือใช้ อำนาจพลังจิตด้วยการใช้อำนาจพลังงานในร่างกายเขา เพื่อเก็บหนังสือโดยการ ดึงดูดหนังสือที่เขาต้องการอันเป็นแผนที่ของนครนั้นมาตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูห้องนอนเขาก็ดังขึ้นพร้อมเสียงเรียกของ พี่ชายเขา ว่าแขกจะกลับกันแล้ว เขารีบใช้พลังงานส่งหนังสือนั้นไปเก็บซ่อน ไว้ดังที่เดิม เมื่อเห็นว่าเรียบร้อยดีแล้ว ดังนั้นเขาจึงเดินไปเปิดประตูห้องนอน พร้อมก้าวออกมา ยกมือไหว้ทักทายขึ้นกล่าวขอโทษที่ไม่ได้อยู่ร่วมสนทนาด้วย “คุณอาจะกลับแล้วหรือไม่ครับ ผมไม่ส่งนะครับให้พี่นิวัฒน์ไปส่งก็พอ” “ไม่เป็นไรหรอกคุณรุทธ์ พวกอาจะกลับแล้วล่ะขอบใจมากนะที่ให้ความ กระจ่างแก่พวกเรา คิดว่าจะทดลองค้นหาดูสักหน่อย อยากจะขอเชิญคุณไปด้วย ก็เกรงใจที่คุณบอกว่าจะไม่ร่วมงานครั้งนี้และมีงานอื่นๆที่จะต้องทำ” “ครับผมเองก็ต้องยังมีงานที่จะทำ บางทีเราอาจจะได้พบกันอีกนะครับ ผม เองสังหรณ์ใจเช่นนั้นครับ” “ถ้าเจอกันก็จะดีซินะ คุณช่วยอะไรๆพวกผมได้หลายๆอย่างเสียด้วยซี” “ผมต้องขอโทษด้วยครับ กำลังศึกษาบางอย่างอยู่ครับ” “อะไรหรือพ่อรุทธ์ที่ค้นคว้าอยู่นี่นะ” “บอกพวกคุณอาไปก็จะไม่เข้าใจหรอกครับหรืออาจจะหาว่าผมบ้าครับ” “ไม่หรอกน่า พวกอาไม่คิดเช่นนั้นหรอก” “จริงซิค่ะคุณพ่อ คุณนิรุทธ์ค้นคว้าหากไม่สำคัญคงไม่ทำหรอก” “เธอจะบอกได้ไหมว่าค้นคว้าเรื่องอะไร หากช่วยได้ก็จะได้ช่วยกัน” “เรื่องเกี่ยวกับเวทย์มนต์สมัยโบราณและปัจจุบันครับ ที่ใช้พลังงานจิต” คราวนี้พวกทั้งหมดยิ่งสงสัย???.. ครั้นจะถามก็เกรงจะเสียมารยาทไป อะไรนักวิทยาศาสตร์หนุ่มคนนี้ยังเชื่อถือเรื่องเวทย์มนต์คาถาอาคมโบราณ ในเรื่องนี้อยู่หรือ ต่างก็ทำหน้าพิกลต่างๆนาๆโดยคาดคิดมิถึง ว่าชายหนุ่ม คนนี้จะยังงมงายในเรื่องไร้สาระเช่นนี้อยู่อีก ชายหนุ่มอ่านใจของพวกนี้ ออกได้แต่หัวร่อเบาๆ พลางเอ่ยว่า “อันที่จริงศาสตร์นี้ไม่ใช่งมงายนะครับ แต่สมัยใหม่มักจะว่างมงายมัน เป็นเรื่องท้าทายมากครับ หากพวกคุณอาทดลองค้นคว้าก็จะทราบเอง แหละครับ ว่ามันแปลกและพิสดารเพียงใด เหตุใดจึงมีอำนาจขึ้นได้ครับ” “หรือๆๆๆหากมีเวลาจะทดลองดูเสียหน่อยนะ เอาล่ะไปก่อนนะ” “ถ้าอย่างนั้นผมส่งตรงนี้ก็แล้วกันนะครับให้เป็นหน้าที่ของพี่นิวัฒน์เอง ขอบคุณมากนะครับที่ ไม่ทำให้พวกคุณอาผิดหวังครับ อ้อๆ.... หากพวก คุณอาจะเดินทางตามที่ตั้งใจไว้ในแผนที่ละก็ ผมอยากจะบอกอะไรให้คุณอา และคณะทุกๆคนด้วยครับ ว่ายามประสบพบเหตุการณ์ดังกล่าวแล้วทุกๆอย่าง จะเข้าสู่วงจรนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นวัตถุใดที่ทำด้วยโลหะ จะถูกดึงดูดด้วยกระแส แม่เหล็กที่มีพลังงานอันสูง และคุณอาและพวกควรจะหาวัตถุชนิดหนึ่ง ซึ่งพลังงานเหล่านี้ไม่สามารถจะดึงดูดสิ่งเหล่านี้ได้ให้พกติดตัวไว้ตลอดเวลา จะใช้ในยามคับขันได้ แต่ของสิ่งนั้นต้องมีความแหลมคมมากๆด้วยนะครับ” กล่าวจบชายหนุ่มก็เดินเข้าห้องของเขาไป สร้างความงุนงงแก่บรรดานัก โบราณคดีที่หมายหมั่นจะออกเดินทางค้นหาสิ่งของเหล่านี้ และชายหนุ่มรู้ได้ อย่างไร???....ว่าพวกเขาวางแผนการณ์ในเรื่องนี้ไว้แล้ว แล้วอะไรหรือที่พลังงาน ไม่สามารถจะดึงดูดไปได้ คงจะไม่ใช่โลหะอย่างแน่นอน แล้วอะไรกันล่ะ????.... * แก้วประเสริฐ. *
แดนพิศวง ๙ (บันทึกลายแทง) ชายหนุ่มมองไปรอบๆแล้วพลางยกมือไหว้แขกที่มาทุกๆคน บรรดาแขกที่มาเยี่ยมต่างทึ่งในรูปร่างของชายหนุ่มไปตามๆกัน ประกอบร่างกายสูงสง่าแม้ผมเผ้าจะฟูก็ตามก็ดูมีสง่าราศรีมากว่า พี่ชายนัก เหมือนนักรบโบราณของต่างประเทศทีเดียว ด้วยร่างกาย ของเขาสูงใหญ่กว่าพี่ชายมากนัก สร้างความแปลกใจแก่ทุกๆคน จนอดไม่ได้ที่จะนึกชมในใจ ยิ่งสาวพัชรายิ่งแล้วถึงกับใจสั่นแอบ นึกชอบเขาอยู่ในใจอย่างบอกแก่ตัวเองไม่ถูกว่าเป็นเพราะเหตุใด จึงให้ความสนใจหนุ่มคนนี้เป็นพิเศษ ร่างเขาเดินเข้ามาหาทุกๆคน แล้วนิวัฒน์ก็เข้ามาเพื่อแนะนำน้องชาย พลางเอื้อมมือหมายไปจับ ตัวน้องชายพร้อมเอ่ยชื่อเขาแก่ นักโบราณคดีทั้งหลาย ก็ต้องร้องลั่นร่างเขากระเด็นออกมา แรงของการส่งร่างทำให้บรรดา เก้าอี้นั้นล้มระเนระนาดไปหมดพร้อมส่งเสียงร้องดังลั่น “โอ้ย!!!!ๆๆๆๆ....อะไรกันว๊ะ เฮ้ยๆๆๆ!!!!!?????......” ร่างของนิวัฒน์พลันกระตุกๆแล้วแน่นิ่งไป ทำให้ทุกๆคนแตกตื่นตกใจ เป็นอย่างมาก ต่างถลาเข้าไปยังร่างหนุ่มนิวัฒน์พลางเขย่าตัว เพื่อเรียกสติ ให้ฟื้นคืนกลับมา แต่พอดร.รพีจับต้องตัวของหนุ่มนิวัฒน์ก็ต้องสะดุ้งเฮือก พลางถอยหลังกลับมา ไม่ใช่เฉพาะ ดร.รพีเท่านั้นแม้แต่ทุกๆคนที่ถูกต้องตัว ต่างก็มีอาการเช่นเดียวกันมากบ้างน้อยบางของการเข้าไปใกล้ไกล ชายหนุ่มมองเห็นเช่นนั้นพลางนึกในใจว่าเขาลืมเก็บพลังงานของเขายาม ที่ได้ทดลอง ดังนั้นพลังงานเหล่านี้จึงวนเวียนในร่างกายเขา เป็นอนุภาคที่ ห่อหุ้มร่างกายของเขาไว้ วิ่งไหลวนเวียนไปๆมาๆรอบๆ พลังงานนั้นจึงแฝงไปในร่างกายพี่ชายเขา ชายหนุ่มจึงรีบไปยังร่างของพี่ชาย พร้อมจับร่างกายแล้ว พร้อมทั้งเก็บพลังงานที่วิ่งพล่านไปตามร่างกายของเขา ทั้งหมดไว้ในที่เก็บในสถานที่นั้น พร้อมจับไปยังร่างของพี่ชายเขาทันที พลาง ใช้อำนาจจิตผสานกับการดึงดูด ดึงพลังงานที่แฝงอยู่ในร่างกายพี่ชายกลับเข้าสู่ ร่างกายเขาทันที ไม่นานนักร่างหนุ่มนิวัฒน์ก็ลืมตาขึ้นพลางสั่นศีรษะไปๆมาๆ อย่างมึนงง พลางหันมองหน้าน้องชายและทุกๆคนอย่างประหลาดใจ ดังนั้นบรรดาคนทั้งหมดก็พยุงร่างของนิวัฒน์ให้เอนพิงฝาผนัง ครั้นทุกอย่าง คืนสู่ปกติ หนุ่มนิวัฒน์พลางหันหน้าไปถามน้องชายเขาด้วยอาการทั้งแปลกใจและ ตกใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทันที พลางร้องถามน้องชายว่า.... “เฮ้ยๆๆ...เจ้ารุทธ์ทำไมร่างแกมันถึงมีกระแสคล้ายไฟฟ้ามากมายนักว๊ะ เพียงพี่ยัง ไม่ได้จับถึงตัวแก่เลย ก็ถูกอะไรก็ไม่รู้ดันร่างกระเด็นออกมาหน้าวูบไป????” “อุปาทานกระมังพี่วัฒน์ ลองจับตัวผมอีกซิว่าปกติหรือเปล่าล่ะ...” “อุปาทานห่าอะไร????... แกดูซิร่างพี่กระเด็นจนเก้าอี้หักไปตัวหนึ่งนะ” “ผมว่าพี่จะเป็นลมกระมัง หรือทานเหล้ามากไปเลยเป็นเช่นนี้เอง” “เปล่านี้หว่า จริงๆนะไอ้รุทธ์วันนี้ข้าเพียงจิบนิดๆหน่อยๆเท่านั้น ปกติมากกว่า นี้ก็ไม่เห็นเป็นอะไรเช่นนี้เลยว๊ะ????...” “งั้นพี่ลองจับตัวผมอีกทีซิ ว่าจะมีเหตุการณ์เหมือนเดิมหรือเปล่าล่ะ” ดังนั้นหนุ่มนิวัฒน์จึงเอื้อมมือไปจับแขนน้องชายอีกครั้งเพื่อทดลองดู คราวนี้เขาสามารถจับแขนอันกำยำของน้องชาย ทำให้เขาถึงกับอ้าปากหวอ “ผมบอกแล้วว่าเกิดอาการกระตุกของเส้นเอ็นตอนมาจับผมและเกิด อุปาทานแน่เลย งั้นเดี๋ยวผมขอเวลาหน่อยนะ แล้วจะกลับเข้ามา ใหม่ขอเวลาชำระล้างร่างกาย พึ่งตื่นนอนมายังไม่ได้ล้างหน้าตาเลยพี่” “เออๆๆรีบไปรีบมานะโว้ย ผู้ใหญ่ท่านจะขอคำปรึกษาหน่อย เร็วๆหน่อยนะ อย่าต้องให้ผู้ใหญ่ท่านเสียเวลามากนัก” “ครับพี่ ผมจะรีบไปรีบมา พลางเหลียวไปรอบๆห้อง แล้วเอ่ยว่า ขอโทษทุกๆคนนะครับ แต่ควรไปห้องประชุมถัดไปดีกว่ากระมัง เพราะที่นี่คงไม่สะดวกเละเทะอยู่ ไม่สะดวกแก่พวกท่านนะ” ด้วยในบ้านนี้มีห้องประชุมเล็กๆเพื่อเวลาคุณพ่อคุณแม่จะประชุม เด็กๆคนงานต่างๆ ตลอดจนมอบหมายงานในบ้านไว้ ดังนั้นห้องจึงว่างเปล่า “เออๆๆๆจริงของแกว๊ะ งั้นเดี๋ยวรีบมาก็แล้วกันจะไปรอยังห้องข้างๆนะ” “ครับพี่ ผมจะรีบไปรีบมานะ” แล้วร่างชายหนุ่มก็หันหลังกลับไปยังห้อง อันที่จริงเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น เพราะว่าเขาไม่ได้หลับเลยกำลังคิดถึงเรื่องอนาคตที่จะเกิดขึ้นเท่านั้นและทดลอง พลังงานดูเป็นอย่างไร เมื่อเขาเข้าห้องไปแล้วก็ไปที่ยังห้องน้ำซึ่งอยู่ในห้องอยู่แล้ว ล้างหน้าตาหวีผมให้ดูเรียบร้อย ก็เดินออกมา ปรากฏว่าทุกๆคนไปรอเขาที่ห้อง ข้างๆเรียบร้อยหมดแล้ว ดังนั้นจึงเดินตรงเข้าไปเห็นทุกๆคนนั่งกันเรียบร้อย “หล่อจริงๆนะคุณพ่อ น้องชายคุณนิวัฒน์นี่ ทั้งสูงสง่ากว่าพี่ชายแยะเลย” “เงียบไว้ยายหนู เดี๋ยวเจ้าวัฒน์มันได้ยินเข้าจะไม่ดี และเจ้าโกเมศด้วยเพราะ พ่อมองดูแล้วว่าสนใจในตัวแกอยู่เหมือนกันนะ” “โอ้ยๆๆๆหนูไม่สนหรอกนอกจากเป็นเพื่อนเท่านั้นแหละคุณพ่อ มีคนมาสนใจ หนูก็มากมายและน่าตาดีๆกันทั้งนั้นหนูยังไม่สนใจเลยล่ะค่ะ” “ดีแล้วจบมาแล้วจะทำอะไรต่ออีกหรือเปล่าล่ะ???....” “คงจะขอพักสักระยะหนึ่งก่อนค่อยคิด แต่หนูคิดว่าคงหางานได้ไม่ยากนัก” “เออๆดีๆ อย่างนี้ซิถึงสมเป็นลูกของพ่อ แล้วจะเดินทางไปกับพ่อไหมล่ะ??” “ให้หนูคิดดูก่อนจ๊ะคุณพ่อ สงสัยจะอันตรายมากเสียด้วยซินะ” “คงจะเป็นอย่างนั้นนะ เพราะการเดินทางครั้งนี้ต้องผจญภัยไม่รู้เลยว่า จะมีเหตุการณ์อะไรบ้าง หากไม่ไปก็จะดีจะได้ดูแลบ้านด้วย” แล้วดร.รพีก็หัวร่อเบาๆ พลางหันไปทางดร.สุเมธและคนอื่นๆ ที่กำลังซักไซร้ ไล่เรียงหนุ่มนิวัฒน์อยู่ว่าอะไรเกิดขึ้นแก่ตัวเขา “ผมหวังจะไปจูงมือไอ้เจ้ารุทธ์มันเท่านั้นแหละครับ เพื่อมาแนะนำตัว แต่ทว่าพอผมเอื้อมมือไปยังไม่ถึงแขนมันยังไม่ถึงเนื้อตัวเลยก็ต้องสดุ้งเฮือก ไม่รู้โดนอะไรพุ่งออกมากระแทกใส่ร่างผมครับอย่างรุนแรง มันแรงมาก แรงจากพลังมหาศาลนักทำให้ผมต้องกระเด็นสมองเลอะเลือนไปทันที ไม่รู้สึกตัว แต่คล้ายเคลิ้มๆจนเจ้าน้องชายผมมาจับผมนั่นแหละถึงจะเป็นปกติ ผมว่าแปลกนะทีเมื่อกี้นี้ผมไปจับแขนมันก็ไม่เห็นมีอะไรนี่นา” กล่าวจบก็เกาศีรษะตัวเองอย่างมึนงงสงสัย เมื่อทุกคนได้รับฟังก็งงงวย ไปตามๆกัน ต่างคนคิดไม่ออกว่าทำไมถึงมีเหตุการณ์เช่นนี้ได้ หรือว่า เมื่อกี้นี้เหตุการณ์อย่างรุนแรงจะแฝงไปยังร่างเขา ด้วยเขาไม่รู้ตัวของ เหตุการณ์เมื่อที่ผ่านมานี้ ซึ่งมีอำนาจรุนแรงมหาศาลคล้ายสึนามิ เพราะ ดังขนาดนี้ยังไม่ยอมออกมาจากห้องเลย ต่างคนต่างวิพากษ์วิจารณ์ไป ต่างๆนาๆ ผิดกับหญิงสาวพัชราไม่ได้คิดเช่นนั้น เพียงแต่คิดถึงความสง่า งามและใบหน้าที่คมคายหล่อเหลาเท่านั้น หล่อนคิดไปต่างๆนาๆถึงเขา สักพักชายหนุ่มก็ก้าวเข้ามายังในห้อง ทุกๆคนยืนต้อนรับพร้อมบอกเขา ให้ไปนั่งยังโต๊ะข้างๆ ดร.ทั้งสอง พลาง ดร.สุเมธก็เอ่ยปากขึ้นว่า “ผมได้ยินคุณนิวัฒน์บอกว่าคุณชอบอ่านหนังสือเป็นชีวิตจิตใจผ่านการ อ่านหนังสือมามากมายนัก ผมอยากจะให้ช่วยถูกบันทึกนี้สักหน่อยพร้อม กับลายแทงนั้นว่าเป็นอย่างไร ผมเองกับดร.รพีและเพื่อนๆต่างไม่เข้าใจใน อักษรเหล่านี้เลย” “ถ้าอย่างนั้นผมจะช่วยเหลือได้หรือครับ ในเมื่อประสบการณ์ต่างๆท่านมี มากกว่าผมเสียอีก แต่ผมก็จะพยายามอ่านไหนๆขอชมหน่อยครับ บอกก่อน นะครับผมว่ารู้ก็แค่หนังสือที่เคยผ่านสายตามาเท่านั้นเอง ส่วนนั้นผมก็อาจจะ ไม่ทราบได้ครับท่าน” “ไม่เป็นไรหรอกพ่อหนุ่ม ผมก็เคยให้เพื่อนๆทั้งในและนอกอ่านมาแล้ว เขาก็ให้ความกระจ่างแก่ผมไม่ได้ พอดีคุณนิวัฒน์เอ่ยถึง จึงอยากจะให้ ทดลองดูบางทีอาจจะมีผลได้กระมัง พ่อหนุ่มไม่ต้องคิดมากหรอกนะ” “นี่ไงหนังสือสองเล่มกับลายแทงอีก หนึ่งแผ่น คุณช่วยดูให้หน่อยนะ หากไม่ได้ก็ไม่เป็นไรหรอก ไม่ต้องกังวลใจมากนัก” ดร.รพีเอ่ยขึ้น พร้อมนำสิ่งของทั้งหมดส่งมอบให้ชายหนุ่มทันที “ครับ ผมจะพยายามอย่างสุดความสามารถก็แล้วกันนะครับ” พลางยื่นมือนำหนังสือทั้งสองเปิดออกอ่านอย่างคร่าวๆและรวดเร็ว เวลาผ่านไปประมาณ ห้านาทีได้ เขาก็เงยหน้าพลางยิ้มกับ ดร.ทั้งสอง พลางเอ่ยขึ้นว่า “เป็นหนังสือภาษาชาวแอสตีสที่หายสาปสูญไปนานแสนนานแล้วครับ รวมทั้งภาษาของชาวอินคา มายา และอียีปต์ด้วยกันทั้งสองเล่ม เพียงแบ่ง แยกออกเป็นหลากหลายเท่านั้นครับ สลับซับซ้อนกัน เข้าใจว่าคนบันทึกไม่ แน่ใจต่ออักษรหนังสือนี้ คงได้จากศิลาจารึกเท่านั้นหรือตามถ่ำต่างๆ การบันทึก จึงสับสนปนเปกันไปไม่เป็นหมวดหมู่ คล้ายๆกับรีบทำไว้ก็ไม่ปานครับ ผมจึงต้องอ่านย้อนสลับไปๆมาๆจึงสามารถจับใจความได้บางอย่างครับ” ดร.สุเมธกับดร.รพีหันมามองหน้ากัน เขาไม่เคยได้ยินเช่นนี้จากเพื่อนเขา เลย อาจจะใช่เพราะเขาเคยได้ทราบประวัติพวกนี้มาแต่ด้านหนังสือนั้นเขา ไม่เคยพบเห็น นอกจากของชาวอียีปต์เท่านั้นที่พอจะอ่านออกได้ นั่นก็ เพียงแค่ภาพแล้วมาประกอบกับลายเส้นหนังสือ โดยอาศัยภาพเป็นหลัก ในการค้นคว้าภาษาอียีปต์นี้ บางส่วนก็อ่านไม่ได้เช่นกัน ครั้นได้ยินชายหนุ่ม เอ่ยขึ้นเช่นนี้ มันแตกต่างจากเพื่อนๆเขาและตัวเองคนละเรื่องเลยทีเดียว ในข้อความ ก็บังเกิดความหวังขึ้นสมกับที่เจ้านิวัฒน์มันว่า ก็บังเกิดความ ดีใจที่น้องชายนิวัฒน์สามารถไขข้อกระจ่างให้เขาทราบ จึงเอ่ยว่า “แล้วในหนังสือสองเล่มนี้บ่งบอกอะไรไว้หรือพ่อหนุ่ม” “อ้อๆๆ...หนังสือสองเล่มเป็นการบันทึกของนักโบราณคดีแต่ไม่ชัดเจนนัก เพราะบางตอนหายไปไม่ต่อเนื่องกัน หนังสือเล่มแรกเป็นภาษาของชาวแอนตีส ชาวอินคาและมายา ผสมผสานกันไว้ครับ กล่าวถึงพลังงานต่างๆของทวีปแอต แลนติคไว้ก่อนจะจมสู่ยังมหาสมุทรครับ เป็นการบรรยายของอำนาจพลังงาน ที่พวกเขาเหล่านี้ใช้อยู่ครับ และพลังงานของจักรวาลต่างๆที่เขาได้เดินทางไป สำรวจค้นพบ แต่เสียดายเหลือเกินบันทึกกล่าวเพียงคร่าวๆเท่านั้น และการใช้ พลังงานอื่นๆอีกมากมายนัก แต่ขาดหายไปจึงไม่ทราบว่าวิธีการใช้นั้นทำได้ อย่างไรกัน ส่วนด้านหลังเป็นของชาวอียีปต์ที่บันทึกถึงเรื่องการรวบรวม อาณาจักรต่างๆ โดยแบ่งแยกการปกครองของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นเรื่อง ราวของเขาระหว่างอาณาจักรกับศาสนจักร กับอาณาจักรต่างๆที่ได้ รวบรวมกันไว้ ถึงอาณาเขตต่างของชนชาวโบราณไว้ครับ ด้านศาสนจักรกล่าวถึงเวทย์มนต์คาถาอาคมและการสร้างมนุษย์ให้เป็นอมตะ เกี่ยวกับวิญญาณต่างๆไว้ โดยอาศัยพลังงานของสุริยะจักรวาล เป็นบ่อเกิดพลังงานแต่ก็มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นเพราะว่าเขาไม่ได้บันทึก รายละเอียดมากเป็นแค่คร่าวๆครับ ผิดกับเล่มแรกที่กล่าวถึงการใช้พลังงานต่างๆ และทางด้านโทรจิต ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เราตอนนี้กำลังศึกษาค้นคว้าอยู่เป็นพลัง งานเร้นลับใช้พลังงานจิตบังคับวัตถุได้ นอกนั้นก็ไม่มีอะไรครับ ท่านทั้งสองดูตัวหนังสือซิครับจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง จะมีลักษณะคล้ายภาษาทางโลกเราบ้าง ก็มีที่จีน ญี่ปุ่น เกาหลีตลอดจนชาว อินเดีย และชาวอาหรับบ้าง เพราะแต่ละขีดจุดหากเพิ่มแล้วความหมายจะเปลี่ยน ไปทันทีจะเป็นอีกคำๆหนึ่ง ที่คล้ายคลึงมากที่สุดคือภาษาชาวเผ่ามายาและอินคา ด้านภาษาชาวแอตตีสมีน้อยมากๆครับและละตัวอักษรจะคล้ายคลึงกันเท่านั้น คงเป็นระยะยาวนานทำให้อักษรต่างๆแบ่งแยกแตกต่างกันออกไปครับ” เมื่อชายหนุ่มอธิบายหนังสือทั้งสองเล่มทำให้ ดร.ทั้งสองอ้าปากค้างสิ่งที่เขา ค้นคว้ามานานพึ่งจะกระจ่างเดี๋ยวนี้ แต่ความสงสัยถึงชาวเผ่าแอตตีสนั่นเอง จึง ถามชายหนุ่มขึ้นว่า “ในเมื่อพ่อหนุ่มว่าภาษาแอตตีสมีส่วนคล้ายคลึงกับภาษามายาและอินคานั้น แตกต่างกันอย่างไรล่ะ????...” “อ้อๆๆเกิดจากเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกันครับของชาวแอตแลนตีส ซึ่งกาลต่อมา เมื่อทวีปจมลง ผู้หนีรอดไปต่างก็เหลือจำนวนน้อยมาก และภาษาก็เปลี่ยนไป ตามสิ่งแวดล้อมอีกด้วย เพราะกาลผ่านมาเป็นหมื่นๆปีครับ อีกประการหนึ่ง ชนเผ่านี้ได้แตกแยกกระจายกันไปทั่วทุกแห่งของโลกเรา ภาษาจึงค่อยเปลี่ยน แปลงไปตามสภาพสิ่งแวดล้อมครับท่าน” “เป็นเช่นนี้เอง ทำให้เราไม่สามารถอ่านหนังสือเหล่านี้ได้นอกจาก ของชาวอียีปต์เท่านั้นเอง ดังนั้นหนังสือสองเล่มนี้ก็เป็นข้อบ่งบอกถึงเหตุการณ์ เท่านั้นเอง ซึ่งก็ผ่านการศึกษามาแล้วเช่นกัน เว้นแต่ภาษาเท่านั้นที่ไม่สามารถรู้ อ้อๆๆพ่อหนุ่มแล้วลายแทงนี้ล่ะเห็นเป็นภาษาที่พวกเราอ่านไม่ออกเลย” “อันลายแทงนี้เป็นของชนเผ่าอินคาโบราณในแนวทางชาวแอสตีสทั้งหมด เขียนไว้ถึงสถานที่ของทวีปแอนติคไว้ครับ ก่อนจะจมลงทั้งทวีปครับ พร้อมทั้งแหล่งทรัพย์สมบัติต่างๆไว้เท่านั้นตลอดจนคำจารึกไว้ก่อนที่ จะต้องสูญเสีย ดังนั้นภาษาจึงไปในทางภาษาของขาวแอสตีสมากๆครับ เนื่องจากเจ้าผู้นำทวีปนี้ได้เก็บรวบรวมไว้ ก่อนทวีปจะจมหายไป ที่จริงก็ไม่มีอะไรที่น่าสนใจเท่าใดนักแหละครับจะมีของสิ่งหนึ่งที่เก็บ สะสมพลังงานต่างๆไว้เท่านั้นเอง แต่ไม่รู้ว่าจะคงอยู่หรือเปล่าข้อนี้ ลายแทงไม่ได้กำหนดไว้ครับ แต่การเดินทางไปค้นหาตามลายแทง อันตรายมากนะครับ เพราะยังมีอำนาจพลังงานบางส่วนคุ้มครองอยู่ แม้จะไม่มากนัก แต่วิทยาการทางวิทยาศาสตร์เราจะก้าวหน้าไปก็จริงแต่ พวกเรายังตามเขาไม่ทันหรอกครับ ในแผ่นลายแทงจะมีรูปลักษณะที่ คล้ายๆกับจักรวาล จะมีรูปภาพเป็นสามเหลี่ยมซ้อนๆกันไว้ยากแก่การ ค้นพบ คงบางครั้งอาจจะมีอำนาจเร้นลับแฝงซ่อนเร้นอยู่ตามลักษณะลายแทง ผมคิดว่าท่านอย่าเสี่ยงไปค้นหาเลยเพราะว่าถึงอย่างไรก็ไม่เป็น ประโยชน์เท่าใดนัก นอกจากแก้วแหวนเงินทองซึ่งผมคิดว่าท่านก็มี พร้อมอยู่แล้วครับ จะพบก็เพียงแผ่นจารึกที่อาจจะหลงเหลืออยู่บ้าง แต่ยากจะหาคนอ่านได้ครับ ส่วนผมนั้นขอปฏิเสธในเรื่องนี้นะครับ เพราะไม่ค่อยชอบยุ่งเรื่องราวมากนัก ไม่ต้องการชื่อเสียงเท่าใด ถ้าหากพวกท่านได้มา ผมก็ขอปฏิเสธในการอ่านอีกด้วยไม่อยากจะ ให้คนอื่นมาทำลายความสงบสุขวุ่นวายไปครับ” พร้อมทั้งชี้ตำแหน่งและลักษณะใกล้เคียงของแผนที่ที่วาดไว้อธิบาย สิ่งต่างๆพร้อมแผ่นดินและเกาะตามกำหนดลายแทงบ่งบอกไว้ให้รู้ เสร็จแล้วเขาก็มอบหนังสือพร้อมลายแทงคืนให้ไป พร้อมเอ่ยปากขอตัวอีกด้วย เพราะเขาคิดว่าต้องค้นหาบางสิ่งบางอย่าง เกี่ยวกับการแก้ไขอำนาจของเวทย์มนต์ที่ย่อมใช้พลังงานเป็นสิ่งประกอบ “แหมๆๆๆผมคิดอยากจะชวนคุณไปค้นหาจารึกในลายแทงด้วยกัน เพื่อคุณจะช่วยผมได้ง่ายขึ้นครับ” ดร.รพีและดร.สุเมธ เอ่ยขึ้นกับชายหนุ่ม วางแผนอาศัยความรอบรู้เขา “นั่นซิค่ะคุณพ่อ น่าจะให้คุณนิรุทธ์ร่วมไปค้นหาก็จะดีมากเชียวนะค่ะ” “ผมก็เห็นด้วยกับน้องพัชราครับ” ชายหนุ่มลูกของดร.สุเมธเอ่ยปากเช่นเดียวกัน “ไม่ต้องหรอกครับท่านเดินทางไปตามลายแทงก็ย่อมจะพบครับ และผม จะเขียนเพิ่มเติมให้บ้างนะครับ แต่การผจญภัยครั้งนี้ระวังเรื่องการเปลี่ยนแปลง ไว้ด้วยนะครับหาก พวกท่านจะคิดไปค้นหาตามลายแทง บางทีพวกท่านอาจ จะไม่ถึงจุดหมายก็จะมีอันตรายถึงแก่ชีวิตได้นะครับ ผมพูดได้เท่านี้เพราะใน ลายแทงเขียนบ่งถึงอันตรายต่างๆไว้ครับ ว่ามีสิ่งแปลกประหลาดซ่อนเร้นไว้” แล้วชายหนุ่มก็ลุกเดินไปในห้องนอน พร้อมนำดินสอออกมา ขีดเขียนและแปล เป็นภาษาไทยกำกับไว้ให้เรียบร้อย พร้อมจุดที่เป็นอันตรายควรหลบเลี่ยง หากเกิดความไม่ชอบมาพากลให้อีกด้วย พร้อมชี้แหล่งต่างๆอันเป็นจุดค้นหานคร ที่จมอยู่ใต้สมุทรของทวีปแอสแลนติค และตำแหน่งผู้นำของทวีปนั้นพร้อมที่เก็บ ทรัพย์สมบัติไว้ให้พร้อมที่อยู่ของแผ่นจารึกอารยธรรมต่างๆของทวีป ก่อนจะสูญสิ้นทวีปไปในที่สุด แล้วชายหนุ่มก็เอ่ยขึ้นว่า "อีกประการหนึ่งหากพวกท่านพบการเปลี่ยนแปลงนี้อาจจะนำท่านไปสู่ยัง อีกมิติหนึ่งก็น่าจะเป็นไปได้นะครับ เรื่องนี้ไม่ใช่การล้อเล่นครับระวังไว้ด้วยก็ดี หรืออาจจะเข้าสู่ดินแดนใหม่ที่ท่านไม่รู้จักก็ได้ควรเตรียมเนื้อเตรียมตัวไว้ด้วย" “ เดี๋ยวพ่อหนุ่มขอถามอีกหน่อยตามลายแทงกำหนดไว้จุดเริ่มต้นไม่ได้กำหนดว่า อยู่ที่แห่งใด พ่อหนุ่มคิดว่าแห่งใดล่ะ???ที่เราควรเริ่มต้นนะ” ชายหนุ่มหันมายิ้มต่อทุกๆคน เพราะคิดว่าลายแทงเป็นสิ่งล่อใจนักค้นคว้า พวกนี้แน่นอน จึงเอ่ยขึ้นว่า “ตามลายแทงถึงไม่ได้บอกว่า แต่ดูจากสิ่งต่างๆแล้วจะเป็นรูปคล้ายสามเหลี่ยม ที่มาบรรจบกันซับซ้อนไว้ ที่ควรหาคือในทวีปแอตแลนติค แต่การเริ่มต้นนั้น ผมคิดว่ากึ่งกลางคือสิ่งที่พวกท่านควรไปของแหลมเบอมิวด้าที่เชื่อมต่อกัน ระหว่างประเทศต่าง รวมทั้งหมู่เกาะใกล้เคียงจนถึงอ่าวเมกซิกัน ในมลรัฐฟลอลิด้า เนื่องจากมีลักษณะสามเหลี่ยมดังลายแทงนี้ไว้ อีกอย่าง หนึ่งตรงกึ่งกลางของสามเหลี่ยมนี้เคยเกิดเรื่องการสูญหายของ เรือ และ เครื่องบินโดยสารและอื่นๆที่ป่านนี้ยังหาร่องรอยไม่พบ จากการดึงดูดของ บางอย่าง ซึ่งจะเกิดพายุพัดหมุนเวียน การทำงานของไฟฟ้าพลังงานมากมาย และรายงานว่าจะมีลำแสงสีขาวๆดึงดูดสิ่งที่เข้าไปในอาณาะเขตนั้นๆ ผมเองเข้าใจว่าน่าจะเกิดจากพลังงานที่ยังเหลือของชนชาวแอสแลนติส สร้างพลังงานอันเร้นลับซ่อนไว้อยู่กระมังครับ ทำให้เกิดประจุไฟฟ้าขึ้น เพราะที่นั่นเป็นจุดของพลังงานต่างๆที่ชาวแอสแลนตีสหลงเหลือไว้ การเริ่มต้นพวกท่านควรเริ่มต้นที่หมู่เกาะ เปอร์โตริโก้อันเป็นปลายของ สามเหลี่ยมแล้วเดินทางเข้าไปยังส่วนกลางของสามเหลี่ยมจะดีที่สุดครับ"..... แก้วประเสริฐ.