11 กันยายน 2555 19:35 น.
แก้วประเสริฐ
แดนพิศวง ๑๗
(สัตว์เหนือมนุษย์)
ชายหนุ่มมองไปยังใบหน้าของสินธุ ด้วยอาการแปลกประหลาด
ในการกระทำของเขา แน่ล่ะใครจะคิดบ้างว่าเขาสามารถเดินเหินไป
ในอากาศได้ ด้วยเขามิได้แสดงอาการหรือบอกสิ่งใดๆแก่สินธุเลย
ย่อมเป็นธรรมดา ชายหนุ่มหลังจากลอยลงมาตรงหน้าชายกลางคน
ที่ร่างกำยำลำสันด้วยกล้ามเนื้อ ข้อลำแขนเป็นมัดๆด้วยกล้ามเนื้ออันแข็งแกร่งพลางยื่นมือไปตบบนไหล่ เอ่ยขึ้นว่า
“สินธุ ที่เราไม่บอกให้ทราบแต่แรกเพราะเราไม่ต้องการให้รู้
เกรงจะทำความตกใจให้แก่เจ้า แต่บัดนี้เหตุการณ์มันไม่ปกติธรรมดา
จึงได้ใช้อำนาจแห่งพลังงานที่เราสะสมไว้ในร่างกายแผ่ขยายไปสู่ยัง
ส่วนต่างๆของร่างกาย ประดุจที่เจ้าสามารถย่นย่อกระดูกได้ฉันท์ใด
ก็เหมือนกันแหละ อย่าแปลกใจไปเลย อำนาจพลังงานลี้ลับนี้เราได้
สะสมไว้เมื่อแผ่ขยายไปยังเท้าทั้งสองและร่างกาย จะแปรสภาพเป็น
อย่างใดก็ได้ เราเพียงใช้กระแสร์จิตบังคับพลังงานที่เรามีอยู่ให้
ร่างกายเราเบาประดุจดังนก จึงสามารถร่อนเหินไปในอากาศได้”
“นั่นซินายท่าน ข้าเองก็คิดไม่ถึงตอนต้นระหว่างการสู้รบก็ไม่ได้
สังเกตุอะไรมากนัก เพราะพัวพันกับบรรดาสัตว์เหล่านี้ มันแปลก
นายก่อนที่ข้าจะออกจากหุบเขานี้ หาได้มีพวกสัตว์เหล่านี้ไม่ หลังไม่
กี่สิบปีเท่านั้น ตอนนั้นข้าออกมาก็ยังหนุ่มๆอยู่พอกลับมาก็มี
เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น ทำให้ข้าเป็นห่วงบรรดาพวกพ้อง ทั้งหลาย
ของข้ายิ่งนัก ว่าจะประสบเหตุเช่นเดียวกับพวกเราหรือไม่???”
“ถ้าเป็นเหตุดังนี้ เราทั้งหมดรีบออกเดินทางไปยังที่พักท่านเถอะ
อย่ารอช้าเลย เราชักสังหรณ์ใจว่าในเมื่อท่านตอนมากับตอนนี้แตก
ต่างกัน ย่อมจะมีเหตุร้ายมากกว่าเหตุดีเป็นแน่แท้”
“นั่นซินาย เพียงเรารีบเดินทางก่อนตะวันจะตกดินอาจจะทราบ
เหตุการณ์ที่เราสงสัยได้ เรารีบไปกันเถอะนาย”
และแล้วทั้งหมดก็เริ่มออกเดินทาง อากาศซึ่งหนาวเย็นเริ่มเย็น
ขึ้นตามลำดับในระยางที่ทั้งสองฝ่าออกไป ด้วยทางเดินนั้นขาดช่วง
ไปจึงจำเป็นต้องใช้อาวุธเบิกทางบรรดาต้นไม้ที่เล็กเสียก่อน แต่
สินธุชำนาญในเรื่องนี้เพียง เขาหยุดคิดเพ่งมองไปยังรอบๆเท่านั้น
ก็นำชายหนุ่มลัดป่าฝ่าดงไปยัง เขาเบื้องหน้า ทั้งสองรีบออกเดิน
เพราะกลัวว่าจะมืดค่ำเสียก่อน จะมีอุปสรรคอันตรายที่จะเกิดขึ้น
เมื่อไหร่ก็ได้ ชายหนุ่มคิดและรีบก้าวติดตามหลังสินธุไปติดๆ
เมื่อทั้งสองหลุดพ้นแนวป่าก็เป็นทางขรุขระทอดเป็นทางไป
ทั้งสองข้างยังเต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่และต้นเล็กซึ่งมีขนาดเลยหัว
เขาไปไม่เท่าไหร่นัก ทันใดนั้นเสียงหวีดหวิวดังขึ้นคล้ายๆกับเสียง
เป่าของสิ่งของชนิดใดชนิดหนึ่งดังแผ่วก้องกังวานขึ้น สินธุหยุด
ชะงัก พลางล้วงไปในย่ามนำสิ่งของชนิดหนึ่งขนาดยาวเท่าฝ่ามือได้
ออกมาแล้วเป่า เสียงหวิดหวิวก้องกังวานเป็นระยะๆหนักเบา
ต่างๆกัน เสียงเป่าที่ได้ยินเงียบหายไปพร้อมกับความมืดได้ปกคลุม
เข้ามาแล้ว ทางนี้ลาดไปยังเนินเขาลูกหนึ่งก็มืดพอดี แต่สินธุพลาง
ล้วงไปในย่ามหยิงประชุไฟออกมาแล้วจุดส่องเพื่อขจัดความมืด
ที่ปกคลุม จึงเห็นเป็นทางเลือนลางทั้งหมดรีบก้าวเท้าเดินอย่างเร็ว
บัดดลนั้นที่เนินเขาปรากฏแสงคบเพลิงที่ถูกจุดเป็นจำนวนมาก
แต่เว้นระยะห่างๆกัน ชายหนุ่มมองเห็นหนุ่มสาวในอริยบถต่างๆกัน
และเขาแลไปยังสินธุ เห็นชายที่เต็มใจมาเป็นบ่าวเขา ก็ก้าวเดินไป
ยังคนเหล่านั้นต่างส่งภาษากันและกัน ชายหนุ่มฟังออกแต่เขาทำเป็น
ไม่รู้เรื่อง จนกระทั่งสินธุเดินมาถึงเขาแล้วกล่าวขึ้น
“นายๆพวกข้ามาแล้วล่ะ จริงอย่างนายกล่าวไม่มีผิดเพราะเขา
เหล่านี้ว่า หลังจากไม่กี่ปีนี้เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง เกิดกระแส
ลมหมุนเวียนมาจากยอดเขาฝั่งโน้น พลางชี้มือทำท่าประกอบให้เขา
เห็น เมื่อเกิดเหตุการณ์ ก็เกิดพายุและฝนกระหน่ำ พืชไม้ต่างๆเมื่อ
ต้องรังษีที่พวยพุ่งออกมาจากฟ้า ก็แปรสภาพดังที่พวกเราเห็นนี่
แหละ แต่เขาบอกว่าเดี๋ยวนี้หมู่บ้านไม่มีแล้ว เพราะเกิดสัตว์
ประหลาดมากมายหลายชนิดที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเข้ามารบกวนและ
ทำร้ายกินชาวบ้านเป็นส่วนใหญ่ จนต้องพากันอพยบ ไปอาศัยยัง
เทือกเขาเบื้องหน้า ซึ่งเป็นถ้ำพออาศัยอยู่ได้ เมื่อไม่นานมานี้แหละ
นายท่าน อ้อๆๆเขาเหล่านี้ยังบอกว่ามีสัตว์ประหลาดชนิดหนึ่ง ซึ่ง
มันร้ายกาจมาก ชอบเข้ามาทำร้ายอยู่เป็นเนื่องๆ กำลังหาทางพิฆาต
มันอยู่ ก็พอดีได้ยินเสียงการต่อสู้จึงยกกำลังมาตรวจดูเหตุการณ์
คือการต่อสู้ของพวกเรานั่นเอง แต่พวกเขาไปยังไม่ถึงที่เราต่อสู้กับ
สัตว์ประหลาด ก็มีสัตว์สี่ขาจำนวนมากออกมาและอาวุธของพวก
เขาไม่สามารถทำอันตรายแก่สัตว์นี้ได้ จึงต้องรีบนำคนเข้าไปยังถ้ำ
แล้วปิดปากถ้ำเสียนาย”
“ก็แสดงว่าพวกนี้เป็นคนในหมู่บ้านเจ้าหรือสินธุ”
“ใช่แล้วนาย ไปเถอะเดี๋ยวข้าจะแนะนำให้รู้จักกับนายท่าน”
“ถ้าอย่างนั้นท่านรีบนำหน้าไปเถอะนะ ให้ไปคุยกันใน
สถานที่ของเขาก็แล้วกัน”
สินธุหันไปป้องปากตะโกนบอกคนเหล่านั้นให้รอก่อนจะไป
หาด้วยภาษาของเขา สักครูหนึ่งก่อนที่ทั้งหมดจะออกเดินทางก็มี
คบเพลิงสามคบ พุ่งมายังตำแหน่งที่คนทั้งสองยืนอยู่อย่างรวดเร็ว
ชายหนุ่มเพ่งตาดูฝ่าแสงไฟ เห็นเป็นชายหนึ่งหญิงสอง แต่
ทั้งสองมือหนึ่งถือคบเพลิง อีกมือหนึ่งถืออาวุธแต่เป็นอาวุธโบราณ
ไหล่ทั้งสองข้างของหญิงสพายคันธนูและกระบอกลูกธนู
ส่วนชายหนุ่มกลับพกหน้าไม้อันใหญ่พอประมาณเหน็บที่เอวพร้อม
แท่งกระบอกยาวๆเสียบยังเบื้องหลังคู่กับหน้าไม้นี้ ในมือถือดาบ
โบราณเช่นเดียวกัน
เมื่อทั้งสามมาถึงมาถึงก็น้อมกายคาราวะสินธุทันที และหันมา
มองทางชายหนุ่มด้วยความแปลกใจ สินธุเห็นเช่นนั้นพลางหัวร่อ
หันไปบอกแก่คนทั้งสาม
“เจ้าทั้งสามไว้ไปถึงถ้ำก่อนแล้วเราจะแนะนำนายของเราให้เจ้า
ได้รู้จักฝากเนื้อฝากตัวเป็นบ่าวรับใช้ท่านด้วย”
“นายสำคัญมากกับนายถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
หนุ่มร่างกำยำสูงใหญ่มากเอ่ยกลับสินธุ
สินธุหันไปมองพลางหัวร่อ และเดินไปตบไหลที่คุกเข่าอยู่พลาง
กล่าวว่า
“เจ้ากุลาเอ๋ย หากเขาไม่มีความสำคัญจะมาเป็นนายข้าได้อย่างไร
กันเล่า ด้วยคนอย่างข้าพวกเจ้าก็รู้อยู่ว่าเป็นคนอย่างไร”
“นั่นนะซินาย ข้าถึงสงสัยยิ่งนัก???...”
“ไว้ไปที่พักก่อนแล้วข้าจะบอกให้ นี่ก็มืดแล้วไม่สะดวกหรอก”
“ถ้าอย่างนั้นขอเชิญนายทั้งสองตามพวกข้ามา”
เมื่อหนุ่มร่างกำยำสูงใหญ่ลุกขึ้น ชายหนุ่มก็ให้รู้สึกแปลกใจเพราะ
ร่างของสินธุซึ่งมีขนาดไล่เลี่ยกับเขา สูงยังไม่ถึงหัวไหล่ของเจ้ากุลา
แต่ชายหนุ่มไม่กล่าวอะไร เพราะสถานที่ไม่น่าปลอดภัยนัก เมื่อได้
ยินพวกของเจ้าสินธุบอกว่ามีสัตว์ประหลาดชนิดหนึ่งกำลังจะปอง
ร้ายพวกมัน หากเป็นเวลาค่ำมืดเช่นนี้เห็นว่าจะไม่ถนัดนัก ก็รีบตาม
เจ้าสินธุที่เดินก้าวนำหน้าไปพร้อมกับ ชายร่างยักษ์และหญิงทั้งสอง
ทันที พอเดินไปถึงเนินเขาซึ่งเป็นแนวผา ชายร่างยักษ์ก็หันไปป้อง
ปากบอกแก่พรรคพวก ก็ปรากฏบรรดาชายหนุ่มและหญิงสาวผู้เฒ่า
ที่เป็นชาย เดินเข้ามาพร้อมคบเพลิง และต่างน้อมคาราวะเจ้าสินธุ
“พวกเจ้านำทางไปยังที่อยู่ใหม่ได้แล้วนี่ก็มืดมาก เกรงจะไม่
ปลอดภัยแก่พวกเราหากสัตว์ที่พวกเจ้ากล่าวมันออกมา”
คนทั้งหมดพยักหน้า และรีบเดินเป็นแถวทอดยาวกะได้ประมาณ
เกือบสิบคน มุ่งหน้าไปยังภูเขาลูกข้างหน้าที่ใกล้เคียง สักพักหนึ่ง
ทั้งหมดก็มาถึงปากถ้ำที่คนพอจะเล็ดลอดเข้าไปได้ ที่หน้าปากถ้ำมี
ชายหนุ่มสองนาย ยืนถืออาวุธเฝ้าอยู่ คบเพลิงต่างจุดปักไว้ริมหน้า
ถ้ำทั้งสองด้าน ทั้งหมดที่เดินล่วงหน้านำทางก็สนทนากับผู้รักษา
หน้าถ้ำเล็กน้อย แล้วหันมาทางสินธุพลางเอ่ยขึ้น
“นายท่าน เข้ามาในถ้ำกันเถอะ ข้างในกว้างขวางมากและ
ยังมีหลีบถ้ำอีกมากมายใช้สำหรับพักผ่อนของพวกเรา”
สินธุหันหลังมากล่าวกลับชายหนุ่มทันที
“นายท่านเชิญเข้าไปในถ้ำก่อนแล้วค่อยปรึกษากันอีกที”
ชายหนุ่มไม่กล่าวอะไรพลางผายมือให้สินธุนำทาง ดังนั้นคน
ทั้งหมดก็ทะยอยเข้าไปในถ้ำ ชายหนุ่มสังเกตุว่ามีบรรดาคนอีก
นับมากมายคเนไม่ต่ำกว่าร้อยคนเห็นจะได้ต่างพากันออกจากหลีบ
มายืนมอง ครั้นเห็นเจ้าสินธุ ทั้งหมดต่างคุกเข่าลงพลางกล่าวภาษา
ซึ่งแสดงถึงความเคารพนอบน้อมอย่างยิ่ง เห็นสินธุเดินไปยังลาน
ของถ้ำซึ่งมีโต๊ะหินที่พวกเขานำมาประกอบเป็นโต๊ะและเก้าอีกเพื่อ
ใช้เป็นที่หารือกัน เป็นโต๊ะสี่เหลี่ยมแต่ยาวประมาณ ห้าเมตรเห็น
จะได้ บนโต๊ะมีผลไม้ต่างๆวางเรียงราย สินธุหันมาทางชายหนุ่ม
เชิญให้ไปนั่งที่เก้าอี้ก่อน แล้วหันไปประกาศยังหมู่เหล่านี้ว่า
“นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป พลางชี้มือไปทางชายหนุ่มเขาคือนาย
ของพวกเรา คำสั่งทุกๆคำสั่งห้ามมีการฝ่าฝืนเป็นอันขาดมิฉะนั้น
จะต้องถูกดำเนินความผิดตามกฏของพวกเราทันที”
เมื่อกล่าวจบพลางคุกเข่าลงเบื้องหน้าชายหนุ่ม พวกในนี้ต่าง
พากันงุนงง แต่มิได้เอ่ยปากแต่ประการใด พลางเปล่งเสียงโห่ร้องพร้อมกับก้มศึรษะลงทั้งหมด แสดงถึงความนอบน้อมอย่างสูง
ชายหนุ่มรีบยืนขึ้นพลางโบกมือและส่งเสียงภาษาของชนเหล่านี้
ให้หยุด ยิ่งสร้างความงุนงงแก่ชาวเหล่านี้ยิ่งขึ้น ไม่เพียงแต่คนเหล่านี้
แม้แต่สินธุเองก็เหมือนกัน ด้วยคิดไม่ถึงว่านายของเขาสามารถพูด
ภาษาของพวกเขาได้อีกด้วย และได้ดี เมื่อเห็นเช่นนั้นสินธุก็
เรียกบรรดาหัวหน้าให้เข้ามา มีผู้เฒ่าโมละ กุลา คิยะ และภาคี ต่างมา
ยืนยังเบื้องหน้าของสินธุ เมื่อเห็นเช่นนั้นก็แนะนำให้ชายหนุ่ม
รู้จัก พลางชี้ไปเรียงตัว ตั้งแต่ผู้เฒ่าว่าชื่อ โมละ หนุ่มร่างยักษ์ชื่อกุลา
สาวสวยงามหยดย้อยทั้งใบหน้าและรูปร่าง กำยำแบบหญิง
ทะมัดทะแมง ซ้ายมือที่ไว้ผมตัดชื่อ คิยะ และสาวผมยาวสลวยชื่อ
ภาคี เมื่อแนะนำเรียบร้อยแล้ว สินธุก็หันไปยังเหล่าชนเหล่านี้ให้
นำอาหารเครื่องดื่มอันมีน้ำเย็นมาตอนรับนายใหม่ด้วย
พลางสินธุหันมาทางชายหนุ่มพลางเอ่ยว่า
“นายท่าน ท่านจะดูการฟ้อนรำของพวกเราหรือไม่”
“ไม่ต้องหรอกสินธุ เพราะเรายังมีงานที่จะต้องทำอีก ท่านลืม
ไปแล้วหรือที่เขาบอกว่ายังมีสัตว์ประหลาด ข้าเองยังไม่รู้ว่ามันมี
ลักษณะอย่างไร ไหนๆให้คนรู้บอกแก่ข้าด้วยเถิด”
“ได้นายท่าน เดี๋ยวข้าจะให้ท่านผู้เฒ่า โมละ ซึ่งเป็นผู้รอบรู้บรรดา
สิ่งทั้งหลายเป็นคนแจ้งแก่นายท่านก็แล้วกัน”
“ดีล่ะเราทานอาหารดื่มกินแล้วคุยกันไปพลางก็ได้”
พลางหันมาทางท่านผู้เฒ่าพลางยกมือพนมระหว่างอกคาราวะแก่ผู้
เฒ่าพร้อมทั้งกล่าวว่า
“ขอเชิญท่านผู้เฒ่ากรุณาบอกลักษณะของสัตว์ร้ายแก่ข้าด้วยเถิด
ให้แจ้งให้อย่างละเอียดนะท่าน”
“ได้ซินายท่าน มันเป็นสัตว์ประหลาดคล้ายคางคกแต่มีหางยาว
พวกเราเข้าไปต่อสู้กับพวกมันและเสียชีวิตไปเป็นอาหารแก่มันมาก
มันมีหนังคล้ายคางคกและจะมีเมือกสีขาวๆออกเหลือง ยางที่ออกมา
ส่งกลิ่นเหม็นมากนัก ไม่เฉพาะกลิ่นเท่านั้น มันยังยืดออกยาวได้อีก
ด้วยหนังมันเป็นเกล็ดๆ ใช้แทนมือขามันเชียวล่ะ เมื่อใครโดนกลิ่น
หรือยางมันจับได้จะถูกส่งไปให้มือมันเข้าปากเคี้ยวกัดกินจนตาย แต่
เรื่องกลิ่นนี้พวกเราไม่กลัว กลัวแต่ยางมันที่ยืดหดได้เหมือนมือไม่ผิด
ซ้ำมันจะสามารถพ่นควันสีขาวเป็นประกายเพลิงทั้งกลิ่นออกมาอีก
ด้วย หางมันคล้ายๆกับหางจรเข้แต่ร้ายกาจกว่ามันฟาดและทิ่มแทงได้
และที่สำคัญมันหาได้มีแค่ตัวเดียวไม่ มันมีเป็นฝูงจำนวนมาก ลำพัง
ตัวเดียวก็ยากแล้วที่จะเข่นฆ่ามัน เพราะทุกส่วนมันอาวุธฝ่ายเราไม่
สามารถทำอันตรายใดๆแก่มัน ได้นอกจากไฟเท่านั้นไหนเลยจะหา
ไฟได้จำนวนมากที่จะทำลายมันที่ข้าผจญและต่อสู้กับมันมาก็เห็นมี
เพียงแค่นี้แหละนาย นายดูซิแขนข้าไหม้เกรียมก็เพราะยางมันนี่
แหละที่ไปโดนมันจับอาศัยที่ข้าเอาไฟคบไปจี้มันถึงได้หลุดรอด
ออกมาได้จึงรู้ว่ามันกลัวไฟนี่แหละนาย”
พลางผู้เฒ่าก็ยื่นแขนที่ไหม้เกรียมตกสะเก็ดไม่ยอมหายให้
ชายหนุ่มดู ครั้นชายหนุ่มได้ยินเรื่องและเห็นบาดแผลเช่นนี้ก็ตลึง
โดยไม่คิดว่ามันจะร้ายกาจขนาดนี้ แต่นึกขึ้นได้จึงเอ่ยขึ้น
“สินธุหลังปรึกษากันแล้วข้าเชื่อว่าท่านสามารถรักษาแผลเหล่านี้
ให้แก่ท่านผู้เฒ่าได้อย่างแน่นอนด้วยสมุนไพรที่ท่านมีหลากหลาย”
แล้วเขาก็หันหน้าไปทางผู้เฒ่าโมละแล้วเอ่ยขึ้น
“แล้วพวกมันอยู่ที่ไหนหรือท่านผู้เฒ่า”
“พวกมันอาศัยที่บึงเลยจากที่เขานี้ออกไปประมาณลูกหนึ่ง แต่มัน
ร่างกายใหญ่โตก็จริงแต่มันปราดเปรียวยิ่งนัก มันกระโดดครั้งเดียว
ไปได้ไกล มันจึงมารุกรานพวกเราได้นายท่าน”
“แล้วเจ้าทั้งสามล่ะมีความคิดเห็นอย่างไร หรือว่าต้องคอยหลบ
ซ่อนอยู่แบบนี้ตลอดไป”
“ข้าเองก็ยังไม่รู้เลยนายท่าน เพราะต่อสู้กับพวกมัน ฝ่ายเรามีแต่
ตายลง ไม่เคยทำอันตรายมันได้เลยแค่เพียงบาดเจ็บเท่านั้น”
หญิงสาวนามคิยะเอ่ยตอบ
“จริงจ๊ะนาย ขนาดกุลาที่มีร่างกายใหญ่โตกำลังมหาศาลยังต่อกร
พวกมันไม่ได้เลย นอกจากพวกเราจะช่วยกันแอบไปหาฟืนและยาง
น้ำมันมาทำคบเพลิงไว้จำนวนมากเท่านั้น มันเคยมาครั้งหนึ่งแต่ทาง
เราช่วยกันก่อกองไฟวางไว้หน้าถ้ำ ดีแต่ว่าลมควันที่เขามาเรามีที่
ระบายอากาศธรรมชาติที่อยู่ภายในหลีบ ช่วยระบายดูควันออกไปให้
มิฉะนั้นพวกเราคงโดนควันลมตายเป็นแน่แท้จ๊ะนาย”
หญิงผมสลวยยาวเอ่ยขึ้นบ้าง
ชายหนุ่มได้รับฟังดังนั้นก็อึ้งไป พลางยกน้ำขึ้นดื่มและใช้ความคิด
หาหนทางที่จะกำจัดมันให้ได้ แต่ยังคิดไม่ออกว่าเป็นวิธีการใดดี
พลางนึกถึงตำราต่างๆก็ไม่เห็นมีสัตว์ประเภทนี้อยู่ในตำราเลยครั้น
แลเห็นสินธุจะกล่าว เขารีบยกมือขึ้นห้าม พลางเอ่ยว่า
“ขอข้าคิดหาหนทางดูก่อน แต่ตอนนี้สินธุบอกให้พวกเราเตรียม
ตัวและเตรียมไฟไว้ให้พร้อม หากข้าคิดได้จะแจ้งให้ทราบอีกทีหนึ่ง
อ้อๆๆๆ???.ท่านโมละผู้เฒ่า แล้วสัตว์ประเภทนี้แปลกจริงมันจะออก
หากินเวลาใดหรือท่าน”
“มันจะออกมาหากินในเวลาจวนพลบค่ำๆและในเวลามีพายุฝน
เท่านั้นนายท่าน ส่วนเวลาอื่นยังไม่เห็นมันออกมาเลย หรือว่ามันเมื่อ
ปราศจากความชื้นทำให้หนังมันทนทานต่อดินฟ้าอากาศที่ร้อนอบ
อ้าวไม่ได้นายท่าน”
“อืมม!!!!มีส่วนเหมือนกันท่านผู้เฒ่ามิฉะนั้นใยเล่า ในเวลา
อากาศที่ร้อนอบอ้าวมันจะไม่ออกหากิน ต้องคอยเวลาอากาศชื้น
และต้องมีฝนด้วย ข้อนี้ข้าก็คิดเหมือนท่านเพียงแต่ถามเพื่อให้แน่
ใจเท่านั้น ดีที่ท่านบอกเสียก่อนเรื่องปลีกย่อยเช่นนี้ ข้าคิดว่ามัน
ต้องมีหนทางทำลายสัตว์นี้ได้อยู่ เพียงแต่ยังหาทางมิได้เท่านั้น
ข้าขอเวลาคิดสักคืนหนึ่งก่อน แล้วจะแจ้งให้พวกท่านทราบอีกที
อ้อๆๆๆ...สินธุช่วยเป็นภาระหาที่พักผ่อนให้แก่ข้าด้วยไม่จำเป็น
ต้องกว้างขวาง เป็นที่จำกัดไม่เล็กจนเกินไปเท่านั้น ข้าจะได้นั่งสมาธิ
ค้นหาคำตอบให้ได้ในคืนนี้นะ”
“เรื่องนี้นายท่านไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ก่อนที่นายท่านจะเอ่ยข้าได้
สั่งเด็กๆเตรียมที่พักไว้ให้นายท่านเรียบร้อยแล้ว นายท่านจะพักผ่อน
เมื่อใดบอกแก่ข้าได้เลย เอาอย่างนี้ดีกว่า เจ้าคิยะและภาคี เจ้าให้มี
หน้าที่คอยปรนนิบัตินายท่าน ด้วยเป็นหญิงย่อมทราบรายละเอียด
เรื่องนี้ดีกว่าพวกผู้ชาย”
“เรื่องนี้ไม่ต้องห่วงหรอกนายสินธุ ข้าจะปรนนิบัติรับใช้นายใหญ่
จนสุดความสามารถแหละ”
ทั้งสองเอ่ยขึ้นโดยพร้อมเพรียงกัน............................
“ แก้วประเสริฐ.”
7 กันยายน 2555 13:31 น.
แก้วประเสริฐ
ข้าพเจ้า นำของเก่ามาเป็นเครื่องเตือนสติแด่
ผู้ที่สนใจ ทางอันเป็นมวลหมู่ของ อวิชชา
ปฏิจจสมุปบาท
มีเวรก็ย่อมเกิดกรรม มีเหตุย่อมมีผล
การเวียนว่ายตายเกิดด้วยสาเหตุดังนี้แล
**************
สาเหตุของการเกิดปฏิจจสมุปบาทเพราะว่า
อวิชชา เป็นปัจจัยจึงมี สังขาร
สังขาร เป็นปัจจัยจึงมี วิญญาณ
วิญญาณ เป็นปัจจัยจึงมี นามรูป
นามรูป เป็นปัจจัยจึงมี สฬายตนะ
สฬายตนะ เป็นปัจจัยจึงมี ผัสสะ
ผัสสะ เป็นปัจจัยจึงมี เวทนา
เวทนา เป็นปัจจัยจึงมี ตัณหา
ตัณหา เป็นปัจจัยจึงมี อุปาทาน
อุปาทาน เป็นปัจจัยจึงมี ภพ
ภพ เป็นปัจจัยจึงมี ชาติ
ชาติ เป็นปัจจัยจึงมี ชรา มรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัส อุปายาส
ความเกิดของกองทุกข์ทั้งหมดนี้เรียกว่า " ปฏิจจสมุปบาท "
ปฏิจจสมุปบาทจะดับได้เพราะ
อวิชชา ดับ สังขาร จึงดับ
สังขาร ดับ วิญญาณ จึงดับ
วิญญาณ ดับ นามรูป จึงดับ
นามรูป ดับ สฬายตนะ จึงดับ
สฬายตนะ ดับ ผัสสะ จึงดับ
ผัสสะ ดับ เวทนา จึงดับ
เวทนา ดับ ตัณหา จึงดับ
ตัณหา ดับ อุปาทาน จึงดับ
อุปาทาน ดับ ภพ จึงดับ
ภพ ดับ ชาติ จึงดับ
ชาติ ดับ ชรา มรณะ โสกะปริเทวทุกขโทมนัสอุปายาส
จึงดับ ความดับของกองทุกข์ทั้งมวลนี้ คือ การเดินออกจากบ่วง
ของปฏิจจสมุปบาท
สฬายตนะ คือ ความรับรู้ ความรู้สึก
ผัสสะ คือ รับรู้ถึงประสาทต่างๆของร่างกาย ภายในและภายนอก
สองอย่างนี้จะเกิดขึ้นคู่กันอย่างใดอย่างหนึ่งพร้อมๆกัน
เช่น จิต และ เจตสิก เป็นต้น
ใช่ว่าจะเอามะพร้าวมาขายสวน เป็นเครื่องเตือนสติเท่านั้น
"ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท รู้ธรรมยิ่ง ผู้นั้นได้ชื่อว่าแลเห็นพระ
สัมมาสัมพุทธเจ้า"
* แก้วประเสริฐ. *
21 สิงหาคม 2555 18:50 น.
แก้วประเสริฐ
*แดนพิศวง ๑๖ *
(สัตว์พิสดาร)
ชายหนุ่มอุทาน พลางเพ่งมองไปยังแนวชายป่าที่ขวางหน้าทางเดิน
ที่จะผ่านไปยังบ้านของสินธุ ชายหนุ่มรีบกระชากเสื้อของเขา พลาง
ลากเข้าไปหลบยังใต้หินผาข้างภูเขา
“มีอะไรหรือนาย???..”
“เราเองมองเห็นสัตว์ประหลาดอะไรไม่รู้ กำลังมุ่งหน้ามาทางเรา”
ชายหนุ่มตอบ พลางรวบรวมพลังงานในร่างที่ประกอบด้วยไฟฟ้า
จำนวนมหาศาล ส่งพลังงานมายังนัยน์ตาเขาทำให้เขามองเห็นได้ชัด
แต่ทว่าชายกลางคนสินธุนั้นมองไม่เห็น
“ไม่เห็นมีอะไรนี่นาย หรือว่า????....”
พลางจ้องมองหน้าชายหนุ่มรูปหล่อด้วยความสงสัย สินธุคิดนายเขา
จะมองเห็นความแปลกปลาดอะไรสักอย่างซึ่งเขามองไม่เห็น
ดังนั้นจึงรีบเข้าหลบยังใต้แผ่นหินใต้ผาของภูเขาที่ใช้หลบภัยนั้น
เป็นแหลมที่งอกออกมาจากเขาลูกหนึ่ง
ที่ยื่นออกมาจากภูเขาที่สูงชะลูดปานเสียดฟ้า ปลายไม่เห็นด้วยมีเมฆ
หมอกปกคลุมไปทั่วบริเวณยอดเขานั้นๆ
นั้นเพ่งสายตาไปรอบๆข้างทันที และแล้วทั้งสองก็ได้ยินเสียง
แปลกที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน เป็นเสียงขู่คำรามที่ดังสะท้อนเข้ามา
เสียงมันดังก้องมากๆผสมกับเสียงแหบๆ เสียงมันมุ่งหน้ามาทางเขา
มันคงได้กลิ่นพวกเรา ชายกลางคนคิด
แล้วทันใดนั้นที่แนวป่าก็ปรากฏร่างสัตว์ประหลาดนักเพราะหัว
มันเป็นคนแต่ลักษณะเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก จะเป็นกระโหลกของ
มนุษย์ก็ว่าได้ แต่จงอยปากมันซิยื่นยาวออกมาเล็กน้อย
ทั้งหมดเห็น
เขี้ยวที่ยาวแหลมคมล้นออกมาจากนอกปาก
เขี้ยวด้านล่างยาวกว่าเขี้ยวด้านบนไม่มากนัก
ลำตัวยาวและใหญ่โตประมาณลูกช้างเห็น
จะได้มีหางยาวและมีครีบบนหลังท่อนล่างมันเป็นสัตว์คล้ายๆกับ
กิ่งก่ายักษ์แต่ท่อนบนเป็นร่างมนุษย์ที่แห้งหนังติดกระดูก มือทั้งสอง
ข้างมันยกขึ้นแต่นิ้วมันซิมีเพียงสามนิ้วเป็นเล็บยาวงุ้มแหลมคม ส่วน
ลำตัวท่อนร่างคล้ายๆหางจรเจ้มีเกล็ดด้วยส่วนท่อนบนไม่มี เป็นหนัง
หุ้มกระดูกเท่านั้น
ทั้งสองคิดว่าคงจะมีตัวเดียวแต่ที่ไหนได้เสียงร้องทอดรับของมัน
จึงพอจะรู้ว่ามีหลายตัวเป็นฝูง ขามันมีสองขารวมกับมือมันแล้วเป็นสองขา
สองหนึ่งมือแต่มือมันใช้แทนขาเวลามันเคลื่อนตัวไปข้างหน้า
“ตัวอะไรหรือสินธุ???..เราไม่เคยเห็นมันแปลกประหลาดมากจริงๆ
นะ ตัวเป็นคนท่อนกลางเป็นกิ่งก่าท่อนหางยาวคล้ายจรเข้ยักษ์”
“ ไม่รู้เหมือนกันนาย ตอนข้าออกมาจากบ้านก็ไม่เห็นมี บัดนี้มัน
เปลี่ยนแปลงไปหมดทั้งภูมิประเทศอีกด้วยนาย”
เมื่อลมเปลี่ยนทิศกลิ่นเหม็นคลุ้งคาวพัดมาทางคนทั้งสอง
สินธุอุทานขึ้นทันที
“ระวังนะนาย???...มันเป็นพิษรอบตัวมันเลย
เอ๊า...นายเอาว่านพญาแก้วขวัญเรือน อมไว้ใต้ลิ้นนะนาย”
ว่าแล้วสินธุก็ล้วงหยิบว่านออกมาท่อนหนึ่งส่งให้ชายหนุ่มทันที
ชายหนุ่มจะปฏิเสธก็ใช่ที่ จึงยื่นมือออกไปรับมาเก็บไว้ แต่ไม่ให้สินธุ
เห็น พลางดึงร่างสินธุให้นั่งยองๆทันที
“ไม่ทันแล้วนาย ไอ้พวกนี้จมูกมันดีมันคงรู้แล้วว่าเราซ่อนอยู่ที่ไหน
ออกไปเผชิญหน้ามันดีกว่านาย”
“ก็ดีเหมือนกันสินธุ แต่เจ้าระวังตัวไว้ด้วยนะ”
“จ๊ะนาย สำหรับตัวข้าไม่ห่วงหรอก ห่วงแต่นายเท่านั้นเอง”
ว่าแล้วสินธุก็ชักดาบ พอดาบหลุดจากฝักเกิดรังษีออกมาจากดาบ
ตัวดาบเป็นสีดำสนิทมะเหลื่อมดำ
พลางก้าวไปบังหน้าร่างของชายหนุ่มทันที
พร้อมย่างสามขุมเข้าหาฝูงสัตว์ร้ายประหลาด
ที่เกาะกลุ่มชายหนุ่มก็ไม่รอช้าเพราะรู้ว่าศึกครั้งนี้ไม่ธรรมดาแน่นอน
ดังนั้นจึงล้วงไปในย่ามเปิดกล่องหยิบเอากริชแก้วซึ่งยาวประมาณ
คืบกว่าๆเห็นจะได้ พร้อมชักออกจากฝักทันที รังษีหลากสีแผ่
กระจายทันที ชายหนุ่มพิจารณานึกพลางว่าเป็นแก้วอะไรหรือ
หรือว่าเป็นแท่งคริสตอลหรือไม่ก็แท่งปริซึ่มแก้วอย่างใดอย่างหนึ่ง
เพราะในตำราเคยระบุว่าแก้วสองชนิดนี้ผ่านกาลเวลาและพลังงาน
จะรวมคุมพลังงานไว้ในแท่งแก้ว
แต่แท่งแก้วนั้นได้แปรรูเป็นกริช แต่ตัวกริช
นั้นไม่เหมือนกริชทั่วๆไป เพราระจะหยักก็ตรงกลางเท่านั้นประมาณ
ห้าหกหยักได้ แล้วจึงเป็นตัวดาบที่แหลมคม
ชายหนุ่มทดลองเร่งพลังงานในร่างกายเขาใส่ไปยังตัวกริชนั้น
ทันใดนั้นตัวกริชก็ค่อยๆใหญ่และยาวขึ้น
ขนาดดาบโบราณธรรมดา
แต่พิเศษที่มีรังษีแผ่กระจายออกมาหลากสีประมาณเจ็ดสี
เห็นจะได้ ส่วนฝักกริลขนาดแค่กุมไว้เท่านั้นมิได้ยาวออกมาด้วย
แปลกจริงๆ???...ชายหนุ่มนึก
แต่เขาไม่มีเวลาเสียแล้วเพราะเจ้า
สัตว์ประหลาดตอนนี้ได้ออกมาจากแนวป่าแล้ว
เขานับดูได้ประมาณหกเจ็ดตัวแต่ละตัวขนาดเท่าลูกช้างได้
แต่ยาวมากๆ กลิ่นเหม็นคาว
คลุ้งอากาศเปลี่ยนแปรไปทันที พร้อมกับเสียงคำรามแหบๆแต่ส่วน
ใหญ่จะได้ยินเป็นเสียงกรี๊ดๆๆระงมไปทั่ว มันเหมือนจะรู้ว่าเขาทั้ง
สองซ่อนตัวอยู่ที่นี่ต่างมุ่งหน้ามาทางเขาทั้งฝูง บ้างยกมือเดินด้วยสอง
เท้า บ้างคลานมาทั้งมือและเท้า พร้อมส่งเสียงร้องกรี๊ดๆก้องตลบไป
ด้วยกลิ่นเหม็นคาวคลุ้งกระจายไปในบริเวณนั้น
ชายหนุ่มรีบใช้พลังงานในร่างกายทันทีปิดลมหายใจ
อาศัยอากาศที่เก็บไว้ตามเซลล์ในร่างกายดังนั้นปัญหา
จึงไม่เกิดขึ้นกับเขา
เขาหันไปมองเจ้าสินธุ ก็เห็นไม่เปลี่ยนแปลงคงจะเป็น
ฤทธิ์ของพญาว่านนั่นเอง
“สินธุลุยเลย หากเราไม่ผ่านสัตว์ประหลาดพวกนี้
เราก็ไม่สามารถเดินทางต่อไปได้”
“เอาเลยนายผมพร้อมแล้ว
มิฉะนั้นเราไม่สามารถเดินทางต่อไปได้เลยนาย”
แต่ทั้งสองก็ต้องชะงัก ไม่แต่เขาทั้งสองเท่านั้น
แม้แต่สัตว์ประหลาดก็เหมือนกันมันหยุดชะงักลงใน
ขณะที่แยกเขี้ยวอ้าปากกว้าง พ่นควันขาวๆออกมาเจือจางทั้งปาก
และจมูกมันเขาหันไปมองสินธุด้วยความสงสัย
อะไรเกิดขึ้นอีกหรือเพราะ
เขาก็ได้ยินเสียงก้องมาจากในอากาศ เป็นเสียงหึ่งๆๆๆแต่ดังมาก
“เกิดอะไรขึ้นอีกหรือนาย
เสียงหึ่งๆคล้ายผึ้งหรือว่า???...”
สินธุยังไม่ทันเอ่ย ก็ปรากฏท้องฟ้าปั่นป่วนลมกระโชกอย่างไรไม่
เท่านั้นยังหมุนทำเอาเศษหินคลุ้งกระจายไปทั่งบริเวณนั้นทันที แต่
ไม่เท่านั้น ชายหนุ่มรู้สึกว่าอากาศก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย เพราะเกิด
รังษีพลังงานต่างๆเข้ามาอีกพร้อมกับลำแสงของสีผสานกันระหว่าง
สีส้มกับสีน้ำเงินหมุนเวียนไปรอบๆ คลื่นพลังงานนั้นกระทบมายัง
ร่างเขา ชายหนุ่มรู้ทันทีว่าอะไรเกิดขึ้น จึงได้รวบรวมพลังจากแก้ว
ทั้งสอง ดึงดูดพลังงานอันประหลาดนั้นไว้ทันที เขารู้สึกว่ามันช่าง
รุนแรงอะไรเช่นนี้แต่เขาก็ไม่ค่อยมีปัญหานักพลังงานสีส้มและน้ำเงิน
นั้นกลับเป็นลำแสงพุ่งมายังร่างของเขา
แต่ก็ทำให้เจ้าสินธุกระเด็นไปกระทบยังผนังเขาทันที
ชายหนุ่มยกแขนทั้งสองชูขึ้นไปในอากาศพร้อมรับพลังงานนั้นๆ
ไว้ พร้อมนึกถึงตำราที่ระบุมวลแห่งพลังงานนี้ไว้ว่าน้อยนักที่จะเกิด
ขึ้นเป็นพลังงานของคร๊อสมิคที่เกิดจากพลังงานไฟฟ้าด้วยการรวมตัว
ของอะตอมนิวเครียสด้วยโมเลกุลก่อเกิดเป็นพลังงานอันร้ายแรงนี้
ซึ่งเป็นพลังงานของจักรวาลมาสู่โลกนี้ แต่จะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยจังหวะ
ที่เหมาะเจาะและบางสถานที่เท่านั้นเอง
ทำความปิติยินดีแก่เขายิ่งนักดังนั้นจึงรวบรวมสมาธิ
อาศัยพลังงานสุริยันต์จันทราคอยควบคุม
ดึงดูดพลังงานเหล่านี้ไปเก็บไว้
เขาดีใจมากที่หากได้รับพลังงานนี้
ย่อมสร้างพื้นฐานพลังงานในร่างเขาแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นหลายๆเท่านัก
หลังจากที่อากาศหมุนเวียนวูบวาบไปด้วยพลังงานที่ก่อเกิดอย่าง
กระทันหันนี้ เมื่อเสร็จจากการดึงดูดพลังงานเหล่านี้ไว้จนพอควร
เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นไม่นานนักแล้วก็เลือนหายไป
เมื่อเหตุการณ์ปกติแล้วเขา เหลือบไปทั้งเจ้าสัตว์ประหลาด
ที่ตอนนี้กระจายไปทั่วบริเวณแต่มันหันหลังคิดจะหนี
บางตัวถูกพลังงานพุ่งเข้าใส่ร่างมันแหลกละเอียดไหม้วอดเป็นจุณ
ไปในพริบตา
เมื่ออากาศปกติแต่ทว่าท้องฟ้ายังมืดคลึ้มเพราะ บนท้องฟ้า
เต็มไปด้วยสัตว์มีปีก แต่ว่าร่างกายมันช่างใหญ่โต
จริงๆ ขนาดประมาณเท่าโอ่งน้ำย่อมๆ
ชายหนุ่มรีบเขม่นมองพิจารณาทันที
มันมีหัวกลมใหญ่ตาโปนคล้ายสัตว์ประเภทหนึ่งคือ
แมลงปอ แต่แปลกที่หางมันกับงอครึ่งองศาคล้ายกับแมงป่อง
ปลายหางเขียวจนดำคล้ำออกสีน้ำตาลเข้ม
มันมาเป็นฝูงใหญ่มากหลายสิบตัว
ปากมันคล้ายแมลงปอคือเป็นใบพายแต่มันทั้งล่างบนแต่มีเขี้ยวที่
งอกออกมาจากด้านล่างทั้งสองข้าง ปีกข้างลำตัวสองปีกทั้งสองข้างเป็น
สี่ปีกที่ซ้อนกัน
เสียงกระหึ่มคงดังมาจากการบินเสียดสีกับอากาศนั่นเอง
สัตว์อีกประเภทหนึ่งที่บินหัวมันใหญ่โตมากตาโปน
ส่วนที่อยู่ด้านล่างเป็นหัวคล้ายคนแต่ดวงตาลึกกลวงโบ๋วเพียงเห็น
นัยน์ตาเล็กไม่ใหญ่เท่านั้นส่ายไปส่ายมาตลอดเวลา
ชายหนุ่มนึกถึงสินธุได้จึงหันไปมอง เห็นร่างสินธุทรุดกองลงพื้น
ริมข้างภูเขาหน้าซีดเผือด ชายหนุ่มตกใจรีบวิ่งไปหาทันที
พร้อมเขย่าร่างไปๆมาๆ
เขาเห็นไม่ได้การจึงรีบถ่ายทอดพลังงานไฟฟ้าที่
เขาได้รับมาใหม่ๆและผสานรวมตัวกับพลังงานดั่งเดิม
ออกไปยังร่างของสินธุทันที
ไม่นานนักร่างของสินธุก็ถอนใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วลืมตาขึ้น
บัดนี้ใบหน้านั้นค่อยมีสีเลือดขึ้นแล้ว
“นายข้าเป็นอะไรไปหรือนาย???... รู้ว่ารู้สึกหน้ามืดแล้วไม่รู้ตัว”
“ไม่รู้ซิสินธุ เรามัวแต่มองสัตว์ประหลาดไม่ทันสังเกตุ
ท่านพอหันมามองเห็นใบหน้าซีดเผือดทรุดลงแล้ว
แต่ว่าคงจะดีขึ้นแล้วนะ”
“จ๊ะนายดีขึ้นเหมือนเดิมแล้ว เอ๊ะ???...เจ้าสดายุเป็นอย่างไรบ้าง”
“นั่นซิ???...มัวแต่ดูอากาศที่เปลี่ยนไปและสัตว์ประหลาด
ทั้งสองฝูงอยู่เลยลืมไป”
ทันใดนั้นเจ้าสดายุก็ออกมาจากย่ามในท่าทีอิดโรยอ่อนเพลียมาก
ชายหนุ่มไม่ลังเลอีกแล้ว เข้าไปหานกพลางส่งพลังงานคร๊อสมิค
และอนุภาคของอะตอมนิวเครียสต่างๆซึ่งเขาพึ่งได้รับมา
และแล้วไม่นานนักร่างของนกนั้นก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่าทันที
ชายหนุ่มถอยหลังออกมา แล้วตั้งสมาธิตวัดมือทั้งสองม้วน
ก็เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว เ
ป็นพลังงานวงกลมแล้วส่งไปยังนกสดายุทันที
เจ้านกแสนรู้เห็นดังนั้นมันอ้าปากขึ้นงับแล้วกลืนพลังงาน
ที่ชายหนุ่มส่งให้เข้าไปในท้อง
สักครูหนึ่งชายหนุ่มก็หยุดเพราะรู้ดีว่าเจ้านกสดายุคง
จะรับอาหารซึ่งเป็นพลังงานนั้นพอเพียงแล้ว
ระหว่างที่ชายหนุ่มส่งพลังงานป้อนเจ้านกนั้น
เจ้าสินธุตลึงถึงกับอ้าปากค้าง พร้อมส่งเสียงร้องถามเขาทันที
หลังจากที่เขากำลังเดินมาหา
“นายๆๆเจ้าสดายุไม่ได้กินอาหารแบบธรรมดา
ประเภทนกหรือ??? และนายให้อะไรมันกินล่ะ?????....”
“เจ้าอยู่กับมันมานานไม่รู้หรือว่าสดายุมันกินอะไร”
“ตอนที่อยู่กับข้านั้นมันไม่มีความต้องการอาหารใดๆเลย
และนายรู้ได้อย่างไรว่าเจ้านกนี้กินอาหารประเภทนี้”
ชายหนุ่มหัวร่อ ฮึๆๆเบาๆในลำคอพลางเอ่ยขึ้น
“ก็เราสังเกตุมันตลอดเวลาที่อยู่กับเราเหมือนกัน
และได้สอบถามมัน ตอนแรกมันก็ไม่บอก
พึ่งจะมารู้เมื่อกี้นี้เองเพราะเห็นมันอิดโรย
มาก มันจึงบอกเราดังนั้นเราพอดีมีความรู้ทางนี้
ก็เลยสงเคราะห์มัน”
“อ้อๆเป็นอย่างนี้นี่เอง เอ๊ะ??...
นายระวังไอ้สัตว์ประเภทกิ่งก่าร่างคนมันพุ่งมาทางเราแล้ว”
ชายหนุ่มรีบหันไปมองทันที ใช่แล้วร่างมันพุ่งเข้ามาหาพวกเราแต่
บัดดล ฝูงแมลงปอร่างประหลาดก็พุ่งร่างทิ้งดิ่งเข้าใส่
คนร่างกิ่งก่าทันที
พร้อมทั้งจิกและจิ้มหางไปยังร่างประหลาดนั้น
เจ้ากิ่งก่าประหลาดก็หยุดชะงัก
หันไปต่อสู้กับแมลงปอประหลาด อย่างชุลมุน
แต่น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ น้อยกว่าย่อมแพ้มากเป็นธรรมดา
พวกแมลงปอยักษ์ต่างก็ช่วยกันรุมทึ้งเนื้อของกิ่งก่าร่างคนทันที
แล้วบินหนีไป เจ้ากิ่งก่าร่างคนก็พ่นควันขาวๆออกจากปาก
ใส่เจ้าแมลงปอยักษ์ เมื่อร่างนั้นได้รับควันจากปาก
ก็ร่วงพล๊อยตกและดิ้นทุรนทุรายแล้วสงบเงียบไป
แต่พวกมันมีมากต่างช่วยกันรุมทั้งร่างส่วนหัวที่ท่อนเป็นคน
และลำตัวเป็นกิ่งก่าและหางเป็นจรเข้ ซึ่งก็ได้รับการต่อต้าน
ทั้งมือและหางที่ฟาดร่างของเจ้าแมลงปอหางแมลป่องทัน
ที่อยู่ก็อยู่ไปที่ตกตายก็ตายไป การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือด
ชายหนุ่มและพวกได้แต่จ้องมองดูหาได้เข้าไปร่วมสถานะการณ์ใดไม่
จึงเห็นการต่อสู้ของสัตว์ประหลาดทั้งสอง
แต่เขาก็ไม่ไว้วางใจนักได้เตรียมตัวพร้อมหากสถานะการณ์เปลี่ยนไป
ไม่รู้ว่าแมลงปอหางแมงป่องมันจะมาช่วยหรือว่าหาอาหารกันก็
ไม่แน่ใจเท่าใดนัก แต่เขาสังเกตุว่าคงจะไม่มาช่วยแน่ๆ
คงเห็นเจ้ากิ่งก่าร่างคนใหญ่เป็นอาหารอันโอชะ
หลายตัวจึงได้ช่วยกันรุมเพื่อกัดกินเป็นอาหารมัน
จึงได้สั่งเจ้าสินธุและสดายุอย่าได้ไปช่วยมัน
ปล่อยให้มันต่อสู้กันเอง
ฝ่ายเจ้ากิ่งก่าร่างคนเมื่อจับแมลงปอหางแมงป่อง
ได้ ก็กัดเคี้ยวกินทันที การต่อสู้เป็นไปนับเวลานานมาก
จนเวลาตกบ่ายคล้อยมาก
เจ้ากิ่งก่าร่างคนก็เหลือเพียงแค่สองตัวต่างไม่มุ่งหน้ามาทางเขาอีกแล้ว
พยายามหาหนทางหนีเข้าไปในหุบผาเขาป่าใหญ่ทันที
กลิ่นเลือดเหม็นคาวออกสีเขียวๆของเจ้ากิ่งก่าร่างคนกระจายไปเต็ม
แต่ทั้งสองอาศัยว่ายพญาว่านและพลังงานจึงไม่เป็น
อะไรเลย เพียงแต่คอยสังเกตุการณ์ดูอยู่เท่านั้นและระวังตัวด้วย
“ระวังๆๆสินธุเจ้าแมลงปอหางแมงป่องมัน
หันพุ่งมาทางเราแล้วคงไม่เป็นมิตรแน่”
“ใช่แล้วนาย มันคงหมายร้ายเสียมากกว่ามาดีนะ”
“นั่นซิ อย่างไรก็เตรียมพร้อมไว้ก่อน”
แล้วชายหนุ่มก็หันไปตบไหล่เจ้าสดายุทันที
เหมือนจะให้มันช่วยป้องกันพวกเราด้วย
เหมือนนกรู้ร่างเจ้าสดายุก็ใหญ่ขึ้นๆใหญ่กว่า
เจ้าแมลงปอหางแมงป่องเสียอีก ส่งเสียงร้องคำรามเบาๆ
เมื่อแน่ใจว่ามันมาร้ายแน่
ชายหนุ่มก็ปรบมือเสียงดังเบาๆ ร่างเจ้าสดายุก็โผบินขึ้นไป
มันพ่นไฟแต่ไฟของมันคราวนี้ไม่เหมือนก่อนมีสีแสงออกมา
ด้วย ยามเจ้าสัตว์ประหลาดเจอแสงของเจ้าสดายุ
ก็มอดไหม้เป็นจุณไปทันที เจ้าสดายุพุ่งร่างเข้ากลางฝูงสัตว์ประหลาด
แล้วพลางจิก
และกางอุ้งเล็บขามันไปยังร่างเจ้าสัตว์ประหลาด
ซึ่งดิ้นกระแด๊วๆในงุ้มตีนมันพร้อมพ่นไฟออกจากปากอีกด้วย
เขาหันไปมองทางพื้นดินเห็นร่างเจ้าสัตว์ประหลาดอีกประเภทหนึ่ง
ต่างตกตายและถูกจิกกินจาก
แมลงปอยักษ์จนเหลือแต่ซาก แล้วพวกมันก็พุ่งร่างมายังคนทั้งสอง
และเจ้านกสดายุเพื่อกินเป็นอาหารต่อไป
ชายหนุ่มไม่รอช้าร่างของเขาก็ลอยขึ้นไปในอากาศ
พุ่งเข้าหาฝูงสัตว์ประหลาดทันที
กริชแก้วพลางควงเป็นวงกลมเข้าทำลายสัตว์ที่อยู่ใกล้
เขาฟาดฟันดาบกริชแก้วเข้าใส่ร่าง
ร่างมันก็ขาดกระเด็นตกลงมายังพื้น
เพียงไม่นานนักเขาก็ทำลายสัตว์ประหลาดไปหลาย
สิบตัว พลางหันไปมองร่างของสินธุด้วยความห่วงใย
แต่เจ้าสินธุก็ไม่ได้อยู่เฉยเข้าต่อสู้กับสัตว์ประหลาดอย่างชุลมุน
ดาบดำมะเหมื่อมของเขาฟาดไปยังร่างของสัตว์
ที่เข้ารุมล้อมตกตายไปหลายตัว
พวกสัตว์ประหลาดมันมีมากเหลือเกิน เขาพยายามฆ่าๆไปได้อีก
มากมาย พื้นบริเวณนั้นนองไปด้วยเลือดของสัตว์ทั้งสองประเภทส่ง
กลิ่นคาวคลุ้งตลบอบอวลไปทั่ว
จวบจนตกเย็นตะวันเริ่มจะลับขอบฟ้าหลังภูเขา
ด้วยนิสัยอันโหดเหี้ยมแม้พวกตายไป แต่พวกมันก็ไม่ยอมหนีเหยื่อ
ต่างพุ่งเข้าหาอย่างไม่เกรงกลัวและพวกจึงสามารถฆ่าสัตว์ประหลาด
ได้หมดสิ้น เมื่อเสร็จการปราบปรามสัตว์แล้ว
ชายหนุ่มก็ลอยลงมาหาเจ้าสินธุซึ่ง
มองเขาอยู่อย่างประหลาดใจที่เขาสามารถลอยตัวไปในอากาศได้
และส่งเสียงร้องด้วยความตื่นเต้นว่า
“นายๆท่านสามารถ.....????.....”.
* แก้วประเสริฐ.*
3 สิงหาคม 2555 16:53 น.
แก้วประเสริฐ
* แดนพิศวง ตอน ๑๕ *
(ป่ามหัศจรรย์)
ทั้งสองที่สะพายย่ามต่างลัดเลาะไปตามเส้นทางอันคดเคี้ยววกวน
ไปๆมาๆ ตลอดข้างทางชายหนุ่มต่างสนเท่ห์ใจเพราะต้นไม้ที่แตกต่างกันนั้น บางต้นสูงตะหง่านแทบมอบไม้เห็นยอด ลำต้นก็แสนจะออกใหญ่โต ใบหนาและใหญ่มากๆแม้แต่ต้นไม้ที่ว่าเล็กๆนั้นแตละใบใหญ่มาก เรียกว่าคลุมเขาทั้งสองมิดแม้แต่ต้นหญ้าก็ตาม
ชายหนุ่มรำพึงในใจว่า ป่านี้ช่างพิสดารยิ่งนักไม่เหมือนป่าที่เขาเคยผ่านมาเลย การเดินทางของคนทั้งสองผ่านไปไม่นานทางยิ่งแคบเล็กลง ก็แลเห็นช่องทางผ่านซึ่งมีภูเขาอันสูงใหญ่กระหนาบทั้งสองข้าง บางต้นออกดอกสีต่างๆกันแปลกประหลาดและมีกลิ่นหอมฉุนแปลกประหลาด แต่ก็ทำให้ทั้งสองสดชื่นหายจากเหนื่อยดังปลิดทิ้ง
แต่ทั้งสองมิได้มีเหงื่อไคลไหลออกมาเลย เนื่องจากแดนแห่งนี้เป็นคล้ายท้องกระทะที่ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งตามยอดเขาต่างๆ ทำให้
เสมือนหนึ่งอยู่ในห้องแอร์ที่มีอุณหภูมิต่ำมาก ดีแต่ว่าเขานั้นใส่เสื้อที่ค่อนข้างหนา และเคยชินกลับอากาศเช่นนี้ดังนั้นทั้งสองเมื่อเดินทางมาถึงทางจะผ่านช่องของภูเขา ชายกลางคนก็รีบกระตุกชายเสื้อเขาไว้พลางเอ่ยขึ้นว่า
“นายท่านหยุดก่อน เพราะก่อนจะผ่านช่องนั้นอากาศบริเวณนั้นต่างเต็มไปด้วยมวลสารพิษ มนุษย์และสัตว์หากผู้ใดถูกควันพิษนี้ร่างกายก็จะละลายเป็นผุยผงทันที”
“เป็นเช่นนั้นหรือสินธุ!!!...????...ร้ายกาจถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
“ใช่แล้วนายท่าน บ้านข้าพเจ้าก็อยู่เลยเข้าไปและต้องผ่านทางสายนี้เช่นเดียวกัน แต่ข้าเองมีของใช้ในการป้องกันทั้งขาเข้าและขาออกซึ่งข้าได้เตรียมพร้อมไว้แล้ว”
ชายหนุ่มแลไปเห็นเจ้าสินธุกำลังล้วงย่ามและหยิบกล่องใบหนึ่งออกมาแล้ว เขามองไปเห็นภายในกล่องนั้นบรรจุด้วยรากไม้อะไรก็ไม่รู้เป็นชิ้นแท่งๆสีดำๆจำนวนมากที่วางเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ แต่ทว่าชายหนุ่มซึ่งได้รับการฝึกปรือการรักษาอากาศบริสุทธิ์ไว้พร้อมกับมีพลังงานในการห่อหุ้มร่างกายจึงไม่กลัวเกรงต่ออากาศดังกล่าวนี้ หากเขาได้รู้ตัวล่วงหน้าเช่นนี้ แต่คิดจะบอกแก่ชายกลางคนก็กลัวว่าเขาจะเสียกำลังใจไป ดังนั้นจึงเงียบเสียงและได้ยิน
ชายกลางคนเอ่ยขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
“ให้นายท่านนำรากไม้ชนิดนี้แม้จะไม่น่าชมนักก็ตามแต่สามารถป้องกันควันพิษนี้ได้หากสูดลมหายใจเข้าไป ก็จะทำลายอากาศพิษแปรสภาพเป็นอากาศบริสุทธิ์ทันที เพียงนายท่านอมไว้ใต้ลิ้นเท่านั้น”
ชายหนุ่มไม่ตอบเพียงแค่ยกชิ้นท่อนไม้ขึ้นมาพิจารณาหลังจากที่ยื่นมือไปรับมา มันเป็นรากไม้ธรรมดาแต่ดำสนิทส่งกลิ่นหอมรัญจวนนัก จึงเอ่ยขึ้น
“แล้วมันจะฝืนขมฝาดหรือไม่ล่ะท่านสินธุ”
“ไม่หรอกขอรับ มันจะหวานอมเปรี้ยวนิดหน่อยและจะชุ่มคอขอรับนายท่าน”
“อืมม???.....แปลกดีนะ ลักษณะสีน่าจะออกรสขมมากกว่ากลับไม่เป็นดังข้าคิดไว้เลย”
“มันเป็นรากสมุนไพรของพืชชนิดหนึ่งภายในหุบเขาที่เราจะผ่านเข้าไป เป็นการถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษข้าเองที่ถ่ายทอดไว้ให้เวลาจะผ่านเข้าออกหุบเขาทั้งสองนี้ และยังสามารถขจัดพิษอื่นๆได้อีกด้วยทางหนึ่ง แม้ว่าพิษนั้นจะร้ายกาจเพียงใดขอรับนาย”
“นั่นซิข้าเองก็เห็นประหลาดยิ่งนัก นอกจากจะเป็นรากไม้สีดำแต่ยังออกแววประหลาดเป็นเงามะเหลื่อมๆออกมาอีกด้วย เขาเรียกว่าอะไรหรือท่าน”
“ทางบรรพบุรุษเรียกว่า “ว่านแก้วขวัญเรือน” ขอรับนายท่าน มันเป็นพืชชนิดหนึ่งอยู่ในป่าลึกๆค้นหาลำบากนัก เพราะมันสามารถหลบหลีกหนีการค้นหาได้อีกด้วย หากพบเห็นต้นไม้ดังกล่าวต้องใช้พืชว่านอีกชนิดหนึ่งเป็นตัวล่อมันไม่ให้หลบหนีไป ว่านนั้นเรียกว่า
“ว่านพญาดัก” เมื่อว่านทั้งสองพบกัน ว่านแก้วขวัญเรือนก็จะหลงใหล และเข้ามาหาว่านพญาดักและไม่สามารถหลบหนีไปได้ขอรับ แต่ทว่าเมื่อมันเข้ามาแล้วเราต้องเอาผงว่านซึ่งป่นจนละเอียดแล้วรีบโปรยมันให้ถูกต้องต้นว่านแก้วขวัญเรือน ว่านดังกล่าวก็จะสลบลงทันที แล้วเราต้องรีบขุดเอารากมันมามิฉะนั้นอิทธิฤทธิ์ของว่านที่ป่นนี้จะทำลายมันไปจนหมดสิ้นขอรับ”
“แล้วว่านที่ป่นละเอียดนี้เรียกชื่อว่าอะไรหรือท่าน”
“เรียกว่า “ว่ายจับทำลาย” ขอรับนายท่าน ก่อนจะไปหาว่านแก้วขวัญเรือนต้องเตรียมว่านทั้งสองไว้ให้พร้อมและต้องรีบทำอย่างรวดเร็วมากอีกด้วย จะใช้มือเปล่าๆจับต้องไม่ได้แม้ว่ามันจะสลบแล้วก็ตาม ต้องใส่ถุงมือที่ทำด้วยหนังสัตว์แล้วค่อยขุดและตัดออกในที่นั้นให้เป็นท่อนๆ แล้วจึงนำว่านอีกชนิดหนึ่งโรย เรียกว่า “ว่านสถิตย์” ขอรับนายท่าน”
“แหมๆๆๆกว่าจะได้มันช่างลำบากจริงๆนะ แล้วหากไม่ใส่ถุงมือเล่าจะเป็นอย่างไรหรือ???...”
“หากไม่ใส่ถุงมือนี้ที่กล่าวไว้แล้ว มือที่โดนว่านชนิดนี้จะเน่าเปื่อยทันที นอกจากใช้ว่านแก้วขวัญเรือนดับพิษจึงจะหายขอรับนาย”
“อืมๆๆช่างแปลกเสียจริงๆ แต่เมื่อใช้ว่านสถิตย์แล้วพิษจะไม่มีหรือท่านสินธุ”
“เขาเรียกว่าใช้พิษดับพิษขอรับ ก่อนจะได้มันมาก็ทำให้ผู้ไปจับว่านนี้เสียชีวิตมาเป็นจำนวนมาก จนกระทั่งตะกูลของข้าได้ค้นพบหลักการในการไปจับ แม้ว่ามันจะมีคุณมหาศาลแต่ก็มีโทษอย่างมหันต์มากขอรับ”
“จริงซินะ เพียงได้ยินท่านเอ่ยมานี้ก็ไม่ธรรมดาแล้วล่ะ”
ว่าแล้วชายหนุ่มก็นำรากไม้ที่เรียกว่า “แก้วขวัญเรือน” นำมาพิจารณาอีกที มันก็แค่รากไม้ธรรมดาเพียงแต่สีดำมะเมื่อมและคล้ายๆจะมีแสงประหลาดๆแผ่กระจายเท่านั้นเอง ไม่น่าจะมีฤทธิ์มากมายนักเลย จึงเอยถามด้วยความสงสัยว่า
“แล้วท่านสินธุได้รับการถ่ายทอดมาหรือไม่ล่ะ???...”
“ได้รับขอรับนาย พร้อมกับตำราว่านต่างๆในป่านี้อีกด้วยทั้งวิธีการต่างๆนาๆไว้ขอรับ”
“แต่เราเห็นมีมากมายในกล่องของท่านคงจะมีหลายๆต้นละซิ”
“ขอรับนาย มันมีด้วยกันหลายๆสิบต้นขอรับ เพราะว่าว่านนี้เมื่อโดนว่านทั้งสองกำหราบ แต่สามารถแยกตัวเองที่ไม่โดนผงหนีไปได้อีกด้วยขอรับ ดังนั้นจึงต้องรีบใช้ความรวดเร็วความชำนาญในการไปจับว่านชนิดนี้ หากไม่มีว่านชนิดนี้เราจะเข้าออกจากหุบเขาบ้านข้าไปไม่ได้เลยขอรับ เพราะต้องผ่านควันหมอกพิษนี้ ดังนั้นบรรพบุรุษข้าพเจ้าจึงค้นคว้าหาทางออกจากหุบเขานี้ให้ได้ขอรับ”
“นั่นนะซิหากท่านไม่มาด้วยเราเองก็คงจะแย่แล้วอากาศที่ว่านี้มีลักษณะบ่งบอกว่าเป็นควันหมอกพิษหรือไม่ล่ะ”
“จะไม่มีวันรู้หรอกขอรับนอกจากโดนมันเท่านั้น ปกติจะเหมือนลมโชยอย่างรุนแรงไม่มีอะไรให้สังเกตุหรอก เพราะเคยมีคนภายในหุบเขาไม่มีว่านดังกล่าวนี้ออกไป แล้วต้องถูกหมอควันพิษทำลายเป็นผุยผงไปก็มากเสียมากขอรับนาย”
“นั่นนะซิหากท่านไม่ฉุดข้าไว้ และบอกข้าก็เห็นมันแค่หมอกธรรมดาเท่านั้นเอง หาได้มีลักษณะมีพิษแต่ประการใดเพราะมันก็ดูคล้ายละอองหมอกเท่านั้นเองเหมือนกับควันจากการเผาไหม้ของไม้เท่านั้นเองแหละ”
“อย่าช้าเลยนาย รีบอมเข้าไปในปากแล้วออกเดินทางดีกว่านี่ก็เที่ยงแล้วเดี๋ยวจะถึงบ้านข้ามืดและทางเดินก็ลำบากมากอีกด้วย ตลอดจนสัตว์มีพิษอีกมากมาย ตลอดจนสัตว์กินคนแปลกประหลาดอีกมากหลายชนิดอีกด้วย”
ชายหนุ่มพยักหน้าแล้วนำรากไม้ไปเหน็บไว้ที่ใบหูแต่แสร้งว่าเป็นการอมเข้าปาก พลางนึกในใจว่าเราจะทดลองการฝึกฝนของเราอีกทางหนึ่งด้วย เมื่อเรียบร้อยแล้วจึงหันไปบอกชายกลางคนให้ออกเดินทางได้ เขาสูดเอาอากาศไปเก็บไว้ตามเซลล์ในร่างกายจำนวนมาก หากเมื่อเข้าไปยังหมอกควันที่โชยเป็นสายๆก็จะทำการปิดกั้นลมหายใจแล้วใช้อากาศที่เก็บไว้ทดแทนทันที พลางเอ่ยว่า
“เรียบร้อยแล้วสินธุนำทางได้แล้วล่ะ”
ชายกลางคนก็นำว่านเข้าปากแล้วเก็บกล่องลงภายในย่ามแล้วออกนำหน้าเดินฝ่าหมอกควันนั้นเข้าไปยังหุบเขาทันที ส่วนชายหนุ่มก็
ติดตามด้านหลังเข้าไปติดๆ แต่เขาเพียงแค่รู้สึกคันๆเล็กน้อยตามร่างกายจึงรีบใช้พลังงานที่สะสมไว้ค่อยๆแผ่ขยายไล่พิษร้ายออกจึงมีอาการปกติ หมอกควันพิษไม่สามารถทำอันตรายแก่เขาได้เลยทางด้านเจ้าสินธุนั้นรีบเร่งเดินไม่ทันสังเกตุที่ท่าของชายหนุ่มแต่อย่างใด เส้นทางยาวคดเคี้ยวยิ่งเดินเข้าไปอากาศยิ่งหนาทึบไปด้วยหมอกควันและอากาศลมแรงมากๆ แต่ชายหนุ่มไม่เสทือนแต่อย่างใด ก้าวตามไปติดๆ แต่ชายกลางคนยิ่งเดินยิ่งช้าลง
เมื่อเห็นเช่นนั้นชายหนุ่มจึงรีบเดินขึ้นไปข้างหน้าแล้วก็ใช้มือหนึ่งดึงร่างชายกลางคนพลางเร่งพลังงานในตัวเขาดึงลากชายกลางคนไปอย่างรวดเร็ว เดินไปตามทางนั้นๆ สองข้างทางหาปรากฏต้นไม้ใดๆทั้งสิ้น เพียงแต่เป็นเส้นทางที่ขรุขระและเต็มไปด้วยหินประหลาดๆสีต่างๆนาๆอีกด้วย แต่เขาไม่มีเวลาสนใจเพราะรู้สึกร่างกายชายกลางคนจะต้านทานกระแสลมที่แรงจัดมากไม่ได้ ดังนั้นเพียงเวลาไม่นานเท่าใด ทั้งสองก็หลุดพ้นออกจากเส้นทางที่เต็มไปด้วยหมอกควันพิษนั้น ชายกลางคนจึงขอพักพลางกล่าวว่า
“เราพ้นจากหมอกควันแล้วเข้าสู่หุบเขาบ้านข้าแล้วล่ะนาย พักเหนื่อยก่อนก็ได้นะ”
“ตามใจท่านเถอะเราเห็นท่านอ่อนเพลียมากต่อการต้านกระแสลมแรงนั้น ให้ท่านพักให้หายเหนื่อยก่อนก็แล้วกัน”
เมื่อทั้งสองเดินไปอีกสักหน่อยก็พบต้นไม้แปลกๆจึงอาศัยใบมันบังแดดแล้วนั่งพัก เขานึกถึงเจ้าสดายุขึ้นมาทันทีมันจะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้จึงรีบเปิดยามออกมา ก็พบเจ้าสดายุยังเป็นปกติหันหัวไปๆมาๆคล้ายจะบอกเขาว่าไม่เป็นอะไรหรอก เขาค่อยโล่งอกเพราะเขาลืมมันเสียสนิทในการฝ่าหมอกควัน และนึกว่าเจ้าสดายุคงจะมีอะไรพิเศษบางอย่างแน่นอน หมอกควันพิษไม่สามารถทำอะไรแก่มันได้เลย แต่เมื่อนึกถึงก่อนจะได้มัน มันต้องมีอะไรพิเศษแน่นอนจึงค่อยโล่งอกไป ทั้งสองพลางหาที่นั่งพักผ่อน
ตอนนี้อากาศเริ่มขมุกขมัวแล้วแสดงว่าระยะทางคงจะไกลมากด้วยในขณะที่เดินฝ่าหมอกควันนั้น สายตาเขาเห็นเพียงลางๆเท่านั้น แต่อาศัยดวงแก้วทั้งสองพร้อมพลังงงานแห่งจักวาฬจึงแลเห็นได้เป็นพิเศษกว่าคนธรรมดาทั่วๆไป ระยะทางไม่ใช้ใกล้ๆเลยมันกินเวลาหลายชั่วยามทีเดียวเขาคิด หากเขาไม่มีความสามารถพิเศษแล้วล่ะก็ยากนักจะหลุดพ้นบริเวณหมอกควันไปได้ เพราะเขาไม่ได้อาศัยว่านแก้วขวัญเรือนของชายกลางคนเลย ส่วนชายกลางคนนั้นอาศัยฤทธิ์ว่าน เขาคิดจะถามว่าเห็นหนทางประการใดแต่ไม่กล้าถามเพราะจะเป็นพิรุธแก่ชายกลางคนได้ ว่าเขาไม่ได้ใช้ว่านดังกล่าวนั้นเลย แต่คิดว่าคงจะเหมือนเขาเพราะมิฉะนั้น ชายดังกล่าวคงจะเดินทางอย่างรวดเร็วด้วยเป็นเจ้าถิ่น แต่กลับยิ่งเดินยิ่งล่าช้านั่นซิเขาถึงเร่งให้รีบออกเดินทางโดยเร็วจะมืดเสียก่อน นี่อาศัยเขาใช้พลังงานช่วยในการเดินทางถึงได้รวดเร็วกว่าธรรมดา พลางนึกตำหนิตนเองในใจว่าหากเขาจะใช้นกสดายุในการนำทางก็คงไม่ต้องลำบากปานนี้ แต่อาจจะหลงทางก็เป็นไปได้ เพราะตำแหน่งอาจจะเปลี่ยนไปในยามที่อยู่เบื้องสูงนั่นเอง
เวลาผ่านไปสักครูหนึ่งชายกลางคนก็ลุกขึ้นกล่าวว่า
“ออกเดินทางได้แล้วนาย อีกไม่เท่าไหร่หรอกก็จะถึงบ้านข้าแล้วล่ะ แต่เอ๊ะๆ???....”
“หลบเร็วนายพวกมันมากันแล้วล่ะ”
“อะไรหรือสินธุ”
“นกยักษ์ซินาย รีบหลบใต้ต้นเห็ดนี่แหละมันคงมองเราไม่เห็นหรอก เพราะเหมือนหลังคาคลุมพวกเราไว้”
“อะไรๆๆที่เราพักนี้หรือคือต้นเห็ด”
“ใช่แล้วนาย เป็นต้นเห็ดแหละ สงสัยอะไรหรือนาย???”
ทำไมจะไม่เขาสงสัยเขานึกว่าเป็นใต้ต้นไม้แต่สินธุบอกว่าเป็นเห็ดจะไม่ทำให้เขางวยงงได้หรือ ทำไมมันถึงใหญ่โตนักขนาดเห็ดนะแต่ยังไม่ทันคิดอะไรมาก ร่างเขาก็ถูกเจ้าสินธุดึงเสื้อให้เข้าไปแอบซ่อนไว้ใต้ต้นเห็น พลางก้มลงใช้ดาบขุดดินให้เป็นหลุมทันทีเพื่อใช้เป็นหลุมหลบภัยไว้
“ทำไมต้องทำอย่างนี้หรือว่ามันร้ายกาจยิ่งนัก”
“มันเป็นฝูงนกประหลาดคล้ายมังกรแต่ไม่ใช่ และก็ไม่เหมือนเจ้าสดายุอีกด้วยซินาย หัวมันคล้ายๆเสือแต่มีปากเป็นจงอยยาวแหลมคมกินเนื้อสัตว์เป็นอาหารปีกคล้ายค้างคาวอุ้มเล็บมันยาวแหลมคมมากนาย นายคอยดูเจ้าสดายุไว้ด้วยเพราะมันคงไม่ยอมแน่หากเจอะศัตรูของพวกมันนะ”
“ช้าไปเสียแล้วสินธุ มันออกไปจากย่ามแล้วล่ะ”
ทั้งสองรีบออกไปดูก็เห็นฝูงนกประหลาดประมาณ 5-8 ตัวได้กระมัง และก็แลเห็นเจ้าสดายุกลายร่างใหญ่โตขึ้นโผไปหาฝูงสัตว์มีปีกทั้งหมด แล้วเข้าต่อสู้กันทันที เสียงร้องก้องกังวานของเจ้าสดายุทำให้นกประหลาดพากันชะงัก และเมื่อแลเห็นเจ้าสดายุเท่านั้นนกประหลาดก็ต่างชะลอบินชะงัก แต่ไม่ทันการณ์เพราะเจ้าสดายุได้ไปถึงนกตัวหนึ่งพลางพ่นควันพิษและเป็นไฟออกใส่เจ้านกที่ใกล้ที่สุด
ทำให้ร่างของเจ้านกประปลาดลุกโชนด้วยไฟร้องลั่นทันที ส่วนพวกอื่นเมื่อเห็นดังนี้และได้ยินเสียงของเจ้าสดายุ ต่างก็รีบบินหนีทันที แต่มันไม่อาจจะพ้นเจ้าสดายุที่บินได้อย่างรวดเร็วคล่องแคล่วกว่าไปได้จึงโดนเจ้าสดายุพ่นควันพิษเพลิงใส่แล้วจิกคว้าทำลาย เพียงชั่วเวลาไม่นานนัก ฝูงนกประหลาดก็ตกตายทั้งถูกจิกและคว้าด้วยอุ้งตีนมันทั้งสอง เสมือนมันเป็นเจ้าแห่งนกทั้งปวงฝูงนกประหลาดกลัวทั้งเสียงและควันพิษเพลิงแตกกระจายแต่ความรวดเร็วสู้เจ้าสดายุไม่ได้จึงตกตายไปจนหมดสิ้น
ชายหนุ่มและชายกลางคนตลึงเมื่อเห็นพลานุภาพของเจ้าสดายุซึ่งบัดนี้ได้บินมายังชายหนุ่มร่างมันค่อยๆเล็กลงๆจนกระทั้งเท่านกธรรมดาดูเหมือนไม่ร้ายกาจ พลางส่งเสียงร้องทักชายหนุ่มทันที ชายหนุ่มซึ่งรู้ภาษามันได้โต้ตอบ ถามไถ่ต่างๆนาๆทำเอาชายกลางคนถึงกับแปลกใจ ฉงนสนเท่ห์ใจนักที่นายมันสามารถคุยกับเจ้าสดายุได้อย่างรู้เรื่องราว และเห็นเจ้าสดายุบินเข้าไปยังย่ามของชายหนุ่ม
พลางเอ่ยขึ้นว่า
“นายๆ???...สามารถคุยกับเจ้าสดายุได้หรือ???...”
ชายหนุ่มยิ้มไม่กล่าวอะไรพลางกล่าวว่า
“ สินธุไปเถอะจะมืดเสียก่อนนะ”
“นายคุยกับเจ้าสดายุมันว่าอะไรหรือ???...”
“มันบอกว่านกประหลาดนี้เป็นนกจำพวกค้างคาวไม่ได้บอกว่าชื่ออะไรหรอกสินธุแต่ทว่า........”
* แก้วประเสริฐ. *