24 มีนาคม 2553 19:17 น.
แก้วประเสริฐ
มณีไร้แสง
๐แวววาวพลันจบแล้ว เรืองรอง
แสงส่องวับใยยอง ไป่สิ้น
พริ้งเพริศหมดใฝ่ปอง ห่อนก่อ มวลเฮย
พลันแยกแตกเป็นชิ้น ร่วงฟ้าจากสรวง ฯ
๐เรียงร้อยคิดพวกพ้อง จุดรวี
ส่งไห่แสงพรายมณี วับไว้
แววขับประดับฉวี พูนเพิ่ม มากแฮ
ทอสิ่งริบหรี่ไซร้ ห่อนเร้าเคียงสนอง ฯ
๐แวววับเพียงเฉิดฟ้า เทียมเฮย
น้อยนิดยากจะเชย สุดสล้าง
หลุดสิ่งเร้ากิ่งเคย สานก่อ ปวงแฮ
ฝันท่องฟ้าพึงสร้าง สุดสิ้นไป่สนาน ฯ
๐มังกรทองผงาดฟ้า กลับกลาย
หงส์ส่งวับวาวพราย ใฝ่ซึ้ง
แก้วสีเฉิดแสงวาย ร่วงหล่น นภาเฮย
มวลเหล่าคลายสิ่งขึ้ง เฉิดฟ้าอำไพ ฯ
๐สุดสิ้นพรายมืดแล้ว นวลฉวี
สิ่งก่อเกิดเคยมณี พร่างฟ้า
เหลือเศษสิ่งมากมี แตกแยก เหลี่ยมแฮ
ดุจดั่งสุรีย์ฝากหล้า พร่างสิ้นต่อสนอง ฯ
๐เดือนดาราลับฟ้า จากแรม
หมุนหยุดมิฝากแซม ห่างแล้ว
พราวพริ้งหมดวาวแวม สีแห่ง คลายเฮย
ซึ้งซาบมิอาจแพร้ว พรากสิ้นนภาสรวง ฯ
๐ป่วนปั่นล้วนใฝ่เคล้า ไตร่ตรอง
สิ้นยับจนสิ่งปอง หลากหล้า
มณีแยกหมดสู่สนอง หลุดจาก สยายแฮ
หลุดร่วงจากขอบฟ้า เคว้งคว้างนภาสนาน ฯ
๐ขุนเขายังสุดสิ้น แตกพัง
จันทร์ถูกเมฆบดบัง ซ่อนไว้
ดวงดาวถูกกักขัง มืดก่อ หลากแฮ
ดุจดั่งคนแยกไซร้ ไห่สิ้นหวนสนอง.ฯ
* แก้วประเสริฐ. *
24 มีนาคม 2553 15:08 น.
แก้วประเสริฐ
รักมิอาจกั้น
ฟ้าสีครามลมพัดสู่มัดซึ้ง
วาบหวามตรึงห้วงล้ำสู่ย้ำใส
ผกากลิ่นหอมหวนรัญจวนใจ
แลมองไปชัยพฤกษ์พลันนึกนาง
พวงช่อเหลืองเบ่งบานช่างซ่านนัก
งามน่ารักกุหลาบเข้าทาบขวาง
ล้วนหลากสีผ่องพรรณคอยวสันต์คราง
เพื่อพรมพร่างฝนโปรยร่วงโรยปราย
ดอมดมกลิ่นหอมหวนจากล้วนเจ้า
ชวนคลอเคล้ามาลีก่อนที่สลาย
ต่างเบ่งบานชูช่อเพื่อล้อพราย
ภมรทั้งหลายบินว่อนสะท้อนนวล
เหลืองขาวแดงเปล่งปลั่งดุจปรางน้อง
ยากหมายปองมาลีจนพี่หวน
อวบอูมอิ่มแดงเหลืองประเทืองชวน
รำลึกป่วนยามจ้องเฝ้าปองกมล
กุหลาบน้อยร้อยรักจนพักเคล้า
พวงเหลืองเฝ้าคล้ายว่าจนข้าสน
ลมพัดโบกไหวพลิ้วระลิ่วปน
เป็นบางหนโรยดอกเหมือนหยอกเรา
ลมร้อนโชยโปรยกลิ่นเย้ายวนจิต
ยากจะปลิดต่อเจ้าเพื่อเคล้าเหงา
ด้วยความรักมอบให้จากใจเรา
สะท้อนเงาครั้งหนึ่งเคยซึ้งกัน
เหมือนมาลีพฤกษาที่ข้าเลี้ยง
เฝ้าคลอเคียงกล่อมเพลงบรรเลงฝัน
มอบความรักผูกพันต่างอนันต์พลัน
ปราศอาจกั้นดอกไม้แสนคล้ายเลย
ไม่เหมือนใครบางคนยากปนเจ้า
เขามาเฝ้าเพียงกรอกแล้วบอกเฉลย
พลันร้างหายจืดจางเหมือนอย่างเคย
มวลพฤกษ์เอ๋ยยามรักล้วนปักหทัย.
* แก้วประเสริฐ. *
22 มีนาคม 2553 21:31 น.
แก้วประเสริฐ
ช่างแล้งเหมือนใจฉัน
ท้องทุ่งวาบหวามไหว ล้วนกลิ่นไอประกายแฝง
วูบวับประดับแห่ง สิ่งร้อนแรงแฝงกายา
สะท้านสั่นห้วงสถิต ดุจดั่งปลิดความหรรษา
ดินแยกแตกพสุธา แม้แต่หญ้ายังเฉาตาย
ปีนี้ช่างร้อนเหลือ ปราศจากเชื้อของฝนสาย
เคยหลั่งมาพรั่งกราย กลับสูญหายให้อาดูร
เหม่อมองท้องฟ้าใส เมฆาไสวคล้ายสาบสูญ
ลมร้อนยากเกื้อกูน ยิ่งเพิ่มพูนล้วนลิดไกล
สะท้อนในห้วงลึก ตกฝากผลึกเป็นก้อนใส
ผูกมัดห้วงแห่งใจ เป็นเสลดไว้ไม่อาทร
นางสู่ฟากฟ้าไศล แปลงรูปไปเป็นอัปสร
ทิ้งทุ่งหนีห่างจร คนร้าวรอนเฝ้าพสุธา
ก่อนเก่าเฝ้าพร่ำร้อง ยามเสียงก้องของสายฟ้า
เคียงคู่มินำพา ให้สัญญามิลาไกล
บัดนี้ท้องทุ่งร้าง โถนวลนางกลับพลิกไหว
ใจหนอช่างแกว่งไกว ยามฟ้าไสวไร้เมฆินทร์
เหลือไว้ให้โดดเดี่ยว ใจแสนเปลี่ยวหมดทั้งสิ้น
หนุ่มนาร้างดวงจินต์ น้ำตารินแทนฝนพรำ
สงสารเจ้าทุยเอ๋ย เจ้ามิเคยบ่นสักคำ
เคียงข้างอย่างระกำ ถึงชอกช้ำร้องมอมอ
ช่างแล้งเหมือนใจฉัน สูญรักนั้นพลันแล้วหนอ
ดินแยกแตกคล้ายกอ ไผ่เสียดขอร้องระงม
หรีดหริ่งอิงหาคู่ กังวานกู่ซ้องเสพย์สม
ตัวข้าซิระบม ช่างขื่นขมนางร้างจร
ท้องทุ่งดั่งชีวิต หากคิดปลิดตามอัปสร
พ่อแม่คงร้าวรอน อุสส่าห์สอนก่อนสิ้นลา
แม้นแล้งแฝงมาปลิด อย่าผันจิตที่สร้างหา
ฝากเจ้าอย่าโรยลา เร่งนำพาแผ่นดินทอง
ให้เปล่งดั่งทองคำ พลิกเลิศล้ำครองทั้งผอง
ทนไปจนวสันต์ครอง สู่เรืองรองแดนอีสาน.
* แก้วประเสริฐ. *
21 มีนาคม 2553 13:07 น.
แก้วประเสริฐ
หญิงคนหนึ่ง
รำพึงคิดซ่อนเงื่อนที่เฉือนจิต
หวานลิขิตฝากไว้ยากไขว่หา
มาผูกมัดรัดห้วงดุจดวงดารา
บรรเจิดฟ้าแสงนวลเย้ายวนใจ
ฉันเพ้อพร่ำรำพันจนสั่นห้วง
เกิดเป็นบ่วงเงื่อนไว้ฝากให้ไสว
พอนานล่วงทุกสิ่งช่างอิงไกล
ความสดใสห่างเหินแล้วเมินลา
หวานจริงเจ้าฝากไว้จนให้สถิต
แล้วล่วงชิดแนบทรวงจนร่วงผวา
เธอรู้ไหมปวดร้าวจนพราวตา
โธ่อนิจจามิคนึงเคยซึ้งกัน
ฉันพลาดไปครั้งหนึ่งจนถึงพร่ำ
แสนระกำดวงจิตจนคิดฝัน
ดุจนรกหมกไหม้ชอบใฝ่กัน
สิ่งผูกพันห่างเหินจนเกินตรอง
เป็นหญิงแรกใฝ่ปองคิดครองสนิท
แต่ถูกปลิดดุจกรวดย่ำปวดสนอง
ปากอย่างหนึ่งใจหนอยากขอปอง
แสงเรืองรองดุจมณีฝากสีพราว
ขอลาทีแล้วหนอลออพร่าง
ความกระจ่างมอบไว้ดุจใสขาว
แต่ฉันมืดดำสนิทยากปลิดดาว
เพียงแต่เฝ้าส่งใจวิไลครอง
ไปดีเถิดหญิงแรกจนแปลกแล้ว
สิ่งเพริศแพร้วต่อสิ่งเคยอิงสนอง
ครองฟากฟ้าดั่งจันทร์ให้ฝันปอง
วันใดหมองเศร้าหม่นยากจนใจ
คนที่เธอเมินหมางจะสร้างให้
สิ่งร้องไห้ฉันซับประดับใส
ให้วับวาวแวววับประดับใน
เฉิดไฉไลพราวฟ้าช่วงราตรี.
* แก้วประเสริฐ. *
18 มีนาคม 2553 19:55 น.
แก้วประเสริฐ
รัดห้วงบ่วงใจ
อารมณ์ซึ้งแนบซ่านผ่านสรวงเอ๋ย
จันทร์ที่เคยทอแสงแฝงไปไหน
ดาวขอบฟ้าพาลับกลับหายไป
สิ่งสดใสทอทาบยากอาบทรวง
เคยโรยรินดอมกลิ่นบุบผาชาติ
ช่างประหลาดพฤกษามาลาสรวง
แนวหุบผาสิ้นสลายคลายทั้งปวง
สิ่งโชติช่วงนวลมณีสีพร่างพราย
จำเนียรแจ้วแว่วกล่อมดนตรีพฤกษ์
เสียงระทึกหมดเสียงเลี่ยงหนีหาย
เฝ้าแต่รอคอยเขาเศร้าเดียวดาย
สะท้านกายฟุ้งซ่านผ่านราตรี
หรือเขามองว่าเราประหลาดนัก
บ้าบอจักหมดสิ้นประทินฉวี
จนหมองหม่นเสื้อผ้าสร้างราคี
หากนารีเคียงข้างจึงหมางเมิน
แม้นแต่เพื่อนร่วมชิดสนิทเชื้อ
เขายังเบื่อหลีกเร้นเช่นนกเหิร
มองว่าเราปีกหักยากเหลือเกิน
ที่ก้าวเดินเคียงคู่สู่ชมจันทร์
โอ้รักห้วงบ่วงใจสลายแล้ว
สิ่งเพริศแพร้วหลีกเร้นเน้นหนีหัน
ปล่อยให้เราเวิ้งว้างสร้างลาวัณย์
จวบตะวันทอแสงแล้งกานดา
อนิจจาคนบ้าบ่อท่าแล้ว
เสี่ยงเจื่อนแจ้วราตรีที่ฝันหา
พอแสงเดือนดาวคล้อยลอยลับตา
แม่ยุพาปล่อยคว้างร้างคนเดียว
เคยเสกสรรวาทีวลีไพเราะ
แสนเสนาะฝังใจมิได้เฉลียว
เขาว่าบอผสมบ้าร้างลาเชียว
ป่วนให้เปลี่ยวมองแลชะแง้คอย
ทั้งโคลงกาพย์กานท์กลอนสะท้อนห้วง
กลับต้องร่วงดับไปคล้ายเศษฝอย
ฉีกละเอียดปนขว้างส่งสร้างรอย
ต้องละห้อยก้มหน้าฝ่าเดินดง
รักที่คงฝากไว้แกล้งใช้สอย
หวานหยดย้อยสมหวังดังประสงค์
หลอกแต่ตัวไม่ว่าข้าจำนง
ใยขีดวงสร้างกรอบลอบร้างลา
แม้แต่เดือนดวงดาวเคยพราวสว่าง
ยังมาสร้างหัวใจให้กังขา
ล้วนหนีหายไกลลับมิจับตา
สู้อุตส่าห์เฝ้ามองเพื่อครองใจ
หมดรักแล้วไม่ว่าชวนมาปลิ้น
น้ำค้างรินชโลมไว้ให้สดใส
นี่แหละหนอเราบ้าเขาลาไกล
สิ้นเยื้อใยเคว้งคว้างกลางป่าดง
จะอาศัยเดือนดาวภิรมย์จิต
ให้ชีวิตแปรเปลี่ยนกับเวียนผง
เป็นธุลีเคว้งคว้างกลางไพรพง
สิ้นอนงค์หมดดาวยากเฝ้าเดือน.
* แก้วประเสริฐ. *