* สิ้นซึ้งหฤทัย * งามลออเยิ้มหยาดพิลาสใบ สกาวไล้แวววับประดับแสง หลุดสิ้นพราวสะบัดจัดผ่อนแรง รุ้งแอบแฝงเรืองรองสองนัยน์นา ยามแสงทองส่องฟ้านภามาศ น้ำค้างพาดกิ่งก้านซ่านพฤกษา ยลเกล็ดแก้วแพรวพรายคล้ายรัตนา หลากสีพนาเพริศพริ้งอิงเมืองแมน สายลมพัดกลิ่นย้อมหอมยอกหวน เปี่ยมรัญจวนบุปผามากมายแสน ซึ้งสู่ห้วงปวงเหนี่ยวเกี่ยวทดแทน เก่าแฝงแขวนฝากไว้สลายกานต์ สูดนาสาผ่านเข้าเนาว์แนบบ่วง ผ่านแนบช่วงตรึกพร่ำย้ำประสาน เมฆพล่านพลิ้วปลิวจางร้างลิดราน สิ้นเฉลยขานปลิวหายคล้ายสายลม มองภูหลากฝากไว้ในม่านหมอก พราวกระฉอกวิมานครั้นเอนกสม ลอยละล่องพลิ้วไหวคล้ายอารมณ์ สู่หวานข่มปลิดสราญสั่นเรืองรอง ซ่านสำเนียงหวิวกิ่งพริ้งอิงสนาน พฤกษ์เสียงขานวิมานเมฆเฉกผอง สายลมสบัดโปรยเคล้าเฝ้าละออง หวามเย็นต้องกายเน้นเร้นภายใน แสนหวนคิดรักเอ๋ยใยเย้ยเขลา ล้วนเคยเฝ้าฝากร้างห่างสดใส มิเคยคิดปลิดพรากจากยวงใย ช่างกระไรหนีพรากจากห่างจร ต่อแต่นี้ขอสลายคลายแล้วหนอ เคยเฝ้าพนอดุจหมอกหยอกสิงขร เหม่อมองเมฆลอยล่องสนองวอน ยากคืนย้อนผ่านกลับลับคลายจาง. *** แก้วประเสริฐ. ***
* ดุจใจฉัน * คลื่นลอยโลดลิ่ว ระยับงามพลิ้ว ยลวาบแววไหว สุรีย์ส่องแสง รุ้งเรืองรองแฝง หลากสีพรรณไสว สีส่องแกว่งไกว พริ้มแสนไฉไล ซ่านเซาะโขดผา ดุจล้วนที่ฉัน ไร้มิตรมากอนันต์ ฝากฝันครวญหา ใจจิตคงปอง หลงพร่ำผุดผ่อง ผาดโผนดั่งนภา เปรียบสายธารา แตกซ่านฟุ้งมา โหมไห้ไหวกริ้ว คลื่นลอยโลดลิ่วพลิ้ว ธารา แสงส่องละอองพา แนบรุ้ง เรืองรองผ่านซึ้งหา หินโขด ผาเฮย ดุจดั่งห้วงใจคลุ้ง แตกสิ้นมุ่งนำฯ ลอยไปคล้ายห่วงล้ำ สุรีย์ สาดส่องแสงปนทวี เฉิดฟ้า โน้มน้าวหน่วงชลธี เกิดก่อ ใจเอย ผันป่วนหวังฝากหล้า หมดแล้วยากสนองฯ ใจเอ๋ยใจช่าง ดั่งน้ำอ้างว้าง แตกซ่านสิ้นสลาย เวิ่งว้างดุจคลื่น ชอกช้ำสะอื้น ลื่นไหลแยกคลาย หวังไว้คงกลาย ดุจย้ำแตกพราย ล้วนร้างเสียสิ้น แสนรักมากนัก แต่แล้วคงหัก หยอกเย้าปลายลิ้น พริ้มพิศงามส่ง ดั่งน้ำฝากตรง รุ้งสวยหลากจินต์ ดุจฟ้าลวงถวิล เปรียบใจยุพิน ลาแล้วฝากหล้า ใจเอ๋ยใจช่างล้า โดนลวง จริงเฮย ว้างเวิ่งจบทั้งปวง แน่แล้ว น้ำดุจโขดผาลวง แน่นหนัก พรางนอ งามส่งที่สุดแพร้ว แยกล้วนยกนำฯ คลื่นงามก่อนถูกย้ำ แนวไกล ล้วนเฉิดแสนไฉไล ลึกล้ำ ดุจน้ำถูกพลีกไป เซาะสาด แหลกเฮย มุ่งสิ่งใจครวญคร่ำ วาดไว้สูญสลาย. *** แก้วประเสริฐ. ***
* ความกลุ้มรุ่มเร้า * โรครุมเร้าเฝ้าแผ่โรครุมเร้า ชีวิตเศร้าเคล้าหม่นชีวิตเศร้า สู่กายเราเกือบสลายสู่กายเรา เพียงแค่เงาเย้าแย่เพียงแค่เงา อกเอ๋ยเผายากเฉลยอกเอ๋ยเผา แสนป่วนเฝ้าสู่ยวนแสนป่วนเฝ้า วกเวียนเอาเปรียบเสี้ยนวกเวียนเอา พลิกแพลงเนาเร้าผ่านพลิกแพลงเนา หวานเศร้าเคล้าสู่เฝ้าหวานเศร้าเคล้า ร้อนวาบเข้าเหมือนสาปร้อนวาบเข้า ซึ้งซ่านเดาพลิกผลาญซึ้งซ่านเดา กลับเพิ่มเขลายามเติมกลับเพิ่มเขลา เวรกรรมเราสร้างทำเวรกรรมเรา พลิกพนอเฉาสนองคลอพลิกพนอเฉา หมายเลี่ยงเอาสิ้นเบี่ยงหมายเลี่ยงเอา ปราศบางเบาผ่านคว้างปราศบางเบา นี่แหละเศร้าชำแหละนี่แหละเศร้า หลายใจเฉลารีรอหลายใจเฉลา ซบหน้าเราเคล้าหาซบหน้าเรา ยากจะเพลาโรคมากยากจะเพลา มากเผยเหงารักยากมากเผยเหงา ผ่านแค้นเขางามแสนผ่านแค้นเขา คิดแนบเนากลับแปลบคิดแนบเนา สลายแม้เงาพลาดแพ้สลายแม้เงา หลีกหนีเอาสิ้นมลายหลีกหนีเอา ยากวอนเฝ้าเคล้าฝากยากวอนเฝ้า ลิ้นปลายเราเขาสลายลิ้นปลายเรา ล้วนนงเยาว์มองป่วนล้วนนงเยาว์ เป็นเวรเศร้าย้อนเห็นเป็นเวรเศร้า อยากอ้อนเขาซับซ้อนอยากอ้อนเขา ร้อนทรวงเอาเฝ้าเฉลยร้อนทรวงเอา มากพริ้มเพรามันพรากมากพริ้มเพรา. *** แก้วประเสริฐ. ***
* ใช่กลอนแปดหรือ * สักวาจารจารึกผนึกอักษร หากเล่นกลอนแปดนั้นอันสดใส อักษราอ่อนพลิ้วลอยลิ่วไป สัมผัสในนอกไว้ควรใส่กัน จะมีบ้างบางคำย้ำหลีกเลี่ยง ทำนองเสียงบังคับนับเสกสรร คำกล้ำเกินระวังยังผูกพัน สิ่งสร้างกันให้เกิดเลิศไฉไล ฉันท์ลักษณ์หมั่นจำพร่ำมิขาด ด้วยแบ่งบาทเป็นสี่นี้เฉิดไสว วรรคที่หนึ่งเรียกสลับประดับใน คำสุดท้ายสามัญเต้นเน้นจำ วรรคที่สองรองรับท้ายบทส่ง นิยมตรงจัตวาอย่ามาขำ ห้ามโทตรีสามัญนั้นผูกนำ อีกมีรูปวรรณยุกต์พร่ำย้ำแจง หากเขาใช้เสียงตรีนี้เป็นไฉน ด้วยเหตุได้กลอนส่งบรรจงแฝง จำต้องปองสนองไว้ให้พลิกแพลง กลอนมีแรงไพเราะเจาะอารมณ์ วรรคที่สามกลอนรองต้องค้นพบ จงบรรจบเสียงสามัญเสพย์สม ห้ามจัตวาวรรณยุกต์รูปเชยชม คำตายบ่มเสียงตรีรับกลับมา วรรคที่สี่กลอนส่งบรรจงสอย นิยมร้อยสามัญเสียงหรรษา เว้นคำตายวรรณยุกต์รูปผูกพา เสียงตรีหนาก็ได้ไม่เป็นไร สัมผัสนอกในควรมิแอบแฝง ซึ่งเป็นแหล่งไพเราะเพราะสดใส จะไหวหวิวพลิ้วเพริศสู่เกรียงไกร เฉิดภายในดั่งนี้ที่ควรมอง สัมผัสนอกคำท้ายกลอนได้ส่ง แล้ววางตรงสองสามสี่ที่สนอง หรือห้าหกเจ็ดได้ให้ลำพอง แต่ควรต้องคำสามตามตำรา สัมผัสในโลมเรียงเคียงห้าเจ็ด หรือเบ็ดเสร็จสามสี่ก็ดีหนา หากไม่มีก็ได้ไม่นำพา เพียงแต่ว่ากระด้างมิสร้างจินต์ อักษรสูงเสียงสูงผดุงจิต สิบเอ็ดคำนำประดิษฐ์ให้ถวิล อักษรกลางวางเก้าเฝ้ากวิน นอกนั้นสิ้นต่ำหมดจรดกาล กลอนแปดแปดคำพริ้งระวิงแว่ว จะเพริศแพร้วอย่างไรให้ประสาน จิตอารมณ์ผสมผสานผ่านเนิ่นนาน ใจเสกสรรควบคุมชุ่มภิรมย์ ก่อสร้างกานท์เอกโทเขาโล้สมาน เพื่อเบิกบานผันผองตรองผสม กับกลางต่ำแนวทางวางอารมณ์ ปราศขื่นขมอนุมานผ่านจินตนา หากเป็นเอกทำนองรองสู่สูง เพื่อโน้มผดุงอักษรามาภาษา ถ้าใช้โทค่อนสูงผดุงกานท์มา ล้วนไขว่คว้าสำเนียงเสียงวิไล อักษรสูงเอกโทโผล่ประสาน จะขับขานอ่อนไหวให้สดใส เพิ่มทักษะฝากลงตรงเกริกไกร กานท์ไฉไลหยดย้อยอ่อนช้อยเอย. *** แก้วประเสริฐ. ***
** อัปลักษณ์หากมีใจ *** แค่ยลเจ้าเฝ้าคร่ำรำพันหวน หอมอลอวลกลิ่นนางสร้างตรึงฝัน ทาบเคล้าคลอแนบว่างระหว่างกัน ซึ้งรำพันเวียนคิดอยากชิดนวล. แค่ยลเจ้าคร่ำเฝ้า รำพัน หวนอบกลิ่นลาวัณย์ สู่ซึ้ง ตรึงฝันใส่ห้วงอนันต์ ผันสู่ จิตแฮ คลอแนบกลัวโกรธขึ้ง หลบเคล้านวลอนงค์ฯ เจอนางพลางเหม่อฟ้า คนึงครวญ แม่เอย มิลบร้างสิ้นหวน แน่แท้ อัปลักษณ์ก่อยากชวน นวลสู่ เปรยแฮ จนหวั่นคิดอ่อนแล้ ห่างเจ้าคร่ำฝันฯ ถ่อยกายมิขาดแท้ จิตใจ ด้อยรักมิสดใส บ่ไหม้ หยาดน้ำแต่วิไล หนักยิ่ง จริงเฮย ใจเปี่ยมด้วยคลั่งไคล้ หมกซึ้งแด่นางฯ ยิ่งคิดยิ่งหวั่นแท้ ดวงกมล พ่ายแฮ กายร่างเขามิสน สบร้าง เหลือเพียงแค่ฝันจน ใจแหลก นวลเฮย ลาก่อนพบอ้างว้าง ฝากฟ้าแมนสรวง. แค่ยลเจ้าเฝ้าคร่ำ พิลาสพร่ำคำนึงครวญ อัปลักษณ์มิอาจชวน รำลึกหวนรำพึงฝัน ปิยะรสสิ้นแล้ว สิ่งเพริศแพร้วรำพึงครัน เหม่อนางหวังกำนัล ครั้นเสกสันต์พลันระทม อกเอ๋ยเวรกรรมสร้าง จึงรกร้างพลางขื่นขม นับวันช่างแสนตรม ฝันระทมหทัยครวญ เหลือไว้ความโดดเดี่ยว ผันสู่เปลี่ยวฤทัยชวน หอมกลิ่นวิไลหวน อวลสิ่งหมายให้จืดจาง. *** แก้วประเสริฐ. ***