24 มิถุนายน 2551 18:36 น.
แก้วประเสริฐ
*** ช่ออักษราลี ***
เกิดเป็นคนทนไว้ใจต้องสู้
ความรอบรู้บางสิ่งอิงอิจฉา
หากทำดีมีไว้คล้ายมนตรา
สิเน่หาพิสูจน์ข้อเท็จจริง
พุทธองค์ทรงไว้ในพิสุทธิ์
ค้นปลดทุกข์ยังมีมารผลาญสิง
ทั้งล่อหลอกลวงเล่ห์ชายหญิงอิง
เพื่อประวิงโพธิญาณผ่านปัญญา
การเล่นกลอนบ้านนี้มิมีเขต
เพาะสรรค์เจตจำนงคงรักษา
วรรณกรรมร้อยกรองสนองมา
หากใช่ว่าเก่งกาจพลาดทุกคน
ครูเองเล่าเฝ้าเพียรเรียนศึกษา
ด้อยปัญญาน้อยนิดคิดสับสน
สร้างจิตสู้เสาะหาฝ่าอดทน
ยังระคนเยาะเย้ยมิเอ่ยนาม
ความหวังดีแต่ใจช่างร้ายนัก
เพื่อเพียงจักยกตัวให้กลัวขาม
เพียรคนอื่นพบเห็นคำนิยาม
หวังจะหามหยามไว้ให้หนีจร
อันคนเก่งจริงแท้ที่แน่อยู่
อีกรอบรู้เกรียงไกรมิได้สลอน
จะอ่อนน้อมถ่อมตนไม่ลิดรอน
ไม่ตัดตอนคนเขาเฝ้าเชยชม
ช่ออักษราลีศิษย์รักของครูเอ๋ย
ทิ้งละเลยหลงคำช้ำเสกสม
ให้คิดว่าผีหลอกตอกย้ำคม
เพาะขื่นขมหลายคำที่ซ้ำเติม
คิดว่าเราเล่นกลอนผ่อนชีวิต
หลอมดวงจิตจินตนามาส่งเสริม
สรรค์สนุกทุกข์วางสร้างเพิ่มเดิม
ทิ้งชั่วเริ่มผันเปลี่ยนเสี้ยนแห่งใจ.
*** แก้วประเสริฐ. ***
23 มิถุนายน 2551 17:01 น.
แก้วประเสริฐ
*** วันที่รอคอย ***
นั่งคนเดียวเปลี่ยวใจในไพรพฤกษ์
เสียงอึกกระทึกเวียนวนระคนเสียง
มวลสัตว์ป่าหมู่ภมรร่อนคลอเคียง
วิมานเยี่ยงสรวงสวรรค์ชั้นเทพยดา
พลันรำลึกสิ่งชวนล้วนเสพย์สันต์
ที่ผ่านวันสรรค์อดีตมากรีดหา
ประกอบกรรมชั่วดีล้วนนำมา
ทั้งสิเน่หาเปลี่ยนไปไม่โศภิน
ผ่านครั้นกาลวัยชราพารำลึก
มาชวนนึกความหลังสร้างถวิล
มีทั้งรักโลภโกรธหลงปลงกวิน
สู่จางสิ้นเหือดไปคล้ายผันแปร
ทั้งรูปลักษณ์จักงามพออัปลักษณ์
สิ่งงามนักหลีกไร้คล้ายฝากแผล
ล้วนหนีหายมลายจิตคิดอ่อนแอ
แสนท้อแท้ความจริงสิ่งอนิจจัง
มองต้นไม้ใกล้เคียงส่งกลิ่นหอม
หมู่ภมรย้อมโลมเรียงเคียงมนต์ขลัง
เฝ้าเสพย์สมมวลผกามาสู่ภวังค์
หวานสร้างครั้งสิ่งไว้สลายงาม
ล่วงจากขั้วหมดไปสิ่งใหม่ผลิต
วนเวียนปลิดก่อใหม่ไม่เกรงขาม
เปรียบดั่งชีวิตมนุษย์เราเฝ้าชั่วยาม
ธรรมรูปนามย่อมสิ้นหากอจินไตย
ตัณหาก่อกำเนิดล้วนเลิศสล้าง
ล่อหลอกพรางเฉิดฉวีดั่งมณีฉาย
ต่างหลงใหลใฝ่ปองสนองหทัย
พอร่างกายคดเคี้ยวเลี้ยวหนีจาง
ดุจดั่งฉันวันเวลาเฝ้ามาคอย
วันถูกสอยคืนกรรมตามสะสาง
เปรียบประหนึ่งธงสร้างนำมาวาง
แสนอ้างว้างใฝ่คนึงถึงเหตุการณ์
เสียงน้ำตกพงพฤกษาหาสดชื่น
สิ่งชื่นมืนความหลังครั้งประสาน
น้ำตกละอองเปี่ยมซ่านนั้นเนิ่นนาน
วิหคขานหวานซึ้งคำนึงครวญ
เมื่อไหร่หนอวันที่คอยจะลอยลับ
กายถูกจับใส่โลงคงไร้สรวล
อักษรกลอนแปดโคลงกาพย์ยานียวน
ฝากศิษย์ล้วนร้อยกรองสนองแล้ว.
*** แก้วประเสริฐ. ***
อันผลเวรกรรมที่ก่อ เป็น รูปนาม เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นั้น
ล้วนแล้วแต่ผลแห่งเวรกรรมที่มวลแห่งสัตว์ทั้งหลายกระทำไว้ทั้งสิ้นจึง
เป็นผลต่อเนื่องหมุนวนเวียนเป็น วัฏฏะจักร ไม่รู้จบสิ้น ด้วยเหตุฉะนี้เวร
คือการกระทำ กรรมคือผู้สนอง มิอาจจะลบล้างกันได้ประดุจดั่งตาชั่งที่
เที่ยงตรง เวรอยู่ฝ่ายหนึ่ง กรรมก็อยู่อีกฝ่ายหนึ่ง หมายถึงผลดีชั่วนั่นเอง
หากข้างไหนหนักกว่าก็ย่อมไปเสวยอารมณ์แห่งสิ่งนั้น หากยังเท่ากันก็
ย่อมเกิดมาเป็นมนุษย์เพื่อสร้างความดีชั่วอีกครั้งหนึ่ง นอกเสียจากอรหัตผล
เท่านั้นที่จะไม่เกิดได้อีกต่อไป จะขออธิบายสั้นๆนอกจาก อริยสัจสี่นั้น
ทุกๆคนเข้าใจพอจะพึงรู้ จะขอกล่าวถึงผลของธรรม คือขันธ์ห้าเท่านั้น
รูปนาม คือ ร่างกายของเราที่ถูกตั้งขึ้นไว้
เวทนา คือ การเสวยอารมณ์ต่างๆทั้งหลาย
สัญญา คือ การจำได้หมายรู้ของขันธ์ห้า
สังขาร คือ การปรุงแต่งอารมณ์ที่ผ่านเข้ามา
วิญญาณ คือ การรับรู้เพื่อปฏิบัติตาม (เปรียบดังผ้าสีขาวใสสะอาดไม่มีรอย
เปื้อนใดๆทั้งสิ้นประดุจประภัสสร)
หากละทิ้งร่างกายไปจะนำไปได้เพียงแค่ เวรกรรมเท่านั้น สิ่งรับรู้จะดับ
ไปพร้อมรูปนาม คงไว้แต่ สังขาร และ วิญญาณ เพื่อเสวยอารมณ์ของเรา
เปรียบประดุจดั่งกงล้อแห่งเกวียนฉันท์ใดฉันท์นั้น ต้อง เกิด แก่ เจ็บ ตาย
เป็นของธรรมดา ล้วนทรงไว้ซึ่ง อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา การจะหลุดพ้น
ได้มีทางเดียว คือ สังขาร ไม่ปรุงแต่งอารมณ์ดับให้หมด จาก ตัณหา โลภะ
โทสะ และ โมหะ เท่านั้นคือพระอรหันต์เจ้า คือละวางเสียซึ่งทางโลกียะทั้ง
ปวงไม่เกี่ยวข้องใดๆทั้งสิ้นถึงจะเรียกได้ว่าเป็นพระอรหันต์เจ้า เพื่อความ
ประภัสสรในจิต ล่วงลุสู่ปรินิพพาน เหมือนลางสังหรณ์แก่ข้าพเจ้าจึงได้
เขียนฝากชาวเวปฯกลอนไทยซึ่งเป็นเวปฯแรกและขอเป็นเวปฯสุดท้าย
ในการเขียนกลอนของข้าพเจ้าไว้ หวังอย่างยิ่งว่าคงจะเป็นประโยชน์
แก่พวกเราไม่มากก็น้อย ขอขอบคุณที่เข้ามาอ่านครับ รักเสมอ...
***แก้วประเสริฐ.***
22 มิถุนายน 2551 11:15 น.
แก้วประเสริฐ
*** ทางรักฝัน ***
มองฟ้าดินอาศัยใยหวนคิด
แม้นมิผิดเพียงใดแต่ให้ฝัน
ซึ่งทางรักเคยคนึงซึ้งรำพัน
แลเหมือนวันสู่ไว้ในที่วาง
ยิ่งมาคิดจิตเศร้าพอเคล้าเรื่อง
สู่ใยเยื้องหวนฝากจากสิ่งสาง
คิดจะลืมในจินต์หมดสิ้นทาง
ซึ่งอ้างว้างโดดเดี่ยวสู้เดียวดาย
ดังฟ้าดินเปลี่ยนแปลงแฝงนัยสถิต
สร้างเหตุผลิตเป็นไสวที่ได้สลาย
มิดังเหมือนชวนกลับนับสุดปลาย
โอ้ทำลายดีงามยามเปลี่ยนแปลง
ทางแห่งรักเหลือไว้เพียงได้ฝัน
ยากคืนวันหวนกลับนับสิ่งแฝง
ชีวิตนี้มีไว้คล้ายอ่อนแรง
ดุจสีแสงตะวันและจันทรา
สิ่งที่เหลือเผื่อไว้คลายสิ่งสร้าง
ล้วนแนวพลางหลอกล่อพอค้นหา
จะหลีกเลี่ยงเพียงใดเหมือนได้มา
แฝงแก้วตาสร้างหทัยฝ่ายอ่อนแอ
มองชีวิตคิดเศร้าเคล้าสิ่งเหลือ
เสียงพร่ำเพรื่อประชดลดราดแผล
จำต้องทนด้วยจนยากเปลี่ยนแปร
เหลือสาดแหมุ่งหวังสร้างมาคลุม
ยากจะเหลือสิ่งใดหมายผันเล่า
แสนสู่เข้าหวนซึ้งพึงลวงหลุม
สร้างทางเดินฝากไว้คล้ายปทุม
ปิดด้วยกลุ่มกุหลาบเพื่ออาบใจ
ยากสิ่งรักหักอารมณ์ผสมจิต
ไม่อยากคิดสิ่งหลังที่สร้างไว้
แต่ทางรักฝากลงตรงภายใน
มีสิ่งใดนอกจากซากยากจน.
*** แก้วประเสริฐ. ***
17 มิถุนายน 2551 17:32 น.
แก้วประเสริฐ
** หยาดมณีสีรุ้ง **
ยืนรำพึงคนึงคิดจิตประหวัด
สิ่งพึงจรัสพลันพรากจากใฝ่หา
สู้อ่อนไหวดังแสงแห่งจันทรา
ลิดรอนเสน่หารำพึงคำนึงกมล
วันเวลาล่วงผ่านสรรค์สิ่งปอง
มิเรืองรองแสนหวังยังสับสน
ดั่งสายรุ้งทาบนภาฝ่าแนววน
ลุล่วงจนซ่านจิตปลิดห่างไกล
เปรียบชีวิตของฉันพลันแลกว้าง
พลิกสู่สร้างสิ่งปองมองสิ่งไสว
คล้ายสายฝนยามฉ่ำล้ำเลิศพิไล
แสงส่องไปน้ำหยาดสาดรุ้งจาง
ความสล้างของชีวิตยามบิดผัน
พลันแปรนั้นสรรค์ดุจประตูขวาง
เหลือสิ่งน้อยพลิกหลงตรงทิศทาง
แสนอ้างว้างดั่งมณีเหลี่ยมสีพลอย
ลอยละลิ่วสู่หมองปองสิ่งหมาย
แปรกลับสลายสิ่งหวังครั้งใช้สอย
หวังเพิ่มเติมเสริมสร้างวิวัฒน์คอย
ปานนกน้อยลอยนภาหาฝันเทียม
ดั่งหยาดมณีสีรุ้งแสนพุ่งโรจน์
ความพิโรธตะวันพลันปนเหนียม
ต้องกล่ำกลืนฝืนแสงแฝงตัวเจียม
ถึงใจเปี่ยมด้วยสร้างกลางละออง
ยิ่งพิศมองนัยน์ตาพาเศร้าหมอง
แม้นครรลองมิบรรลุสู่สิ่งสนอง
ที่วนเวียนเปลี่ยนแปรแม้สิ่งปอง
ความเรืองรองวกเว้าเคล้าปัญญา
ดุจหินทั่งเฝ้าฝนจนเป็นแหลม
มิอาจแซมสิ่งสล้างกลางสิ่งหา
หมายชีวิตแห่งกาลเนิ่นนานมา
ล้วนนำพาเรือน้อยล่องลอยไป
ครั้นถึงฝั่งปลายทางระหว่างสถิต
กอบเกื้อมิตรจิตสล้างกลางสดใส
ปลดปล่อยทิ้งลดวางสร้างสิ่งไป
สู่วิไลแนวทางกลางบ้านกลอน
แม้นจะบ้าบ๊องส์บวมสวมบริสุทธิ์
มิเทียบยุทธ์เชิงกานต์สานอักษร
หมายฝันใฝ่หนุนเกื้อเอื้ออาทร
สิ่งอาวรณ์ฝากไว้บ้านไทยกลอน.
*** แก้วประเสริฐ. ***
15 มิถุนายน 2551 12:43 น.
แก้วประเสริฐ
** ห้วงคำนึงสิเน่หา **
ฉันเปรียบเธอประหนึ่งซึ่งนางฟ้า
สุดเสน่หาคำนึงซึ้งความฝัน
แม้ผ่านมาแห่งกาลดุจวารวัน
สิ่งเหล่านั้นจบสิ้นจินต์คำนึง
ทะเลคลื่นระลอกบอกสิ่งหวัง
ละอองพลังแตกซ่านพานคิดถึง
มาดแม้นหวนกลับคืนยืนรำพึง
ทรายหาดซึ้งตรึงไว้ในห้วงใจ
ความอ่อนโยนโน้มน้าวยิ่งร้าวจิต
ป่วนความคิดสิ่งงามยามสดใส
สวยอรชรอ้อนแอ้นแสนไฉไล
เธอห่างไปไกลลับยากกลับมา
มองภาพถ่ายชายหาดพาดหมองเศร้า
ยิ่งปวดร้าวในทรวงดุจบ่วงหา
พันธะการสิ่งรักมักโรยลา
โอ้อนิจจายากกล่าวเศร้าชีวี
นอกจากฝันสรรค์สร้างกลางสิ่งหมอง
เปรียบละอองคลื่นน้อยคอยหลีกหนี
กระทบฝั่งแตกซ่านผ่านเทวี
ทบแสงวสีสายัณห์ตะวันรอน
รอนแรมร้างกลางทรายไร้เคียงคู่
นั่งคุดคู้จารึกพึงตรึกอักษร
เหนือชายหาดถูกน้ำย่ำหายจร
ดังดวงสมรจางหายแต่ใจคนึง
เหลือไว้เพียงเงานางวางในห้วง
เป็นใยยวงผูกมัดรัดสุดซึ้ง
จนตะวันเคลื่อนลับนับสุดตรึง
สุดคิดถึงมิเลือนยามเยือนนาง
สาวเอยสายสวาทพาดเงาไว้
หวานวจีได้ฝากทอรอฟ้าสาง
คร่ำครวญเพลงฝากคลื่นระรื่นจาง
แสนอ้างว้างมองจันทร์อันเฉิดฉาย
ประกายดาวเคล้าคลอล้อระยิบ
ดั่งกระซิบบอกฉันนั้นพลันสาย
ก่อนเคยรักจันทร์เพ็ญเด่นประกาย
ยังต้องมลายคอยเฝ้าเพื่อเคล้าเดือน
เปรียบเหมือนฉันเฝ้ารอคลอเสียงคลื่น
ทรวงสะอื้นหยดหยาดพาดดังเฉือน
สายเลือดหลั่งภายในห้องใจเตือน
มิอาจเลือนเปลี่ยนแปลงแฝงนางฟ้า.
*** แก้วประเสริฐ. ***