30 ธันวาคม 2551 13:04 น.
แก้วประเสริฐ
*** สุดเสน่หา ***
เยียรยงหงส์เหิรเพลินลอยละล่อง
งามนภาผ่องแดงเรื่อเจือสิ่งใส
สุริยันสรรค์จรัสประภาสวิไล
ส่องประภายระยับจับนัยน์ตา
มวลท้องฟ้าเวิ้งว้างระหว่างสี
ดุจอัญมณีรวมแสงแฝงหรรษา
ทบสายน้ำคลื่นซ่อนย้อนยลมา
มวลมัจฉาแหวกว่ายคล้ายนารี
คลอเคลียเคล้าไปมาฝ่าน้ำไหล
มุ่งลอยไกลขอบฟ้าพาเฉิดฉวี
ผ่องระยับสุรีย์ลอยคล้อยระวี
เปรมฤดียามยลผ่านกมลฤทัย
จวบสุริยันคล้อยลอยลับฟากฟ้า
มวลนภาหม่นหมองละอองไฉน
เปรียบใจข้าลาเสน่หามาจากไกล
สายน้ำไหลแปรเปลี่ยนเวียนใจคน
สิ้นสุดแล้วรักเอ๋ยเคยหวั่นไหว
เสียงน้ำไหลผ่านหินจินต์สับสน
ล่วงสิ้นเก่าเข้าใหม่คล้ายเวียนวน
ดุจน้ำฝนจากไปคล้ายแสงตะวัน
เพริศพริ้งดาวประจำเมืองเรืองรอง
สู่แสงส่องคอยเดือนเหมือนข้าฝัน
หงส์พลอยลับมัจฉาหายสลายกัน
เคยเสกสันต์เหลือไว้เพียงใจลอย
ต่อนี้ไปใครเล่าเฝ้าโลมเสมอ
ดุจละเมอสิ้นหวังครั้งใช้สอย
เหมือนใจรักโรยลายังมาคอย
ด้วยบุญน้อยจะมาแค่คว้าลม
ท้องฟ้าหมองใจหม่นระคนสิ้น
ปริเทวะจินต์จับนับขื่นขม
ดุจสายน้ำลมนภาฝ่าระทม
โอ้ระบมสู่หวังฝังเรืองรอง.
*** แก้วประเสริฐ. ***
18 ธันวาคม 2551 13:46 น.
แก้วประเสริฐ
*** พิลาปแดงครวญ ***
สุริยันจันทราฟ้าบรรเจิด
แสงเลอเลิศเฉิดฉวีมณีสลาย
เกิดแปรปรวนวิจิตรผลิตมลาย
ทั้งทำลายเสียสิ้นจินต์คร่ำครวญ
แสนร่ำไห้ใฝ่เสรีหวนเทวษ
เหลือเพียงเศษคำนึงตรึงกำสรวล
เหล่ามวลต่างหันเหล้วนเล่ห์ชวน
พลิกผันล้วนน้ำใจได้ครอบครอง
ปากเป็นเอกเลขโทหนังสือตรี
หากเป็นศรีศรัทธาเข้ามาสนอง
เปี่ยมร้อยเล่ห์ผันทวีที่ฝันครอง
สร้างครรลองด้วยสิ่งแพ้จริงใจ
หวานคำพูดเป็นหนึ่งซึ้งใจจิต
กระทำคิดพลิกกลับพับสิ่งใส
สัญญาจางห่างหายจากข้างใน
สิ่งมอบไว้เงินตราพาเวียนวน
เกิดเป็นคนสูงต่ำล้วนล้ำเลิศ
ที่ประเสริฐกว่าสัตว์ขจัดสับสน
ปรัชญามาตบแต่งแฝงห้วงกมล
เดรัจฉานมากจนสนเลื้อยคลาน
ดังนิทานแสนเก่าเฝ้าสั่งสอน
สงสารผ่อนเอ็นดูสู่สร้างสาน
สู้โอบอุ้มไออุ่นหนุนเจือจาน
พ้นเหตุการณ์ผันแปรแม้มีคุณ
ยกมือไหว้สิบทิศหวังมิตรแท้
หวังเผื่อแผ่เห็นใจให้สนับสนุน
เป็นปากเสียงเพื่อหวังสร้างเจือจุน
เพื่อเกื้อกูลชนชั้นสรรค์ปัญญา
พอสมมาตรปรารถนาพาศักดิ์ศรี
ล้วนเปรมปรีดิ์แค่เงาเฝ้าเพียรหา
เปรียบงูเห่าสร้างหนุนคุณชาวนา
เขาสร้างมาหลอกหวังทางสุขสบาย
เหล่าพิลาปคร่ำครวญล้วนร้องเรียก
พอสำเหนียกสิ่งสนองก็ต้องสาย
น้ำตาหลั่งดังเลือดเหือดใจกาย
ต้องกลับกลายความหวังครั้งเสรี
อิสรภาพความหวังครั้งก่อนเก่า
ยากจนเร้าร้อนรุ่มกลุ้มห่างหนี
คอยแสงแห่งสุริยันจันทร์เทวี
ประกายมณีฟ้าบรรเจิดเฉิดอำไพ
ฝูงกาขาวเข้าครองหมองสู่หงส์
พฤกษาดงคงสิ้นจินต์แจ่มใส
ท้องฟ้าเคยแจ่มจรัสผูกมัดใจ
สู่เพียงไว้น้ำตามาครอบระกำ
ความชอกช้ำน้ำใจทั้งหลายเอ๋ย
ล้วนเปิดเผยมากมายยากหมายฉ่ำ
สร้างแตกแยกแบ่งบิ่นสิ้นเงื่อนงำ
เกิดระส่ำสิ้นแล้วแนวหมายปอง
อิสรภาพเสรีหนีจากแล้ว
สิ่งผ่องแผ้วสิ้นสลายมลายสนอง
กาลียุคครอบงำตามครรลอง
ครอบครัวต้องสูญสิ้นอจินไตย.
*** แก้วประเสริฐ. ***
13 ธันวาคม 2551 18:00 น.
แก้วประเสริฐ
** เหมันต์ที่ฉันเศร้า **
ยะเยือกเย็นซาบซ่านผ่านห้วงรัก
สิ่งเคยสลักย่างฤดูอยู่ความหมอง
แม้นเดือนเพ็ญเด่นล้ำยามเรืองรอง
หวานเคยก้องฝากอิงจริงแกว่งไกว
ประดุจเพชรเกร็ดแก้วแพรวสล้าง
ผ่านเวิ้งว้างผันแปรแม้นสว่างใส
สายลมหนาวภายนอกช้ำชอกใน
ล้วนมอบให้สลายลับกลับเหมันต์
เธอเปรียบเสมือนนางฟ้าพาฝันซึ้ง
แสนรำพึงความคิดจิตห้วงฝัน
ดุจนางแก้วแพร้วพิศติตรำพัน
สุนทรียะนั้นอบอุ่นละมุนเรา
เย็นยะเยือกละมุนละไมไกลแล้ว
สิ่งเพริศแพร้วหายวับนับอับเฉา
ผ่านสายลมคราวตลึงตรึงอกเรา
ล้วนปนเศร้าเคล้าคลอพนอหทัย
สิ่งความหวังพินาศปราศเสียสิ้น
ห้วงดวงจินต์ย่อยยับนับหม่นใส
ใยเยาะเย้ยเคียงข้างสร้างผ่านไป
ทำลายใจฉันเศร้าปองครองอาดูร
ย่างเหมันต์ผันผวนล้วนป่วนแล้ว
นางฟ้าแพรวเพริศพริ้งอิงดับสูญ
ปล่อยโดดเดี่ยวเดียวดายไร้เกื้อกูล
หวานเพิ่มพูนหนุนเทวษแค่เศษดิน
รักลวงเล่นประกายให้หมองศรี
สิ่งเปรมปรีดิ์หนีพรากจากเสียสิ้น
ความหมองเศร้าเฝ้ามัดจัดดวงจินต์
ปราศสิ่งถวิลเช่นก่อนย้อนชมจันทร์
เหมันต์นี้ฉันเศร้าปราศเคล้าหวัง
ลบล้างพลังบรรเจิดเคยเฉิดฉันท์
เหม่อมองดาววิเมลืองเรืองอำพัน
แสนโศกศัลย์นางฟ้าคว้าทำลาย.
*** แก้วประเสริฐ. ***
6 ธันวาคม 2551 15:27 น.
แก้วประเสริฐ
*** ส่องหล้า ***
ยลแสงนวลส่องโพยมประโลมฟ้า
เพริศพริ้งลดาหอมกรุ่นละมุนโฉม
พิลาสพรายประกายแก้วแพรวโคม
ดั่งแสงโสมยักคิ้วพลิ้วงามนัยน์นา
มวลพฤกษาลาวัลย์พลันหอมกรุ่น
อบอวลหนุนทาบทรวงล่วงล้ำหา
พิศสวาทสาดซ่านผ่านนัยน์ตา
สุดเสน่าหาฟ้าบรรเจิดเลิศไฉไล
โอ้อกเอ๋ยใยเล่าเฝ้าฝืนพินิจ
งามวิจิตรรูปทรงตรงเวียนไฉน
แปรเปลี่ยนแปลงร่างอดีตลิดร้างไกล
แสบหฤทัยมองดาวเดือนเคลื่อนพราย
เย็นยะเยือกเกลือกกลิ้งสิ่งพริ้งอก
ดุจดาวตกฟากฟ้ายากคว้าสาย
นึกถึงวันดั้นภูผามากลับกลาย
สร้างดวงหทัยโดดเด่นเน้นสิ่งปอง
ห่มผ้าผิงกองฟอนผ่อนความหนาว
สิ่งพริ้งพราวล้วนลับดับอิงสนอง
คอยเดิมเชื้อมิเหลือใยใฝ่คะนอง
สองตามองแสงไฟในแสงนวล
แต่งแต้มใจโอ้ไฉนไม่หวนกลับ
เดือนเสี้ยวขับแสงดาวพราวสิ่งหวน
แย้มยิ้มพรายฝากเหลือเงาเยื้อยวน
ทอทาบล้วนวิจิตรไว้ให้หวนตรึง
สวรรค์ในอกนรกฝากซากทรวงอก
สร้างวิตกเย็นเยือกเกลือกคิดถึง
วางแปรเปลี่ยนเวียนหามารำพึง
แม้นวลซึ้งแสงนภาผ่านฟ้าดิน
กองฟอนน้อยหอมชื่นควันฝืนจิต
สวรรค์ลิขิตหรือเราช่างเฝ้าถวิล
แม้นโดดเดี่ยวเดียวดายดั่งคล้ายจินต์
ยามยลยินพฤกษ์พนามากรีดกราย
เรไรเล่าหิงห้อยคอยพร่ำเพรียก
ดั่งสำเหนียกหาคู่ดูเฉิดฉาย
ใยหัวอกของเราเฝ้าประปราย
ส่ำระสายไร้เมินยากเดินทาง
บัดนี้หนอตัวคนเดียวเปลี่ยวเหลือ
กองไฟเชื้อเถ้าถ่านผ่านส่งสร้าง
นอนคุดคู้วางกายคล้ายเคียงนาง
ใจยากสว่างอดีตเก่าเข้าวุ่นวาย
ดุจทางเดินเหมือนเราเฝ้าถางไว้
เขาผ่านไปแล้วกลับนับเฉิดฉาย
เหยียบย่ำปนขรุขระจนละลาย
รอวันสลายอนิจจานี่หนาเรา.
*** แก้วประเสริฐ. ***