28 กุมภาพันธ์ 2550 10:39 น.
แก้วประเสริฐ
** รักชั่วนิรันดร์ **
เป็นเรื่องจริงที่ผมเองได้รับทางเมล์อ่านแล้วน้ำตาตกใน จึงอยากใคร่ให้
เพื่อนๆในไทยกลอนนี้ได้อ่านบ้าง ผมจะแต่งเป็นกลอนก็จะไม่ดีเท่านี้จึงมิกล้า
เกรงจะเป็นการทำให้เสียบรรยากาศไป ใคร่ขอความเมตตาไว้ด้วยครับ ผมจะ
นำไปลงในเรื่องสั้นด้วย ขอความเมตตาจากท่านด้วยครับ ขอบคุณ
*** แก้วประเสริฐ. ***
นับถอยหลังไปอีกเพียงไม่กี่วัน ก็จะถึงวันวาเลนไทน์
วันซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการแสดงออกถึงความรัก
ที่ใครหลายคนให้ความสำคัญกับวันนี้ ไม่ว่าใครจะนิยามความรักว่าเป็นของคู่กัน
ความเหมือน ความพอดี ความลงตัว หากแต่นิยามความรักของตาลอบ ที่มีต่อยายทองนั้น
กลับมองว่าวันวาเลนไทน์ที่จะมาถึงนั้น ไม่เคยมีความหมายต่อตาและยายเลย
เพราะชีวิตรักที่ตาและยายได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมากว่า 50 ปี
นั้นไม่เคยมีวันไหนที่ความรักของตาที่มีต่อยาย
และยายมีต่อตานั้นลดน้อยลงไปตามกาลเวลาเลย
หากแต่ความรักของทั้งคู่กลับเพิ่มพูนขึ้น สวนทางกับสังขารที่เริ่มจะโรยรา
สำหรับตาวันนี้มันก็เป็นแค่วันธรรมดาๆ วันหนึ่ง ไม่มีความหมายอะไรเลย
ดอกกุหลาบมันจะสู้สิ่งที่เราทำดีให้กันทุกวันได้ยังไง มันเทียบกันไม่ได้หรอก
ตาไม่เห็นว่ามันจะสำคัญกับชีวิตตรงไหน เพราะถึงไม่มีวันนี้
ยังไงตาก็ยังรักยายเท่ากันทุกวัน
อมร สีสุภเนตร หรือที่ชาวบ้านในอำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย รู้จักกันในนามของ
ตาลอบ ส่วนภรรยาคู่ทุกคู่ยากชาวบ้านเรียกขานกันว่า ยายทอง
พื้นเพเดิมยายทองเป็นคนอำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก ส่วนตาลอบเป็นคนเชียงคาน
จังหวัดเลย ปัจจุบันสองตายายอาศัยอยู่ที่บ้านหลังเล็กๆ สภาพเก่าๆ
หลังหนึ่งตามลำพังสองคนโดยมีลูกๆ คอยดูแลอยู่ห่างๆ เมื่อมองเข้าไปในบ้าน
จะสังเกตุเห็นว่าบ้านของตา เสมือนเป็นโรงพยาบาลขนาดย่อมๆ เพราะอุปกรณ์
ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ในการดูแลยายนั้น ตาได้ดัดแปลงให้เหมือนกับทางโรงพยาบาล
ทั้งนี้ก็เพื่อจะได้ดูแลยายได้อย่างเต็มที่
ย้อนไปเมื่อ 50 ปีที่แล้วตาลอบ ซึ่งเป็นช่างตัดผมหนุ่มฐานะยากจน
ได้พบรักกับยายทอง แม่ค้าขายอาหารที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสาวงามประจำหมู่บ้าน
ในงานรำวงสร้างโบสถ์ที่วัดป่ากลาง อำเภอเชียงคาน
หลังจากที่ทั้งคู่คบหาดูใจกันมา 5-6 ปีจนมั่นใจในความรักที่มีให้ต่อกัน
ชายหนุ่มจึงเอ่ยปากขอหญิงสาวที่เขารักแต่งงาน เป็นงานแต่งงานที่เรียบง่าย
ไม่มีพิธีกรรมใหญ่โตอะไร ไม่มีเงินสินสอดทองหมั้นมากมาย
หากแต่มีเพียงคำมั่นสัญญา ที่ชายหนุ่มมอบไว้ให้กับหญิงสาวที่เขารักว่า
จะครองรักและดูแลกันตลอดไป
ทั้งในยามทุกข์และยามสุขจนกระทั่งวันสุดท้ายของชีวิตจะเดินทางมาถึง
เวลาผ่านมา 50 ปี ทั้งคู่ครองรักกันจนกระทั่งแก่เฒ่า และตลอดเวลาที่ผ่านมา
ความรักของคนทั้งคู่ที่มีให้กันก็มากพอ
และสม่ำเสมอพอที่จะทำให้ชีวิตรักของคนคู่นี้กลายเป็นตำนานรักแท้ที่น่าจดจำ
แต่จะเป็นเพราะสวรรค์บัญชา หรือฟ้ากำหนด จู่ๆ ปี 2538
ยายทองก็ล้มป่วยลงด้วยการเป็นอัมพฤกษ์ทางด้านซ้าย
ซึ่งก็พอจะช่วยเหลือตัวเองได้บ้าง แต่เมื่อ 6 ปีที่ผ่านมา
อาการของยายทองก็กำเริบทรุดหนักลงไปอีก จากอัมพฤกษ์กลายเป็นอัมพาต
ไม่สามารถพูดคุยกับตาลอบได้อีก นอกจากส่งเสียงร้องไห้
ซึ่งบางครั้งก็มีแต่เสียงร้อง บางครั้งก็มีแต่น้ำตา
ซึ่งดูเหมือนจะเป็นการสื่อสารเพียงอย่างเดียว
ที่ตาลอบรับรู้และเข้าใจเสมอว่ายายต้องการอะไร
ยายเขาร้องไห้ เพราะว่าเขาอยากจะพูดกับเรา แต่เขาพูดไม่ได้
เขาจึงบอกเราด้วยการร้องไห้ออกมา พอตาได้ยินเสียงไม่ว่าจะทำอะไรอยู่
ตาก็จะเดินไปพูดกับเขา หรือไม่ก็ต้องส่งสียงตอบกลับไป ส่วนใหญ่ตาจะบอกเขาว่า
อย่าร้องเลย เราอยู่ตรงนี้แล้ว บางทีก็บอกยายว่า เราจะอยู่กับเธอ
จะดูแลเธอไปจนกว่าจะตายจากกัน
ที่บอกอย่างนี้เพื่อให้ยายรู้ว่าตาอยู่ใกล้เขาไม่ได้หนีไปไหน ปฏิเสธไม่ได้ว่า
น้อยครั้งนักที่เราจะได้เห็นภาพฝ่ายชายดูแล ปรนนิบัติฝ่ายหญิง
หากแต่สิ่งที่ตาทำนั้น
ได้พิสูจน์ให้โลกรู้ว่าความรักของตาที่มีต่อยายนั้นเป็นตำนานความรักอันยิ่งใหญ่
ที่ใครๆ ต่างก็แสวงหา
ตาอยากใช้ชีวิตอยู่กับยายจนวินาทีสุดท้าย เราจะต้องไม่ทอดทิ้งกัน
เราต้องมั่นคงต่อกัน ตาสัญญากับยายว่า จะดูแลยายให้ดีที่สุดจนวินาทีสุดท้าย
ตาตั้งใจรักษายายให้ดีที่สุด ตาทุ่มเทชีวิตให้ยายทั้งหมดเลย
เพราะว่ายายมีความหมายกับตาสุดชีวิตเลย ทุกวันนี้ตายังมีความหวังอยู่ว่า
ยายจะอาการดีขึ้นและกลับมาพูดกับตาได้เหมือนเคย เราต้องอยู่แบบมีความหวัง
เพราะความหวังนี่แหละ ที่จะทำให้เรามีกำลังใจดูแลยายต่อไป
จนกว่าจะตายจากกันไปข้างหนึ่ง หากก่อนที่จะจากกันไปในชาตินี้ใจลึกๆ
ตาลอบก็อยากให้ปาฏิหาริย์นั้นมีจริง เพราะอยากให้ยายฟื้นขึ้นมาอีกซักครั้ง
เพื่อที่จะถามข้อข้องใจ ที่ชายคนหนึ่งเก็บไว้มาหลายปี
ว่าที่ผ่านมาเขาทำดีพอที่สามีคนหนึ่ง จะทำให้ภรรยาที่เขารักที่สุดได้หรือไม่
ถึงแม้ว่าบั้นปลายชีวิตอันแสนสุข จะถูกพรากไป และแทนที่ด้วยความทุกข์ทรมาน
จากอาการเจ็บป่วยของอีกฝ่ายหนึ่ง คำมั่นสัญญาทุกคำ
ที่ตาลอบเคยมอบไว้ให้กับยายทองก็ยังไม่มีคำใด
หรือตัวอักษรตัวใดเปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย ตลอดระยะเวลา 12 ปีที่ยายทองล้มป่วย
แทบจะทุกนาทีของชีวิต ตาลอบได้มอบให้กับการเฝ้าดูแล
ประคบประหงมยายทองอย่างใกล้ชิด ไม่เว้นแต่ยามหลับหรือยามตื่น
ตาดูแลยายไม่เคยห่าง ตาต้องดูแลทุกอย่างไม่ว่าจะเรื่อง อาบน้ำ เช็ดตัว
ไปจนถึงเรื่องการเช็ดอึ เช็ดฉี่ อาหารการกิน อาการเจ็บป่วยต่างๆ
เราต้องคอยสังเกตุตลอดเวลา เวลาทำอะไรตาก็จะนึกถึงยายก่อนเสมอ
ถ้ายายยังไม่นอนตาก็ยังไม่นอน หรือถ้ายายยังไม่ได้กินข้าวตาก็จะยังไม่กิน
เพราะต้องป้อนยายก่อน การดูแลปรนนิบัติยาย ตาลอบจะทำเพียงคนดียวทุกครั้ง
และตาจะใส่ใจในรายละเอียดเล็กน้อยป็นอย่างดี
แม้แต่แพมเพอร์สตาก็จะไม่ใส่ให้ยายเพราะเกรงว่าจะอับชื้น
และทำให้เป็นแผลกดทับได้ ตาจึงไม่เคยเบื่อกับการที่ต้องคอยเช็ดอึ
เช็ดฉี่อยู่ตลอดทั้งวัน เสื้อผ้าของยาย ตาก็จะไม่ซักผงซักฟอก
เพราะกลัวยายจะแพ้และเป็นผื่น ฯลฯ ทุกวันนี้ตากลัวว่ายายจะทิ้งตาไป
ไม่อยากให้ยายตายเลย อยากให้อยู่เป็นเพื่อนกัน อยู่เป็นคู่รักกันตลอดไป
ตาไม่เคยคิดอย่างคนอื่นเลยว่า ตายไปภาระจะได้หมดลงไม่คิดเลย
ภาพที่ชาวเชียงคานเห็นจนชินตา คือภาพชายชราวัย 73 ปี
ปั่นรถจักรยานที่มีเตียงพยาบาลพ่วงติดอยู่ด้านหน้า
โดยมียายนอนลืมตาแน่นิ่งอยู่บนเตียงเคลื่อนที่ไปตามถนนหนทางต่างๆ
รถคันนี้เป็นรถที่ตาลอบประดิษฐ์ขึ้นมาเองกับมือ
เพราะถ้าจะซื้อเตียงแบบโรงพยาบาลนั้น ก็เกินกำลังที่ตาจะมีได้
ด้วยความที่ตาเคยมีความรู้ทางช่าง
จึงต่อเตียงพยาบาลขึ้นมาและดัดแปลงต่อเติมให้เตียงนั้นเคลื่อนที่ได้
และมีหลังคาคอยคุ้มแดดคุ้มฝน และมีมุ้งคอยกันยุงและแมลงต่างๆ
ที่ตาทำเช่นนี้หวังเพื่อให้ยายอยู่ใกล้กับตาตลอดเวลา
เพราะเกิดอะไรฉุกเฉินขึ้นมา ตาจะได้ช่วยเหลือยายได้ทัน
ดังนั้นเวลาตาจะไปไหนก็จะพายายไปด้วยเสมอ
ใครที่เห็นรถของตาต่างก็อดไม่ได้ที่จะไม่เหลียวหลัง
และต่างก็ตั้งข้อสงสัยไปต่างๆนานา บ้างก็นึกว่าเป็นรถซาเล้ง รถขายของ
รถเก็บของเก่า บ้างก็ว่ารถขนศพ แต่ถึงอย่างไรตาลอบก็ไม่สนใจคำครหาเหล่านั้น
เพราะสิ่งสำคัญที่ตาพายายออกมาอย่างนี้ ก็เพื่อให้ยายออกมารับอากาศข้างนอก
ให้ยายได้รับการทักทาย พูดคุยจากผู้คนต่างๆ เพื่อกระตุ้นให้ยายรู้สึกตัวมากขึ้น
นอกจากนี้ ตายังรู้ใจยายดีว่ายายชอบให้ตาพาเที่ยวไปตามที่ต่างๆ
ตาจึงมักปั่นเตียงเคลื่อนที่คู่ใจคันนี้ พายายไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ
ที่มีความสำคัญๆ ในอดีต ไม่ว่าจะเป็นสถานที่พบรักกัน สถานที่ๆ ทำมาหากินด้วยกัน
ทั้งนี้ตาทำเพื่อพายายไประลึกถึงความหลังอันงดงาม เพื่อกระตุ้นความจำ
ความรู้สึกของยาย และอย่างน้อยความหลังเหล่านี้
เสมือนเป็นน้ำหล่อเลี้ยงความเศร้าหมองของชะตากรรม
ที่ทั้งคู่ต้องเผชิญอยู่ได้ไม่มากก็น้อย
บ่อยครั้งเวลายายมีอาการป่วยมาก ตาต้องพายายไปรักษาที่โรงพยาบาลเชียงคาน
โดยมากตาจะปั่นเตียงพยาบาลเคลื่อนที่ พายายไปที่โรงพาบาล
ทันทีที่ไปถึงจะเป็นอันรู้กันกับเจ้าหน้าที่ว่าเตียงประดิษฐ์ของตาคันนี้
สามารถใช้แทนเตียงของโรงพยาบาลได้เป็นอย่างดี
และเมื่อพยาบาลเห็นคนไข้รายนี้ทีไรก็อุ่นใจได้ว่า
ไม่ต้องมาดูแลยายทองอะไรมากนัก เพราะตาลอบจะเป็นคนดูแลยายเองทุกอย่าง
โดยที่ไม่ต้องให้พยาบาลเข้ามายุ่งเลย
เพราะตาลอบคิดว่าเจ้าหน้าที่คงจะดูแลไม่ดีเท่ากับตัวเอง
ซึ่งนั่นเป็นเพราะตาลอบทำด้วยหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
ตาลอบได้พิสูจน์ให้เราเห็นว่าสัญญาที่ชายหนุ่มมอบไว้กับหญิงสาวอันเป็นที่รัก
เมื่อ 50 กว่าปีที่แล้วนั้น ไม่ใช่แค่ลมปาก หรือถ้อยคำหวานหู ตามแรงปราถนา
หากแต่เป็นถ้อยคำที่ออกมาจากความรู้สึกข้างในหัวใจ
ที่มีที่ว่างให้เพียงแค่หญิงสาวที่เขารักเพียงคนเดียว
คำมั่นสัญญาที่ตาลอบมอบให้ จึงเป็นพันธะสัญญาที่ถูกจารึกลงบนหินผา
ที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไร ก็ไม่มีวันลบเลือน
และยังทำอย่างซื่อตรงสม่ำเสมอ ไม่ต่างอะไรกับการขึ้นลงของดวงตะวัน
ที่จะเป็นอยู่เช่นนั้นชั่วนิรันดร์
หากท่านใดประสงค์จะช่วยเหลือครอบครัวของคุณตา คุณยาย
สามารถร่วมช่วยเหลือได้อาจโดยการโอนเงินผ่าน
บัญชี ธนาคาร ออมสิน
บัญชี ออมทรัพย์
สาขาเชียงคาน
เลขที่บัญชี 115 - 602 - 200 - 232 - 881
ชื่อบัญชี นายอมร สีสุภเนตร
ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงมา ณ โอกาสนี้ด้วยค่ะ
(ฝากส่งต่อด้วยนะคะ)
25 กุมภาพันธ์ 2550 09:30 น.
แก้วประเสริฐ
สุดขอบฟ้า
มองฟากฟ้าสายัณห์ประหวั่นคิด
แลชีวิตจิตกระหวัดดั่งพลัดฝัน
สัณห์สิ่งสร้างวางไว้ในกลางวัน
ดุจวิมานอันบรรเจิดงามเลิศวิไล
แต่ต้องมาลาลับเหมือนดับแสง
หยุดการแสดงแฝงสิ่งอิงสดใส
ครรลองปองสองสิ่งที่สิงหทัย
สิ่งฝากไว้ไกลลับดั่งดับตะวัน
แนวท้องทุ่งปรุงวิจิตรติดขอบฟ้า
เดือนดาราผงาดส่องต้องโศกศัลย์
นึกถึงวันพลันมีรักต้องจากกัน
นำใจฉันห่างหายคล้ายดวงเดือน
ที่แยกตนหม่นหมางระหว่างเสี้ยว
เงาลดเลี้ยวแปรเปลี่ยนแล้วเวียนเฉือน
สิ่งกระจ่างร้างลงแต่คงเยือน
แม้นแปดเปื้อนเตือนไว้สุดให้จำ
อดีตกาลผ่านพ้นดุจฝนทั่ง
ขอบฟ้ายังคงสภาพสร้างภาพซ้ำ
วนเวียนกลมรมไว้คล้ายเวรกรรม
เข้ากระหน่ำซ้ำซากช่างยากคลาย
หยุดแล้วหนอพอกันทีสิ่งที่เกิด
แม้นงามเลิศประเสริฐศรีมีที่ไหน
โลกแปรเปลี่ยนเวียนวกตกภายใน
จะฝากไว้ให้เป็นรอยร้อยวนเวียน
ชีวิตนี้มีอะไรใครรู้บ้าง
มีทั้งร้างสร้างสิ่งทุกข์สุขขีดเขียน
เวียนกลับสลับไว้ดุจคล้ายเทียน
ที่จะเพียรส่องสว่างต้องร้างลา
ดุจความรักตักไว้ต้องคลายลับ
ท้องฟ้ากลับเปลี่ยนสีที่เลิศหรา
ขอบฟ้าคงหลงเหลือเจือจินตนา
สร้างเวลามายาไว้สิ่งได้เยือน.
*** แก้วประเสริฐ. ***
19 กุมภาพันธ์ 2550 14:12 น.
แก้วประเสริฐ
วิมานแก้ว
วกเวียนวนจนจิตพินิจอักษร
สิ่งอรชรซ่อนไว้ฤทัยขม
แสนตลึงซึ้งจิตติดระทม
ผนึกปมข่มฤดีแม่ศรีเบือน
กลิ่นผกาพาระทึกระลึกซึ้ง
หันคำนึงสิเน่หามากรีดเฉือน
โอ้อกพี่นี้สั่นหวั่นสะเทือน
สิ่งที่เอื้อนเลื่อนลั่นพรั่นรำพึง
ก่อนวิมานมีเจ้าเฝ้าเปรมศรี
โอ้บัดนี้พลีแล้วแผ่วสิ่งซึ้ง
ร้างเยื่อใยสุดหวนชวนใจตรึง
ครั้นคำนึงเหลือห้องมิยองใย
ไกลเหลือเกินเหิรฟ้ามาคว้าเจ้า
เหลือแต่เนาวรัตน์มณีที่สวมใส่
ครวญรำพึงถึงสงวนแม่นวลใจ
ดวงหทัยให้สั่นสะท้านอารมณ์
กลิ่นนัยเนื้อหอมอวลล้วนสู่ห้อง
เสมือนน้องครองอยู่มิคู่สม
ปมนี้หนอสั่นฤดีพี่ระทม
เฝ้าดอมดมขมขื่นสะอื้นคอย
โธ่ฟ้าเอ๋ยเคยสร้างจนฝังจิต
วิมานผลิตใยซึ้งจึงเหงาหงอย
ปอยน้องนวลป่วนปั่นสั่นใจลอย
เหลือเพียงรอยหลงกลิ่นรินรัญจวน
วิมานแก้วอบอวลล้วนผลาญสิ้น
ยังโปรยรินผันผวนหวนกำสรวล
สวนระยิบหยิบสร้อยร้อยสิ่งชวน
สร้างปั่นป่วนนวลฝากดุจลากใจ
บรรจงสวมหลวมเหลือเมื่อเอื้อถึง
ครวญรำพึงซึ่งหทัยใกล้สลาย
พริ้มตาหลับกลับหวั่นพรั่นฤทัย
โอ้ไฉนเป็นเช่นนี้พี่โศกครวญ.
*** แก้วประเสริฐ. ***
14 กุมภาพันธ์ 2550 14:43 น.
แก้วประเสริฐ
สองฝั่งน้ำ
นั่งมองน้ำยามเย็นแลเห็นนก
ที่โผผกหกเหิรแสนเพลินเหลือ
บ้างร่ำร้องหาเพื่อนเหมือนจุนเจือ
เพื่อเอื้อเฟื้ออาหารสำราญใจ
สองฟากฝั่งประดังกิ่งด้วยสิ่งหอม
ผกาย้อมน้อมอิงพริ้งสดใส
เหลืองแดงขาวพราวเพริศเลิศไฉไล
กลิ่นหอมขจายไร้มายาคราแนบอิง
วันความรักมักมอบดอกไม้นั้น
สิ่งความฝันพลันมลายคล้ายถูกสิง
แล้วหลอนหลอกซ่อนหาเหมือนตาลิง
พลันกลอกกลิ้งประวิงไว้ในเวลา
เปรียบเหมือนน้ำไหลไปยังได้กลับ
ตะวันลับยังเน้นเช่นมาหา
ดวงดาวน้อยลอยเคลื่อนยังเตือนมา
แสงจันทรายังฝากมิพรากจร
แต่ใยเล่าน้าวโน้มประโลมนัก
ปล่อยกายรักหักลงถูกปลงศร
กามเทพเสพสิงไร้สิ่งอาวรณ์
กลับหลีกซ่อนเหือดหายในสายน้ำ
สองฟากฝั่งดังผกาพาอวดโฉม
พลันล่วงหล่นโน้มสลายคล้ายรอยช้ำ
ลอยละล่องท่องเซเหระกำ
ร้องครวญคร่ำลงไปในวาเลนไท.
*** แก้วประเสริฐ. ***
11 กุมภาพันธ์ 2550 00:33 น.
แก้วประเสริฐ
สิ่งที่รอคอย
วันคืนผ่านฉันคิดจิตผวา
คอยเวลาผันผวนป่วนจริงหนอ
ละอองดาวพราวเพริศเลิศลออ
เพื่อจะรอสิ่งฝันสู่พรรณราย
ยิ่งคิดไปใจเหี่ยวเหมือนเลี้ยวลด
จันทร์ทรงกลดสะพรั่งครั้งเฉิดฉาย
แต่ใจเราซิหนอช่างเดียวดาย
หันเหกายเหลือไว้เพียงผู้เดียว
น้ำค้างพร่างดั่งรดดุจปลดเปลื้อง
คล้ายประเทืองหัวใจได้ประเดี๋ยว
ช่างร้อนรุ่มกลุ้มจิตปลิดใจเจียว
สุดหน่วงเหนี่ยวสนองทั้งสองเรา
กลิ่นผกาช่วยประโลมโน้มน้าวจิต
ให้ยิ่งคิดความหลังครั้งสลักเสลา
รั้งอารมณ์บ่มรักมักพริ้มเพรา
ต้องยืนเฝ้าเคล้าเดือนดุจเตือนใจ
ปราสาทหินกินใจได้เคียงคู่
ภาพโฉมตรูยิ้มแย้มแกมสดใส
รู้ไหมหนอมันซึ้งติดตรึงใน
ดวงหทัยตรึงไว้สู่ในอารมณ์
ต้องยืนจ้องมองเดือนดาวเศร้าคิด
สิ่งลิขิตฝังลึกระทึกขม
เหลือเพียงฝันฝังไว้ให้อกตรม
คงระทมขมขื่นสะอื้นคอย.
*** แก้วประเสริฐ. ***