28 ตุลาคม 2549 11:55 น.
แก้วประเสริฐ
เธอรู้ไหม
เธอรู้ไหมใครคนนี้ที่รักจ๋า
เธอรู้ไหมกาลเวลาสุดพาไป
เธอรู้ไหมว่าฉันรักประจักษ์ใจ
เธอรู้ไหมใครคนนี้เฝ้ามีเธอ
ตะวันลับขอบฟ้าเหมือนพาล่วง
แสนสุดห่วงดวงใจที่ใฝ่เสมอ
โอ้ชีวิตคิดฝันยังพลันละเมอ
จนหลงเพ้อครวญคร่ำคงย้ำละลาย
เธอรู้ไหมใจฉันมันสั่นระรี้
มวลชีวีเรือนร่างอ้างว้างสลาย
เพียงรอยยิ้มพร่ำเพ้อจนเผลอใจ
แต่ทำไมใยขยี้รักนี้ลวง
ดวงจันทร์ฉายผ่องอำไพอยู่ในฟ้า
มวลดาราทอแสงเพื่อแฝงสรวง
ห่วงรักนี้ใยหมองต้องคำลวง
ระลึกห่วงดวงฤทัยสุดให้ตรม
เธอรู้ไหมที่รักฉันภักดีเสมอ
ไม่เลิศเลอปานเทพที่เสพสม
เพียงแค่ฝันฉันเศร้าจนเคล้าระทม
รักลอยลมบ่มเพ้อละเมอครวญ
ที่รักจ๋ารักยิ่งแอบอิงเสมอ
สิ่งมอบเธอแค่ใจที่ไม่กำสรวล
ชาตินี้หนอขอสมัครแม้นจักรวน
แอบอิงห่วงบ่วงวิญญาณฝันถึงเธอ.
*** แก้วประเสริฐ. ***
24 ตุลาคม 2549 12:15 น.
แก้วประเสริฐ
* ดั่งว่าวสิเน่หา *
สิ่งที่ชอบบอบช้ำระกำสรวง
ส่งเป็นบ่วงห้วงรักยากจักสนอง
สะดุดลงตรงที่ไม่มีครรลอง
มิสอดคล้องลอยคว้างอยู่กลางนภา
อุปเท่ห์เสน่หาเข้ามาขีดเส้น
นัยซ่อนเร้นเด่นชาติของศาสนา
สิ่งสัมพันธ์นั้นต้องให้หมองอุรา
ขีดชะตาแยกพันธุ์จนขั้นมลาย
ดุจจุฬาคว้าเป้าแล้วเฝ้าผัน
เดือนเด่นนั้นประชันดาวสกาวใส
ระยิบระยับซับซ้อนดุจซ่อนใจ
ปักเป้าไขว่หันคว้าแล้วมาจร
ส่งสิ่งรักหักสิ้นยากจินต์คล้อง
ห่วงที่ปองสายสัมพันธ์ต้องคันศร
ยามโน้มน้าวเฝ้าแยกจนแตกรอน
ให้สะท้อนอ่อนไหวพลิกคลายลง
เปรียบประหนึ่งดึงว่าวเมื่อเข้าผวน
ระริกล้วนชวนส่ายเมื่อใคร่ประสงค์
ลอยละลิ่วปลิวฟ้ายากคว้าตรง
สิ้นสุดลงตรงเผลอละเมอครวญ
อนาถหนอต่อชะตาเพียงหาฝัน
จำเนียรกาลผันไปสุดให้หวน
นึกถึงเราคราวนี้ยากมีชวน
จนปั่นป่วนจวนสุ่มเพียงรุมปอง
นึกถึงหน้าครายิ้มเคยพริ้มพักตร์
โอ้นงลักษณ์ชายตาเพื่อมาสนอง
อิริยาบถโอษฐ์แย้มสองแก้มมอง
แดงขาวผ่องต้องเนื้ออยากเกื้อกูน
ดารุนาถปรารถนาวาจาเฝื่อน
แฝงสิ่งเยือนเตือนเอื้อเพื่อเกื้อหนุน
งามพริ้งพรายในวลีสุดที่การุน
ยิ่งไออุ่นแฝงไว้ส่งให้ประเทือง
บัดนี้เจ้ามายิ้มคอยพริ้มพักตร์
เสแสร้งนักชักวุ่นเซซุนเยื้อง
ยิ่งเคยมองหมายตาใยมาเคือง
มิหนุนเนื่องเปลื้องไว้สู่ใจเนาว์
ดุจดังว่าวเคล้าสวาทยามพาดฟ้า
ลมหวนมาหลีกลี้จะหนีเขา
พลิกผันผวนจวนตกหัวอกเรา
รักคอยเจ้ามองหาใยมาครวญ.
*** แก้วประเสริฐ. ***
22 ตุลาคม 2549 11:20 น.
แก้วประเสริฐ
วสันต์เหมันต์
สิ้นวสันต์อันปวดร้าวในคราวนี้
ฟ้าเปลี่ยนสีที่ครึ้มฮึมครึมสลาย
น้ำเจิ่งนองมองดูอดสูใจ
สิ่งทั้งหลายหายวับไปกับตา
สร้างรอยช้ำน้ำใจสุดได้กลับ
ลมโชยสลับนับสิ้นโรยรินอุษา
เย็นยะเยือกโลมเร้าที่เข้ามา
พลิกอุราคราเปลี่ยนเมื่อเวียนฤดู
พฤศจิกาคราวนี้ไม่มีแล้ว
คำเฉื่อยแจ้วแว่วเสียงสำเนียงอดสู
กระทงน้อยลอยล่องกับน้องพธู
เหลือที่อยู่เพียงอาศัยเพื่อได้เงา
เหมันต์นี้มีแต่เศร้าโลมเร้าจิต
ยากจะคิดสร้างหนุนร่วมบุญเขา
เหลือเพียงฝันอันวิจิตรที่ติดเนาว์
มีเพียงเจ้าอิงแอบเข้าแนบมโน
ฤดูเปลี่ยนเวียนไปสิ่งใดเล่า
จะโน้มน้าวเข้าวันสู่ฉันทะโส
เหลือเพียงฝันอันติดน้อยนิดโต
คงบุญโขหากฟ้าเมตตาเรา
สายน้ำยังไหลรินมิสิ้นซาก
น้ำป่าหลากสมทบยากพบเขา
อากาศเย็นซ่านเนื้อเข้าเกื้อเอา
ฝนบางเบาทำเอาสุดเศร้าใจ
ลอยกระทงปีนี้ต้องพิลาป
เหมือนถูกสาปยากพบประสบได้
แม่เนื้อเย็นเช่นนี้ยากพี่ไป
มีที่อาศัยอยู่ได้ก็เป็นบุญ.
*** แก้วประเสริฐ. ***
20 ตุลาคม 2549 10:34 น.
แก้วประเสริฐ
รำพึงสวาสดิ์
ดอกเอ๋ยดอกสร้อย
จะถักร้อยถ้อยวจีเพิ่มสี-สรรค์
อิ่มเอมรสจรดพิลาสมิคลาดพลัน
สร้างตำนานอันวิจิตรเชยชิดโชย
หอมเอ๋ยผิวดอก
ทั้งในนอกออกกรุ่นละมุนโหย
ผนึกช่อล้อตะวันมิทันโรย
กลิ่นก็โปรยหลอกล้อจนท้อใจ
สาวเอ๋ยแน่งน้อย
กิริยาย้อยหยาดเยิ้มหลงเคลิ้มได้
วิวัฒน์ผันปั่นป่วนรัญจวนวิไล
ทั้งรูปกายอ่อนช้อยแล้วลอยขจร
รักเอ๋ยลวงหลอก
สวาทนอกตอกย้ำยังพร่ำหลอน
พร่อยพิไลในรสทุกบทตอน
พออาวรณ์รอนลิดแล้วปลิดลา
โศกเอ๋ยระคนเศร้า
คิดถึงเจ้าเฝ้าคำนึงรำพึงหา
พอหมดรักหักสิ้นแล้วปลิ้นตา
แม่รจนาพากระหน่ำจนช้ำตรม
ลมเอ๋ยวิปโยค
เสียดายโฉลกโยกรักมาหักขม
หวานที่ซึ้งตรึงไว้จนใจระทม
ผ่านภิรมย์ชมสวาทจนขาดแรง
รำพึงเอ๋ยคำนึงถึง
สิ่งตราตรึงขึงผงาดด้วยขาดแขนง
เฝ้าก่อเกิดเฉิดฉวีด้วยสีแสดง
ช่างกลั่นแกล้งแฝงไว้จนได้รำพัน
สวาทเอ๋ยสวาสดิ์รัก
สิ่งโน้มชักหักสะบั้นยังกีดกั้น
ผ่านซึ้งถ้อยร้อยหวานสุดซ่านกรรณ
ครวญรำพันปั่นป่วนยังหวนชม.
*** แก้วประเสริฐ. ***
17 ตุลาคม 2549 12:48 น.
แก้วประเสริฐ
ธารวิปโยค
ฟ้าสีแดงแฝงพรายไร้ขอบเขต
อาดูรเทวษเกล็ดแก้วเป็นแนวสาย
วรุณโหมโน้มปฐพียากคลี่คลาย
ม้วนละลายดินกระหน่ำเข้าซ้ำเติม
ไหลระลอกตอกย้ำระกำแฝง
ล้วนเข้าแข่งมลายกระจายเสริม
เซาะแนวฝั่งพังพินาศมิอาจเดิม
ช่างเหิมเกริมเสริมธารสุดรัญจวน
ดุจเพรงกรรมซ้ำเติมเข้าเหิมชีวิต
เปลี่ยนลิขิตบิดผันจนหันหวน
ปั่นป่วนไว้ในฟ้าดินมาครวญ
พลิกผันผวนล้วนชะตาเข้ามาพลัน
วันและคืนตื่นผวามาเศร้าหมอง
เสียงน้ำนองมองหาสิ่งมาผัน
พบธารไหลคะนองประลองกัน
ยากจะหันหลบลี้เพื่อหนีภัย
เสียงสายชลวนเชี่ยวเป็นเกลียวคลื่น
ดังครืนครืนลื่นไหลคล้ายผลักไส
ต้องเกาะเกี่ยวเหนี่ยวรั้งประทังกาย
เข้าอาศัยเรือนน้อยเพื่อคอยชะตา
นั่งซุกเข่าเฝ้ามองแลสองฝั่ง
น้ำเจิ่งหลั่งเวิ้งว้างพิงข้างฝา
หวนคำนึงถึงนุชเคยรุดมา
บัดนี้หนายากพบประสบเงา
ฟ้าครวญคร่ำร่ำโหยแล้วโปรยสาย
ดั่งหัวใจของข้าต้องมาเขลา
เหลือแต่ธารไหลหลั่งมิบางเบา
เป็นเพื่อนเราเฝ้ามองทั้งสองตา.
*** แก้วประเสริฐ. ***