24 กรกฎาคม 2548 17:14 น.
แก้วประเสริฐ
เที่ยวตระการพืชผล
งามลออท้องนาคราวสันต์
เยือนตระการพืชพันธุ์สุดหรรษา
ฝนพรายพร่างเย็นฉ่ำอร่ามตา
บนผืนนาพืชกล้าหว่านไถดำ
เสียงกบเขียดร้องร่ำพร่ำส่งเสียง
อ๊บโอ๊บอ๊บเกี๊ยดเกี๊ยดกันระส่ำ
สาวหน้ามลงามขำลงไถ่ทำ
มุ่งหน้าดำข้าวกล้าเร้าอารมณ์
ลมโชยอ่อนนั่งมองภายในเถียง
ที่ปลูกเคียงท้องนาตามเหมาะสม
กลิ่นอะไรล่องลอยมาตามลม
เฝ้าสูดดมจึงรู้กลิ่นขี้ควาย
พอฝนซ่างร้างหายคลายสะเด็ด
ลุกขึ้นเช็ดหน้าดำให้สลาย
แสงแดดเริ่มเจิดจ้าพร่ากระจาย
เยื้องย่างกรายไปห้วยด้วยเขาบอก
เดินลัดเลาะคันนาฝ่ากลุ่มไผ่
ลดเลี้ยวไปยังทิศตะวันออก
ปวดเอวขาน่องเสียจนขัดยอก
เข่าถลอกล้มกลิ้งอิงคันนา
สักครู่ใหญ่ได้ถึงห้วยลานน้ำใส
ช่างวิไลสมคุณค่าใฝ่หา
น้ำไหลเอื่อยนกร้องส่งเสียงมา
ทอดสายตาเก็บภาพไว้ให้เพื่อนดู
ตามริมห้วยเต็มด้วยคล้ายหอยโข่ง
อากาศโปร่งลมพัดไม่ขัดหู
ไม้ไผ่เสียดเบียดสีดนตรีครู
คนที่รู้ทำเทียบเปรียบเสียงเพลง
ตะวันคล้อยลอยต่ำรีบจ้ำพรวด
ดุจดังจรวดนำวิถีมิผิดเผง
กลัวค่ำมืดหลงทางช่างวังเวง
จะคว้างเคว้งอดข้าวจะเศร้าใจ
พอตกค่ำติดตามคนเข้าวัด
ที่เขาจัดเวียนเทียนหน้าสดใส
มุ่งชำระจิตไว้ให้วิไล
เฉิดไฉไลในวันเข้าพรรษา
รุ่งอีกวันจัดอาหารถวายเพลพระ
แปลกจริงนะปั้นข้าวลงบาตรฝา
พร้อมของหวานของคาวที่นำมา
คอยเวลาพระฉันท์รับศีลพร
พอเสร็จสรรพกลับออกสู่ท่องเที่ยว
พาลดเลี้ยวไปอุบลนั้นเสียก่อน
ตระเวนไปทุกถิ่นคนบอกจร
มิอาทรเงินทองจ่ายคล่องจริง
ซื้อสังฆทานกันไว้เพื่อไปวัด
ที่เขาจัดสำนักสงฆ์มิเกรงกริ่ง
พอตอนเช้าเข้าป่ามิระวิง
ถวายในสิ่งปัจจัยทั้งไทยทาน
ร่วมทำบุญสร้างพระใหญ่ในวิหาร
ที่สร้างนั้นยังมิเสร็จเพื่อประสาน
ถวายปัจจัยใหญ่โขเพื่อสร้างงาน
ให้พระนั้นทั้งวิหารสำเร็จสมบูรณ์
พออีกวันนั้นมุ่งสู่ลาวช่องเม็ก
แต่ต้องเข็ดเสียเวลาต้องมาสูญ
ไม่พัฒนาหาสิ่งมาเกื้อกูน
ต้องอาดูรเหยียบแผ่นดินสิ้นเงินไป
รีบกลับพลันสรรค์มาคูหาสวรรค์
ทำบุญกันปู่คำคะนิงจิตสดใส
ถ่ายภาพภายในวัดจัดวิไล
ยืนมองไปแม่น้ำสองสีที่กล่าว
ต้องพลาดหวังมีสีเดียวขุ่นคลัก
ดูเหมือนปลักที่ควายแช่รอสาว
ว่าแม่น้ำแบ่งสีเป็นเรื่องราว
ไม่เพริศพราวดั่งเล่าที่กล่าวมา
พอถึงเวลาแห่เทียนเข้าพรรษา
ตามเวลาที่อุบลจัดสรรหา
มาประชันขันแข่งรอเวลา
สิ้นปัญญาจะมาเข้าเฝ้าชม
คนเยอะแยะราวมดรถเพ่นพล่าน
แต่กระนั้นยังเห็นตามเหมาะสม
ช่างงามจริงดุจสวรรค์ถึงชั้นพรหม
ยากปรารมภ์เขียนไว้ให้ได้อ่าน
อยู่ห้าวันพลันรำลึกนึกถึงเพื่อน
สิ่งที่เตือนลงกลอนมิได้สาน
มาวันนี้มิเหมือนเมื่อวันวาน
สิ้นสุดงานขอลาอย่าว่าเอย.
๙๙๙ แก้วประเสริฐ. ๙๙๙
24 กรกฎาคม 2548 09:40 น.
แก้วประเสริฐ
ความหลง-รัก-ใคร่
หญิงชายใดไหนเล่าเข้าใจรัก
มักฟูมฟักสิ่งใคร่จนไหลหลง
โดยรูปร่างน่าตามาพะวง
สร้างเค้าโครงบ่งบอกหลอกตนเอง
สิ่งเหล่านี้นี่ล้วนละเอียดอ่อน
วางขั้นตอนไว้เฉพาะที่เหมาะเหม็ง
เหมือนตัวโน๊ตสร้างมาคราบรรเลง
เป็นบทเพลงครื้นเครงวังเวงใจ
หากคนเล่นมิเป็นเช่นตาบอด
มักจะพรอดเพ้อสิ่งแอบอิงไว้
เฝ้าลูบคลำโลมเร้าคลึงเคล้าไป
ในสิ่งวิไลเกิดเศร้าเฝ้าโศกา
นี่แหละหนาความรักมักหวนเข้า
หากยังเฝ้าใฝ่พะวงแลหลงหา
จะก่อเกิดกระแสไปคล้ายมายา
ด้วยสิเน่หานำมาพาหลงทาง
จงใคร่ครวญด่วนคิดพินิจเถิด
ค้นดีเลิศเลวร้ายมาสะสาง
ทำใจนี้วางไว้ให้เป็นกลาง
ทั้งสองข้างชั่งดูดุจครูเรา
หากยังติดใฝ่พะวงด้วยสงสัย
อย่าอาลัยถอยหลังเหตุครั้งเก่า
ดูอีกครั้งเบื้องหลังดุจดั่งเงา
แล้วนำเข้าพิจารณามาไตร่ตรอง
มิแน่ใจจงใช้ปัญญาคิด
อย่าหลงผิดติดสิ่งที่เฝ้าสนอง
โดยปล่อยใจระเริงเหลิงลำพอง
สิ่งมัวหมองทำเอาเศร้าตัวเอง
บทรักจงหมั่นแยกจำแนกนะ
แล้วชำระใจให้กระฉับกระเฉง
เฝ้าตรวจตรองหมั่นดูจะรู้เอง
อย่านึกเกรงสิ่งหลังคิดหวังมัน
เรื่องนี้ต้องทบทวนสิ่งควรรัก
รู้ประจักษ์ในใจมิให้กระสัน
รู้เข้าใจเห็นใจมาผูกพัน
ทุกสิ่งนั้นช่วยกันสร้างชีวี
สร้างซึ้งใจให้เกียรติควรยกย่อง
พร้อมสนองช่วยเหลือเกื้อศักดิ์ศรี
เป็นห่วงใยอาทรตอนยากมี
ปันสิ่งที่ความสุขหากทุกข์มา
ช่วยกอบกู้สู้ชีวิตมิคิดหนี
แล้วยอมพลีสิ่งที่ปรารถนา
เพื่อความสุขทั้งสองปองปรีดา
ร่วมเสน่หาด้วยหัวใจไร้สิ่งใด
หญิงชายใดไร้สังกัดกำจัดหนี
ร่วมชีวีสร้างสรรค์บันเจิดใส
ผนึกกำลังเราสองประคองใจ
สิ่งไฉไลบังเกิดเลิศเทียมทาน.
๙๙๙ แก้วประเสริฐ. ๙๙๙
19 กรกฎาคม 2548 11:31 น.
แก้วประเสริฐ
ศาลารักพักใจ
เพียงมองสารให้พินิจด้วยจิตหลง
ความพะวงเพียงเห็นลายมือเจ้า
นำมาแนบทรวงไว้ปลื้มใจเรา
ปองหัตถ์เงาแทนเสน่หาแม่ยาใจ
นี่แหละหนอความรักประจักษ์ยิ่ง
ใจระวิงดุจผีสิงเข้าอาศัย
ยังหวั่นหวาดในความอยู่ร่ำไป
เป็นอย่างไรคิดใคร่ได้ทัศนา
จากวันเดือนปีแรมเฝ้าแซมจิต
จากความคิดครุ่นครวญใฝ่ล้วนหา
จากเวลาน้อยนิดด้วยติดตา
จากเสน่หานงลักษณ์มักเฝ้าคอย
ศาลาน้อยคอยรักพักแล้วหรือ
เพียงยึดถือนวลนางตาละห้อย
เคยนั่งชมเดือนดาวคราวล่องลอย
ชี้ชวนร้อยคำกลอนผ่อนอารมณ์
เมื่อนางนวลแลเลือนเหมือนดาวตก
สะท้อนอกนั่งคอยเจ้าเคล้าสุขสม
เฝ้านับดาวบนท้องฟ้าที่ปรารมภ์
จนล่วงจมนางมิมายามข้าเยือน
บัดนี้เล่าเห็นสารพลันหวนคิด
แปลกอยู่นิดผิดธรรมดามิเหมือน
สีชมพูหัวใจดูเป็นคู่เตือน
สั่นสะเทือนเหมือนลางขั้นกลางใจ
ศาลาเอ๋ยเคยรักและพักจิต
เคยพินิจวงพักตร์แสนสดใส
บัดนี้มองซองน้อยละห้อยไป
เป็นอย่างไรใจเราเฝ้าอาวรณ์
เปิดซองดูแลซึ้งตลึงเหงา
ความโศกเศร้าเข้าประดุงพุ่งสะท้อน
สะท้านห้วงดวงจิตแทบขาดตอน
โอ้ละครบทรักจักเลือนลา
ยิ้มให้ตัวมองศาลาฟ้าบรรเจิด
รักถูกเปิดเผยแล้วนะเสน่หา
แม้นตัวเราเฝ้าคอยตามเวลา
คิดเสียว่ารักเขาเฝ้าคนเดียว
นั่งชมเดือนแลดาวสกาวฟ้า
ท้องนภาแลสดใสสักประเดี๋ยว
ก้อนเมฆน้อยบังดาวเหงาจริงเจียว
อยู่คนเดียวดูดาวตกเหมือนอกตรม
พรุ่งนี้หนอวรรษามาเยือนถิ่น
นกโบยบินจับคู่ดูเหมาะสม
หักใจแล้วแคล้วคลาดจากอารมณ์
มุ่งอาศรมทำบุญล้างชะระใจ
ภาคอีสานดินแดนแคว้นธรรมะ
ทิ้งราคะล้างจิตให้สดใส
มุ่งสู่ถิ่นจรรโลงโปร่งข้างใน
ทำบุญไปใส่กุศลสร้างผลบุญ.
๙๙๙ แก้วประเสริฐ. ๙๙๙
18 กรกฎาคม 2548 10:30 น.
แก้วประเสริฐ
*เสียงครวญล้วนตราตรึง*
..๏อกเอ๋ยช่างชอกช้ำน้ำใจนาง
ลิดเยื่อใยจนบางเสียแน่แล้ว
บาศก์รักบ่วงเคยวางสุดจางแผ่ว
สิ่งใหม่แพร้วเพริศพริ้งละทิ้งหาย ๚ะ๛
*****************************
..๏อกเอ๋ยช่างชอกช้ำ ใจนาง
ลิดเยื่อใยจนบาง แน่แล้ว
บาศก์รักบ่วงเคยวาง จางแผ่ว ลงฤา
สิ่งใหม่งามเพริศแพร้ว แม่พลิ้วเลือนหาย ๚
สำเนียงเคยแผ่วพริ้ง หวานเตือน
รักส่งมอบลางเลือน ยิ่งแท้
มองภาพที่แขวนเยือน ฝังมั่น ฤทัยเฮย
ไหวหวั่นมองหวนแม้ ตั่งเต้าเคยสนอง ๚
หวนคิดอดีตผ่านพ้น ใจจำ
มือสั่นบนภาพคลำ ลูบไล้
เคยแนบก่อลำนำ สอดเกี่ยว รักแฮ
สองร่างกอดอิงไว้ เริ่มสร้างทางสวรรค์ ๚
บัวงามโดดเด่นสล้าง แสงจันทร์
กลมดั่งรัชนีวัณ ส่องจ้า
แนบสนิทผ่องอนันต์ ขาวฉ่ำ งามเฮย
ภูเขาเด่นยังอ่อนล้า ดั่งฟ้าโลมสนอง ๚
บรรจงวางยอดภูฟ้า ประทาน
ลูบผ่านสุดประมาณ ดีดดิ้น
สำเนียงแผ่วนงคราญ หวานฉ่ำ โสตแฮ
อกพี่มิเลือนสิ้น ใฝ่น้องครองจันทร์ ๚
สอดลงรักใส่ไว้ ฝากจำ
วายุส่งแรงหนุนนำ ยอดหญ้า
ไหวเอนล่วงลงขนำ ฝนพร่าง กลางแฮ
หวิวสั่นเทลงหล้า เหม่อฟ้าคราสนอง ๚
เพลงรักเราใช่ลี้ จากจร
ยามส่งยังบังอร ผ่านแพร้ว
หวนกลับเมื่อสายสมร ยังกรุ่น สนองเฮย
ยากที่จะลืมแล้ว สู่น้องปองสมร ๚
นกกลางคืนแผ่วร้อง เสียงกัน
ถวิลส่งดวงจิตพลัน ห่อแห้ว
ยากคืนสู่ความฝัน ตัวพี่ โหยฤา
คิดใฝ่หวนกลับแล้ว แว่นฟ้าจางหาย ๚
เปรียบหญิงใดดั่งเจ้า หามี จริงเฮย
ยามร่วมเรียงเปรมปรีดิ์ ยิ่งแท้
อวบอัดส่งสองปลี แนบแน่น สนิทแฮ
รักที่มอบเต็มแปล้ แน่แท้มิเหมือน ๚
จืดจางรักพ่ายแพ้ หวนมา หับนา
ตัวพี่ยังคอยเวลา ใฝ่เจ้า
อิงแอบสิ่งปรารถนา ปองมั่น จริงแฮ
ยากมุ่งโหมโลมเร้า แด่น้องสายสมร ๚
อุษาสางสว่างแล้ว แนวพันธุ์ ผกาเอย
หับที่หวังคืนพลัน รกร้าง
ยืนคอยแม่จอมขวัญ โดดเดี่ยว เดียวฤา
อกนี่ดูเวิ้งว้าง แน่แล้วใจเอ๋ย ๚
หลับตาลงส่งไว้ เพียงภวังค์
นกที่เคยทำรัง แว่วไซร้
นึกถึงสิ่งหนหลัง จิตกร่อน จางแฮ
มันกู่เสียงรักไว้ สู่ข้าใจหมอง ๚
นางเอยใยผ่านพลิ้ว ลอยลม
เมื่อไหร่หนอภิรมย์ ผ่องแผ้ว
ดอกรักที่เคยชม หดเหี่ยว จริงนา
มาพล่ารักเพริศแพร้ว ล่วงแล้วแนวสลาย ๚
หับรักถูกทอดทิ้ง โรยลา
ทุกสิ่งสลายตามเวลา สู่ร้าง
สิ้นชีพด่วนโหยหา ลับล่วง ลงเฮย
เหลือสิ่งเพียงยกอ้าง แต่ครั้งหนหลัง ๚ะ๛
๙๙๙ แก้วประเสริฐ. ๙๙๙
16 กรกฎาคม 2548 14:54 น.
แก้วประเสริฐ
*ครวญคร่ำฤาพร่ำรัก*
..๏มธุรสใดไหนเล่าล้ำเกินนาง
ยามเอื้อนเอ่ยสองแก้มปรางค์ซ่านไว้
ดูเอมอิ่มฤทัยวางผ่านห้วงดวงใจ
ดั่งหทัยทิพย์ชโลมไล้เกษมศานต์๚ะ๛
..๏มธุรสใดไหนเล่าล้ำ เกินนาง
ยามเอ่ยวจีนวลปรางค์ ซ่านไว้
ดูเอมอิ่มฤทัยวาง เคียงแม่ จริงนา
ดุจดั่งทิพย์ชโลมไล้ พี่นี้เกษมศานต์ ๚
เดือนดาวพราวพร่างฟ้า ราตรี
จิตใฝ่ปองเปรมปรีดิ์ นิ่มน้อง
ช่อผกากลิ่นมาลี หวนใฝ่ นางเฮย
รสซ่านคำหวานต้อง พร่ำเพ้อละเมอหา๚
ราตรีกาลนี่นี้ รัชนี
สกาวส่องแสงนวลฉวี ยิ่งแท้
คำเปรียบเอ่ยของวจี ซาบซ่าน อกเอย
ฝันใฝ่อยากยินแม้ ร่ายถ้อยคำโคลง๚
รักน้องมอบพี่นี้ เผยคำ
สุดซ่านฝังใจจำ ร่ำร้อง
อกไหวหวั่นพึมพรำ ใจพล่าน จริงแฮ
ดุจดั่งระฆังทองก้อง แผ่วล้ำคนึงหวน ๚
ลมโชยพัดผ่านล้ำ ทรวงใน
หวีดแว่วใบไผ่ไหว พฤกษ์ก้อง
นวลจันทร์ส่องแวดไพร สวยอร่าม งามเฮย
นกค่ำแผดเสียงร้อง ดั่งข้าครวญนาง ๚
อกเอ๋ยช่างอ่อนล้า ไฉนดี
ไหวหวั่นคำหวานมี มอบให้
เหลือเพียงแต่คำวจี ฉาบสู่ ใจฤา
สุดพี่จะแบกไว้ หากน้องมิหวน ๚
รักเอยเคยหวานล้ำ ฉ่ำกมล
ทรวงพี่แนบนฤมล คลั่งไคล้
พลอดรักเอ่ยเวียนวน จนแม่ หลับนา
แขนที่สอดรองไว้ ไม่กล้าถอดถอน ๚
จวบแสงทองฉาบฟ้า ขอบทาง
ยากที่เห็นนวลปรางค์ แน่แล้ว
เหลือเพียงแต่เงาวาง ฝากกรุ่น ภวังค์ฤา
คำที่หวานปานแก้ว ผ่านแล้วแลหาย ๚ะ๛
๙๙๙ แก้วประเสริฐ. ๙๙๙