8 กรกฎาคม 2548 10:19 น.
แก้วประเสริฐ
จิตต์กาลวิจิตร
..๏จำเนียรกาลผ่านห้วง วันวาน
ผันสู่ความเบิกบาน ยิ่งแท้
รสรักที่สราญ มากก่อ จริงเฮย
ฝากส่งตรึงใจแม้ พรากน้องคนึงหวน ๚
ลมโชยพัดผ่านซึ้ง รำพึงนาง
เผยกลิ่นกลีบหอมจาง ห่อนแล้ว
หอมหวนช่วงสะสาง จากแม่ ตรึงแฮ
อบอวลชวนใฝ่แผ้ว กอหญ้าเคียงเผย ๚
เนินนงนุชดั่งคล้าย เนินจันทร์
ซาบซ่านผ่องผิวพรรณ หับด้วย
ขาวกระจ่างวิลาวัลย์ ยากห่าง นวลฤา
ยามส่งมากเกรงม้วย พับข้างนางสนอง ๚
ปทุมมาลย์สุดสล้าง ฉายเดือน
สาดส่องยากแชเชือน ลูบไล้
สายตาเพ่งยามเยือน ยวนยิ่ง ตลึงแฮ
ซาบซ่านรัดรึงไซร้ ยากม้วยมอดสลาย ๚
รักเอ๋ยเคยฝากไว้ ใจจำ จริงนา
ตกบ่วงจนงึมงำ พร่ำเพ้อ
หวนจิตคิดงามขำ หับอยู่ ใดฤา
อกป่วนจนหวนเก้อ เหม่อฟ้าคราสาง ๚
จำใจจำพรากน้อง แรมไกล
จิตจ่อความวิไล ยิ่งแท้
คงเพียงส่งดวงใจ ฝากห่อน หวนเฮย
หากบ่มอดม้วยแล้ แน่แท้คืนสนอง ๚ะ๛
๙๙๙ แก้วประเสริฐ. ๙๙๙
6 กรกฎาคม 2548 06:27 น.
แก้วประเสริฐ
สิ้นแสงสุรีย์ชีวีแปรผัน
ตะวันรอนอ่อนแสงจรดปลายฟ้า
มวลเมฆาลอยพลิ้วแลปลิวไสว
ท้องธาราระลอกกระฉอกไกล
คลอนฤทัยอารมณ์ภิรมย์เพลิน
เหล่าสกุณาร่ำร้องก้องเวหา
ลมโชยพาต้นไม้ตามแนวเขิน
ระบัดใบไหวพลิ้วริมทางเดิน
ไพเราะเกินกว่าเสียงเวียงพิมาน
กลิ่นหอมหวนชวนเคล้าช่างเย้าจิต
พฤกษาผลิตมาลีชาติวาดแต้มสาน
หลายหลากสีมีเห็นเด่นตระการ
ดุจวิมานกลางไพรพฤกษ์ผนึกวนา
สำเนียงเสียงซู่ซ่าน้ำผาตก
อีกวิหคขับร้องก้องตามประสา
ทั้งแมลงกรีดเสียงยามบินมา
ไร้มายาพาเพลินเจริญฤทัย
ทวิบาทโผล่หน้ากลางไม้พุ่ม
ที่สุมทุมด้วยดอกสีแดงใส
เป็นจุดด่างเหลืองดำงามวิไล
เฉิดไฉไลสุดกล่าวเฝ้ารำพัน
กระแสน้ำไหลพุ่งฟุ้งจับต้อง
เป็นละอองเย็นฉ่ำล้ำสุขสันต์
อยู่คนเดียวกลางป่าพนาวัลย์
ชุบชีวันผันผ่านลานระทม
ลมเอ๋ยลมลมรักประจักษ์แล้ว
แม้นเพริศแพร้วกระจ่างสร้างขื่นขม
บัดนี้เล่าธรรมชาติสร้างล้างสิ่งตรม
นำระทมแลลับมิกลับมา
สุริยันผันชีวิตดุจสิ้นแสง
ความร้อนแรงเหือดหายคล้ายเวหา
ที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนยากเพียรมา
ปล่อยเวลาเคลื่อนคล้อยล่องลอยตาม.
๙๙๙ แก้วประเสริฐ. ๙๙๙
3 กรกฎาคม 2548 10:24 น.
แก้วประเสริฐ
สิ้นขมิ้นจินต์เทวษ
ขมิ้นน้อยบินลับจากไพรเขต
แสนเทวษพรั่งพรูดูคล้ายฝน
ชโลมพื้นดวงใจวกไหลวน
สิ่งวิมลเลือนหายมลายตาม
โอ้ชะตาชีวิตคงคิดแกล้ง
ล้วนแอบแฝงสิ่งหวังดังขวากหนาม
มาปิดกั้นความหลังครั้งเคยงาม
เลยลุกลามลงห้วงช่วงเฝ้าปอง
แลเหลียวมองคอนอยู่สู้ถอดถอน
นึกสะท้อนเสียงแจ้วแผ่วสนอง
เหลือเพียงลมโบกพัดสั่นไหวมอง
สิ่งทั้งผองหายลับไปกลับตา
ตะวันลับกลับค่ำพร่ำเรียกร้อง
เสียงกึกก้องสู่แนวแพรวพฤกษา
กรูกุ๊กกรูนกเขาแว่วเข้ามา
ย้ำอุราเหลียวหาเหลือรังคอน
ช่างเวิ้งว้างว่างเปล่าเงาสูญสิ้น
ยากโบยบินค้นหาพาสะท้อน
ป่วนฤทัยเฝ้ามองเพียงรังนอน
แสนอาวรณ์คงไว้เพียงใจคนึง
หยดน้ำค้างพร่างพรมลมหนาวสั่น
นึกถึงวันอยู่เคียงเพียงใฝ่ถึง
ลำนำเพลงพฤกษาที่ตราตรึง
อันลึกซึ้งคำหวานปานรจนา
ขมิ้นเอ๋ยจากไปเปลี่ยนใจหรือ
ความยึดถือแปรผันสิ่งหรรษา
เคยฉอเลาะผูกพันสุดพรรณนา
เจ้าร้างลาฝากไว้แค่ให้รัง
ความมืดครึ้มปกคลุมอาณาเขต
สิ่งเทวษแผ่ซ่านพลันสิ้นหวัง
ห่อปีกลงซบหน้าละล้าละลัง
หมดกำลังปล่อยใจให้เลื่อนลอย.
๙๙๙ แก้วประเสริฐ. ๙๙๙
1 กรกฎาคม 2548 12:15 น.
แก้วประเสริฐ
จักรยานคนงาม
เสียงกริ๊งกร๊างดังแผ่วแว่วสะท้อน
อรชรนงนุชคนสุดสวย
ขับขี่ผ่านหน้าบ้านอ่อนระทวย
แต่งตัวด้วยสีสันต์สุดพรรณราย
ทั้งรูปลักษณ์งามงอนช่างอ่อนไหว
ดูละม้ายสายฝนหล่นเป็นสาย
สร้างความฉ่ำสดชื่นอีกมากมาย
ยามขี่ไปสุดซ่านซ่าวิลาวัลย์
อดรำพึงยืนจ้องมองจนคล้อย
เหมือนเลื่อนลอยจากฟากฟ้าแดนสวรรค์
ลงเนินเขาเลี้ยวหายลับมิจำนรรจ์
เสียงแว่วนั้นเลือนหายไกลสุดตา
ปานประหนึ่งภาพลักษณ์ประทับจิต
ยากเนรมิตหวนกลับเสียแล้วหนา
เฝ้ายืนจ้องเมียงมองตามเวลา
เมื่อไหร่มากริ๊งกร๊างสร้างคำนึง
แล้วทอดน่องเดินไปในวิถี
แนวเนินที่ลาดลงยังพะวงถึง
มวลไม้ดอกนาพันธุ์นั้นตราตรึง
ยังไม่ซึ้งถึงนวลนางกลางอารมณ์
ลับเหลี่ยมเขาพลันกระจ่างสว่างจ้า
พันธุ์พฤกษาเรียงรายตามเหมาะสม
ดอกทานตะวันมากมายให้ภิรมย์
มองชื่นชมหมู่ภมรร่อนเวียนวน
บ้างเคล้าคลอเคียงข้างระหว่างเกสร
ผีเสื้อว่อนหลากสีช่างน่าสน
ทั้งแมงปอโฉบเฉวียนเคล้าระคน
อีกทั้งคนยืนมองประลองลักษณ์
บ้างถ่ายรูปเป็นกลุ่มหรือเอกเทศ
บ้างเอกเขนกนั่งพิงต้นไม้สัก
รวมถึงสาวอรชรที่ประจักษ์
น่ารักจักรยานพิงคู่อยู่ริมทาง
ตะลึงมองจ้องนางพลางอมยิ้ม
โอ้จิ้มลิ้มเกินกว่ามาสะสาง
อนงค์นารถหยาดฟ้าสุรางคนางค์
ยังต้องว้างอายเขินเผชิญเธอ
บังเอิญเธอหันพบมาประสบ
กลับมิหลบแลบลิ้นหลอกจนเก้อ
สะท้านห้วงทรวงอกแทบละเมอ
เกือบพร่ำเพ้อหันอีกทีเธอลี้จร.
๙๙๙ แก้วประเสริฐ. ๙๙๙