30 ตุลาคม 2548 21:48 น.
แก้วประเสริฐ
*เงิน*เงิน*เงิน*
เงินนั้นหรือคือสิ่งบันดาลสุข
มีมากทุกข์ก่อเกิดกำเนิดหนอ
ไม่มีเงินสุขทุกข์เข้าเคียงคลอ
หากเพียงพอขอวางสร้างสิ่งดี
ดุจชีวิตของมนุษย์สุดฝันใฝ่
สร้างหัวใจไว้ในทางเกษมศรี
มีธรรมนำครอบครัวให้เปรมปรีดิ์
ประกอบชีวีมีสุขทุกวันคืน
หนทางเดินแต่ละคนปนทุกข์ยาก
อุปสรรคขวากหนามยามหลับตื่น
ลืมทุกข์สิ่งถูกผิดคิดยั่งยืน
แม้จะฝืนยังหลงคงมัวเมา
อันเงินตราคือรูปนามที่งามนัก
เย้ายวนจักงมงายให้เกิดเขลา
เป็นตัวกลางสร้างสรรค์ดุจดั่งเงา
ทุกคนเฝ้าหลงใหลใฝ่ครอบครอง
เป็นดาบทองสองแพร่งแฝงทุกสิ่ง
ที่เข้าอิงทุกข์สุขตามใช้สนอง
เกิดพิพาทบาดหมางมิไตร่ตรอง
ดุจประลองสงครามแม้ความรัก
อนาถแท้วงจรผันสรรค์ทุกข์สุข
เข้าลามลุกจิตผู้เข้าสู่ประจักษ์
หากประมาณคุณค่าเงินที่นำชัก
มิหลงนักควรใช้ให้เป็นกลาง
เงินนั้นหรือคือสิ่งปราชญ์อิงสร้าง
ที่จัดวางแลกเปลี่ยนเวียนสะสาง
มิหวังเปลี่ยนจิตใจชายและนาง
รู้จักสร้างเงินตราคุณค่ามัน
เงินมิใช่พระเจ้าเข้าสรรค์เสก
ไม่เป็นเอกหากใช้ไม่กระสัน
คนนั้นสร้างอย่าหลงพะวงกัน
วงเวียนนั้นรู้จักใช้ให้ถูกทาง.
*แก้วประเสริฐ.*
27 ตุลาคม 2548 12:51 น.
แก้วประเสริฐ
ทางแห่งชีวิต
ระวีส่องพื้นหล้าฟ้ากระจ่าง
รัชนีสว่างกลางราตรีประดับแสง
รัศมีดาราพาระยับเข้าแทรกแซง
สุรีย์แสงถูกปิดกั้นยามจันทร์บัง
โชคชะตาพาชีวิตยอกย้อนนัก
เหมือนถูกกักสู่หลังจิตยังฝัง
ถูกนำพามาสู่ห้วงตกภวังค์
ความจีรังกังวลปนสู่ลิขิต
เข้าระบอบวนเวียนดุจเขียนกรอบ
วกวนรอบในขอบดั่งสอบชีวิต
บ้างแปรผันนอกเหนือด้วยเชื้อจิต
เข้าสร้างกิจติดพันกันสับสน
อันทางเดินเหินไว้ด้วยใจฝัน
วางเดิมพันขันต่อไปทุกหน
มืดสว่างสลัวครึ้มฮึมทึมปน
แม้นสับสนฝ่าฟันดั้นด้นไป
ดุจความรักความชังเข้าฝังไว้
เป็นเหตุให้ดวงใจไม่ผ่องใส
สร้างชีวิตบิดพลิ้วสู่นอกใน
สิ่งทั้งหลายสร้างให้ได้วนเดิน
ยิ่งเขียนไปใจเศร้าต่อชีวิต
มิตรสนิทติดพันนั้นห่างเหิน
ดั่งทางเดินกล้ำกลืนฝืนวัยเกิน
ยากเพลิดเพลินหวนกลับไม่ลับลา.
* แก้วประเสริฐ. *
24 ตุลาคม 2548 22:26 น.
แก้วประเสริฐ
* เกลียวคลื่นสะอื้นทรวง *
๏ท้องทะเลงามสดใส คลื่นซัดชายหาดไหวหวั่น
ฟองคลื่นระลอกพลัน เรียงไล่วนจนซ่านใจ
ริกริกพลิกระรี้ ดุจชีวีห้วงภายใน
หันมองตรองความนัย โลมเร้าลงตรงแก่งหิน ฯ
๏ผันผวนชวนใจส่ำ นึกถึงคำของยุพิน
เปรียบคลื่นห้วงวาริน กระแสร์สินธุ์ยินโครมโครม
ดุจรักมักมากหลาย ยามกลับกลายคล้ายโพยม
ปั่นป่วนรุกเร้าโหม มักตะโบมโลมจริงนา ฯ
๏เพริศพริ้งยวดยิ่งแล้ว เสียงเจื่อนแจ้วยามรจนา
หวานซึ้งตรึงนำพา สุดซ่านส์ซ่าส์มาไตร่ตรอง
หันหวนล้วนใจเศร้า ลิดรอนเร้าเศร้าใจหมอง
มองฟ้าน้ำเจิ่งนอง สิ่งที่ปองครองฤทัย ฯ
๏เกลียวสวาทภินท์พาดรัก โอ้หลงนักพลันกลับหาย
สูญสิ้นเสียวอดวาย คลื่นเสี้ยวใจคล้ายฟองเบียร์
หยดหลั่งลงข้างแก้ว ไม่ผ่องแผ้วแล้วร้างเสีย
คลื่นหาดช่างอ่อนเพลีย สุดจะเสียละเหี่ยจร. ๚๛
๏ท้องทะเลงามยิ่งน้ำ หาดทราย
คลื่นที่ซัดเรียงราย เพริศแพร้ว
ใยรักซ่านมิกลาย ผันสู่ เราแฮ
เปรียบคลื่นอันผ่องแผ้ว แน่แล้วมิสลาย ฯ
๏นิยายรักเกิดต่อฟ้า ริมหาด
สุดซ่านงามพิลาส เฉิดแฉล้ม
อธิษฐานสู่เวหาส ปองสู่ เจ้านา
เคียงคู่เบิกบานแย้ม แซ่ซ้องสนองสนาน ฯ
๏จำเรียงถ้อยแด่น้อง ผ่องพรรณ
รักก่อหาดแสงจันทร์ ผ่านฟ้า
เกลียวคลื่นบรรจงสรรค์ สาดสู่ น้องเฮย
ฟองที่ซัดผ่านหล้า ชุ่มชื้นรื่นสนอง ฯ
๏กาลวันผันเปลี่ยนแล้ว จริงใจ แม่เอย
สวรรค์ที่เคยชิดเชย ผ่านล้ม
ลมหอบคลื่นยากเฉลย เรียกสู่ คืนแฮ
สิ้นสวาทหันหลีกก้ม ซ่อนหน้าหนีหาย. ๚๛
๏ท้องทะเลงามสดใสน้ำทรายซัด
ฟองคลื่นจัดระลอกหยอกเรียงไล่
ห้วงริกระรี้ดุจชีวีซ่อนภายใน
ตรองความนัยใจสะท้านหวั่นชีวา
ผันผวนใจใฝ่คำนึงนึกถึงเจ้า
ที่วอนเว้าเคล้าครองสนองหา
จิตซาบซ่านผ่านคำพูดที่รจนา
ให้สิเน่หาเบิกบานปานคลื่นลม
เกลียวสวาทวาดสวรรค์นั้นภินท์หัก
นิยายรักก่อเกิดเคยเลิศล้ม
ดั่งฟองเบียร์มิเคลียใจให้ระบม
เปรียบสายลมพลิ้วผ่านละลานใจ
คลื่นจ๋าสะอื้นมิรื่นใจใยคลื่นรัก
เคยเย้านักหอมหวนชวนสดใส
บัดนี้หนอพอหน่ายร้างหายไป
นำหัวใจภักดิ์เฝ้าเจ้าร้างจร .๚๛
* แก้วประเสริฐ. *
22 ตุลาคม 2548 11:41 น.
แก้วประเสริฐ
ไม่ร้อยเล่ห์อย่าใฝ่เท่ห์
ร้อยสวาทเคียงรสหมดจดยิ่ง
โลกความจริงเหลือไว้เพียงในฝัน
สิ่งมายาพันผูกรุกวางกัน
เกริกก้องพลันแซ่ซ้องร้องดุจเชิญ
กระแสน้ำหมุนเวียนเปลี่ยนทางสาย
แยกกระจายเป็นสาขาพาเขาเขิน
ผุดขึ้นใหม่เก่าสลายกลายทางเดิน
นกที่เหินน้อยยากบินสิ้นเสรี
ความรักลิ้มรสสวาทสาดยึดมั่น
ถูกเสกสรรหักลงตรงศักดิ์ศรี
เหลือราคีที่หมกมุ่นกรุ่นชีวี
ทุกแห่งนี้คงไว้ในราคะ
มิร้อยเล่ห์เพทุบายไม่อาจอยู่
หากไม่รู้ร่วมกลไกในกักขฬะ
ไม่อาจอยู่ในโลกวิสาทะ
คิดชำนะหมู่คนต้องสนพาล
ความผันผวนมีไว้ในวิปริต
สร้างวิกฤติวางลงตรงไพศาล
เด็กเป็นใหญ่เฒ่าหงอขออยู่นาน
โลกสร้างสรรค์อิสรภาพตราบนภา
หากพูดรักมองดูเหมือนหมู่สัตว์
มันสังวาสไม่อายสิ้นแผ่นดินฟ้า
แม้แต่สัตว์ยังสิ้นของกาลเวลา
เลียนแบบมาสู่กันใจนั้นพอ
อันศีลธรรมพูดไปคล้ายคนบ้า
ไม่นำพาหาถึงซ้ายออกแล้วหนอ
ด้วยหูขวาฟังสิ่งเสียงเคล้าคลอ
มือเท้ารอจังหวะคละดนตรี
ธรรมชาติสร้างสมดุลต้องสูญสิ้น
โมเลกุลในทุกสิ่งบินหลีกหนี
มิแยกกันความชั่วมั่วเต็มที่
ลบบวกรี่รวมไว้ไม่ถ่วงหัน
อุทกภัยแผ่นดินแยกแตกสิ้น
น้ำแข็งรินล่วงละลายไฟผลาญ
ความร้อนรุ่มสุมลึกผนึกทุกวัน
ฤดูกาลเปลี่ยนผันนั้นทำลาย
แผ่นดินซึ่งครั้งหนึ่งพึงหมดจด
เคยงามหมดกามารมณ์จมสลาย
ต้องถล่มล่มลงคงวอดวาย
สิ่งทั้งหลายเป็นตำนานที่ฝันจำ
มาบัดนี้สิ่งนั้นพลันจะสนอง
ขอท่านลองใฝ่คิดอย่าติดขำ
มองรอบตัวคนทั้งหลายที่กระทำ
กำลังชักนำของเก่าจะร้าวรอน.
* แก้วประเสริฐ.*
20 ตุลาคม 2548 12:46 น.
แก้วประเสริฐ
ราตรีประดับดาว
ยามเดือนมืดคืนนี้ไม่มีเจ้า
ท้องฟ้าสกาวดาวเฝ้าระยิบแสง
ลมพัดโชยเหมือนใจให้หมดแรง
เรไรแฝงหรีดระงมข่มพฤกษ์ไพร
เหล่าหิงห้อยลอยล่องจ้องหาคู่
ดุจดาวหมู่เหนือพสุธาพาไสว
ข้ายืนเดี่ยวเปลี่ยวรักหนักหทัย
ใจอ่อนไหวลอยฟ่องท้องฟ้าไกล
กลิ่นพฤกษามาลีนี่หอมหนอ
เคยพะนอหยอกล้อเชยพิสมัย
ระโรยรินกลิ่นรสหมดจดวิไล
ฝังซึ้งใจให้ซาบซ่านพล่านฤดี
นอนมองดาวพราวพร่างร้างสุดกู่
เฝ้ามองดูหาชู้มาพาหมองศรี
จันทร์เจ้าลับดาวพฤกษ์ตรึกที่มี
โอ้บัดนี้เหลือดาวอื่นมิชื่นอารมณ์
ท้องฟ้านี้สวยงามยามไร้เมฆ
บริเฉทท้องนภาคราเหมาะสม
มีกระพริบระยิบแสงแฝงสิ่งตรม
บ้างแฝงปมค้างแสงแสดงหมอง
เปรียบหัวใจไร้เดือนเหมือนเหตุนี้
ตัวเราที่เฝ้าคอยมิมีสอง
เขาลาลับนับสุดที่หมายปอง
เสนอสนองปองเคล้าเฝ้าแลดาว
นกกลางคืนร่ำร้องเหมือนปองคู่
ช่างอดสูหัวใจสนองคิดครองสาว
สะอื้นในอกเฝ้าติดคิดเรื่องราว
เมื่อยิ่งสาวให้ยิ่งหมองตรองชีวี
หลับตาพริ้มลิ้มรสละอองน้ำค้าง
ที่พราวพร่างปะพรมดมกลิ่นฉวี
ตลอดจนพฤกษาเหล่ามาลี
คลุกเคล้าพลีเรือนร่างพร่างราตรี.
* แก้วประเสริฐ.*