4 พฤศจิกายน 2550 16:51 น.
แก้วประเสริฐ
** เขาหาว่าบ้า...ฮึ **
มาละเหวย
มาละวา
มาดูคนบ้า
แต่งกลอนลำนำ....ฮึๆๆๆ
สิ้นแสงสูรย์อาดูรเทวษเศษชีวิต
มืดดำสนิทดุจใจในเสี้ยวผง
ว้าเหว่หวิวร่ำร้องสองอนงค์
ชี้หน้าตรงส่งของลองกำนัล
แลกเปลี่ยนสิ่งซึ้งไว้ฤทัยหมอง
ดุจประลองความรักประจักษ์ฉัน
อนาถแล้วเวรกรรมที่กล้ำกัน
ใครคนนั้นส่งนี่เพื่อพลีใจ
อีกหนึ่งทะมึงมองสองตาจ้อง
เสียงฟ้าร้องก้องเลื่อนสะเทือนใส่
โอ้นี่หรือคือสิ่งแนบอิงไป
ทำอย่างไรหนอเล่าเฝ้าแลมอง
ยกมือไหว้พอเถิดแม่ทูนหัว
ลูกนี้กลัวสองแม่มาแผดสนอง
เขาเลยกล่าวคนบ้าอย่าลำพอง
เดี๋ยวแม่ถองตุ้บตับประทับรอย
ก้าวถอยมาบาทาในอากาศ
อีกคนปราดเข้าสอดแม่ยอดสร้อย
เสียงกรีดร้องหวีดว้ายคล้ายเมฆลอย
แผลน้อยน้อยสองเจ้าโอ้เข้าตำรา
เห็นจะต้องทบทวนบทเรียนแล้ว
อีกหนึ่งแจ๋วคงซึ้งซึ่งหรรษา
คงไม่เกิดเรื่องราวเข้ามีมา
แต่จะหาอย่างไรไม่เหมือนเดิม
ยิ้มลูบผมเดินไปคล้ายห่างหนี
เสียงดนตรีหยุดสนิทปิดใจเหิม
พระสุรเสียงเรียกหามาเพิ่มเติม
ทวีเพิ่มบรรยากาศสาดแว่วมา
นี่ไอ้แก่จะไปใยไม่ห้าม
ดูเหยียดหยามนารีที่ใฝ่หา
ทั้งสองนางถือไม้พร้อมชายตา
ดุจเสน่หาคนหล่อพ่อไม่รวย
ทรุดกายนั่งกราบลงตรงปฐพี
แม่ยาหยีลูกกลัวเพราะมัวฉวย
ของที่หล่นเรี่ยราดพลาดอำนวย
มิได้ช่วยหรือหนีใยไม่แล
เสียงสองนางร้องก้องไอ้แก่เอ๋ย
ลวดลายเคยออดอ้อนมาอ้อนแผล
บัดนี้เล่าเหมือนทารกร้องแวแว
หรือว่าแน่ปลุกพระมาทำไม
แม่ทูนหัวพี่กลัวจนตัวสั่น
ตัวของฉันจะเดินไปที่ไหน
ทั้งสองแม่เลิศล้ำงามวิไล
เพลงร้องไปแนบซึ้งตรึงอุรา
เอ็งจะบ้าอย่างไรข้าได้เห็น
แม่เนื้อเย็นโปรดเถิดเฉิดเสน่หา
ทั้งสองนางกล่าวถ้อยร้อยวาจา
เหมือนนำพาขึ้นสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
กราบงามงามสามทีกลิ้งหนีถอย
มือน้อยน้อยไขว่คว้าหาสิ่งขึง
พยุงร่างตะลึงแลแม่ตะลึง
คิดไม่ถึงคนแก่แน่จริงจริง....จบ
*** แก้วประเสริฐ. ***
3 พฤศจิกายน 2550 07:42 น.
แก้วประเสริฐ
** ข้ากะลาครอบ **
แต่ละวันพึงจ้องสองตาข้า
สู่ฟากฟ้าลอดช่องแสงทองใส
เดือนตะวันพินิจคิดกาลไกล
วาดฤทัยโดดเด่นเน้นสู่ครอง
ใหญ่ยิ่งนักวิมานอันเพริศแพร้ว
แม้ใจแป้วสร้างพลังหวังใฝ่ฝัน
อาณาเขตราชันย์สวรรค์กำนัล
เพื่อให้สถานมณีรัตน์วิวัฒนา
แม้นจะดำมืดมิดมาปิดแคว้น
หรือเพียงแก่นสิ่งสุขสนุกฉัน
มิให้ใครเก่งเกินเพลินผูกพัน
รอบสถานนพรัตน์ราชธานี
หากคิดเปิดวิมานอย่าพลันหวัง
ถิ่นฐานยังมั่นคงบ่งศักดิ์ศรี
หุบแก่งผาแมกไม้ไม่ใยดี
ทะเลที่กว้างสุดอย่าฉุดใจ
แม้นเรไรหริ่งร้องก้องระงม
ส่วนมากชมตัวข้าว่าสดใส
มาดแม้นใคร่พลิกฟื้นขึ้นทันใด
ก็อย่าหมายขึ้นนำย่ำเหยียบตู
อุ้ยหะฮ้าอย่าหลอกให้เสียรู้
งดงามดูเพียงใดไม่อดสู
อันรากฐานเนืองแน่นแค่นจะดู
อย่าสู่รู้บริเวณเด่นสารพัน
วิมานข้าพรรณรายหาใดเทียบ
อย่ามาเปรียบถิ่นฐานอันเสกสรร
ทั้งวิจิตรพิสดารร่ำลือครัน
ตัวข้านั้นใหญ่ยิ่งแต่ผู้เดียว
โอ้ละหนอรอมาตั้งหลายหน
สู้ข่มตนทีข้าอย่าฉุนเฉียว
ก็พวกเอ็งมาด่าว่ากันเกลียว
อย่ายุ่งเกี่ยวจะช้ำระกำพัง
หากวิมานข้ายุบหุบแล้วหนอ
จะเกิดก่อเหตุร้ายกระจายฝัง
อาณาเขตรอบบ้านดันทุรัง
เป็นที่ฝังกายาจะหาเตือน
สิ้นตัวข้าฟ้าพิโรธโกรธนะสู
ยากสิงสู่แว่นแคว้นแม้นถูกเฉือน
จะแตกแยกพินาศปราศเย้าเรือน
แผ่นดินเลื่อนสะท้านพลันมะลาย.
*** แก้วประเสริฐ. ***
31 ตุลาคม 2550 23:56 น.
แก้วประเสริฐ
** ลบตราตรึง **
ห้วงคำนึงรำพึงตะลึงผวน
สิ่งซึ้งชวนไขว่คว้าคราผูกฝัน
ย้อนอดีตรำลึกตรึกแสงจันทร์
อีกตะวันพลบค่ำย้ำสนธยา
แสงสีทองส่องพิลาสประหลาดนึก
ความรู้สึกล้วนหันรำพันหา
โอ้เสียงน้ำสาดชายหาดพัทยา
ก่อนเคยมานั่งจ้องมองพิไล
บัดนี้เล่าเปลี่ยนแปลงล้วนแฝงสิ่ง
เสียงอ้อยอิ่งครวญคร่ำดุจร่ำไห้
ชายหาดเอยเคยเห็นก่อนแต่ไร
แปรละลายผันเปลี่ยนเวียนเสียงเพลง
ก่อนเคยนั่งฟังคลื่นระรื่นจิต
ระบายคิดฝากไว้กับในแสง
ทั้งดวงจันทร์อาทิตย์ยามอ่อนแรง
ล้วนแต่แฝงความงามล้ำเลิศทรวง
ทั้งวิหคกู่ร้องก้องเวหาส
คลื่นนั้นสาดชายฝั่งดุจดังสรวง
อีกพฤกษาเป็นแนวรอบขอบยวง
หนุ่มสาวควงหยอกล้อพะนอกัน
นานนานทีได้แลชะแง้หา
บัดนี้หนามากมายไม่ต้องหัน
ผิดกับเก่างามจรดวิลาวัลย์
จึงต้องฝันคำนึงคะนึงครวญ
หรือเราแก่ไปแล้วมิแคล้วฝัน
ก่อนวิมานบนดินถิ่นคนหวน
มิเหลือเลยความหลังครั้งทบทวน
ผันแปรปรวนหัวดำและคล้ำแดง
พัทยาเอ๋ยเหลือไว้สู่ในอดีต
ด้วยแบ่งขีดวิไลคล้ายแอบแฝง
วัตถุเข้าครอบงำย่ำอย่างแรง
ระวีแสงจันทราพาลับเลือน
สิ่งตรึงตราหมดแล้วเจ้าแก้วเอย
ความฝันเคยฝากไว้คล้ายถูกเฉือน
ยืนรำพึงถึงเก่าคราวมาเยือน
พบสิ่งเปื้อนของสาวเจ้าคะนอง
ลาก่อนแล้วพัทยาขอลาก่อน
สิ่งสะท้อนความหลังพังเป็นสอง
แตกเป็นชิ้นละลายคล้ายละออง
ที่ลอยฟ่องแตกดับขอลับลา.
*** แก้วประเสริฐ. ***
21 ตุลาคม 2550 11:02 น.
แก้วประเสริฐ
** ตะวันราตรี **
ระวีอ่อนรอนแสงแฝงหวนคิด
ภาพเนรมิตความฝันอันเฉิดฉาย
เพริศพริ้งแพรวแวววับลับละลาย
แม้นเดือนพรายนวลนุ่มมิชุ่มฤดี
บัดนี้หนอรอน้ำอันฉ่ำสนิท
สิ่งหวนคิดละลายคล้ายแสงสี
ทอดเพียงหนึ่งกำหนดจดราตรี
พระสุรีย์เลือนพรายดุจสายลม
ฟ้าเคยพราวพร่างไว้ไร้เมฆหมอก
เหลือสิ่งหลอกฝากลงคงขื่นขม
ใยเคยคิดเตลิดไปใฝ่ภิรมย์
หักเหจมสิ่งนั้นมิพลันคืน
โอ้แสนนึกตรึกตรองแลล่วงลับ
จันทร์นั้นกลับกระจ่างยลค้างฝืน
ดาวดวงน้อยลอยเคียงยังเลี่ยงยืน
ความสะอื้นราตรีมิมีพราว
ดุจละอองเพียงแลชะแง้หา
สิ่งหวนมาฝากไว้ดุจคล้ายหาว
เรไรร้องเรียกคู่ชู้ชื่นระนาว
ย้อนสืบสาวหวนเด่นเน้นอารมณ์
แสนอนาถลิขิตลิดวาสนา
เคยเลี้ยวมาแลลับนับฝากขม
ใยความหวังละลายดั่งสายลม
คงระทมเหลือไว้ในแสงเดือน
ต่อนี้ไปใครเล่าจะเฝ้าเหลียว
ยังคดเคี้ยวดังฉวีที่แอบเฉือน
แม้แต่ดาวเคยเคียงร่วมเรียงเยือน
เสมือนเลอะเลือนเมฆาลับลาจร
เพียงหนึ่งร้อยถวิลสิ้นหวนกลับ
หนีแลลับสูญสิ้นจนจินต์หลอน
มิเหลือใยสิ้นไร้คล้ายแรมรอน
เคยย้อนถอนฝากไว้ในฟ้าดิน
ขอฝากลงตรงคืนสะอื้นพลิก
ดุจเล็บจิกจากนวลเฝ้าหวนถวิล
ย้ำเป็นแผลแนบเนื้อในเยื้อจินต์
ต้องสูญสิ้นราตรีคล้ายพลีดาว.
*** แก้วประเสริฐ. ***
19 ตุลาคม 2550 13:18 น.
แก้วประเสริฐ
** แอ๊บแบ๊ว **
คำศัพท์นี้ผันผวนชวนให้คิด
มาดำริห์ตรึกตรองกรองเหตุผล
ใยเป็นเหตุหลงใหลใคร่เวียนวน
สร้างเสียจนหนุ่มสาวเฝ้ารัญจวน
เข้าผูกพันกระแสจนแปรผัน
หรือสวรรค์เร้าใจให้ใฝ่หวน
เห็นสนุกคลุกเคล้าจนเย้ายวน
สร้างปั่นป่วนชวนซ้อนมอเตอร์ไซค์
อึกกระทึกครึกโครมมิคำนึง
หวนรำพึงอนาคตงามสดใส
เที่ยวเร่ร่อนรบกวนชวนกันไป
แข่งขันใช้หญิงสาวเฝ้าแลกปอง
ทิ้งศึกษาไม่สนจนเปรอะเปื้อน
ทำแชเชือนหวังสนุกเพื่อสุขสนอง
หญิงซ้อนท้ายเห็นเป็นเด่นเรืองรอง
คึกคะนองโก้เก๋เท่ห์ลวดลาย
จะว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ใครกันแน่
มิเหลียวแลครั้นพบจบฉิบหาย
ปั่นป่วนจนชาวบ้านนั้นวอดวาย
บ้างก็ตายทุพลภาพกราบกราน
ครั้นติดคุกตะรางพลางเศร้าโศก
วิปโยคคร่ำครวญล้วนขับขาน
พ่อแม่เต้นหาคนจนลนลาน
ไหว้เที่ยววานเมตตามาเกื้อกูล
ก่อนเหตุนี้มิคำนึงคนกล่าว
ที่เขาเฝ้าตักเตือนลบเลือนศูนย์
พอสิ้นท่าขอเขาเฝ้าเจือจุน
เที่ยววิ่งวุ่นทำไมใยไม่เตือน
ศัพท์ใหม่เขาตั้งไว้ใช้แอ๊พแบ๊ว
หญิงซ้อนแถวรถไปให้เชือดเฉือน
ผลัดเปลี่ยนกันเสพย์สมภิรมย์เยือน
จนเต็มเกลื่อนราตรีมอเตอร์ไซค์
*** แก้วประเสริฐ. ***