สะอื้นนางครวญ ...๏หวามหวิวซาบซ่านซึ้ง นางครวญ เพ็ญพักตร์น้องเนื้อนวล ร่ำไห้ ใจคงป่วนพลิกหวน ผันสู่ รักแฮ ฤาสิ่งมิอาจได้ พลาดซึ้งตรึงฤทัย ฯ กุหลาบแดงทาบข้าง วางแนบ เด่นเฮย สรรค์สิ่งซึ้งเคียงแอบ บ่วงน้อง ซุกเร้นซ่อนจนแปลบ สุดป่วน นวลแฮ หวานล่มบ่มร่ำร้อง สั่นพลิ้วพร่างขจาย ฯ เสียงสะอื้นซ่านสล้าง ลอยลม แว่วผ่านห้วงอกตรม หม่นไหม้ นางป่วนล้วนคงขม หมองยิ่ง ครวญเฮย พักตร์แม่แม้นงามไซร้ เทียบล้ำแมนสรวง ฯ ไยจึ่งเป็นดั่งนี้ แม่นาง งามเอย ม่านรักคงขัดขวาง จากฟ้า สิ่งสิ้นหยุดจัดวาง ต่อสิ่ง รักแฮ ทิ้งพรากมิอาจคว้า ม่านล้ำฤาสนอง ฯ หอมหวนชวนสิ่งซึ้ง ปลอบใจ เย้าสิ่งหยอกฤทัย จากเจ้า ตะละแม่เหตุไฉน ปิดม่าน- ตาเฮย รักมากจึ่งหมองเศร้า ผ่านแล้วมาลี ฯ รักมากยามซ่านพลิ้ว เจือจาง ผ่านนา ยามสุดสิ้นเบาบาง หล่นฟ้า เหลือไว้แต่อับปาง มากต่อ ใจเอย แสนสุดจะเหนื่อยล้า หมดแล้วบ่วงถวิล ฯ สงสารเสียงสะอื้น ลมลอย น้ำหยาดตาหวังคอย รักแท้ หลั่งเพียงหยดฝังรอย ลบสิ่ง ผูกแฮ ก้มพักตร์หมดใจแล้ สู่ซึ้งห้วงหทัย ฯ มาดแม้นงามดั่งฟ้า โลมดิน ถวิลแฮ ยังพลาดจนสิ้นจินต์ หมดแล้ว เศร้าทรวงต่อชีวิน ควรคิด คนึงนา ให้รักอย่าหมายแพร้ว หว่านซึ้งพึงครวญ. ๚ะ๛ *** แก้วประเสริฐ. *** (ภาพนี้ขออนุญาตแล้ว จำบ่ได้ว่าของใคร)
ขมิ้นบินหลา ตะวันรอนยอแสงแฝงหวนซึ้ง สิ่งตราตรึงพฤกษ์ไพรในแนวสณฑ์ จวนจะค่ำแล้วหนอรอ..นฤมล อกปั่นปนซาบซ่านฟุ้งพล่านหทัย ทิวเทือกเขาบรรทัดช่างมัดห้วง สุดแสนห่วงกานดาจะหาไหน หวิวลมผ่านโศกเศร้าเคล้าสู่ใน ดุจดวงใจละล่องท่องเมฆินทร์ มองคอนน้อยคอยรักปักใจซ่าน เคยขับขานว่างเปล่าใจเฝ้าถวิล บินหลาเอ๋ยฝันเจ้าเฝ้าหวั่นจินต์ แสนจะสิ้นหนทางร้างลิดรอน บินกู่ร้องก้องเรียกซ่านสุดเสียง ปราศสำเนียงค้นหาฝ่าสิงขร จวนจะค่ำแล้วรอหนอบังอร สุรีย์ย้อนแสงส่องสาดผ่องนภา ทะยานสู่ท้องฟ้าสายตาส่อง เหม่อค้นมองขมิ้นน้อยละห้อยหา ป่านฉะนี้ไยลับไม่กลับมา ยอดเสน่หาจวนครึ้มซึมหัวใจ ถลาลงค้นหาฝ่าพุ่มไพรสณฑ์ ห้วงดวงกมลโหยหาน้ำตาไหล ขมิ้นเอ๋ยเจ้าอยู่ไหนไยหนีไกล หรือลืมไพรบินหลาทิ้งคาคอน ต่อไปนี้ใครเล่าเฝ้าคุยด้วย ปรึกษาช่วยหมดสิ้นจินต์สังหรณ์ เหลือเพียงคอนว่างเปล่าเฝ้าอาวรณ์ ห้วงสะท้อนรินหลั่งพรั่งน้ำตา วิเวกแว่วสำเนียงเสียงเค้าแมว คางค้าวแผ่วโฉบฉวัดจัดมุ่งหา เขาเริงร่าเบิกบานซ่านไพรพนา โอ้บินหลาหงอยเหงาเฝ้าเคียงคอน. *** แก้วประเสริฐ. ***
ฟุ้งซ่านรัญจวน ยามป่วยไข้ปั่นป่วนให้หวนคิด สิ่งวิจิตรสะสมบ่มหรรษา ท่องเที่ยวไปป่าเขาลำเนาพนา เพื่อทัศนาแมกไม้พฤกษ์ไพรวัลย์ เดินโดดเดี่ยวคนเดียวเปลี่ยวใจเหงา ทิ้งหมู่เหล่าหนีเสียงเลี่ยงเสกสรร เลาะลดเลี้ยวผ่านทางขวางกีดกัน แว่วเสียงนั้นซ่านซึ้งติดตรึงหทัย ผ่านมวลไผ่ขับขานสานเสนาะ แสนไพเราะลมพลิ้วละลิ่วไสว อ้อมหนทางขรุขระผละพุ่มไพร อวลอบไว้หอมกรุ่นละมุนบาน ซ่านสิ่งซึ้งสำเนียงแว่วเคียงแผ่ว เวิ้งว้างแนววนเวียนเพียรใฝ่สาน หินหลากสีน้อยใหญ่ให้ตระการ จิตใจพล่านเลาะเลี้ยวเที่ยวใฝ่ปอง เดินเอื่อยเฉื่อยค้นหาฝ่าโขดหิน เลาะผายินสิ่งพลิ้วละลิ่วสนอง พบสายธารน้ำไหลให้คะนอง ใจผุดผ่องสำราญเบิกบานฤทัย เจอแล้วหนอสิ่งหวังตั้งใจมุ่ง หมายใฝ่ผดุงวิเวกเฉกสดใส ณ ท่ามกลางหินผาพฤกษาไพร เสียงสั่นไหวสดับซึ้งตรึงห้วงจินต์ นั่งลงตรงโขดหินถิ่นแมกไม้ มองน้ำไหลกระฉอกกระแสสินธุ์ บ้างลดเลี้ยวทบหินละอองริน เลาะเลี้ยวถิ่นพฤกษาพนาครอง ก่อกำเนิดแวววับขับแสงส่อง ที่ลอดช่องแมกไม้พลิ้วไหวสนอง เกิดเป็นรุ้งพวยพุ่งสลับละออง ช่างผุดผ่องวิไลคล้ายแมนสรวง อดคำนึงหญิงหนึ่งพึงแสนรัก สื่อใจรักกันได้คล้ายใจหวง มีแต่เพียงคารมบ่มใยยวง จนเกิดบ่วงฝังลึกจนตรึกซม หากมาดแม้นเคียงคู่สู่สถานนี้ คงจะมีความสุขคลุกเสกสม ต่างบรรเลงเพลงกานท์อภิรมย์ รื่นเริงรมย์ต่อสถานวิมานแมน โอ้อกเอ๋ยเดียวดายในไพรพฤกษ์ สายธารผนึกโรยล่วงมิหวงแหน ดุจดังเขาทิ้งเราเฝ้าต่างแดน ให้โลดแล่นเดียวดายในโลกา. *** แก้วประเสริฐ. ***
นางฟ้าจำแลง ประกายส่องรองเรืองบรรเจิดผ่อง ดุจละอองเมฆาคราพลิ้วไสว ขาวพิสุทธิ์เรืองรองผ่องอำไพ ตระการไว้ในห้วงสรวงแดนดิน ชมพูพลิ้วอาภรณ์ออดอ้อนไหว เฉิดไฉไลแนบเนื้อยามเอื้อถวิล ดั่งบาศคล้องคนึงหาเป็นอาจินต์ ยามยุพินเริงร่ายพรรณรายกาย แสงรังสีหลากหลายขจายขยับ พลิ้วประดับแวววับรับเรือนฉาย องค์เอวอ่อนช้อยร่างระหว่างกราย งามพริ้มพรายภิรมย์ชมเมืองแมน ปานประหนึ่งอัปสรจรจากฟ้า แฝงกายาร่วมร่ายจับใจแสน สู่ทำนองคล้องซึ้งตรึงผ่านแดน ทั้งสองแขนพลิ้วไสวคล้ายเมฆา เสียงระนาดเอกหวานซึ้งตรึงจิต ขลุ่ยรับสนิทฆ้องวงประโทนหา เข้าขานรับฉิ่งกรับล้วนนำมา ซออู้พาด้วงสายกรีดกรายพราว ระนาดทุ้มลุ่มลึกผ่านเสียงนุ่ม เสียงปี่คลุมรับกับจระเข้สาว ขิมบรรเลงเพลงไว้กับเรื่องราว กลองวงสกาวผ่านฟ้ายามราตรี อัปสรจำแลงแฝงล่วงหน้าเด่น เปรียบเดือนเน้นดาราล้อมราศี ช่างวาบหวามซ่านซึ้งตรึงห้วงฤดี ดุจอัญมณีพลิกสลับแวววับพราย ไร้วาสนาหมายชมภิรมย์ชื่น ยากจะคืนวันกลับนับใจหาย ได้เฝ้ามองภาพไว้แสนเสียดาย เพียงบรรยายให้ฟังดั่งลอยลม. *** แก้วประเสริฐ. ***
ดุจดังไร้แผ่นดิน ขอลาแล้วแก้วตาอนิจจาเจ้า ต้องจากเรือนหนีเหย้าเฝ้าเสน่หา พรากสถานรักเงาไม้ร่มชายคา หลั่งน้ำตาแผ่นดินถิ่นจากจร เหลือแต่เพียงไออุ่นละมุนซึ้ง ที่ตราตรึงฝากไว้หทัยถอน สลักลึกตรึงไว้ให้อาวรณ์ สุดสะท้อนภิรมย์ห่มดวงมาลย์ จากแม่พระธรณีหนีพรากไกล แสนอาลัยแผ่นดินถิ่นสถาน ทิ้งริ้วรอยฝากไว้คล้ายทรมาน ต้องซมซานซุกซ่อนถอนฤทัย สิ้นบุญและบารมีที่เคยสร้าง ต้องรกร้างไร้สิ้นถิ่นอาศัย มีเพียงน้ำกับฟ้ามาล้อมใจ สิ้นวิไลสิ่งซึ้งซ่านตรึงตา หวังทดแทนแผ่นดินถิ่นกำเนิด ให้บรรเจิดแนวสวัสดิ์พิพัฒน์หา มิอาจก้าวล่วงพ้นคนมายา สั่นผวาผันผวนป่วนสิ่งครอง ดุจราชสีห์ทิ้งทุ่งพรากแนวไพร ซมซานไกลแผ่นดินถิ่นเคยสนอง ร่อนเร่ไปไร้ฐานอันหมายครอง สิ้นเรืองรองหลับใหลไม่อาจคืน จะมีน้ำกลับฟ้าเป็นเพื่อนคนึง เพื่อนเคยซึ้งหนีจากพรากสะอื้น โดดเดี่ยวรอนลิดร้างห่างยั่งยืน จนต้องฝืนทนไว้คล้ายเดียวดาย เมื่ออยู่นี้แสนห่วงหาอาลัย โอ้จากไกลดวงใจให้แสนหาย กลิ่นไอหอมฟุ้งยังคลุ้งกำจาย ซุกซ่อนกายดุจดังไร้แผ่นดิน. *** แก้วประเสริฐ. ***