4 กรกฎาคม 2553 14:44 น.
แก้วประเสริฐ
สุดรำพึง
๐งามลออหยาดเยิ้ม อุษณีษ์
สวยปลั่งเปรียบอัญมณี เฉิดฟ้า
พรายพริ้งพร่างรัศมี ระยับ วับเอย
วงพักตร์อร่ามเจิดจ้า เมื่อยิ้มเย้ยสวรรค์ฯ
๐ผิวผ่องพรรณสุดล้ำ รำพึง นางเฮย
ร่างร่ายรำซ่านตลึง ป่วนห้วง
เย้ายวนกลิ่นหอมตรึง สรรสู่ ฤดีนา
ใจดั่งกระชากล้วง มอบให้แด่นางฯ
๐พึงเสนาะไพเราะพริ้ง ดนตรี
ทรวงซ่านหวานฤดี ซาบซึ้ง
แวววับจับเทวี รำร่าย งามเอย
แสนซ่านจากก้นบึ้ง สู่เจ้าหวังสนองฯ
๐ดวงเนตรช่างหยาดเยิ้ม หทัย จริงแฮ
เริงร่ายภูษาไสว ร่างพลิ้ว
อ่อนช้อยผ่านวิไล ช่วงท่า งามแม่
แสงแห่งสีเป็นริ้ว ส่งให้กายอนงค์ฯ
๐ฉิ่งสลับระนาดซึ้ง กังวาน
ขลุ่ยปี่ขยับรับผสาน เสนาะพริ้ง
กลองฆ้องส่งชำนาญ สรรก่อ เพลงนอ
ไพเราะจนใจกลิ้ง หล่นให้เสน่ห์นางฯ
๐ยิ่งมองยิ่งซาบซึ้ง ร่ายนาง แม่เอย
พลิ้วผ่านเพลงเอววาง อ่อนช้อย
หมุนตัวกลับตรงกลาง สานต่อ เสนาะแฮ
รับขับขานดอกสร้อย ส่งพลิ้วพลิกสวรรค์ฯ
๐ประดุจอัปสรพลิ้ว ล่องลอย
รำร่ายภิรมย์ชม สุดซึ้ง
หอมหวนกลิ่นดอมดม สานก่อ ผสานแฮ
หากเอ่ยกลัวโกรธขึ้ง ต่อน้องไป่สนองฯ
๐เพลงรำต่างเลิกแล้ว ซ่อนงำ งามแม่
เสียงเสนาะซึ้งยามรำ ซ่อนไว้
มิอาจกล่าวเพียงจำ แนบสู่ นางเฮย
หมดจดจนคลั่งไคล้ ใส่ห้วงดวงถวิลฯ
๐ยามนางมาเลิกร้าง ม่านจร ลับแฮ
อกพี่ยากถอดถอน เสน่ห์แล้ว
เหม่อมองสิ่งลิดรอน หวังก่อ เกิดนา
ล้วนผ่านเริงรำแพร้ว สุดสิ้นงามผองฯ
๐นึกถึงนางหนึ่งไว้ ในใจ
ราชิกาวิไล ม่านฟ้า
สุดแสนจะไฉไล ยามก่อ การณ์แฮ
ล้ำเลิศในแผ่นหล้า ยากแล้วเปรียบสนอง:-
* แก้วประเสริฐ. *
1 กรกฎาคม 2553 12:29 น.
แก้วประเสริฐ
หลงสิเน่หา
แม้ฉันบอกรักเธอ หลงพร่ำเพ้อจนคลั่งไคล้
เห็นพักตร์ช่างวิไล ดุจดาวเดือนเยือนท้องนภา
วันนี้มิมีแล้ว สิ่งผ่องแผ้วสิเน่หา
เหลือเพียงดวงดารา อกครวญคร่ำพร่ำราตรี
ความสุขที่เคยโสต แสนรุ่งโรจน์ขับนวลฉวี
เปล่งปลั่งแวววับมณี สูญสิ้นลับที่พร่างพราย
โอ้รักช่างทรมาน ยากประสานลับเลือนหาย
เงาหลงประทับกาย ปล่อยฉันไว้ให้คร่ำครวญ
นี่หรือคือสิ่งพร่ำ อ้อนน้ำคำสร้างกำสรวล
เก่าใหม่ใยเรรวน เหมือนพลิกฟ้าผ่าแผ่นดิน
เบื้องหลังครั้งประจักษ์ อดสูนักมาหักสิ้น
เย้าหยอกเป็นอาจินต์ ร่าเริงผ่านสำราญรมย์
แหงนมองค่ำเดือนมืด โอ้จืดชืดหัวใจขม
สูญสิ้นดุจใยปม มิอาจกลับนับเวลา
แสงดาวพราวระยับ ยังถูกขับด้วยเมฆา
นี่นะหรือเสน่หา คล้ายตัวเราเฝ้าหมองใจ
บทเรียนในครานี้ ช้ำฤดียิ่งยากไสว
ขอลาหนีห่างไกล ขอบฟ้ากว้างมิร้างลา
ขอตั้งสัจอธิษฐาน สิ่งเบิกบานแลหรรษา
เบิกรักแล้วหักลา ให้ชอกช้ำย้ำทรมาน.
* แก้วประเสริฐ. *
27 มิถุนายน 2553 15:28 น.
แก้วประเสริฐ
ลานกวีธรรม
ลานกวีธรรมนำน้อมย้อมจิตมนุษย์
ใสบริสุทธิ์มลทินสิ้นทั้งผอง
ด้วยสัจธรรมพุทธะล้ำหมายปอง
ปราศละอองกิเลสเคล้าคลุมใจ
ดุจโพธิ์ทองคลุมครอบรอบเย็นเยือก
ล้วนบอกเลือกสิ่งสว่างทางสดใส
คลายพ้นทุกข์ปลูกฝังกระจ่างใน
สร้างสิ่งไว้ให้มลายสลายมลทิน
เปรียบต้นไม้พฤกษาดารดาษ
กิ่งนั้นพาดใบผลปะปนสิ้น
ถึงเวลาเปลี่ยนไปเป็นอาจินต์
แล้วล่วงรินหลุดพ้นหล่นพสุธา
สิ่งแปรผันเวียนวนระคนเคล้า
เช่นกายเราตบแต่งแห่งหรรษา
เพื่อหยุดยั้งมัวหมองสนองเวลา
คงต้องคว้าผิดหวังยังหมายปอง
อันเกิดแก่เจ็บตายในธรรมชาติ
เป็นบ่วงบาศคล้องไว้ให้สนอง
แต่ยังหลงมัวเมาเข้าครอบครอง
สิ่งเรืองรองในจิตผลิตทำลาย
ต้องวนเวียนเวรกรรมที่ทำสร้าง
ยากจะล้างคืนกลับก็นับสาย
หากมิเลิกวางสิ่งแนบอิงกาย
ทั้งจิตใจหมายมุ่งสู่แสงธรรม
พระพุทธองค์ตรัสไว้ในทางทุกข์
หวังสร้างสุขศาสนาอย่ามาถลำ
ฝากมวลธรรมนำพ้นทางระกำ
ปราศสิ่งช้ำเวียนวนพ้นเกิดตาย
อริยสัจจ์สี่ประการประสานจิต
หมายใจสถิตปฏิบัติขจัดสิ่งสาย
ลานกวีธรรมสู่สร้างวางสิ่งวาย
เพื่อมุ่งหมายมั่นคงตรงนิพพาน.
* แก้วประเสริฐ. *
18 มิถุนายน 2553 15:40 น.
แก้วประเสริฐ
ธรรมวิบัติ
ตอนบวชพระพรรษาใฝ่หารู้
หาทางสู่ขจัดสิ่งแอบอิงแฝง
มวลธรรมสู่ใจไว้มิให้แคลง
ลดร้อนแรงตัณหาค้นคว้าทาง
อ่านธรรมวินัยเลิศประเสริฐยิ่ง
ธรรมบทอิงสรรพสิ่งขจัดสิ่งขวาง
ไตรปิฎกเจ็ดคัมภีร์แนววาง
หาสู่สร้างลดละเลิกเบิกหทัย
ตลอดคำสอนครูอาจารย์สรรเลิศ
เป็นบ่อเกิดกำหนดที่สดใส
เริ่มสมาธิจิตใจฝันใฝ่ไป
มวลสติไซร้มิคลาดปราศมลทิน
เช้าตรู่ตื่นไหว้พระบิณฑบาต
จิตมองลาดพสุธาไม่หาสิน
เพ่งอาหารออกไปอย่าใฝ่กิน
ให้ปลายลิ้นหมดรสปรากฏจิต
ตกบ่ายคล้อยเรียนธรรมนวกะภูมิ
เพื่อส่องสุมปัญญาเข้ามาสถิต
ที่บัญญัติวินัยใฝ่ใจคิด
เข้าประดิษฐ์ห้วงหทัยให้เบิกบาน
ครั้นเย็นลงปลงอาบัติขจัดสิ่งโกรธ
ก้าวเข้าโบสถ์ไหว้พระละประสาน
เป็นสมาธิด้วยเสียงเผดียงกาล
สืบสันดานคุณธรรมย้อมนำใจ
พอเสร็จสรรพกราบพระใฝ่ละสิ่ง
ที่แอบอิงซ่อนเร้นบ่วงเน้นไสว
ฝึกสมาธิรวมจิตพิชิตชัย
ใจรวมไว้โมกขธรรมย้อมนำเรา
ออกจากโบสถ์เดินหน้าเข้าป่าช้า
แผ่เมตตาสรรพสัตว์ขจัดสิ่งเขลา
เดินทางกลับกุฏิด้วยสติเบา
พิจารณาเอารอบข้างสร้างกายตน
ตลอดเวลาผ่านมาน่าพิศวง
เกือบทุกองค์แก่พรรษาพาสับสน
บ้างชวนเราหลีกธรรมนำวกวน
หลีกเลี่ยงพ้นหลบธรรมนำอ้างอิง
สร้างเกิดก่ออาบัติวิรัชยิ่ง
ชอบแอบอิงไม่ผิดธรรมสู่สิ่ง
นำขิงดองขบเคี้ยวลดเลี้ยวจริง
คือยายิ่งหลบอ้างหนีทางธรรม.
* แก้วประเสริฐ. *
15 มิถุนายน 2553 15:24 น.
แก้วประเสริฐ
รัตติกาล
ณ ราตรีหนึ่งพึงพบสบอัปสร
เอวองค์อรพิลาสล้ำเฉิดฉาย
สโมสรนารีพฤกษากราย
มณีพรายจำรัสพิพัฒน์อนงค์
ระบำเริงบันเทิงดนตรีซ้อง
ระนาดก้องเป็นเอกเฉกประสงค์
ขลุ่ยปีกลองฆ้องซ่านสราญจำนง
เยื้องย่างองค์เริงเร้าเคล้าอรชร
นัยน์ตาจ้องเหลิงรมย์ภิรมย์สวาสดิ์
ดุจภาพวาดฉากฟ้าดาราสลอน
สายลมพลิ้วก้านกิ่งพฤกษาจร
เสนาะซ้อนคลอรับประทับใจ
ม่านหมอกเมฆเคลียร่างกลางลานพฤกษ์
วาบหวามตรึกพลิกผวนล้วนชวนไสว
แสงนวลแขแผ่พลิ้วละลิ่วไกว
ภูษาไล้นวลอนงค์หลงหวั่นหวิว
แต่ละองค์ประทุมมาศเด่นเร้า
เอวองค์เย้าประดิษฐ์จนจิตสยิว
สานเสนาะไพเราะคว้างวางปลิว
นางโลดลิ่วพลิ้วดนตรีคลอวิไล
รัตติกาลผ่านสำเนียงเผดียงซ่าน
วิเวกหวานพฤกษาคลอสู่ไสว
เปรียบวิมานชั้นฟ้ามาเกรียงไกร
พสุธาไล้เริงลานซ่านพนาพง
โอ้อกเอ๋ยสวาทนี้ยากพลีแล้ว
หวามเจื่อนแจ้วเริงรำย้ำประสงค์
ยิ่งเพ่งพิศป่วนจิตยวนนวลอนงค์
แต่ละองค์หาหญิงใดเปรียบปาน
วาสนามาสบความล้ำเลิศ
ช่างงามเพริศพริ้มพรายไล้สมาน
สอดคล้องเคล้าเนารับประดับกาล
ดนตรีซ่านพลิ้วนางยากร้างจร.
* แก้วประเสริฐ. *