8 มีนาคม 2554 13:28 น.
แก้วประเสริฐ
ม่านฟ้าหลังฝน
มองฟากฟ้าพลิกหวนล้วนสะท้าน
ความฟุ้งซ่านผ่านไว้ไร้สดใส
ดั่งเมฆหมอกละล่องท้องฟ้าไป
สิ้นเยื่อใยพรมพร่างกลางฝนจำ
หลังเมฆดำทะมึนแลห่างร้าง
ผ่านเคยว้างสดชื่นยากฝืนขำ
มีสิ่งป่วนเหหันผ่านพลิกนำ
ดุจปลายรำปลิวล่องท้องฟ้าไกล
รุ้งสองโค้งเคียงคู่ดูประสาน
หนึ่งร้าวรานพราวแสงมิแฝงไสว
คงว่างเปล่ายืนจ้องมองแกว่งไกว
ล้วนขวักไขว่สลับซ้อนซ่อนอ่อนแรง
ความเยือกเย็นแผ่ซ่านผ่านห้วงจิต
ล้วนลิขิตแทรกซึมแอบยืมแฝง
ผ่านลุ่มลึกจากอิงพลิกฝากแจง
สู่เป็นแห่งหม่นเศร้ายากเคล้าใจ
หันเหหวนสร้างสั่นป่วนปั่นไว้
หลายหลากไร้ผ่านคว้าหาสดใส
มวลทุกสิ่งคร่ำครวญล้วนจากใน
แทรกเป็นใยผ่านคลุ้งมุ่งยึดครอง
ล้วนผ่านมาก่อนฟ้าพามืดครึ้ม
แสนปลาบปลื้มภิรมย์บ่มสนอง
เปรียบคล้ายฝันสู่ใจจับได้ปอง
ผ่านเรืองรองแวววับมิกลับคืน
ม่านฝนพร่ำย้ำไว้คล้ายสดชื่น
ความระรื่นเหลียวแลแผ่สะอื้น
ปราศทุกสิ่งม่านเมฆเฉกยั่งยืน
ล้วนทนฝืนคอยวันฝันสีทอง
สิ้นสายน้ำหลั่งไว้กลับไร้สว่าง
เยือกเย็นคว้างหันแลแผ่เป็นสอง
ปราศหัวใจแม้ฝนพร่ำย้ำปอง
รุ้งเรืองรองเลือนหายกลายครึ้มดำ.
แก้วประเสริฐ.
6 มีนาคม 2554 21:16 น.
แก้วประเสริฐ
๐ อิทธิ์ฤทธิ์หนุมาน ๐
๐.................................บัดนั้น...........ลูกพระพายฤทธิ์ไกรเรืองศรี
เสร็จศึกอสูรร้ายสุดเปรมปรีดิ์..........ขนกุณฑีลุกสั่นรื่นรม
แลสายเดี่ยวสาวน้อยทาบใจ..............ห้วงภายในไหวหวั่นเสพย์สม
หวิวซึ้งให้อยากได้เชยชม..................ยอกรบ่มร่ายมนต์ดลนาง
๐...โอมเจ้าเอ๋ยพระเวทย์มนต์กู.........จงสิงสู่ห้วงใจทุกข้าง
ให้นางหลงใหลไม่จืดจาง...................ห้วงรักวางจิตใจร้อนไว้
นางสายเดี่ยวถูกต้องมนต์ดลมา.........ร้อนภายในจนสุดผลักไส
เข้าสวมกอดวายุทันใด.......................ผ้าผ่อนไร้อาภรณ์หลุดกาย
๐.หนุมานเต้นเร่าเคล้าสวมกอด..จูบอ้อนออดพลิกแพลงโฉมฉาย
ปทุมมาศพุ่มพวงแทบละลาย............นางสิ้นอายเลิศล้ำเอวองค์
โหนกหนั่นนุ่มผากนิ่มเอกอุ...............มุทะลุคลึงเคล้าประสงค์
ดอมดมกลิ่นมิอาจลืมลง....................รีบนำส่งนางสั่นลั่นวอน
๐................เมื่อเอยเมื่อนั้น...............ลูกพระอาทิตย์ให้ทอดถอน
พระสี่กรตรัสหาร้าวรอน..................มิกราบวอนเผ่นจรออกมา
ให้กลัดกลุ้มอุราลุ่มลึก......................รำพึงนึกหลานรักยากหา
ลุกจากพระโรงตามหลานยา............หรือจะมาหลงเสน่ห์เล่ห์ใด
๐...พอพบหลานอลวนผลักถลำ.......สาวคะมำตามฤทธิ์ผลักไส
หนุมานเต้นเร่านางเร้าใจ.................เมื่อแลไปน้าชายให้กังวล
จึ่งอ้อนออดวิ่งเข้าสวมกอด.............น้าจ๋ายอดเยี่ยมหรือไม่สน
สาวสายเดี่ยวอวบอัดเหลือทน........ดังหมูปนพริกไทยเผ็ดนาน
๐...ครั้นลูกพระอาทิตย์ฟังไว้.........เหลือบแลไปสาวสั่นเรียกขาน
ชิชะดูเจ้าซิเบิกบาน........................งามตระการมาจับสายเอ็น
ลูกพระพายครั้นเห็นเปรมปริดิ์......ด้วยนารีนวดเส้นยากเข็น
สงสัยนางมิต้องประเด็น................เหลือบมองเห็นน้าสั่นกายี...
๐...............บัดเอ๋ยบัดนั้น...............วายุภักดิ์ฤทธิ์ไกรเรืองศรี
มองน้าชายกอดสาวได้ที................ขุนกระบี่เหาะผ่านบัญชร
ครั้นถึงขอเฝ้าองค์นารายณ์............พระวุ่นวายตีด้วยคันศร
ขุนกระบี่ยากหนีจากจร..................พระสี่กรรับสั่งทันใด
๐...เจ้าจงไปทูลองค์สีดา.................แม่กัลยานวลอนงค์สดใส
มาขัดสีฉวีวรรณนอกใน.................ป่วนดวงใจข้านั้นสุดทน
ด้วยเสร็จศึกยักษ์นี้แสนไกล............สีดาไซร้กลับไม่มาสน
หลงเต้นรำกับสาวปะปน.................จนเป็นผลหดเหี่ยวสิ้นรัก
๐...หนุมานยิ้มเมื่อฟังแก้มตุ่ย.......ทรงเป่าขลุ่ยน้อยไปไม่หัน
นุ่งผ้าขาวม้าเหม็นทั้งวัน...............ไม่เหหันนางนั้นคร่ำครวญ
เต้นเร่าทดลองมาดอมดม...............แทบเป็นลมฉุนกึกกลั้นสรวล
หลายวันไม่อาบน้ำเนื้อนวล...........เหม็นอบอวลยากใครใคร่ชม
๐...........เมื่อเอยเมื่อนั้น.................พระภูมินทร์สงสัยยากข่ม
เห็นลิงขาวทีท่าเป็นลม..................สงสัยดมกายหอมละมุน
ทรงยิ่งพิศหนุมานที่เฝ้า.................กลิ่นอวลเคล้าผิวกายหอมฉุน
เห็นทหารเอกดมดอมละมุน..........คงเป็นบุญได้พรอดนารี
๐...ทรงหันซ้ายแลขวาระริก.........ดุจใครจิกท้องน้อยเจ็บปี๋
กลิ่นเราคล้ายบุปผามาลี.................สามภพนี้ใครเทียบเปรียบนา
ลิงตาหล๊อกแล๊คแล้วทูลเอ่ย...........แม่ทรามเชยต้องกลิ่นเสน่หา
ย่อมปลาบปลื้มพระองค์นำมา......กลิ่นกายาแม่นางคลั่งใจ
๐...องค์พระรามทรงฟังมิหมอง.......ฟุ้งละอองโปรยรินกลิ่นไล้
วงพระพักตร์ล้วนงามอำไพ..............ด้วยโชยไอสะท้านวังเวง
ทรงยกพระหัตถ์ขึ้นดอมดม.............ต้องโอตถิ์ชมดุจบุปผาเผง
กล่าวมธุรสกังวานผ่านเพลง.............เจ้าชมเก่งดมปากข้าที...
๐...หนุมานตีลังกาสามรอบ..............แทบตกขอบตาเหลือกหมดสี
หงายหลังควานจะหาพัดวี..............พระทรงศรีเอ่ยย้ำตั้งนาน
เวรเอ๋ยเวรของกูซะแล้ว..............เหม็นโชยแผ่วยากกล่าวขับขาน
กุนฑีขนตั้งชันเนิ่นนาน..................ทูลวันวานเป็นหวัดมากโลม
๐...ขอพระองค์ทรงใช้นิลพัฒน์.........เขาเก่งจัดผ่านมาหักโหม
พอสิ้นคำเสียงดังโครมโครม..........หนุมานโน้มเบี่ยงถีบจากลิงดำ
นิลพัฒน์กราบองค์พระสี่กร..............พระแม่อรชรชอบสิ่งขำ
ให้หนุมานนั่นแหละตัวนำ..................เคยถวายรำแก้ผ้าน่าลอง
๐...พระนารายณ์ได้ฟังยั้งพิโรธ..........ด้วยไม่โกรธเจ้าลิงทั้งสอง
นิลพัฒน์เจ้าดมจักแร้ลอง...................พระเนตรจ้องหนุมานยิ้มไป
หนุมานมองหัวไวไม่หลบ..................ร่ายมนต์จบแยกร่างกันได้
จำแลงเต่าซ้ายแสร้งชื่นใจ..................นิลพัฒน์ใช้จมูกดมล้มครืน
๐...ขุนกระบี่ฤทธืไกรใจหาญ.........ล้วนชำนาญเล่ห์กลสะอื้น
ยอกรทูลนารายณ์กลับคืน.............กลัวลิงฟื้นแสร้งมาพาจร
นำนิลพัฒน์จากพระโรงพลัน........ก็เหลือบหันเห็นหมู่สิงขร
เหาะทะยานผ่านฟ้าฤทธิ์กร...........มิอาวรณ์กลับสู่พระภูมี
๐...ครั้นถึงวางไว้ใต้ขุนเขา.........แต่ไม่เฝ้าเผ่นหามารศรี
เห็นน้าชายไล่ปล้ำนารี................สายเดี่ยวนี้สิ้นผ้าอาภรณ์
อกหนออกกูอดสูนัก....................ที่นำชักอิสตรีอัปสร
มิอาจคิดหทัยให้จร......................ห่างสิงขรปาตี้มีงาน
๐...จีบได้แล้วรีบหนีนิเวศน์.....ดั้นสู่เขตป่าใหญ่ไพศาล
เนรมิตเรียกนางหานาน..........จูบล้วงถันผ่านสุขซ่าส์ใจ
พอฟ้าสางตาเหลืองซีดย้ำ........ดูชอกช้ำแต่สุขสดใส
ถึงเคหาเจ็บปวดกระไร............กู่เจี๊ยกไปใยหนองพุ่งปี๋
๐............เมื่อเอยเมื่อนั้น..........ลูกพระอาทิตย์ฤทธิ์เรืองศรี
เสร็จศึกสายเดี่ยวเสียวชีวี.......ตัวสั่นริกรี้ปวดซ่านทวารมา
เหลือวซ้ายแลขวาเพื่อหาหลาน....สุดทรมานเจ็บปวดรุมหา
แลเห็นหนุมานเหาะผ่านเมฆา.....กู่เจี๊ยกหาเรียกหลานเข้ามา
๐...เห็นน้าชายกู่ก้องร้องเรียก......ร้องเจี๊ยกเจี๊ยกทยานมาหา
มือซ้ายกุมร่างตีลังกา...................รีบเข้ามาเอ่ยถามทันใด
ทำไมน้าท่านมิสีแดง....................หรือโดนแรงนารีผลักไส
สีกายร่างจึงเปลี่ยนผิดไป.............หรือสายใยนุ่มนวลลุ่มลึก
๐...ฝ่ายสุครีพได้ฟังหลานกล่าว....ความปวดร้าวรุ่มร้อนเต้นนึก
ดู๋ดูสายเดี่ยวฝากเป็นปึก................มันเต้นกึกกึกสะท้านเอา
หนุมานได้ฟังหน้าเหยเก...............มิหันเหบอกกล่าวเรื่องเขา
ทั้งน้าหลานร้องไห้เบาเบา.............พาเข้าเฝ้าองค์พระภูมี
๐...................เมื่อเอยเมื่อนั้น.........องค์พระรามฤทธิไกรเรืองศรี
ทอดพระเนตรลิงกุมของดี...........พระทรงศรีทรงสรวลลำพอง
พลางล้วงจักแร้ปั้นขี้ไคล..............ปั้นเม็ดได้มอบลิงทั้งสอง
มึงจงกินเข้าจงลอง.......................ยาทั้งสองหายปวดทันใด
๐............เหม็นเอยเหม็นแท้.........จักแร้โชยกลิ่นหอมสดใส
ลิงทั้งสองรีบกินเข้าไป.................หนองก็ไหลหายปวดทันที
นิลพัฒน์ได้เห็นหัวร่อก๊าก...........ยั่วเย้าฝากหอมกลิ่นมารศรี
แน๊ะแน๊ะนางเข้ามาพอดี..............ขุนกระบี่ตาเหลือกเลือกจร.
๐ แก้วประเสริฐ. ๐
5 มีนาคม 2554 15:51 น.
แก้วประเสริฐ
รุ่งฤดีศรีสมร
ยามฟ้าสางสายหมอกระลอกไสว
ดุจคลั่งไคล้แพรวพราววับวาบไหว
เย็นยะเยือกทอร่างสร้างแกว่งไกว
คลื่นขวักไขว่ตะวันทาบอาบนภา
สุดแสนชื่นพบร่างพราวพร่างฟ้า
ดั่งจันทราอ่อนช้อยคล้ายคอยหา
สู่ม่านหมอกลอยล่องผ่านท้องนภา
เสมือนบุปผาเบ่งบานซ่านใจลอย
เหนือขุนเขาเมฆลอยคล้อยแลเห็น
ลมพัดเย็นเคลียร่างนางละห้อย
เก็จน้ำค้างแวววาวเฝ้าเศร้าคอย
ร่างอ่อนช้อยเหลียวแลแม้สายตา
ล้วนทุกสิ่งเวิ้งว้างดุจดังหมอก
หรือถูกหลอกจากชายที่ใฝ่หา
แม้บุปผาซ่านกลิ่นโรยรินมา
มินำพาเฝ้าเพ้อละเมอครวญ
โอ้ตะวันอรุณสางสร้างไพศาล
มวลตระการพฤกษาพาร่ำสรวล
ดูแกว่งใบเก็จแก้วหลุดแววนวล
ผ่านแปรปรวนสดชื่นระรื่นใจ
ปวงบุปผาคลุกเคล้าเย้าเล่นหมอก
ต่างก็หยอกบานเด่นเน้นสดใส
สู่คนเที่ยวชมพยอมย่อมคว้าไป
แต่เธอไร้เสน่หาล้าเหนื่อยแรง
ฉันเฝ้ามองมิได้หมายเคียงเคล้า
เพียงเหลือบเฝ้าให้ฉงนปนสิ่งแฝง
ทรวดทรงงามนวลนางดั่งจำแลง
เสมือนนางแปลงอัปสรร่อนฟ้ามา
หรือหนีจากแมนสรวงล่วงสู่หล้า
คอยเวลาเทพบุตรรุดเสน่หา
แสนอ่อนช้อยงดงามเหนือกานดา
ม่านนัยน์ตายามจ้องสาดส่องไกล
เธอสวยล้ำเปรียบคล้ายบุปผาชาติ
สร้างผุดผาดพราวฤดีแม่ศรีไสว
ดั่งหยาดค้างแวววับนับแกว่งไกว
แววขวักไขว่แสงสีเปรียบมณีปอง
หากมาดแม้นชายใดได้พบเห็น
ยากหนีเร้นหลบห่างสร้างสิ่งสนอง
ดุจสาวสวยไทยกลอนอ่อนไหวครอง
ชายคลายหมองเพียรเร้าแสนเอาใจ.
แก้วประเสริฐ.
5 มีนาคม 2554 13:49 น.
แก้วประเสริฐ
ก๊อกๆๆแก้วประเสริฐอยู่ไหม
รำพึงหวนนั่งคิดยามจิตซึ้ง
จวบตะลึงขณะเพ้อละเมอฝัน
เสียงเรียกร้องดังแว่วแผ่วให้กัน
ขณะรำพันคำนึงถึงเหตุการณ์
วันเวลาผ่านไปดุจไร้สิ่ง
ที่แอบอิงวกวนจนประสาน
ผ่านแล้วเวียนสู่ไว้ได้ทำงาน
ดุจวันวานย้อนสิ่งอิงแนบกัน
เพื่อนพี่น้องมีใจใคร่เรียกร้อง
จนแซ่ซ้องระงมบ่มใจฉัน
มานั่งคิดย้อนหวนสิ่งผูกพัน
แต่สิ่งนั้นแรงใจให้ย้อนทำ
จวบเวลาผ่านไปใจฟุ้งซ่าน
หวนถึงกาลย้อนชวนมิล้วนขำ
เขารักเราเสียสละเรียกหานำ
ฉันใจดำหรือเปล่าเฝ้าทบทวน
หวนตลบสิ่งเก่ามาเฝ้าคิด
โถใจจิตของเราเฝ้าปั่นป่วน
ทุกสิ่งนั้นภายในคล้ายเรรวน
ยอกย้อนหวนสิ่งเก่าจึงเข้าใจ
อันร้อยกรองฝากไว้ได้สองแง่
เป็นมุมแผ่ซ้อนเหลี่ยมเปี่ยมสดใส
เราแก่เฒ่าคิดมากหรืออย่างไร
จึงหนีไปไม่ตรองของเจตนา
จนก๊อกก๊อกกังสดาลผ่านฝากคิด
เปี่ยมสายจิตรักแท้ยากแลหา
แม้นมีงานให้ทำต้องอำลา
หวนกลับมาสู่ถิ่นแผ่นดินเดิม
อีกโทรศัพท์ทางเมล์เอ็มเอสเอ็น
ล้วนประเด็นทิ่มแทงแฝงสิ่งเสริม
มานั่งคิดนอนครวญล้วนเหิมเกริม
หัวใจเริ่มแปรเปลี่ยนจึงเวียนคืน.
แก้วประเสริฐ.
4 มีนาคม 2554 02:08 น.
แก้วประเสริฐ
คิดกู่จ้องมอง
คิดเคล้าคนคลับคล้าย...คู่ครอง
กู่กลับก้องกลิ้งกอง..........เกิดกริ้ว
จ้องเจ้าจิตจับจอง.............จ้าเจิด
มองแม่มาดเหมือนมิ้ว......มาดแม้นมุ่งเมินฯ
มองเมียงมิมาดแม้น........มุ่งมา
จ้องจับจิตเจรจา.................เจิดจ้า
กู่กับเกิดเกี่ยงกา..................ก่อเกิด
คิดคลับคล้ายคลอคล้า.......คู่ค้างคงเคียงฯ
บ้าแล้วเราจรดเคล้า.........อักษรา
แบบเล่นตัวเดียวมา............สลับไว้
เพื่อสนานสนุกจัดหา.........สิ่งแปลก
โลดแล่นบ่งซ่านไซร้.........ไห่รู้หาเองฯ
แปลหรือข้าบ่ฮู้...............สานสุข
เปรียบดั่งพึงหมายปลุก.....คำไว้
อย่าโกรธเกลียดเราสนุก...มิก่อ ภัยแฮ
หากบ่สานผ่านไซร้...........ด่าได้ยินยอมฯ
นานแล้วเล่นแปลกให้.....ใฝ่ผดุง สนุกนา
ยากเพียงคิดจะจรุง............ฝากไว้
หวังเพียงสิ่งใฝ่ปรุง...........สานต่อ คิดแฮ
คงไม่เกิดขัดไซร้...............สิ่งสร้างคงสนองฯ
หากมาดแม้นก่อแล้ว....ขัดตา
ยอมรับผิดวาสนา...........บ่อ้าง
หากมีด่าแว่วมา..............อภัยเถิด
เพียงคิดจิตเวิ้งว้าง..........ห่างแล้วเนิ่นนาน.
แก้วประเสริฐ.