ในวันที่ท้องฟ้าปลอดโปร่ง ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ก็ดูสว่างตา สวยงาม รวมทั้งดอกไม้ ใบหญ้า ที่พลิ้วล้อลมเล่นกับน้ำค้างยามเช้า ที่พอจะมองให้เห็นของความสดชื่นอยู่ เสียงนกกระจิบ เรียกพวกพ้องมาจิกกินใบพลูด่าง ดัง จิ๊บๆๆ ห่างไม่ไกล มีไก่แจ้ที่ข้างบ้านนำมาเลี้ยงไว้ เดินคุ้ยเขี่ยอาหาร ที่เจ้าของโปรยให้กิน ตื่นแต่เช้า รอคุณคนดีพามารับไปทำบุญ อาบน้ำ แต่งตัว เตรียมเวลาแบบไม่ต้องรีบร้อน "หวัดดีครับ ผมมาถึงแล้วนะคุณ" คนดีโทรมา " อ้าว มาถึงแล้วเหรอค่ะ งั้นรอแปบบหนึ่งค่ะ กำลังเป่าผมอยู่นะ อิ" แก้วฯมองเวลา ยังเหลืออีกตั้งเกือบครึ่งชั่วโมงจะถึงเวลามารับ " ไม่ต้องรีบๆ ตามสบายครับ" คนดีบอกตามสาย ด้วยความเป็นคนค่อนข้างเกรงใจ ปรกติจะต้องชงกาแฟเตรียมไว้ให้ ผลไม้ไว้กินระหว่างทาง แต่คราวนี้ ไม่มีทั้งสองอย่าง มีแต่หัวใจ กับเท้าที่พร้อมจะลุยไปทุกที่ค่ะ (ว่าไปนั่นยัยแบม..) เราออกเดินทาง 9 โมงเช้า เวลาเดิม ไปตามเส้นทางถนนพระราม 2 "คุณหิวหรือยังครับ เลยเวลาคุณต้องทานข้าวเช้าแล้วนะ" เขาหันมาถาม พร้อมรอยยิ้มนิดๆ "ไม่เป็นไรค่ะ รอทานพร้อมคุณมีเดียวก็ได้ ยังไม่ค่อยหิว" (เจ้ากระเพาะ ลำไส้ รีบเขย่าพุงเล็กๆของยัยแบมจนแสบ เหมือนจะบอกว่า "เอาจิ หากไม่หาอะไรใส่กระเพาะเรา เราจะร้องจ๊อกๆ ให้นายอายไปเลย"...555) "ไม่ได้ ต้องกินข้าวก่อน เดี๋ยวคุณปวดท้อง" "โอเคค่ะ ทานอะไรง่ายๆก็แล้วกัน ข้าวแกงข้างทาง หรือ ก๋วยเตี๋ยวก็ได้" แก้วฯบอกไกด์พิเศษไปค่ะ แก้วฯเลือกแวะทานข้างแกงปักษ์ใต้ เพราะชอบ ตรงที่เขามีผักมาพร้อมเสริฟให้ทานด้วย คุณกิ่งสั่ง คั่วกลิ้ง กับผัด ส่วนแก้วฯ สั่งแกงไตปลาแห้งๆ (คือไม่ราดน้ำ เพราะเผ็ดแต่ชอบ..) พร้อมกับผัดตับใส่หอมหัวใหญ่ อร่อยค่ะ แต่เผ็ดอย่าบอกใครเชียว น้ำหู น้ำตาเล็ดแต่เช้า.. หลังจากนั้น ล้อหมุนต่อ คุณกิ่งพาไปแวะ ศาลพันท้ายนรสิงห์ ที่ตำบลพันท้ายนรสิงห์ อำเภอเมือง จังหวัดสทุรสาคร ต่อจากนั้น ไปทำบุญที่วัดบางแคน้อย สวยงามมากๆค่ะ ไปต่อที่ วัดทุ่งเศรษฐี วัดประดู่ และสุดท้าย จบทริปนี้ ที่ พิพิธภัณฑ์เครื่องราชศรัทธาสมัยรัชการที่ 5 พร้อมนี้ เราได้ถ่ายภาพบางส่วนมาฝากทุกคนด้วยค่ะ เริ่มที่ "ศาลพันท้ายนรสิงห์ " อุทยานประวัติศาสตร์พันท้ายนรสิงห์ ตั้งอยู่ตำบลพันท้ายนรสิงห์ ณ บริเวณสถานที่ซึ่งเคยเกิดเหตุการณ์หัวเรือพระที่นั่งของพระเจ้าเสือหัก สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แก่พันท้ายนรสิงห์ ซึ่งเป็นชาวบ้านนรสิงห์ (ปัจจุบันคืออำเภอป่าโมกข์ จังหวัดอ่างทอง) รับราชการเป็นนายท้ายเรือพระที่นั่งเอกชัยของสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 8 (พระเจ้าเสือ) แห่งกรุงศรีอยุธยา ในคราวที่คัดท้ายเรือพระที่นั่งเอกชัย เมื่อเรือพระที่นั่งถึงบริเวณคลองโคกขาม คลองคดเคี้ยวมากเป็นเหตุให้หัวเรือชนกิ่งไม้ใหญ่ริมคลองโคกขาม ทำให้โขนเรือหักตกลงในน้ำ พันท้ายนรสิงห์กราบบังคมทูลพระเจ้าเสือให้ประหารชีวิตตามกฎมณเฑียรบาล พระเจ้าเสือทรงจำฝืนพระทัยตามพระราชกำหนดที่วางไว้จึงมีรับสั่งให้ประหารชีวิตพันท้ายนรสิงห์ และให้ทำศาลขึ้นสูงเพียงตา แล้วนำศีรษะพันท้ายนรสิงห์กับหัวเรือพระที่นั่งเอกชัยที่หักขึ้นพลีกรรมไว้บนศาล เพื่อเป็นอนุสรณ์ที่แสดงถึงความซื่อสัตย์จงรักภักดี ภายในอุทยานเป็นที่ตั้งของศาลพันท้ายนรสิงห์ ซึ่งต่อมากรมศิลปากรได้สร้างศาลขึ้นใหม่แทนหลังเก่าที่พังลงมา ภายในศาลมีรูปปั้นของพันท้ายนรสิงห์ขนาดเท่าคนจริงอยู่ในท่าถือท้ายคัดเรือ เป็นที่นับถือของชาวบ้านเป็นอย่างมาก และบริเวณใกล้เคียงสามารถเยี่ยมชมหอพระ ศาลแม่ศรีนวล (ภรรยาของพันท้ายนรสิงห์) รวมทั้งไม้ตะเคียนซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นหลักประหารเก่า ในบริเวณอุทยานยังมีเส้นทางเดินศึกษาสภาพป่าชายเลนที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้ มีซากเรือโบราณที่ขุดพบบริเวณหมู่ 6 การเดินทาง จากถนนพระราม 2 บริเวณกิโลเมตรที่ 16-17 เข้าซอยข้างวัดพันท้ายไประยะทางประมาณ 9 กิโลเมตร นี่คือภาพหลักประหารค่ะ "วัดบางแคน้อย" วัดบางแคน้อยตั้งอยู่ริมแม่น้ำแม่กลอง คุณหญิงจุ้ย (น้อย) วงศาโรจน์ เป็นผู้สร้างเมือ พ.ศ.2441 เดิมอุโบสถของวัดสร้างบนแพไม้ไผ่ผูกไว้กับต้นโพธิ์ ต่อมาพระอธิการรอด เจ้าอาวาสองค์ที่ 2 ได้สร้างอุโบสถบนพื้นดิน ในปี พ.ศ.2418 ต่อมาอุโบสถหลังเดิมได้ชำรุดทรุดโทรม พระอธิการเขียว เจ้าอาวาสองค์ที่ 6 ได้สร้างอุโบสถขึ้นใหม่ ใรปี พ.ศ.2492 จนกระทั่งปี พ.ศ.2540 อุโบสถหลังเดิมเกิดชำรุดอีก เนื่องจากขาดแคลนวัสดุและคุณภาพเพราะตอนสร้างอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 พระครูสมุทรนันทคุณ (แพร) จึงได้ดำเนินการสร้างอุโบสถหลังใหม่ขึ้น อุโบสถที่สร้างขึ้นใหม่นี้ ภายในจะเป็นไม้สักแกะสลักทั้งหมด อุโบสถหลังนี้มีความงดงามยิ่ง สิ่งที่น่าสนใจ อุโบสถภายในไม้สักแกะสลัก การแกะสลักที่ที่น่าสนใจ และหาดูได้ยาก เนื่องจากต้องใช้งบประมาณ เวลาและฝีมือการแกะสลักที่ปราณีตบรรจง โดยใช้ช่างที่มีความชำนาญ ไม้มะค่าโมงซึ่งใช้เป็นแท่นรองพระประธานมีขนาดใหญ่มาก คือกว้าง 2 เมตรครึ่ง ยาว 3 เมตร หนา 4 นิ้ว ชุกชีพระประธานเป็นไม้แกะสลักในทรงจอมแห พื้นอุโบสถปูด้วยไม้ตะเคียนทอง หนา 2 นิ้ว กว้าง 40-44 นิ้ว ฝาผนังพื้นเป็นไม้แกะสลัก หนา 3 นิ้ว แกะสลักเป็นรูปคน สัตว์ ต้นไม้ และแกะเสริม รวมหนาถึง 6 นิ้ว ฝาผนังด้านตรงข้ามพระประธานเป็นไม้แกะสลักรูปปางชนะมาร ฝาผนังด้านซ้าย ขวา ของพระประธานเป็นไม้แกะสลักรูปพระเจ้าสิบชาติ ฝาผนังด้านหลังพระประธานเป็นไม้แกะสลัก การประสูติ ตรัสรู้ นิพพาน ฝาผนังใต้ธรณีหน้าต่าง 2 ข้าง แกะสลักฝังด้วยไม้โมกมันรูปพระเวสสันดร จั่วด้านหน้าและหลังเป็นไม้แกะสลัก ด้านข้างทั้งสองเป็นคูหาหลงรักปิดทอง คันทวยเป็นไม้ลงรักปิดทอง ภายในโบสถ์ แกะสลักอย่างสวยงามมากค่ะ มีพระบรมสารีริกธาตุ ให้กราบไหว้บูชาด้วยค่ะ บริเวณด้านนอก เป็นเทพสี่ทิศ พร้อมน้ำตกเล็กๆสวยมากๆ เดินทางต่อไป ที่วัดทุ่งเศรษฐี แต่มีภาพให้ชมเพียงภาพเดียวเองค่ะ สถานที่สุดท้ายที่ไปคือ พิพิธภัณฑ์พระราชศรัทธารัชการที่ 5 เราไปจอดรถหน้าห้องน้ำ เห็นดอกพวงชมพูสีขาว สะดุดตามากๆค่ะ ส่วนมากจะเห็นแต่ดอกสีชมพู เลยเก็บภาพมาฝากกัน ด้านหน้าพิพิธภัณฑ์ค่ะ รูปปั้นครูเอื้อ สุนทรสนานค่ะ จำกันได้มั้ยคะ นี่คือใคร ? ปู่โสมเฝ้าทรัพย์ไงคะ ตัวละครที่พวกเราชมกันตั้งแต่เด็กๆค่ะ ภาพนี้ ....พี่มากกกกกขาาาาาาา...อิ สองภาพนี้ จำชื่อไม่ได้ค่ะ วานไกด์มาช่วยตอบแทนแล้วกันค่ะ อย่าลืมเก็บภาพนี้ ไว้นะคะ ในหลวงของพวกเรา จบด้วยภาพสวัสดี จากหนูจุกที่น่ารักค่ะ
กี่วัน กี่เดือน กี่ปี ที่เราสองคน รู้จักกัน หรืออาจจะเป็นกี่ภพ กี่ชาติ ที่เราอาจจะเดินจูงมือกันมาก่อน ฉันไม่เคยนับวันเวลา และไม่ปรารถนาที่จะเอาเวลา เป็นตัวกำหนด ขับเคลื่อนการดำเนินชีวิต ทุกอย่างเป็นไปตามกฏธรรมชาติ เมื่อถึงวันที่ใช่ ก็ลงตัว แต่หากไม่ใช่ นั่นก็หมายความว่า เราทั้งสองก็ต้องดำเนินชีวิต ไปตามวิถีที่เราต้องการ ในวันแห่งความรัก ฉันก็ยังทำกิจกรรมเหมือนทุกๆปี นอนอ่านหนังสืออยู่บ้าน ทำอาหารเมนูที่ชอบ ไม่มีกุหลาบ ไม่มีอะไรพิเศษ .. สิ่งที่ฉันได้รับจากคนดี ฉันแน่ใจว่า เขาให้ฉันมากกว่า ดอกกุหลาบเพียงวันเดียว ในหนึ่งปี ที่มี 365 วัน หรืออาจจะมาก น้อย ไม่เหมือนกัน แต่สิ่งที่เหมือนเดิม คือ ความห่วงใยที่เขามีให้ฉัน มีทุกวัน "คุณ..ตอนนี้อยู่ไหนแล้ว? ลงเรือหรือยัง ? ขึ้นเรือหรือยัง? วันนี้คุยกับแม่หรือยัง? ไม่สบายกินยาหรือยัง? "คุณบอกว่าปวดท้อง อันนี้อย่ากินเลย ไว้หายแล้วค่อยกินนะคนดี" รอหน่อยนะครับ ไว้ว่างจากงานพาไปทำบุญ คุณ ดึกแล้วนะครับ ไปนอนได้แล้ว ในวันที่ฉันติดพันคุยกับ เพื่อนๆจนเลยเวลา เขายังนั่งหน้าจอรอส่งฉันเข้านอน เพื่อบอก คำว่า ราตรีสวัสดีครับคนดี ฝันดีครับ แม้จะรู้ว่า คนดีของฉันมีงานมากมาย เหน็ดเหนื่อยกับงาน แต่ไม่มีวันไหนเลย ที่เขาจะปล่อยให้ฉันรู้สึกโดดเดี่ยว หรือเหงา -365 วัน ที่บอก คิดถึงเสมอ 365 วัน ที่ไม่เคยทำให้เสียใจ 365 วัน ที่มีแต่เสียงหัวเราะ *** 365 วัน ที่เขาให้เกียรติ์ฉัน ด้วยความสุภาพ ไม่เคยทำให้เสียหาย *** เราเก็บอดีตพับลงลิ้นชัก นับตั้งแต่วันแรกที่เราพบกัน เพราะต่างก็รู้ว่า ไม่มีใครสามารถกลับไปแก้ไขอดีตได้ เราเปิดลิ้นชักอันใหม่ขึ้นมา เพื่อเติมเต็มแต่สิ่งที่ดีๆให้กัน ขอบคุณคนดี กับ 365 วัน ทวีคูณ ที่ผ่านมาค่ะ ขอบคุณคำว่า"รัก" ที่คนดีพูดออกมา แม้จะรู้ว่า ดูเขินๆอยู่นะ อิ
ในวันแห่งความรัก ที่หญิงชายหลายคน ต้องการให้คนที่ตนรัก อยู่เคียงข้าง อาจจะมีดอกกุหลาบช่อโตๆ หรือของขวัญพิเศษๆ มอบให้กัน เพื่อแสดงความรัก สำหรับแก้วฯแล้ว วันนี้ หรือวันไหนๆ ก็ไม่ได้แตกต่างกันเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ชอบนะคะ หากจะมีใครสักคน หอบดอกไม้สวยๆมาฝาก อย่างน้อยก็ทำให้เราสดชื่นได้ค่ะ ปีที่ผ่านมา พาน้องๆที่ทำงานมอบดอกกุหลาบให้เจ้านาย จำได้ว่า ช่วงนั้น การเมืองร้อนระอุ ยอดจำหน่ายลดลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ปีนี้ แก้วฯซื้อต้นไม้มงคลให้แทนค่ะ ชื่อต้นเศรษฐีเงินล้าน อืมม ตอนมอบให้นะ ทราบแต่ว่าชื่อเป็นมงคล มานึกในใจ นายน่าจะมอบกลับให้ลูกน้องหน่อยนะคะ เผื่อหนูจะมีสักสิบล้าน คริ บังเอิญปีนี้ ถือเป็นวันดี เพราะวันตรุษจีน มาตรงกับวันแห่งความรัก เริ่มงานวันแรก แก้วฯรีบไปตลาดแถวบ้าน หาซื้อส้มไปอวยพรเจ้านายอีกครั้ง เพื่อเอาฤกษ์ เอาชัย แต่เดินหาส้มทั้งตลาดกับไม่มี ในตอนนั้น ในใจนึกภาวนา ขอให้เจอส้ม หรือคนขายน้ำส้มทีเถอะค่ะ จะได้ขอแบ่งซื้อจากเขา อย่างน้อยก็สักสี่ลูก ไม่มีส้มสักร้านเลยค่ะ ทำยังไงดีล่ะที่นี้ เอาใหม่ๆๆ ภาวนาขอให้เจอะผลไม้อะไรก็ได้ ที่มีสีเหลืองเหมือนทอง แก้วเดินไปถึงท่าน้ำ ข้ามเรือไปอีกฟากฝั่ง เอ้ยย นั่นลูกอะไร เหลืองทองมองเห็นแต่ไกลมาเชียว เดินตรงรี่ไปเลยค่ะ "พี่ๆ นี่เรียกลูกอะไรคะ มะปรางใช่ป่าวคะ" แก้วฯถามแม่ค้า "ใช่จ๊ะน้อง มะปราง หวานอร่อย โลละ หกสิบค่ะ" ขณะที่มองเลือกๆ อ้าว มีหนึ่งลูกออกมาเป็นรูปหัวใจ เกิดมาจากท้องพระมารดา นี่เป็นครั้งแรก ที่เห็นมะปรางเป็นรูปหัวใจ ปรกตซื้อของจะต้องต่อค่ะ ได้นิด ได้หน่อย หรือไม่ได้ก็ไม่ว่ากัน แต่งานนี้ ไม่ต่อค่ะ เอาฤกษ์ อิอิ ถึงที่ทำงาน สวัสดีเจ้านาย มอบผลไม้ให้ พร้อมอวยพร และนาย ก็ให้พรกลับมา พอเห็นว่าผลไม้เป็นรูปหัวใจ ท่านดีใจมากๆ รีบยกไปไหว้เจ้าค่ะ อิ หลังจากวันนั้น แปลกมั้ยคะ แก้วฯทำงานไม่ได้หยุดเลยค่ะ ขายดีขึ้น นายบอกว่า เพราะมะปรางสีทองแถมมีรูปหัวใจหนึ่งลูกนำโชค (รู้งี้ไม่ซื้อมาฝากหรอก เหนือ่ยๆ งานเยอะ 5555 ) อ้าว จะเขียนเรื่องไปทำบุญ ไหงออกเรื่องมะปรางละเนี่ย คริ ห้าววววว ง่วงแล้วค่ะ อ่านเรื่องมะปรางไปพลางก่อนและกันเนาะ ไว้มาเล่าเรื่องไปทำบูญต่อค่ะ ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านค่ะ ได้มะปรางของจริงมาให้ชมแล้วค่ะ เห็นมั้ยคะ มีรูปหัวใจอยู่หนึ่งลูก
เช้าวันที่ 4 ที่ผ่านมา แก้วฯรับโทรศัพท์จากคุณแจ้นเอง ว่าจะพาเด็กมาร่วมกิจกรรมที่กรุงเทพฯ และพักแถวย่านสาทร ซึ่งไม่ไกลจากที่ทำงานสักเท่าไหร่ ในความรู้สึกตอนนี้ ดีใจมากๆค่ะ แต่ก็ตื่นเต้น ระคนเขิน ตั้งใจจะไปพบพี่แจ้นพร้อมกับคุณกิ่ง แต่คุณกิ่งต้องไปงานขาวดำของญาติ ที่ต่างจังหวัด ในที่สุดแก้วฯก็เลยชวนน้องที่บริษัทไปด้วย รายนี้เจ้าประจำค่ะ อิ แบบว่าไปไหน ไปกัน ไม่เกี่ยง วันที่ 5 แก้วฯไปพบพี่แจ้นที่โรงแรมที่พัก เคยเห็นภาพพี่เขาแต่ใน ไฮไฟ มาก่อน แต่ก็ไม่แน่ใจค่ะ พอไปถึงโรงแรม แจ้งรีเชพชั่นว่า ต้องการพบแขกห้องนี้.. ขณะนั้นก็รู้สึกมีหนึ่งสายตา ที่นั่งอยู่ตรงโซฟาหันมามองแก้วฯ โอ...พี่แจ้นเองค่ะ ข้าพเจ้ายกมือไหว้พี่เขา กอดเลยค่ะ กอดคือสิ่งที่แก้วฯ ทำกับพี่ๆ และแม่ ที่บ้านทุกคน อบอุ่น รู้สึกดีมากๆ อยากบอกไม่ถูกค่ะ หลังจากนั้น ก็พาพี่แจ้น เดินไปทานข้าวต้มปลาแถวๆบางรัก พี่บอกว่า อยากทาน ข้าวยำ อยากทานขนมจีนซาวน้ำ แก้วก็คิดในใจแล้วว่า ครั้งแรกที่ผู้ใหญ่แมตตาให้พบ แก้วฯจะต้องทำให้พี่เขาทานแน่นอน แต่ยังไม่บอกอะไร เพราะไม่แน่ใจว่า ของที่จะทำเครื่องครบหรือเปล่าค่ะ หลังจากทานข้าวเสร็จเราพากันเดินข้ามไปถนนอีกฝั่ง ซื้อของที่โรบินสันค่ะ พอดีมีซุ้มที่เขาจัดไว้ต้อนรับวันแห่งความรัก สวยมากๆ " พี่แจ้นคะ ถ่ายรูปกันค่ะ " ยัยแบมเอ่ยปากก่อน ดูเหมือนพี่เขาจะเขิ นๆ เพราะคนเยอะมากๆ อิ สุดท้าย ก็ได้ภาพสวยๆ พร้อมหัวใจดวงโต มาฝากเพื่อนๆค่ะ หลังจาก ส่งพี่กลับโรงแรม แล้ว แก้วฯก็เดินทางกลับบ้าน วันที่ 7 ตื่นแต่เช้า เพื่อไปใส่บาตร และหาซื้อเครื่องมาทำขนมจีน โอเค เครื่องครบ โทรบอกพี่แจ้นก่อนเลยค่ะ "พี่แจ้นคะ เดี๋ยวหนูจะทำขนมจีนซาวน้ำไปให้ลองชิมนะคะพี่ รอหนูไม่เกิน สิบเอ็ดโมงเช้าค่ะ" "แบม ทำไมยุ่งยากจังล่ะน้อง" พี่แจ้นตอบมา "ไม่หรอกค่ะ ไม่ยุ่งอะไรเลย เดี๋ยวหนูเอาจานไปให้ด้วยค่ะ" หลังจากทำเรียบร้อย แก้วฯก็นั่งรถเท๊กซี่ ไปหาพี่แจ้นที่โรงแรม เราเคยกันสักพักใหญ่ๆ แก้วฯก็ขอตัวไปทำธุระต่อ พี่แจ้นกอดและหอมแก้มแก้วฯ ในความรู้สึกนั้น น้ำตาเหมือนจะไหลอออกมา แก้วฯรู้สึกอบอุ่นมากๆ ไม่ต่างกับการที่ได้กอดพี่ๆทื่บ้านเลยค่ะ คงไม่มีอะไรจะกล่าวได้ดีมากกว่าคำว่า ขอบคุณพี่แจ้นเอง ขอบคุณบ้านกลอน ที่ทำให้แก้วฯได้พบกันพี่ค่ะ
เมื่อต้นปี 2552 ที่ผ่านมา แก้วฯได้มีโอกาสไปเที่ยว ตลาดน้ำลำพระยา ปรกติจะชอบปลูกต้นไม้ ดอกไม้ สารพัด คราวนั้นก็ไม่พลาดเช่นกันค่ะ เห็นกล้วยไม้เยอะแยะไปหมด ตื่นตา ตื่นใจ เดินชม ไปมา สุดท้ายก็ได้กล้วยไม้ตระกูลเข็มมาหนึ่งต้น ปลูกไว้สักพัก เขาก็ออกดอกให้ชื่นชม ช่อแรก ใหญ่ สมบูรณ์มากเลยค่ะ เต็มช่อ หลังจากนั้นไม่นาน ภายในสามเดือน กิ่งเดิม ต้นเดิม ก็ออกดอกอีกค่ะ ครั้งที่สอง ช่อเล็กลงเกือบครึ่งของช่อแรก ตอนที่แก้วโชว์ภาพให้พี่ท่านหนึ่งในบ้านกลอนชม พี่เขาบอกว่า ดอกนี้ เหมือนเด็กไม่สมบูรณ์ รู้มั้ยคะ ว่าคำพูดของพี่เขา มันแทงใจ จิ๊ดๆๆเลย "เด็กไม่สมบูรณ์" ไม่ได้ต่างกับคนเลี้ยงกล้วยไม้ต้นนี้เลยค่ะ คริ ผ่านไปหกเดือน อยู่ๆ กล้วยไม้ ก็ออกดอกในต้นเดิมอีกค่ะ แปลกใจมากๆ ทำไมอีกหลายๆต้น ไม่ยอมออกให้ชื่นชม จะมีก็แต่เข็มแสดต้นนี้ที่แบ่งบาน พลอยให้คนปลูกสดชื่น ได้ถึงสามครั้งแล้ว แม้เธอจะเป็นเพียงดอกไม้ จะช่อใหญ่ หรือเล็ก เราก็ขอขอบใจ ที่เธอทำให้ มุมเล็กๆของโลกใบนี้มีความสุข เรามาชมภาพกล้วยไม้เข็มแสดกันค่ะ v v v v v v v v v v v v v v v v เข็ม..... v v v v v v v v v แสด...... 555555 ล้อเล่นเฉยๆค๊า .. มาชมของจริงกันดีกว่าค่ะ นี่คือช่อแรก ถ่ายภาพเมื่อวันที่ 14 เมษายน 2552 ค่ะ ออกดอกครั้งที่ 2 ค่ะ ภาพถ่ายเมื่อวันที่ 13 กรกฏาคม 2552 นี่คือช่อของดอก ที่บานอยู่ตอนนี้ค่ะ ถ่ายภาพวันที่ 03 กุมภาพันธ์ 2553 ภาพเมื่อวันที่ 05 กุมภาพันธ์ 2553 แม้จะช่อเล็กกว่าเดิม แต่ก็สวยเหมือนเดิมค่ะ อันนี้ไม่เกี่ยวกับเข็มแสดค่ะ พอดีใกล้จะถึงวันตรุษจีนแล้ว ก็เลยหาชุดสวยๆให้น้องอุ๊กอิ๊กใส่ค่ะ แฮ่ะๆ เห็นมั้ยคะ หนูมีเพื่อนอีกตั้งสองตัวแหนะค่ะ จบแล้วค่ะ เรื่องสั้นๆก่อนนอน ขอบคุณทุกท่านที่แว๊บเข้ามาชมกันค๊า