5 เมษายน 2552 21:17 น.
แก้วประภัสสร
วันเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนไป แต่ละวันชีวิตเราก็ต่างพบกับความหลากหลาย
บางวันเดินออกจากบ้าน ไปทำงาน ได้พบสิ่งใหม่ๆ บางวันก็อยากหลบความวุ่นวายของสังคม
อยากหาเวลากลับบ้านพักผ่อนนานๆ แต่ก็ทำได้ยากนัก เพราะมีหน้าที่ที่ต้องทำและรับผิดชอบอีกหลายอย่าง
ผ่านมาเจ็ดเดือนที่พ่อจากฉันไป ฉันรู้สึกว่าฉันเริ่มจะเข้มแข็งขึ้น
พ่อบอกฉันเสมอก่อนจากไปว่า
ชีวิตคนเราไม่มีใครหลีกหนีกฎของธรรมชาติไปได้หรอก หากพ่อจากไปลูกต้องมีสติ ต้องมีสมาธิ สวดมนต์ทุกวัน แล้วลูกพ่อจะรู้สึกดีขึ้น
พ่อคะ หนูอยากบอกพ่อเหลือเกินว่า หนูคิดถึงพ่อมาก
ทุกครั้งหนูกลับบ้าน มองไปทางไหนก็มีแต่ความทรงจำ ระหว่างพ่อกับลูก
มันเป็นความทรงจำที่งดงามเหลือเกิน
พ่อเคยเล่าให้ฟังว่า เมื่อก่อนพ่อเป็นเชื้อเจ้าอยู่ประเทศลาว
แต่ด้วยเหตุจำเป็น ทำให้ปู่กับย่าแยกกัน พ่อก็เลยต้องตามย่ามาอยู่เมืองไทย
มันเหมือนนิยายนะพ่อนะ แต่เป็นเรื่องจริง
ฉันเดินออกมารับลมหน้าบ้าน ก็เห็นกระท่อมเล็กๆที่พ่อทำขึ้นมาด้วยสองมือของพ่อ
พ่อเอาหญ้าคาที่ปลูกไว้ที่สวนมาทำหลังคา พ่อเอาต้นไม้ในสวนมาทำเป็นเสา
พื้นกระท่อม พ่อเอาต้นไผ่มาผ่า ตอกตะปูทำเป็นพื้น พ่อฉันไม่ใช่ชาวสวน
พ่อไม่ใช่ชาวไร่ แต่ท่านเรียนรู้ทุกอย่างด้วยตัวท่านเอง
เพียงแค่แม่เอ่ยปากอยากนอนกระต๊อบรับลม ฉันจำได้ว่าพ่อพาแม่กับฉันไปที่สวน ซึ่งเป็นสวนที่พ่อหามาให้แม่ด้วยความรัก
ฉันถามพ่อว่า พ่อคะ ทำไมพ่อจึงรักสวนนี้มากกว่าสวนอื่นๆของพ่อ
หนูเห็นพ่อชอบมาที่นี่มากเลยพ่อบอกฉันว่า มันเป็นสวนแห่งความรักระหว่างพ่อกับแม่
เมื่อก่อนที่พ่อพบกับแม่ใหม่ๆ ไม่มีสมบัติอะไรมาเลย เราสองคนมาเริ่มสร้างกันที่นี่
แม่ของลูกไม่ใช่คนสวย แต่แม่เป็นคนสวยที่ความดี พ่อเดินทางไปทำงาน
ไปรักษาคนไข้หลายแห่ง ได้พบผู้คนก็มากมาย สุดท้ายก็แพ้ความดีของแม่เรา
ฉันนั่งฟังพ่อเล่า พ่อเก็บเงินซื้อสวนนี้ให้แม่ แล้วตั้งชื่อว่า สวนชมพูพร
ทุกครั้งที่พ่อบอกว่าวันนี้พ่อจะพาฉันไปที่สวนนี้ ฉันจะดีใจทุกครั้ง
มีวันหนึ่ง พ่อว่างจากการไปรักษาคนไข้ พ่อไม่ต้องไปที่แค้มป์ พ่อชวนแม่กับฉันไปสวนกัน
ฉันบอกพ่อว่า วันนี้ไม่ต้องเอารถไปหรอกพ่อ หนูจะเอารถเข็นไป
แล้วให้พ่อกับแม่นั่งไป พ่อฉันหัวเราะ จับหัวฉันเขย่าเล่น
ไอ้ลูกหมาเอ้ย..ตัวเล็กผอมอย่างนี้จะเอาแรงที่ไหนมาเข็นละลูก พ่อเอยปากกับฉัน
ฉันบอกพ่อว่า หนูทำได้ เชื่อหนูเถอะ ฉันเตรียมรถเข็น ปูเสื่อลง ส่วนพ่อเดินไปที่ครัว
พ่อหยิบปลาช่อนมาสองตัว ข้าวเหนียวหนึ่งกระติ๊บ แล้วพ่อก็ไปตักเกลือในกระปุกออกมา
พ่อ..จะเอาไปปลาช่อนดิบทำไม เราไม่มีเตานะคะที่สวน ฉันหันไปถามพ่อ
พ่อจะเอาไปเผาให้กิน พ่อบอกฉัน หลังจากเตรียมของเสร็จ ฉันก็เข็นรถมารอ
แต่พ่อขอเดิน ให้แม่นั่งคนเดียว ระหว่างบ้านกับสวนห่างกันประมาณ 1 กิโล
ผ่านบ้านชาวบ้าน พ่อกับแม่ก็แวะทักทายตามประสาคนรู้จักมักคุ้น
พอถึงสวน พ่อปูเสื่อลง เรานั่งเล่นสักพัก พ่อก็หายไป
เอ..แม่คะ พ่อไปไหนเนี่ย ฉันถามแม่
แม่ตอบฉันว่า สงสัยพ่อคงไปริดกิ่งลำดวนไว้ตีเด็กดื้อมั้ง แม่หัวเราะชอบใจ
เหรอๆๆ พ่อริดไว้เสียบปลาเผานะสิแม่ สักพักพ่อกลับมา ในมือของพ่อ
มีสายบัว มียอดข่า พริกขี้หนู ติดมาด้วย พ่อเริ่มก่อกองไฟ
ฉันช่วยท่านเอาปลาช่อนลงคลุกเกลือรอไปเผา เรานั่งลุ้นเมื่อไหร่ปลาจะสุก
นั่งจ้องมอง พ่อ..สุกช้าจัง ฉันบ่นกับพ่อ
ใจเย็นๆสิลูก ถ้าเร่งไฟ ปลาจะไหม้ นอกจากจะไม่ได้กินแล้ว เนื้อปลาก็ไม่หวานอร่อย พ่อบอก
อืม..ค่ะพ่อ ใจเย็นๆ เราย้ำคำพ่อบอก
พอปลาสุก สิ่งแรกที่พ่อทำคือ แกะกระพุ้งแก้มของปลาแล้วยื่นใส่มือฉัน
พ่อให้ฉันลองกินยอดข่าดิบๆ พ่อบอกเป็นยา เผ็ดมากค่ะ แต่ถ้าต้มหรือลวกจะอร่อย
ก่อนเราจะออกจากสวน พ่อพาฉันไปขุดหน่อไม้ไผ่หวานที่พ่อปลูกไว้ริมสวน
เพื่อเอาไปฝากชาวบ้าน ฉันไปเก็บลูกเงาะป่า มากิน
ระหว่างทางมีผลไม้ ของป่าเยอะแยะไปหมด
อืม ช่างเป็นความทรงจำที่งดงามและมีความสุขเหลือเกินสำหรับฉัน
ฉันได้อ่านเรื่องราวการถ่ายทอดความรู้สึกของลูกๆหลายคน ที่เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับพ่อ ก็อดที่จะยิ้มไปกับพวกเขาด้วย ความรู้สึกผูกพันระหว่างพ่อ แม่ พี่ น้อง ความเป็นสายเลือด เป็นสิ่งที่มองแล้วงดงามเสมอ
แก้วประภัสสร
05 /12/08
เขียนไว้ตั้งแต่วันพ่อค่ะ แต่ไม่ได้เอามาลง ขอลงเก็บไว้เป็นความทรงจำค่ะ
ต้นกะเพราของพ่อยังงามเหมือนเดิมค่ะ
ต้นผักเสี้ยนของพ่อค่ะ
ต้นมะขามหวานของพ่ออีกนั่นแหละค่ะ