25 เมษายน 2553 หลังจากทำสนธิสัญญาระหว่างพี่กับน้องว่า ทุกวันหยุด เราจะออกไปท่องโลกกว้างไกล (ไกลมากเลยค่ะ เดินข้ามถนนก็ถึงแล้วค่ะ) หาอะไรใหม่ๆทำ ให้กับชีวิต ก่อนถึงวัยเกษียร ... เง้อ พูดแบบนี้ดูเหมือนจะแก่ซะ... ข่มดวงจิตไว้โยมแก้วฯ พึงสังวรณ์ไว้.. อย่าหลง รูป กลิ่น เสียง คำสรรเสริญเยินยอ ล้วนเป็นสิ่งปรุงแต่งขึ้นทั้งนั้น สาธุๆๆๆ ... 10.30 น. ก้าวเท้าลงบันใดเพื่อไปไหว้พระที่วัดหนัง เขตจอมทอง แถวๆบ้านค่ะ " อ้าว สองสาวจะไปไหนกัน" เสียงพี่ยศ คนนับถือในซอย กำลังนั่งคุยกับลุงยาม หันมาถามค่ะ " พี่ยศ" แก้วเอ่ยเรียกแบบนักเลงโหน่ยๆๆ คริ.. "ครับ ว่าไงครับ" พี่แกทำท่าตะเบ๊ะเหมือตำรวจ ขานรับ "หนูขอแกนนำ นำทางด่วน" แกล้งแกไปงั้นแหละ "ได้ครับผม จะเอานำสีเหลือง หรือสีแดงครับ หรือ หลากสี แจกแจงมา " แกพูดพร้อมหัวเราะ เล่นกับเราด้วย "แกนนำ นำหนูสองคน ข้ามถนนไปไหว้พระ ณ.บัดนี้" เจ้เล็ก ดึงเสื้อ ดึงๆๆ อย่าดึงงงง เดี๋ยวก่อน แกล้งคนก่อนนน "ไปได้แล้วคุณนาย เดี๋ยวแดดร้อน ก็จะบ่นอีก" เจ้เล็กเรียก พร้อมดึง "ไปทำไมกันตอนนี้ ไปโน่นเย็นๆโน่น เขามีงานวัดนะ ไว้ไปพร้อมกัน ตอนนี้ไม่มีอะไรหรอก" พี่ยศแนะนำ " ไม่เป็นไร เดี๋ยวเดินไปไหว้พระก่อน หากเข้าท่าตอนเย็นไปอีกรอบค่ะ ไปละพี่" แก้วกับพี่ พากันเดินออกมาที่ปากซอย นั่งรถกระป๋องไปลงทางเข้าวัด จากนั้นเราข้ามถนน เดินไปเข้าในวัดหนัง ซึ่งไม่ไกลเท่าไหร่ค่ะ ปากซอย ด้านซ้ายมือ คือวัดนางนอง แต่ตอนนี้กำลังทำการบูรณะ เอาไว้เสร็จเมื่อไหร่จะนำภาพมาให้ชมกันค่ะ วัดหนัง เป็นอารามหลวงชั้นตรีชนิดราชวรวิหาร ตั้งอยู่ ณ ฝั่งขวาหรือนัยหนึ่ง ฝั่งเหนือคลองด่าน แขวงบางค้อ เขตจอมทอง กรุงเทพมหานคร เลขประจำวัด ๒๐๐ เดิมเป็นวัดราษฎร์ มีสืบมาแต่โบราณ มีนามว่าวัดหนังมาแต่เดิม แม้ได้สถาปนาเป็นพระอารามหลวงแล้ว ก็มิได้พระราชทานนามใหม่ ประมาณว่า ได้ตั้งขึ้น ในสมัยพระนครศรีอยุธยา เป็นราชธานี กำหนดอย่างต่ำน่าจะเป็น ในราชกาลสมเด็จพระสรรเพ็ชญ์ที่ ๙ (พระเจ้าท้ายสระ) มิฉะนั้น ต้องสูงขึ้นไปกว่านั้น ข้อนี้มีเลข พุทธศักราชจารึกที่ระฆังเป็นสำคัญ ระฆังใบนี้เป็นของเก่ามีมาก่อน แต่วัดได้สถาปนาเป็นอารามหลวง ตามจารึกปรากฏว่า สร้างแต่ พ.ศ. ๒๒๖๐ พระมหาพุทธรักขิตกับหมื่นเพ็ชร์พิจิตรเป็นหัวหน้า พร้อมด้วยภิกษุสามเณรทายกทายิกา ตลอดจนมีตาเถรเข้ามาเป็นสมาชิกแห่งสมาคมสร้างระฆังนี้ด้วย คลองด่านในอดีต ถือว่าเป็นคลองที่มีความสำคัญยิ่งต่อจังหวัดธนบุรี เพราะเป็นต้นคลองมหาชัย เชื่อมทางคมนาคมระหว่างจังหวัดต่าง ๆ ในลุ่มน้ำท่าจีนและในลุ่มน้ำแม่กลองกับจังหวัด ในลุ่มน้ำเจ้าพระยาที่ปากคลองนี้ เดิมนั้นลำคลองคงกว้างกว่าในบัดนี้ เรือขนาดใหญ่สัญจรไปมาได้สะดวก สมเด็จพระสรรเพ็ชญ์ที่ ๙ (พระเจ้าท้ายสระ) เสด็จประพาส ท้องทะเล ก็เสด็จผ่านทางคลองด่านหลายครั้ง ตามชายฝั่งคลองปรากฏว่า มีวัดตั้งอยู่เรียงราย ไม่ขาดระยะ บางวัดเคยได้รับราชูปการจากราชสำนักก็มี เช่นวัดไทรตรงข้ามปากคลองบางมด สมเด็จพระสรรเพ็ชญที่ ๘ (พระเจ้าเสือ) โปรดเกล้าฯ ให้รื้อพระตำหนักเดิม ทำนองเป็นที่ประทับแต่ครั้งยังเป็นนายเดื่อหรือหลวงสรศักดิ์มาปลูกเป็นหอไตรไว้ นี้แสดงว่าคลองด่าน มีวัดมากมาแต่สมัยพระนครศรีอยุธยาเป็นราชธานี และวัดหนังนี้ได้สถาปนาขึ้น เป็นเป็นพระอารามหลวง ในรัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นวัดมีสีมาชนิดพัทธสีมา ผูกเฉพาะพระอุโบสถ หลังจากทราบประวัติพอสังเขปกันแล้ว แก้วขอนำภาพที่ถ่ายมาฝาก ทุกๆท่าน ในช่วงกลางวัน และรอบเย็นที่กลับไปเที่ยวงานวัดอีกครั้งค่ะ เรามาชมพร้อมๆกันเลยนะคะ ยืนถ่ายภาพตรงสะพาน วัดจะติดกับคลองด่านค่ะ เจดีย์หน้าพระวิหาร รูปปั้นตรงกลาง พระภาวนาโกศลเถระ เดิมชื่อเอี่ยม ชาวบ้านเรียก "หลวงปู่เอี่ยม" ด้านขวา หลวงปู่ผล ด้านซ้ายรูปปั้นหลวงปู่ฉัตรค่ะ หลังจากนั้นเดินไปตามรอยพระพุทธบาทค่ะ แต่ตอนกลางวันยังไม่เปิดให้ชม ได้แต่ภาพด้านนอกมาให้ชมกันค่ะ ภาพเจดีย์และพระปรางค์สวยมากๆ ซุ้มพระเสมารอบพระอุโบสถ ภาพหน้าต่างพระอุโบสถ เวลาที่ไป ยังไม่ได้เปิดให้เข้าไปสักการะค่ะ ช่างเป็นสถาปัตยกรรมที่งดงามมากจริงๆ ทางออกจากพระอุโบสถ ประตูเป็นไม้ขัด ซึ่งหาชมได้ยากนัก ในสมัยปัจจุบัน เราเดินออกมาทางด้านหลัง ประตูสวยงามเช่นกันค่ะ ภาพทั้งหมด เป็นช่วงเวลากลางวันที่ไปไหว้พระ ทำบุญกันค่ะ ไว้พรุ่งนี้ แก้วจะนำภาพงานวัด พร้อมภาพองค์พระประธาน ภายในพระอุโบสถ มาให้ชมกันค่ะ คิดว่า หากทุกท่านได้ชมแล้ว จะไม่ผิดหวังแน่นอนค่ะ วันนี้พอแค่นี้ก่อน ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาชม ราตรีสวัสดิ์ค่ะ แก้วประภัสสร 26/04/2553
หลบความวุ่นวาย หลายหลายปัญหา ซึ่งทำให้สมองตึงเครียด ไม่ว่าจะการเมือง เสียงระเบิด ที่แทบไม่ต่างจาการดูข่าวทางภาคใต้ อากาศก็ร้อนระอุขึ้นทุกวัน หันมาจับเข็ม กรรไกร ทำตุ๊กตา ได้แรงบันดาลใจจากตุ๊กตาของน้องวาค่ะ ทำแล้วก็นั่งยิ้มน้อย ยิ้มใหญ่ ไม่คิดว่าจะทำได้ค่ะ แต่ก็พยายาม สุดท้ายทำออกมา ก็ภูมิใจกันผลงานตนเองพอสมควร สิ่งสำคัญคือทำให้เรามีความสุข และช่วยทำให้ลืมเรื่องวุ่นๆ ไปได้เยอะเลยค่ะ ช่วงสงกรานต์ ก็เกิดไม่สบาย ต้องกินๆ นอนๆ อยู่บนเตียง เป็นอะไรที่น่าเบื่อมากๆ เลยค่ะ คิดถึงแม่ก็คิดถึง ปรกติจะกลับบ้านแต่ต้องงด ต้องเลื่อนกลับสิ้นเดือนนี้ แก้วฯเป็นคนอยู่นิ่งไม่ค่อยได้ สุดท้ายค้นหาสีพาสเทล หยิบขึ้นมาวาดภาพเล่นๆอีกแล้วค่ะท่าน คริ.. ขอเชิญทุกท่าน ชมภาพก่อนนอนกันดีกว่านะคะ ชมแล้ว ขอให้หลับฝันดีน๊า ....5555 ได้ตัวอย่างจากที่น้องฉางน้อยส่งเมล์มาให้ดูค่ะ ตุ๊กตาคู่แรกที่ทำ เริ่มสนุก ทำต่อค่ะ .. "คุณๆ ดูนี่สิ เค้าทำ น่ารักมั๊ยคะ " นั่งยิ้มอยู่คนเดียว ไม่มีใครชม อิ "เก่งครับคนดี เหมือนทำจากโรงงานเลย" คุณกิ่งชมค่ะ แฮ่ะๆๆ "เจ้ เค้าทำตุ๊กตาได้แล้วนะ " บอกพี่สาว "เหรอออ อย่างเธอนี่นะ จะทำเป็น " โอ้..เค้าไม่เชื่อค่ะท่าน.. เอ้าๆๆ ทำให้ซะเลย เอาไปจัดให้ เหลือง แดง แจ่มๆ 555 "หากไม่คิดเปลี่ยนแปลงตัวเอง เราก็เหมือนย่ำอยู่กับที่ สิ่งที่น่าเบื่อที่สุด คือการทำอะไรจำเจซ้ำซาก ลองหาอะไรใหม่ๆทำสนุกค่ะ" หยุดความเจ็บจากไข้ให้หายได้ ด้วยระบายลงสีอย่างที่เห็น ลดความปวดข้างในเหลือแต่เย็น สิ่งที่เห็นหายไข้ไม่นานวัน ภาพนี้ตั้งใจจะวาดให้วันเกิดบางใครค่ะ... แต่อาย ไม่สวย เลยไม่ให้ .. หยิบตัวเล่นอมยิ้มจนปริ่มสุข ในบ้านกลอนไร้ทุกข์สนุกสนาน แถมยิงฟันหยอกล้อพอชื่นบาน นานเท่านานไม่หลงมั่นคงกัน จำกันได้มั้ยคะ หัวหอม แต่ละภาพ ยิ้ม .ยิงฟัน . ใส่แว่นตา มอบหัวใจ ส่วนหนึ่งในบ้านกลอน ที่ทำให้พวกเรารักกัน เชื่อว่า ทุกคนรัก Thaipoem เหมือนแก้วฯ ราตรีสวัสดิ์ค่ะ
16 เม.ย 2553 "ไอ้แสบ ทำอะไรอยู่ อยู่ไหนเนี่ย" เสียงพี่สาวแว๊กๆๆมาแต่เช้า "ทำงานอยู่จ้า เจ้มีไรคะ" แก้วถามพี่สาวไป "หลานๆ เหลนๆ จะมากินข้าวที่บ้าน ว่างก็แวะมาแล้วกันนะ หาอะไรมากินด้วยล่ะ อดอยากกันมาหลายวันแล้ว อิ" พี่สาวบอกพร้อมหัวเราะ นี่แหละมุกเขาแหละท่านผู้อ่าน หลายต่อหลายครั้ง ที่ซื้ออาหารไปเยอะแยะ ต้องเหลือเททิ้ง ข้าพเจ้าเคยแกล้งกลับเหมือนกัน ไม่ซื้ออะไรเข้าไปเลย อดครับพี่น้อง อะ... สม..นะ.น่า..อิ เอ ยังไงเสียก็หิ้วอะไรติดไม้ติดมือไปสักหน่อยดีกว่า ได้ปลาทอดกับยำหัวหมูไปฝาก บรรดาคอทองแดง ทองดำค่ะ หลานๆ เหลนๆ ยกมือไหว้ ผงกๆ "น้า (ย่า . อา) หวัดดี (ครับ..ค่ะ ) "จ้า.. หวัด"ดีทุกคนๆค่ะ สบายดีกันนะ เหลนแฝดย่าไปไหนล่ะเนี่ย ไม่เห็นเลย" เราชะเง้อคอหาเหลน "เล่นเกมส์อยู่บนบ้านมั้ยฮะ" หลานชายตอบ "อ้อๆ ไม่เป็นไร เอ้า เอาไข่เค็มไปเก็บปะ น้าฝากเพื่อนซื้อมาจากสุราษฏร์ โน่นแหนะ เมืองหอยใหญ่ ไข่แดง แกงอร่อย หรอยจังฮู้.." เราโม้นิดหน่อย พอหอมปาก หอมคอ หลานๆ หัวเราะชอบใจ หลังจากนั้น บรรดาลิง ตัวเล็ก ตัวน้อย ห้อยโหน โจนทะยาน ( เหลนๆ) ก็วิ่งเล่น ตามประสาลิงแหละค่ะ แฮ่ะๆ แต่พ่อลิง นั่งดิ่มเหล้า พร้อมฉีกไก่ย่างเข้าปาก เสียงหัวเราะ สลับกับเสียง แก้วกระทบ "เอ้า..ชน.." นี่หากเป็นรถ คงชนบุบ บู้ บี้ ไม่มีชิ้นดีแล้วล่ะครับท่าน เรามองสำรวจ ห้องใหม่ ที่พี่สาวได้เงินจากการปลดเกษียรมาก้อนหนึ่ง มาต่อเติมบ้าน ยื่นออกไปจากตัวบ้านปัจจุบัน ( พี่เรา ทัศนวิสัยกว้างไกล สงสัยจะทำห้องเผิ่อ ลูกๆ ไล่ออกจากบ้าน แง่เรยย 555 ) ห้องด้านซ้าย ห้องพี่เขย อีกห้องถัดไปสำหรับพี่สาว ท่านผู้อ่านว่าแปลกมั้ยคะ ตอนยังไม่แก่ อยู่ด้วยกันได้ นอนห้องเดียวกัน แต่ไหง พอแก่ตัวมา แยกห้องกันนอน ..ไม่เหงาแย่เหรอนั่น เป็นเรา จ้างให้แยกก็ไม่แยก กลัวผีค่ะ..แฮ่ะๆๆ " "น้องอุ้ม แล้วห้องที่เรานั่งอยู่ล่ะ แม่เราจะไว้ทำอะไร" เรามองสำรวจห้องที่นั่งอยู่ ดูบรรยากาศเหมือนร้านอาหารไม่มีผิด เพดานติดโคมไฟที่ทำจากกะลา มีอลูนิเมียมหมุนๆระบายอากาศ ฝ้าเพดานปุด้วยฉนวนกันความร้อนตราติ๋มช้ำ ( อิ คิดเอง) "น้าว่าน่าจะทำเป็นห้อง คาเกะ นะเนี่ย " เสียงตบขาตัวเอง ดังป๊าบบ " "นั่นๆๆๆ น้าคิดเหมือนอุ้มเลย..ไม่ต้องห่วง ตอนนี้อุ้มมีเงินอยู่ นี่ๆๆ " แกตบกระเป๋าแป่ะๆๆ "สี่พัน หาทุนเพิ่มอีกหน่อย เราจะได้ห้อง คากิ เอ้ย คาเกะ กันแระ " 5555 . " "หลานๆๆ เบรคเสียงไว้ครึ่งหลอดได้ป่าวจ๊ะ กลัวข้างบ้านตะหลิวปลิวมาอะ ว่าแต่ขาดเท่าไหร่ ถึงจะทำห้องคาเกะได้อะ" "ขาดนิดหน่อยเอ้งงงน้า..สัก สี่ซ้า..ห้าหมื่น. ได้ร้องเกะแน่นอนคราบบ 555 " " "จ๊ากกกก ..งั้นที่เราคุยกันตะกี้นี้ ลืมๆๆมันไปเสียเถอะอ่ะนะ ไปร้องเกะที่ร้านอาหารเอาก็ได้ ดีกว่า เสียดายเงินวุ้ย" ครั้นเสวนา กินข้าวกินปลา อิ่มหนำสำราญ ท้องคัด ท้องแข็งกันพอสมควร ดูนาฬิกาก็ปาเข้าไปเกือบสี่ทุ่มแล้ว เลยขอตัวกลับบ้าน กะว่าจะเรียกรถเท็กซี่ ให้เข้ามารับ หลานๆบอก รอก่อนๆ เดี๋ยวไปส่ง แก้วแล้วแก้วเล่า ชนกันจนแก้วจะแตกแล้วอะ ย้างงง ไม่ยอมขยับก้นลุก ท่าทางไม่ได้การแระ " " เอ้ยย ฉานนต้องทำงานนะวุ้ย ลุกได้ยังเนี่ย" เราเกาหัวแกรกๆ ชักเริ่มง่วงแล้ว "เอ้า ..น้าเอากุญแจรถไป อุ้มให้เอาไปใช้ฟรีๆ สามเดือน" เจ้าหลานขี้เล่น ควักกุญแจยื่นให้ "ใจดีนะเนี่ยถึงให้ใช้ 555 " แกเปร่งเสียงหัวเราะลั่นบ้าน " นึกในใจ วุ้ย หากไปคนเดียวได้ ขับไปแล้วว กลัวผีวุ้ย ไม่รู้เรื่องเล้ย "จริงอะ สามเดือนจริงอะ " เราแกล้งแหย่หลานเล่นๆ "จริงดิคราบบ อ้อ ๆ ลืมบอกครับผม จ่ายค่างวดรถให้ด้วย รักนะเนี่ย ถึงให้ใช้ 555" " "ก๊ากก ไม่มีตังค์จ่ายเฟร้ยยย 5555 " เรานั่งหัวเราะ จนท้องแข็ง "ไม่เป็นไรคราบบ ครบสามเดือนไม่จ่าย ไม่ต้องเอามาคืนรถนะ เดี๋ยวจะมีคนไปรับเองถึงบ้าน 555 " เล็กๆน่อย ๆ จากครอบครัวตัว ว. ( วุ่น ) ค๊า ...
แต่ไหน แต่ไรมา สุภาษิตหลายต่อหลายสำนัก มักจะกล่าวว่า "อารมณ์ดีเป็นศรีแก่ตัว อารมณ์ชั่วตัวจะมีสี" ตั้งแต่เด็กจนโต เราก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมอารมณ์ชั่วต้องมีสี นั่งคิด นอนคิด นอนหย่อนหัวลงพื้น ก็ไม่เข้าใจ ผ่านมาวันนี้ เฮ้อ..ไอ้ที่ครุ่นคิด หาสมการมาตั้งแต่เล็ก คำตอบมันชัดเจนขึ้นทุกวัน เพียงแยกคำสองคำออกจากกัน คำแรก "ศรี" แปลว่า มิ่ง ,มงคล , ความรุ่งรือง ,ความงาม คำที่สอง "สี" หากจะพูดถึงอาการ ก็น่าจะเป็นเหมือน เครื่องบดข้าว หรือ ถู ครูด หรือเป็นลักษณะบ่งบอกของความสว่าง เช่น ขาว ดำ เขียว เหลือง ม่วง แดง แสด ฯลฯ ครานี้ ความหมายของคำแรก ทุกท่านคงเข้าใจดี แต่คำที่สองนี่สิ มันน่าจะมีอะไรมากกว่าคำว่า "สี" เราลองมาเติมคำหลังคำๆนี้กันเล่นๆดีกว่าค่ะ สีสีน สีกา สีดา สีผม สีรถ สีดอ สีซอ สีมอๆๆ
เมื่อไม่นานมานี้ ข้าพเจ้าได้มีโอกาสไปทำธุระที่บ้านหนองโดก ตำบลพลับพลาไชย อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรีค่ะ ไปบ้านคุณอา เนื่องจากท่านเสียชีวิต เมื่อมีการพลัดพราก หรือจากกัน เป็นธรรมดาที่ต้องเสียใจ ความรู้สึกนั้น คิดว่าเราทุกคนก็คงมีไม่แตกต่างกัน วัยที่ร่วงโรย สังขารที่เสื่อมถอย ย่อมต้องมีวันหยุดลมหายใจ ข้าพเจ้าพอเข้าใจดี ขณะที่รอทำพิธี พระมาสวดตอนเย็น ข้าพเจ้าและพี่ๆ ได้แวะไปไหว้พระที่วัดก่อนค่ะ วัดปฐมเจีย์ เป็นวัดเก่าแก่ที่สำคัญทางประวัติศาสตร์แห่งหนึ่ง แต่ส่วนมาก ไม่ค่อยมีคนรู้จักเท่าไหร่ บริเวญรอบๆวัด ลมเย็นมากๆเลยค่ะ หากหลับตา ยังคิดกันว่า ที่พวกเรายืนอยู่ชายทะเลที่ไหนสักแห่ง ชาวบ้านที่นั่น ไม่ว่าจะไปกี่ครั้ง ความเป็นมิตรยังคงมีให้เห็นเสมอ รอยยิ้ม การพูดจาทักทาย ภาพเด็กเดินผ่านแล้วยกมือไหว้ผู้ใหญ่ ภาพคนแก่ วัยเลย หกสิบ สิ่งที่ข้าพเจ้า เป็นภาพที่ประทับใจมากๆ ที่บอกว่าประทับใจ คือทรงผมของคุณอา คุณป้า คุณน้าแต่ละท่าน จะเป็นทรงสมัยโบราณ เรียกว่า"ทรงดอกกระทุ่ม" และท่านทั้งหลายสวมใส่เสื้อคอกระเช้า นุ่งผ้าถุง เคี้ยวหมาก และใส่ตุ้มหู ทรงพุ่มเนื้อเงิน ลองหลับตาอีกครั้งนะคะ หรือไม่ก็นึกถึงภาพหญิงสมัยโบราณ นั่นแหละค่ะ เป็นเช่นนั้นจริงๆ ที่หมู่บ้านที่อาข้าพเจ้าอยู่ ทุกบ้านสะอาดสะอ้าน ริมสองฝั่งของถนน มีต้นไม้น้อยใหญ่ ปลูกให้ความร่มรื่น อืม ..เหมือนกับว่า เป็นอีกวันหนึ่งที่ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกดีๆๆ เรามาชมภาพบางส่วน จากฝีมือสมัครเล่น(ข้าพเจ้า)กันเลยค่ะ ป้ายวัดปฐมเจดีย์ค่ะ ภาพสถูปเจดีย์ที่เก่าแก่ของวัดนี้ ภาพจำลองเรือ แต่ด้านในเป็นอัฐิของผู้สียชีวิตค่ะ บริเวญวัด มีศาลปู่เจ้าตาขาว ที่ชาวบ้านนับถือ และบอกกล่าวว่า ศาลแห่งนี้ศักดิ์สิทธิ์มากค่ะ ข้างๆศาลเจ้าปู่ มีต้นฝ้ายเกิดขึ้น และอยู่ตรงนี้มานานแล้วเช่นกัน (เจ้ๆๆ ขอมือเป็นแบบหน่อยสิ อิ) ภาพโบสถ์-วิหารค่ะ ด้านข้างศาลาที่ใช้ประกอบพิธีต่างๆ ไปพบเจ้าดอกนี้เข้าค่ะ "พี่เดียร์ๆ นี่ดอกกระถินใช่ปะคะ ทำไมมีสีแดงด้วยล่ะ"ข้าพเจ้าถามญาติผู้พี่ไป "อ้อ ไม่ใช่หรอกจ้า นี่ดอกผักส้มป่อย ลองเด็ดใบมากินสิ มันจะออกเปรี้ยว" พี่ชายเอื้อมมือไปเด็ดใบมาให้ลองชิมดู อืม..เปรี้ยวจริงๆ ถัดจากต้นส้มป่อย (ชื่อเรียกตามพี่ชายค่ะ อิ) ก็มีต้นนี้ เกิดมาไม่เคยเห็นอีกแล้วค่ะท่าน "พี่เดียร์ แล้วต้นนี้ล่ะ ดอกเขาสวยจังลย สีเหลืองนวลๆ เขาเรียกดอกอะไรคะ" "ตัวเล็ก เคยได้ยินชื่อ ผักกุ่มมั้ย" พี่ชายหันมาถามข้าพเจ้า "เคยๆ เคยเห็นที่เขาเอามาดองเปรี้ยวๆ ในตลาด แต่ไม่เคยกินค่ะ" "นี่แหละต้นและดอกผักกุ่มครับ เสียดาย ต้นมันสูง เอื้อมมือดึงให้หนูไม่ได้" "ไม่เป็นไรๆพี่" "โอ...พี่เดียร์ .เค้ามาตั้งหลายครั้ง แต่ไม่เคยเดินสำรวจวัดเหมือนคราวนี้เลย มีต้นกล้วยไม้ต้นนี้ด้วย ชื่ออะไรคะ" เราหันหน้าไปถามพี่ "ต้นนี้เหรอ ก็ไม่รู้จักชื่อ พระท่านเอามาปลูกนานแล้วนะ เมื่อข้าพเจ้ากลับมาถึงกรุงเทพฯ ได้ถามพี่ที่บ้านกลอนท่านหนึ่ง ซึ่งท่านจะเชี่ยวชาญเรื่องพันธุ์ของกล้วยไม้ ได้คำตอบว่านี่คือ "กล้วยไม้หนวดพราหมณ์"ค่ะ "เจ้ๆ นี่ดอกยี่โถค่ะ " ข้าพเจ้าชี้ไปที่ดอกนี้ แบบมั่นใจพันเปอร์เซ็นต์ค่ะ "ไหนจ๊ะ ไม่ใช่สักหน่อย นี่เขาเรียกดอกรำเพยจ้า" พี่สาวหัวเราะนิดหน่อย "อ้าวเหรอ ทำไมเหมือนดอกยี่โถจังล่ะ" ข้าพเจ้างงๆนิดๆ "ดอกยี่โถ เขาจะออกดอกหลายๆดอกในช่อเดียวกัน และจะบานมากกว่า ดอกรำเพยจ๊ะ " "อ้อๆ เข้าใจแล้วค่ะ" เรายิ้มให้พี่สาว กลบเกลื่อนสิ่งที่มั่นใจไปสักพัก หลังจากเดินกินลม ชมทัศนีย์ภาพกันพอสมควร สามพี่น้องก็เดินกลับมาบ้าน เห็นทรงผมคุณป้า ทรงดอกกระทุ่ม ที่ข้าพเจ้าเกริ่นแต่ต้น เลยนำภาพมาฝากกันค่ะ เห็นคุณป้า ท่านผู้ชม รู้สึกเหมือนข้าพเจ้ามั้ยคะ เรากำลังเข้ามาอีกมิติหนึ่ง ซึ่งหาชมได้ยาก ภาพคุณอาหญิงและน้องสาวท่านอีกคน สัเกถตุค่ะ ท่านทั้งสองชันเข่า เคี้ยวหมาก เป็นภาพที่ไม่ได้เตรียมถ่ายนะคะ บังเอิญเห็นแล้ว รู้สึกดีมากๆ ในขณะคุณอาหญิงของข้าพเจ้ากำลังอยู่ในอารมณ์เศร้า มีน้องสาวอยู่เคียงข้าง ไม่ห่าง ซึ้งจริงๆ ภาพปิดท้าย ก่อนต่อภาคสอง ด้วยดอกชวนชม ซึ่งเป็นดอกไม้ที่ข้าพเจ้า ชอบค่ะ ลงภาพต่อเลยดีกว่า เพื่อไม่เป็นการเสียเวลาแกท่านผู้ชม อิ เหลนชาย "ปุยฝ้าย" แหม..ชื่อสมตัวจริงๆ ท่านว่ามั้ยคะ อิ "ปุยฝ้าย" เราเข้าไปกอดเหลน ไม่ได้พบกันนาน ดูโตขึ้นเยอะเลยค่ะ "เรียนอยู่ ป.ไหนครับ" "อยู่ ป.1 ครับย่า" ปุยฝ้ายส่งยิ้มหวานๆมา "เรียนเก่งมั้ยเอ่ย"ข้าพเจ้าถามไป "ไม่เก่งครับ แต่ได้ที่ 1 ครับย่า" เหลนตอบเช่นนั้นออกไป แต่ข้าพเจ้ามองเห็นแววตาที่ใสซื่อของเขา เหลนไม่รู้หรอก ว่า เก่งและไม่เก่งแตกต่างกันอย่างไร ที่เขาตอบว่าได้ที่ 1 ก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ "นั่นแหละลูก เขาเรียกว่าเก่งค่ะ ไว้ย่าจะหาอะไรเป็นรางวัลให้ดีน๊า" ในวันที่เราไป เป็นวันเวียนเทียนพอดีเลยค่ะ พระ เณร จัดทำซุ้มไว้ต้อนรับชาวบ้านที่จะมาทำพิธีเวียนเทียน ข้าพเจ้าได้มีโอกาสร่วมพิธีนั้นด้วย พระนำดอกบัว มาลอยในอ่าง สวยงามดีค่ะ "โยมๆ นี่อาตมากับเญรช่วยๆกันจัดสวนและตกแต่ง ครั้งแรก ใช้ได้มั้ย" พระเรียกข้าพเจ้าถาม "สวยทีเดียวเลยเจ้าค่ะท่าน ถือว่าไม่ธรรมดาเจ้าค่ะ" เป็นเรื่องจริงตามที่เห็นค่ะ ในบริเวณนั้น ท่านแขวนไซ ที่ไว้สำหรับดักปลา นำมาตกแต่งด้วย ได้เวลาเวียนเทียนกันแล้วค่ะ หลังจากเดินสวดมนต์รอบสถูป ครบสามรอบ ก็นำธูปเทียนไปปักไว้รอบๆค่ะ ปุยฝ้าย กำลังนั่งปักเทียนอยู่ค่ะ ภาพควันธูปในกระถาง ที่สะท้อนกับแสงไฟ ยามค่ำคืน ดูมีมนต์ขลังจังเลยค่ะ ปิดท้ายด้วยภาพ รวม ของพระและเณรค่ะ ขอให้ทุกท่านที่เข้าเยี่ยมชมภาพ พบแต่ความสุขกันทุกคนนะคะ แก้วประภัสสร 15/ 03/ 2553