นาฬิกาปลุกให้ตื่นตีห้า ด๊อกแด๊กๆๆๆ ตุ๊กตาส่ายหัวไปมา คว้าๆ กดปิดเสียง นอนต่อ แฮ่ะๆๆ ไม่ใช่ค่ะ ลุกเลยดีกว่า หากนอนต่อ จะทำให้อุจจาระเกียจ หาอะไรทำสนุกๆในวันหยุด สบายๆ ผ่อนคลายเรื่องงาน ที่หลากหลายตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันเสาร์ เก็บของที่รกรุงรัง ไม่เป็นระเบียบให้เข้าที่เข้าทาง หากไม่มีทาง จะไม่มีทางเดินค่ะ อิ หันไปมองเห็นเหล่าตุ๊กตาของสะสมที่ซื้อมาบ้าง เพื่อนให้มาบ้าง อืมม จนลืมไปเลยว่า พวกเธอก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา ในวันใดที่เงียบเหงา ไม่มีใคร หันไปดูตุ๊กตา แม้เขาจะไม่มีชีวิต แต่ก็ดูเหมือนว่า รอยยิ้มนั้นทำให้ฉันสุขใจเล็กๆ หยิบแปรงปัดฝุ่นมา บรรจงจับอย่างเบามือ ปัดฝุ่นทีละชิ้นๆ ในขณะที่นั่งทำความสะอาดตุ๊กตาเหล่านี้ด้วยความใจจดใจจ่อ เช็ดทุกซอก ทุกมุม หวังให้เขาสะอาดไร้ฝุ่น ในใจฉัน ก็คิดไปด้วยว่า ไม่ว่าจะสิ่งของที่ไม่มีชีวิต ไม่ว่าจะคน สัตว์ ต้นไม้ ล้วนต้องการความเอาใจใส่กันด้วยกันทั้งนั้น หลังจากปัดฝุ่นเสร็จ ฉันหยิบกล้องตัวโปรดขึ้นมา หามุมห้อง ที่พอมีแสงสว่างที่จะทำให้ตุ๊กตา หรือของสะสมที่ฉันเสียดาย ไม่อยากจะทิ้งไป หยิบแต่ละชิ้นขึ้นมาถ่ายรูป ชิ้นแล้วชิ้นเล่า อย่างมีความสุข ฉันหันไปหยิบซีดีเก่าๆของ คุณอิทธิ พลางกูร ขึ้นมาเปิดฟัง เปลี่ยนม้วนสองไปฟังแบบเย็นๆ กุ้งฯกิติคุณ อืมม จริงๆแล้ววันนี้ เพื่อนๆและพี่จะชวนไปทำบุญเก้าวัด แต่ไม่ได้ไปเนื่องจากหนึ่งคนนั้นป่วย อาหารเป็นพิษ ทำให้งดกัน เวลาผ่านไป โดยเราไม่สามารถย้อนกลับไปได้ เพียงแต่เวลาน้อยนิดในแต่ละวันของเรา เราสามารถที่จะสร้างความสุขให้ตัวเราเองได้เสมอๆค่ะ แก้วประภัสสร 06/09/09
ในตอนเย็นทุกวันเสาร์ หรือ อาทิตย์ กิจกรรมของครอบครัวเราคือการรวมตัวญาติๆไปทานข้าวที่บ้านพี่สาว วันเสาร์ที่ 22 ที่ผ่านมาเช่นกันค่ะ อากาศข้างนอกค่อนข้างจะร้อนพอสมควรแม้ว่าจะเกือบหกโมงเย็นแล้ว พอเดินออกจากบ้านสักพักฝนกลับทำท่าตั้งเค้าจะตกเสียนี่ ครึ้มฟ้าครึ้มฝนเลยต้องรีบไปให้ถึงบ้านพี่ก่อนฝนตก พอถึงบ้าน ซูชิกับแจ่ม น้องหมาวิ่งมาหาอย่างลิงโลด(ทำไมไม่หมาโลดเนาะ อิ) มาพันแข้งพันขา (คำนี้ก็เช่นกันเคยสงสัยมาตั้งแต่เด็กแล้วว่าทำไมไม่หมื่นแข้งหมื่นขา) แจ่มเป็นหมาหนุ่มพันธ์พุดเดิ้ลค่ะ หน้าตาหล่อ อ้วนจ้ำม่ำ ขนสีขาวปุกปุย นิสัยของเขาคือชอบแกล้งแหย่ ทำท่าแยกเขี้ยวดุๆ แต่หากใครไปกวนใจเขาบ่อยๆ เขาจะกระโดดงับแบบเบาๆและเหมือนจะบอกพวกเราว่า พี่ๆครับ อย่ามากวนใจผมนะครับ ซูชิเป็นหมาสาวพันธ์ชิสุ หน้าตาทะเล้น อารมณ์ดี ค่อนข้างไฮเปอร์ คือเธอจะชอบวิ่งเล่นรอบๆบ้านเกือบทั้งวัน ยกเว้นเวลาเธอเหนื่อย ง่วง จะชอบชวน (เซ้าซี้) ให้ทุกคนรวมทั้งแจ่มไปเล่นด้วย บางครั้งก็จะคาบไส้กรอกไปวางไว้เพื่อหวังว่าจะให้แจ่มมาเล่นด้วย พอแจ่มมา เธอก็คาบวิ่งหนี อย่างสนุกสนาน หลายครั้งก็เราเห็นแจ่มออกอาการรำคาญ ประมาณว่า อย่ากวนใจพี่ได้ป่าวซูชิ พี่จะนอน ลืมบอกไปค่ะ คนดูแลและเป็นเจ้าของน้องแจ่ม คือ หลานชายคนเล็ก ส่วนซูชิเจ้าของคือหลานชายคนกลางค่ะ พวกเราจะรักเหมือนลูกเลยนะ ยังมีอีกสองตัวค่ะ ชื่อ ขุนทอง เป็นหมาพันธ์บางแก้ว และอีกตัว บราวนี่ พันธ์อเมริกัน พิทบลู สองตัวนี้ หากมีแขกมาบ้าน เราจะต้องให้เขาเข้าไปอยู่กรงชั่วคราวก่อนค่ะ เพราะตามนิสัยเขาแล้วเขาน่ารัก ไม่เคยกัดใคร แต่ยังไงเสียก็ไม่ควรไว้ใจ ปรกติซุชิจะวิ่งแกล้งแจ่ม แต่วันนี้แปลกๆค่ะ เราเห็นเขาเดินตามซุชิต้อยๆ แจ่มเพิ่งเป็นหนุ่มเต็มตัวไม่นานนี้ค่ะ ส่วนซูชิก็เพิ่งถึงวัยสาว หลานชายคนกลางต้องไปทำงาน ถ่ายหนังสองวัน เลยไม่ได้อยู่ดูแลลูกสาวซูชิ ขณะที่พวกเรานั่งคุยกันบนโต๊ะอาหารอย่างสนุกสนาน พวกเราได้ยินเสียงซูชิร้องอย่างเจ็บปวดเอ๋งๆๆๆๆ พวกเรารีบออกมาดู สิ่งที่เห็นคือ ว้ายย ตายแล้ว เสียงพี่สาวร้องพร้อมหัวเราะ เจ้าแจ่มปั่มปั๊มซูชิ เสียงเราพร้อมหัวเราะอย่างหน้าคว่ำหน้าหงาย ก๊าก ตายล่ะ ซวยแล้วลูกพ่อไปข่มขืนลูกสาวพี่เอ้ หลายชายคนเล็กพูดพร้อมหัวเราะกันก๊ากๆๆ เสียหมาเลยเธอ เสียงพี่เขย หัวเราะ เหอๆๆๆ ขณะที่พวกเราหัวเราะเพราะขำ เจ้าขุนทองกับบราวนี่ ก็หอนประสานเสียงขึ้นมา ประมาณว่าอิจฉาๆเจ้าแจ่ม 5555 เราปล่อยให้เขาพลอดรักกันตามประสาหมา แม้จะพยายามไม่ให้เขาผสมพันธ์ต่างพันธ์ แต่ยังไงเสีย ก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมชาติค่ะ น้องอั๋น หลานคนเล็กรู้สึกกังวลนิดๆ เพราะพี่ชายอุตส่าห์ฝากฝัง ให้ดูแลซูชิ ห้ามไม่ให้แจ่มกระทำชำเรา เพราะทั้งคู่กำลังจะหา สาว หนุ่ม มาเป็นคู่ครองให้ แต่ไม่ทันเสียแล้ว พวกเราเลยเปลี่ยนเรื่องการสนทนาจากเดิมกำลังคุยถึงตัวละครในเรื่องสามก๊ก เล่าปี่ จูล่ง กวนอู โจโฉ กลับมาตั้งถามกันว่า 01 หากพ่อของซูชิ (หลานชายคนกลาง) กลับมาจากทำงานแล้ว เมื่อรู้ว่าลูกสาวพลาดท่าเสียทีให้พี่แจ่ม จะเสียใจมั้ย จะดุซูชิมั้ยว่า ทำไมลูกไม่รักนวลสงวนตัว ก่อนถึงเวลาพ่อจะหาให้ อิ 02 ซูชิจะถูกขับไล่ออกจากบ้านทรายทองมั้ย ข้อหาไม่ปกป้องรักษาเกียรติของหมา 555 03 แล้วต่อไปแจ่มจะทำอย่างไร หากรู้ว่าเขากำลังจะได้เป็นพ่อหมาแล้ว แย่เลยลูกเอ้ย..พ่อยังไม่ทันเตรียมสินสอดไปขอสาวให้เลย แจ่มทำให้พ่ออับอายพี่เอ้ซะงั้น หากเขาเอาเรื่องขึ้นมา แกเสียหมาเลย โธ่..ไม่น่าเลยลูกพ่อ 5555 จบแล่ว เรืองสั้นๆกับวันหยุดของแก้วฯค่ะ 23/08/09 08.52
"โอหลั่นล้า...take me to your heart...take me to your soul..." โบร๊ะ...โบร๋....จ๊ากกก เสียงหมาหอน 5555 คนร้องเพลงเพราะๆ ไหงมาส่งเสียงไม่รู้กาละเทสะเยี่ยงนี้ไอ้หมาน้อย "โหลๆ หวัดดีเจ่เจ้" รับโทรศัพท์จากพี่สาว "ไอ้แสบ วันอาทิตย์จะไปด้วยป่าว"พี่ยิงคำถาม ไม่อ้อมค้อม "ไปๆๆ ไปด้วย" เราตอบไปทันที ไปสิ เรื่องอะไรจะอยู่บ้านคนเดียว "เออเนาะ น้องฉัน ใครชวนไปไหน ก็ไปง่ายๆ ทำไมไม่คิดสักหน่อยล่ะ" พี่บ่นเล็กน้อยพอประมาณ "ก็เค้ารู้ว่า ยังไงเสีย เจ้คงไม่พาไปปู้ยี่ปู้ยำหรอก น้องออกน่ารักจะตาย" 5555 "จะอ๊วก ใครชมๆๆๆ " พี่พูดพลางหัวเราะ "น่านะ หากไม่มีเค้า เจ้จะเหงาน๊า จะบอกให้" เราทำเสียงน่าสงสาร "วันอาทิตย์ มาเจอกันที่บ้านแปดโมงเช้า จะพาไปไหว้พระที่วัดโสธร และไปเยี่ยม ย่ากับก๋งกัน" พี่สาวบอก "โอเคค่ะ แล้วเจอกัน" เช้าวันอาทิตย์ที่ 26 มิถุนายน ที่ผ่านมา เราได้มีโอกาสไปไหว้พระ ทำบุญที่วัดหลวงพ่อโสธร จังหวัดฉะเชิงเทรา ประวัติความเป็นมาของหลวงพ่อโสธรนี้มีผู้เล่าสืบ ๆ กันมาหลายกระแส ได้สอบถามผู้เฒ่าผู้แก่หลายคน ซึ่งท่านเหล่านั้นก็ได้รับฟังมาจากบรรพบุรุษเล่าให้ฟังต้องกันว่า หลวงพ่อโสธร ลอยน้ำมาตามคำว่า มีพระพี่น้องชายกัน 3 องค์ อยู่ทางเมืองเหนือแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ล่องลอยมาตามแม่น้ำจากทางทิศเหนือ เรื่อยมาจามลำแม่น้ำเจ้าพระยา ในที่สุดมาผุดขึ้นใน แม่น้ำบางปะกง ณ ที่ตำบลหนึ่ง และแสดงปาฏิหารย์ลอยทวนกระแสน้ำให้ประชาชนเห็นทั้ง 3 องค์ ประชาชนแถบนั้นต่างพร้อมใจกันอาราธนาเอาเชือกพรวนมนิลาลงไปผูกมัดที่องค์หลวงพ่อทั้ง 3 แล้วช่วยกันฉุดลากขึ้นฝั่งด้วยจำนวนผู้คนประมาณ 500 กว่าคนก็ฉุดขึ้นไม่ได้ เชือกขนาดใหญ่ที่ผูกองค์หลวงพ่อทั้ง 3 ก็ขาดฉุดไม่สำเร็จตามความประสงค์ ครั้นแล้วหลวงพ่อทั้งสามองค์ก็จมน้ำหายไปต่อหน้าคนทั้งหมด สถานที่พระพุทธรูปทั้ง 3 องค์ ได้ลอยทวนน้ำมานั้นเลยได้ชื่อว่า ตำบลสามพระทวน แต่ต่อมากลับเรียกว่า สัมปทวน ได้แก่แม่น้ำหน้าวัดสมปทวน อำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา ทุกวันนี้ ต่อจากนั้นพระพุทธรูปทั้ง 3 องค์ ก็ล่องลอยตามแม่น้ำบางปะกง เลยผ่านหน้าวัดโสธรไปถึงคุ้งน้ำใต้วัดโสธร แสดงอภินิหารผุดขึ้นให้ชาวบ้านบางนั้นเห็น ชาวบ้านได้ช่วยกันอาราธนาฉุดขึ้นฝั่งทำนองเดียวกันกับชาวสัมปทวน แต่ก็ไม่สำเร็จหมู่บ้านบางนั้นจึงได้ชื่อว่า บางพระ มาจนทุกวันนี้ จากนั้นพระพุทธรูปทั้ง 3 องค์ก็ล่องลอยทวนน้ำขึ้นมาถึงและลอยวนอยู่ที่หัวเลี้ยว ตรงกองพันทหารช่างที่ 2 ปัจจุบัน สถานที่พระพุทธรูปทั้ง 3 องค์มาลอยวนอยู่นั้นจึงเรียกกันว่า แหลมหัววน และได้จมน้ำหายไปหลังจากนั้นพระพุทธรูปองค์พี่ใหญ่ ได้แสดงอิทธิฤทธิ์ปฏิหาริย์ ล่อยลอยไปผุดขึ้นที่ลำน้ำแม่กลอง จังหวัดสมุทรสงคราม ประชาชนชาวประมงอาราธนาขึ้นได้ และประดิษฐานเป็นมิ่งขวัญอยู่ที่วัดบ้านแหลมเราเรียกว่า หลวงพ่อวัดบ้านแหลม ทุกวันนี้เป็นที่บูชานับถือกันว่าเป็นพระที่ศักดิ์สิทธิ์ทัดเทียมกับหลวงพ่อโสธร ส่วนองค์สุดท้องได้แสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ลอยล่องไปผุดขึ้นที่ปากคลองสำโรง ชาวบ้านแถบนั้นได้อาราธนาขึ้นแพใช้เรือพายลายจูง ทั้งอธิษฐานว่าจะขึ้นเป็นมิ่งขวัญที่ใด ก็ขอให้แพนั้นจงหยุดอยู่กับที่ แล้วล่องมาตามลำคลองแพนั้นก็มาหยุดอยู่หน้าวัดบางพลีใหญ่ใน จังหวัดสมุทรปราการ ชาวบางพลีก็ได้อาราธนาอัญเชิญขึ้นประดิษฐานอยู่ทีวัดบางพลีใหญ่ใน ก็ปรากฏว่ามีผู้คนเคารพเลื่อมใสมากมายทัดเทียมกับหลวงพ่อวัดบ้านแหลม และหลวงพ่อโสธร ส่วนพระพุทธรูปองค์กลาง คือ หลวงพ่อโสธร เมื่อลอยตามน้ำมาจากหัววนดังกล่าวแล้ว ก็มาผุดขึ้นที่ท่าหน้าวัดโสธร ขอนำประวัติมาให้อ่านพอสังเขปก่อนนะคะ (หากพบประวัติเช่นนี้จากเวบไหน ก็ไม่ต้องสงสัยหรอกค่ะ ไปยืมเขามา แฮ่ะๆ) มาชมภาพกันดีกว่าค่ะ อิ ขณะที่นั่งบนรถ ครูพิมได้โทรไปคุยด้วย พอวางสาย อ้าว จะถึงแปดริ้วแล้วค่ะ หลังจากหาที่จอดรถได้แล้ว ก็เดินเข้าไปด้านในวัดกัน ผู้คนต่างหลั่งไหลกันเข้ามาทำบุญและแก้บนเยอะมากๆค่ะ หลวงพ่อโสธร องค์นี้เห็นเขาบอกว่าเป็นองค์ที่สร้างขึ้นมาใหม่ค่ะ กำลังรำแก้บนค่ะ พระท่านบรรยายบอกว่า หลวงพ่อองค์เดิมประดิษฐานอยู่ที่นี่ค่ะ แต่ตอนไปคนเยอะมากๆ เข้าไปไม่ถึงเลยได้แค่ภาพถ่ายมาแค่นี้ค่ะ หลังจากทำบุญเสร็จ พี่พาเราไปที่ตลาดน้ำบางคล้าค่ะ บางคล้าเป็นเมืองท่าดั้งเดิมริมฝั่งตะวันออก ของแม่น้ำบางปะกงอันเป็นเส้นเลือดใหญ่หล่อเลี้ยงชีวิต จากลักษณะเด่นเป็นเมืองสองน้ำ อันเกิดจากการรุกล้ำของน้ำทะเลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ระดับความเค็มของน้ำในแม่น้ำตลอดเวลา จึงมีระบบนิเวศน์ทั้งน้ำจืดและน้ำกร่อย เพิ่มพูนความหลากหลาย ทางชีวภาพและยังเป็นเมืองอู่ข้าวอู่น้ำด้วยน้ำดีอุดมสมบูรณ์ ด้วยพืชผลการเกษตร บางคล้าจึงเป็นถิ่นกำเนิดข้าวหอมมะลิ และมีชื่อเสียง ทางด้านผลไม้ เช่นมะม่วง และตาลโตนดค่ะ ตอนที่เราไป ตอนนี้ชาวบ้านกำลังนิยมทำสวน ปลูกว่านหางจระเข้กันค่ะ เห็นเงาะป่ารจนาหน้าวัดแจ้ง ยืนแสดงอวดโฉมพร้อมคมขำ อดไม่ได้ถ่ายรูปแถมลูบคลำ เจ้าช่างดำเช่นหงษ์ลงเดินดิน .............................................. ถึงบางคล้าค้าใครก็ไม่รู้ แต่โฉมตรูเริงรื่นชื่นหรรษา ได้ลิ้มลองของอร่อยลอยเรือมา เห็นแม่ค้ายิ้มแย้มแก้มปริเลย ข้าวห่อใบบัว อร่อยค่ะ ขนมตาลหวาน หอม อร่อยค่ะ ย่าว่ายน้ำเป็นมั้ยคะ พลอยว่ายไม่เป็นแล้วเราจะไปเรือเหรอ เหลนสาวอายุ 15 หันมาถามเรา ย่าก็ได้นิดหน่อย ท่ากรรเชียงพอไหว แต่ท่ากันชาย ไม่ค่อยถนัดนะเหลนเอ้ย เราหัวเราะ อะไรนะย่า ท่ากันชาย น้องพลอยทำหน้างงๆ ผ่านลูกผ่าน ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ย่าเล่นมุกเง้อ สู้ๆ สองย่าเหลน ชูสองนิ้ว ลุยค่ะ พี่รูปหล่อคนพาเราไปล่องเรือชมธรรมชาติค่ะ นั่งเรือสัมผัสบรรยากาศที่สดชื่น วัดโพธิ์บางคล้า จะเป็นแหล่งที่ค้างคาวแม่ไก่จำนวนมากมาอาศัยอยู่ค่ะ สังเกตูสีดำๆบนต้นไม้นะคะ นั่นแหละเขาละ แต่แปลกมั้ยคะ เขาจะมาอาศัยในตอนกลางวันเท่านั้น ไม่สร้างความรบกวน ให้ชาวบ้าน ส่วนกลางคืนจะไปหากินที่อำเภอบ้านสร้างจังหวัดปราจีนบุรีค่ะ ย่าๆ กังหันหมุนได้มั้ยคะ น้องพลอยถาม จริงๆแล้ว มันหมุนได้ลูก แต่อันนี้ เขาเอาไว้โชว์เฉยๆแหละ หนูดูสิ ก็เขาเล่นผูกเชือกติดอย่างนั้น มันจะหมุนได้ไงเนาะ นี่คือปากน้ำค่ะ หากเราหันหัวเรือเลี้ยวไปทางซ้ายมือ เราจะได้ไปกราบหลวงลุงแทนที่ปราจีนบุรี อิ แต่เราต้องเลี้ยวขวาค่ะ เพราะเราแค่ไปเที่ยวรอบเกาะเอง ต้นลำพูที่หิ่งห้อยชอบอาศัยค่ะ เด็กๆหลายคนไม่เคยเห็น นี่คือรีสอร์ทของพลตรีสนั่น ขจรประศาสน์ค่ะ ตามคำบอกเล่าของพี่พาเที่ยวค่ะ คงจบเท่านี้ก่อนนะคะ เนื่องจากกล้องแบตฯหมดซะแล้ว แฮ่ะๆ ขอบคุณทุกท่านที่มาอ่านเรื่องสั้นของแก้วประภัสสรค่ะ ขอทุกคน มีสุขภาพแข็งแรง ปราศจากโรคไข้หวัด 2009 ค่ะ
เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เรา (คุณกิ่งโศก//แก้วประภัสสร)ได้มีโอกาสไปเยี่ยม คุณครูแก้วประเสริฐที่บ้านค่ะ คุณกิ่งมารับเราเก้าโมงเช้า ตามเวลาปรกติที่นัด หลังจากนั้นเราเดินทางขึ้นทางด่วนไปตามเส้นทางรามอินทรา เราเอาที่อยู่ที่ครูเขียนไว้ให้ขึ้นมาดู ท่านอยู่รามอินทราซอย109 หลงค่ะ ไปเจอซอยนวลจันทร์ ต้องไปกลับรถตั้งหลักใหม่ เราไปกลับรถกันที่ วัดนวลจันทร์ มองเห็นแล้ว ในใจนึกอยู่ว่า คุณกิ่งจะจอดรถให้เราลงไหว้พระก่อนมั้ย แต่รถเลี้ยวเสร็จก็ออกจากวัดไปเลย แต่ยังไงเสียเราก็รู้ว่า เขาใจดี ยังไงๆขากลับต้องพาแวะมาไหว้พระแน่นอนก็เลยไม่ทักอะไร หลังจากเราก็เข้าสู่ถนนรามอินทรา ผ่านซอยคู้บอน เราชี้ให้คุณกิ่งดูว่า เพื่อนสนิทรอยู่ในซอยนี้ ขับไปเรื่อยๆ จนถึงซอย109 เลี้ยวซ้ายเข้าค่ะ สู่ถนนพระยาสุเรนทร์ เข้าซอย แถวนั้นเป็นหมู่บ้านทหารกองหนุนค่ะ พอเลี้ยวสุดซอยซ้ายมือ เราก็พบต้นพิกุล "เจอแล้วๆๆ นี่ไงคุณต้นพิกุล ที่ครูบอก" เรามองเห็นป้ายหน้าบ้าน เขียนว่า "แก้วประเสริฐ" ถึงจุดมุ่งหมายแล้วค่ะ เรามองเข้าไปในบ้าน ไม่เห็นใครเลยเรียกค่ะ สุดท้ายครูแก้วฯก็เดินออกมา ยกมือไหว้ทักทายเรียบร้อย ครูก็เอาเก้าอี้มาวางสองตัว ลูกแก้วข้างซ้าย ลูกกิ่งข้างขวา ฟังแล้วดูน่ารักดีนะคะ แบมตั้งเองค่ะ แต่ไม่เอาลูกกรอกนะ ไม่ต้องมาพี่กลัว เอิ๊กๆๆ น่านนน จะออกนอกเรื่องอีกแล้วเรา ต่อค่ะ ครูเริ่มสอนและแนะนำทักษะการเขียนกลอน โครง และทิปต่างๆ ทำให้เราได้อะไรอีกมมากมาย การไปพบครูครั้งนี้ จริงๆแล้วตั้งใจไปเยี่ยมผู้ใหญ่ธรรมดา คือไม่ได้มุ่งหวังจะเป็นนักเขียน หรือแต่งกลอนให้เยี่ยม แต่การเรียนรู้ไม่เสียหลาย ยิ่งได้รับจากครูผู้มีประสบการณ์ด้วยแล้ว ถือว่าได้รับความเมตตาอยากมากค่ะ ครูสอนเราสองคน จนถึงเที่ยงได้เวลาทานอาหารค่ะ เราทำอาหารไปฝากครู(ทานด้วย ) ป่อเปี๊ยะหรือเมี่ยงปลาทู น้ำพริกปลาทู ปลาสลิดทอด ตุ๋นมะระ ผัดผัก ตอนแกะปลาให้วางใส่จานให้ครู เรารู้สึกว่า เหมือนได้นั่งแกะปลาให้คุณพ่อตอนท่านยังมีชีวิตอยู่ แวบๆหนึ่งงคิดถึงพ่อขึ้นมาเหมือนกันค่ะ หลังจากทานอาหารกลางวันเรียบร้อย ครูมาสอนต่อ เรื่องโคลงกับกาพย์ยานีค่ะ เริ่มภาคบ่าย คุณกิ่งยังอาการปรกติ นั่งฟังอย่างตั้งใจ ส่วนเราเริ่มหาวค่ะ เหมือนตอนเป็นเด็กเลยแหละ พอครูสอนจะง่วงนอน มองซ้ายมองขวา เอิ๊กๆๆ ได้เพื่อนเล่นแล้ว น้องหมามาคลอเคลียที่ขาเรา มามะมาเล่นกับพี่แก้ง่วงก่อน น้องหมาวนไปเวียนมา เราเห็นครูหันมามองเราเหมือนกัน อิ แต่หนูง่วงอะครู สุดท้าย สนุกๆ จ้องตาโทนี่ right left above below สี่คำ เราใช้นิ้วชี้ไปขวาที ซ้ายที ขึ้นบน ลงล่าง สักพักน้องเริ่มตาละห้อย คริ คริ และเขาก็ค่อยๆ นอนลงกับพื้น ได้ผลๆ เพราะเคยเล่นกับน้องหมาที่บ้านบ่อยค่ะ พอถึงเวลาต้องลาครูแล้ว ครูให้พระเราคนละองค์ หลวงพ่อเปิ่นค่ะ ครูแก้วยังดูหนุ่มๆอยู่เลย แม้อายุท่าน 67 เข้าไปแล้ว ครูเป็นคนอารมณ์ดี คุยสนุก ท่านขับเสภาให้เราฟังด้วยนะคะ ต้นพิกุลหน้าบ้านครูค่ะ ครูเดินมาส่งเราที่รถ หลังจากนั้นยังไม่ค่ำมากนัก คุณกิ่งโศกผู้ใจดี ก็พาเรากลับไปที่วัดนวลจันร์เพื่อทำบุญไหว้พระกันอีกครั้งค่ะ ภาพนี้จะส่งเข้าประกวดงานวัดค่ะ อิ อยากทราบจังเลยค่ะ ว่าเขาเรียกต้นอะไร เขาออกดอกตามโคนต้นค่ะ เห็นแล้วแปลกดีค่ะ เมื่อเบ่งบาน สักวันก็ร่วงโรยค่ะ ครูบอกว่า มองเห็นทุกคนคือ ชื่อ ไม่ได้มองภาพที่สวยงาม มองลึกเข้าไปคือกระดูก หนูแถมน้ำเหลืองให้ด้วยค่ะ พอแค่นี้ก่อนนะคะ ขอบคุณข้าวนุ่มๆที่บ้านคุณครูที่ศิษย์ได้มีโอกาสนั่งร่วมโต๊ะด้วยค่ะ ขอบคุณความรู้ที่ครูถ่ายทอด ศิษย์ไม่ได้หวังว่าจะเป็นคนเก่ง หรือไปแข่งขัน แต่การเรียนรู้ไม่มีวันจบค่ะ ตราบใดที่คุณยังเป็นคนใฝ่รู้ ใฝ่ศึกษา กล้า และกระตือรือร้น คุณจะไม่มีวันล้ม และหมดกำลังใจในตัวเอง ขอบคุณทุกท่านในบ้านกลอน ที่มอบมิตรภาพอันสวยงามให้แก้วประภัสสรค่ะ ขอบคุณจากใจอีกครั้ง
จิ้งจกกับตุ๊กแกเป็นเพื่อนรักกันมาก ทุกวันเขาจะเดินเล่นตามฝาผนัง บนเพดาน บ้างก็ลงมาหาแมลงกินกัน อยู่มาวันหนึ่งฟ้าคำราม ตุ๊กแกได้ยินเสียง ก็เลยนึกสนุก ชวนจิ้งจกมาประชันเสียงกัน จิ้งจกทั้งๆที่รู้ว่า ตัวเองสู้เพื่อนไม่ได้ แต่เพราะความรักเพื่อน ก็ยอมรับคำ ตุ๊กแกลองเสียงตัวเองก่อน "ตั๊บๆๆๆๆ แก...."เขายิ้มให้ตัวเอง และคิดว่า ยังไงเสีย จิ้งจกก็คงเสียงดังไม่เท่าตน เลยหัดร้องๆๆๆๆ ร้องไปเรื่อยๆ สุดท้าย "ตั๊บแก" เสียงเขาแหบลง จนแทบไม่ได้ยิน จิ้งจกนั่งฟังอยู่นาน แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะเปล่งเสียงร้องออกไปแข่งกับตุ๊กแก ทำให้ตุ๊กแกเกิดความสงสัยเลยถามเพื่อนไปว่า "ทำไมปล่อยให้เราร้องอยู่คนเดียว จนเสียงแหบเสียงแห้งเช่นนี้" จิ้งจกหันไปยิ้มให้และตอบไปว่า "เพราะเรารู้ว่า ถึงยังไงเราก็สู้ท่านไม่ได้ เลยขอนั่งฟังเสียงที่ไพเราะของท่านแทน ส่วนเสียงเรา เราจะร้องออกไปเมื่อเจ้าของบ้านกลับมา และจะร้องแทน เมื่อเพื่อนไม่มีเสียง" ตุ๊กแกได้ฟังเช่นนั้นก็รู้สึกรักเพื่อนจิ้งจกมากและบอกว่า ต่อไปนี้เราจะร้องก็ต่อเมื่อ เกิดภัยมาใกล้ตัว ไม่หวังชนะอีกแล้ว จบแล้วค่ะ เรื่องสั้นจาก แบ่มแบ้ม แก้มงาม งามเพราะ เสนาะหู คริ คริ แต่งสดๆค่ะ