18 มกราคม 2552 21:03 น.
แก้วประภัสสร
ระหว่างคนสองคนดั้นด้นเดิน
ระหกระเหินหลงทางอย่างมืดมิด
พบกำแพงใหญ่ขวางทางก็ปิด
หมดหนทางไร้ความคิดช่างมืดมน
คนแรกนั้นทุบกำแพงสุดแรงกล้า
กำลังล้าไม่สำเร็จเสร็จสักหน
คนที่สองพยายามปีนหนีด้วยตน
ทั้งสองคนก็เหนื่อยกายไร้กำลัง
อยากถามว่าวิธีไหนใช่ที่ควร
ลองนึกหวนแก้ปัญหาอย่าพลาดพลั้ง
ความฟุ้งซ่านขลาดเขลาอาจทำพัง
เพราะหมดหวังข้ามกำแพงด้วยแรงกาย
เวลาคนพบปัญหาขาดสติ
มักจะผลิเกินขาดสิ่งมาดหมาย
หากสับสนความคิดจิตวุ่นวาย
ทุบกำแพงหรือปีนป่ายได้อันใด
แก้ปัญหาด้วยสติมิหวาดหวั่น
ยามพลั้งพลาดบากบั่นอย่าหวั่นไหว
บางปัญหาผ่านเวลาขับเคลื่อนไป
กำแพงที่สูงใหญ่อย่าได้กลัว
เหตูผลเดียวคืออย่าใช้อารมณ์
ความรู้สึกขื่นขมพาลปวดหัว
กว้างแค่ไหนลึกเพียงใดไม่เกินตัว
คิดแค่รั้วมากั้นเท่านั้นพอ
16 มกราคม 2552 22:09 น.
แก้วประภัสสร
กระต่ายถาม
กระต่ายน้อยแหงนคอมองดวงจันทร์
เอ่ยปากถามไปพลันเจ้าจันทร์จ๋า
อยู่ข้างบนเจ้าคอยส่องแสงมา
ดูเจ้ายิ้มเริงร่าน่าสุขใจ
เหมือนชีวิตของเธอช่างมีค่า
บนฟากฟ้าหนาวเย็น เป็นไฉน
เจ้าไม่เคยเหนื่อยล้าบ้างหรือไร
กระพริบแสงส่งให้เราทุกวัน
พระจันทร์ตอบ
แสงของเราส่องสว่างอยู่กลางฟ้า
ส่องลงมาสู่โลกเพื่อสร้างฝัน
ใครคนหนึ่งดูไร้ค่าแต่สำคัญ
คือเจ้านั้นกระต่ายจ๋าข้าซึ้งใจ
กระต่ายถาม
เธอมองเห็นอะไรในตัวเรา
อยู่บนโลกอาจโง่เขลา เข้าใจได้
อันตัวเรามีอะไรน่าสนใจ
จึงทำให้หันหน้าลงมามอง
พระจันทร์ตอบ
เราเห็นเจ้าขูดมะพร้าวเช้าจนค่ำ
เย็นก็ย่ำอีกครั้งยังไม่หมอง
คนก็ยังใช้เจ้าไม่เคยมอง
กลัวว่าน้องกระต่ายจะหน่ายใจ
กระต่ายคิดและตอบ
ไม่หรอกพี่พระจันทร์ฉันไม่เหนื่อย
ขอรอยยิ้มมาเรื่อยเรื่อยให้สดใส
กาลเวลาแม้ผ่านเนิ่นนานไป
เพียงข้าขอกำลังใจพี่ใส่มา
พระจันทร์ยิ้ม
กระต่ายจ๋า
เราอยากโน้มตัวลงมาหาเจ้านั้น
แต่ก็ทำไม่ได้ดั่งใจฝัน
ขอเพียงส่งใจให้กันทุกวันเอย
5555 คุณน้องยาแก้ปวดขอ"กระต่ายหมายจันทร์"มา
บิ้วอารมณ์ไม่ได้นะค๊า..ขอเปลี่ยนเป็น
"จันทร์หมายกระต่าย"แทน
ขอขอบคุณ ภาพ กระต่าย
ของน้องฉางน้อยมากค่ะ
13 มกราคม 2552 20:31 น.
แก้วประภัสสร
ขอวันทาอาจารย์ที่เคารพ
ขอน้อมนบก่อนเขียนกวีนั้น
เป็นนิทานเล่าสืบสานตำนานกัน
ให้สำเร็จดั่งข้าฝันในวันนี้
------------------------------------------------
กาลครั้งยังมีลุงหัวหน้าเหมือง
อยู่ในเมืองแห่งหนึ่งซึ่งไกลถิ่น
เมื่อมีเงินเลี้ยงเพื่อนเป็นอาจิณ
แกชอบกินแต่เหล้าเพราะเหงาใจ
พอถึงวัยปลดเกษียรเวียนมาหา
ปรากฏว่าเงินไม่เหลือเอื้อเฟื้อให้
ชีวิตการทำงานอันยาวไกล
กลับไม่เหลืออะไรไว้เพราะใช้เพลิน
ตัดสินใจอาศัยลูกทั้งห้า
เพราะเหนื่อยล้าตามวัยให้ขัดเขิน
วันจันทร์นั้นบ้านลูกสาวอึดอัดเกิน
อังคารเดินไปบ้านนั้นลูกชาย
ก็ถูกลูกและหลานกระทบกระเทียบ
หาว่าลุงเอาเปรียบทานมากหลาย
ทำไมปู่ไม่อยู่บ้านของพี่ชาย
ตัดสินใจเรียกลูกลูกมาทุกคน
พ่อจะไปเหมืองทองคำตามคำเพื่อน
ที่เอ่ยเอื้อนชักชวนให้ฝึกฝน
ไปช่วยเหมืองที่นั่นเพื่อฝึกคน
ลูกทุกคนได้ยินแสนดีใจ
ครบสองปีลุงกลับมาพร้อมลังเหล็ก
ลังใบเล็กใส่อะไรให้สงสัย
ลุงตอบว่าสมบัติชิ้นสุดท้ายไง
เก็บไว้ให้ใครดูแลยามแก่นี้
ลูกทุกคนอาสาพาเลี้ยงพ่อ
วันจันทร์ก็ลูกสาวรับไปถึงที่
อังคารนั้นลูกชายรับกลับทันที
เหมือนเมตตาปราณีต่อพ่อตน
ผ่านเจ็ดปีลุงนี้เสียชีวิต
ลังที่ปิดถูกเปิดฝาอย่าสับสน
พี่คนโตเปิดออกไว้ให้ทุกคน
ผ้าขาวบนลังเหล็กนำมาวาง
มีจดหมายเขียนไว้จากใจพ่อ
ก็ต้องขอขอบใจลูกไม่ไกลห่าง
หินทุกก้อนในลังเหล็กที่พ่อวาง
เป็นความหวังอนุสรณ์ก่อนสิ้นใจ
เตือนลูกลูกเอาไว้ก่อนแก่กัน
ให้เจ้าหมั่นเก็บออมถนอมไว้
อย่าให้เหมือนชีวิตพ่อก่อนจากไป
น่าสมเพชเยี่ยงใดให้เจ้าจำ
ฟังนิทานเล่ามาน่าอดสู
ลูกลูกดูเอาไว้อย่าถลำ
อันพ่อแม่แก่เฒ่าเราต้องย้ำ
อย่ากระทำเหมือนเรื่องเล่าที่กล่าวมา
แก้วประภัสสร
จากนิทานคุณธรรม
12 มกราคม 2552 11:01 น.
แก้วประภัสสร
เคยวาดฝัน รอวัน เป็นเจ้าสาว
ชุดสีขาว สวมใส่ ดั่งใจนั้น
กระดิ่งทอง คล้องใจ กันและกัน
กระชับมั่น พิศวาส มิคลาดคลาย
คอยสักคน เคียงข้าง อย่างถวิล
แม้สุขทุกข์ แดดิ้น ไม่ห่างหาย
ทุกเช้าค่ำ เห็นหน้า พาสุขกาย
กรุ่นกลิ่นอาย อิงแอบ แนบอุรา
ใครคนนั้น เคยฝัน เหมือนฉันไหม
เกี่ยวก้อยไป ชมจันทร์ บนฟากฟ้า
ดาวกระพริบ ทอแสง ส่องลงมา
ตามองตา สานรัก ตระหนักกัน
อยู่คู่กัน เธอฉัน นั้นเหมือนมิตร
คู่ชีวิต ตราบนาน มิแปรผัน
เป็นเหมือนเรือ ลำน้อย ลอยเคียงกัน
ซื่อสัตย์นั้น ด้วยใจ ให้ตราตรึง
คู่ของฉัน เป็นใคร ยังไม่รู้
อาจไร้คู่ เคียงข้าง อย่างลึกซึ้ง
สะดุ้งตื่น คืนสติ ยังรำพึง
หยุดนึกถึง แค่ฝัน เท่านั้นเอง