29 เมษายน 2552 10:54 น.
เอื้องคำ
คำกล่าวที่ว่า "เมืองหลวงลวงหลอก" นั้น มีมานานแล้ว สามสหายทั้งเจ้า อ่ำ เอี้ยง และเจ้าเอก ต่างเคยได้ยินมาตั้งแต่เด็ก แต่ด้วยเหตุที่หมู่บ้านของพวกเขาอยู่ห่างไกลจากความเจริญด้านเทคโนโลยี ความทันสมัยต่างๆ จึงทำให้สามเกลอ ตั้งใจจะเข้ามาในเมืองหลวงอันกว้างใหญ่ ที่ที่มีแสงไฟกะพริบในยามค่ำ มีรถราพลุกพล่านบนถนน และมีห้างสรรพสินค้าหรูหราดูสักครั้ง
"เค้าว่ากันว่า ที่นั่นมีโรงหนังใหญ่ๆ ด้วยนะ" เจ้าอ่ำกล่าว พลางกางแขนออกทั้งสองข้างจนกว้างที่สุด เท่าที่จะทำได้
"อืม...ใช่ " เจ้าเอกกล่าวด้วยสีหน้าชวนฝันเมื่อนึกถึง โรงหนังกว้างๆ แอร์เย็นๆ และระบบเสียงอันกระหึ่มกึกก้อง ตามคำบอกเล่าของลุงปาหนัน
"ข้าอยากไปจังเลยว่ะ สักครั้งก็ยังดี" เจ้าเอี้ยงกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง และเปี่ยมไปด้วยความเบิกบานใจเมื่อนึกถึงเมืองหลวงอันเป็นแดนศรีวิไล
"ตกลง...เราจะไปเมืองหลวงกัน" เจ้าเอกกล่าวหนักแน่นเหลือกำลัง พลางลุกขึ้นชูกำปั้นที่กำไว้แน่นขึ้นสูงๆ พร้อมทั้ง เจ้า อ่ำและเจ้าเอี้ยงเดินมาสมทบและทำท่าทางเดียวกัน
ท่ามกลางความจอแจของรถราบนถนนในเมืองใหญ่ สามเกลอ เอก อ่ำ และเอี้ยงก็เดินทางเข้าเมืองหลวงดังใจนึก
"เราจะไปได้อย่างไรวะ รถเยอะแบบนี้" เจ้าเอี้ยงกล่าวพลางเอามือเกาหัวแกรกๆ
"โธ่...ไอ้โง่ ก็ไปรถแท็กซี่สิวะ" เจ้าเอกกล่าวอย่างมีเชิง
"เอ็งขึ้นแท็กซี่เป็นเหรอ ไอ้เอก" เจ้าอ่ำอดฉงนไม่ได้ เมื่อเพื่อนซี้แนะนำลู่ทางในแบบที่เขาไม่ค่อยมั่นใจนัก
"เอ็งจะไปรู้อะไร ไอ้อ่ำ ข้าถามลุกปาหนันมาหมดแล้วโว้ย" เจ้าเอกกล่าวพลางเอามือกอดอกแบบผู้มีชัย แถมยังยิ้มอยู่มุมปากเล็กน้อย
"ข้าได้ยินมาว่า แท็กซี่น่ะถ้ามันเห็นคนหน้าตาบ้านนอกๆ มันจะหลอกขับวนไปเวียนมา จนเรามึน แถมค่าโดยสารก็แพงลิบลิ่วเลยนะโว้ย.." เจ้าเอี้ยงเสริมขึ้น ด้วยสีหน้าที่แสดงถึงความกังวลเป็นที่สุด
"เอ็งไม่ต้องห่วง คนฉลาดอย่างข้าไม่ตกเป็นเหยื่อง่ายๆ หรอกน่า เราก็บอกเส้นทางมันไปสิวะ มันจะได้ไปตามที่เราบอก" เจ้าเอกกล่าวต่อ
"อืม...ถ้างั้นก็ได้ งั้นก็ไปกันเลย" เจ้าเอี้ยงกล่าวพลางหันไปมองข้างๆ ก็มีเจ้าอ่ำยืนพยักหน้าอยู่หงึกๆ ว่าแล้วทั้งสามก็ขึ้นแท็กซี่ไป
และแล้วแท็กซี่ ก็พาสามเกลอลัดเลี้ยวไปยังห้างดังแห่งหนึ่ง ตามคำสั่งของเจ้าเอก ซึ่งก็เป็นไปดังคิด ใช้เวลาเพียงไม่นานนักก็มาถึง ด้วยความปรีชาชาญของเจ้าเอก
"เท่าไหร่พี่" เสียงเจ้าอึ่งเอ่ยถามแท็กซี่
"สามร้อยบาทครับ" แท็กซี่กล่าวด้วยสีหน้านิ่งๆ
"อะไรพี่ สามร้อยได้ไงแค่นี้เอง" เจ้าเอี้ยงกล่าวด้วยความงุนงง พลางหันไปมองเพื่อนซี้สองคน
"พี่อย่ามาขี้โกงผมซะให้ยากเลย มิเตอร์มันขึ้นแค่ 100 บาท จะมาเอาอะไรตั้ง 300 บาท ไม่มีทางหรอก ผมน่ะรู้ทัน" เจ้าเอกกล่างด้วยสีหน้าจิงจัง ซึ่งก็เป็นไปดังคาด คนขับแท็กซี่นิ่งเงียบไป เหมือนจะรู้ว่า ไอ้สามเกลอนี่ถึงจะหน้าตาบ้านนอกหลงกรุง แต่มันก็มีไหวพริบดีทีเดียว ครั้นจะหลอกเอาตังค์มัน คงไม่ใช่เรื่องหมูๆ
"ครับ ร้อยเดียวก็ร้อยเดียวครับ" แท็กซี่กล่าวด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
"เออ...มันต้องอย่างนี้สิพี่" เจ้าเอกซ้ำมาอีกรอบ ด้วยน้ำเสียงเดิม
"เอ้ย...พวกเรา คนละ 100 โว้ย" เจ้าเอกกล่าวพลางล้วงเงินในกระเป๋าของตน และจากเพื่อนๆ ทั้งสองคน รวมเป็นแบงค์ละ 100 จำนวนสามใบส่งให้คนขับแท็กซี่
"เป็นไงล่ะพวกเอ็ง มันไม่ง่ายหรอกนะ ที่จะมาหลอกคนอย่างข้าน่ะ " เจ้าเอกกล่าวอย่างมีชัย และสีหน้าเต็มไปด้วยความอิ่มเอิบใจในความสามารถของตน หลังลงจากรถแท็กซี่คันนั้น...
10 เมษายน 2552 11:20 น.
เอื้องคำ
ฝนตกหนักทีเดียววันนี้ ฟ้ามืดครึ้มทั้งลมก็พัดซู่ สายลมที่หมุนวนฟูฟ่องอยู่ข้างนอกหอบเอาละอองฝนมาเยี่ยมเยียนสาดใส่ช่องหน้าต่าง แมกไม้เล็กใหญ่ที่รายล้อมอยู่รอบอพาธเม้นเฉพาะต้นสูงๆ ยอดมันโซเซไปมา ทำท่าเหมือนจะหักโค่นลงให้ได้เสียทีเดียว กลิ่นอายละอองฝนเช่นนี้เป็นกลิ่นที่คุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก มันเป็นกลิ่นอดีต เนื้อตัวที่ถูกน้ำฝนเคลือบอาบโชกไปทั่วส่วน ความหนาวเย็นจากห่าฝน เสียงเม็ดฝนแต่ละเม็ดที่ตกกระทบใบไม้ยอดหญ้า พื้นถนน แผ่นหิน ผืนดิน ใบหน้าและแผ่่นหลัง ใช่! คำสัญญาของพ่อ มีคำสัญญากลางสายฝนที่ยังคงตกค้างมาจนทุกวันนี้ ผมจำได้แม่นยำทีเดียววันนั้น...
ท่ามกลางฟ้ามืดครึ้มและสายฝนพรำกลางลำเนาไพรแห่งหมู่บ้านหกภู ผมนั่งยองๆ บรรจงใช้เล็บหัวแม่โป้งกรีดถุงต้นกล้ายางพาราออก เหลือไว้แต่เพียงดินเป็นแท่นทรงกระบอกตามรูปทรงของถุงเพาะ ผมค่อยๆหย่อนมันลงหลุมจากนั้นจึงโกยดินข้างๆปากหลุมกลบโดยไม่ลืมที่จะบี้ก้อนดินให้ละเอียดที่สุดเต็มเรี่ยวแรง เมื่อแหงนมองฟ้าก็ปะทะเข้ากับเม็ดฝนร่วงหล่นเข้าตา เป็นอันแน่ใจได้ว่ากว่าจะผ่านฤดูกาลนี้ไปต้นกล้าต้องเติบโตอย่างอุดมสมบูรณ์ในภายหน้า พ่อหันมาทางผมด้วยสายตาอ่อนโยนพลางหย่อนก้นลงนั่งข้างๆ ผมเหลียวมองรอบๆ ตัวเพื่อให้แน่ใจว่าทากดูดเลือดจะขยับเขยื้อนมาทางไหน เพราะเมื่อวานผมเจอมันที่คอหนึ่งตัว ที่เอวหนึ่งตัวและที่ง่ามนิ้วเท้าอีกสองตัว ถึงแม้ตัวมันจะเล็กเท่าก้านไม้ขีด แต่เมื่อมันได้ดูดกินเลือดจนอิ่มอวบไปแล้วตัวมันจะมีขนาดเกือบเท่านิ้วก้อยเลยทีเดียว สายฝนเช่นนี้เป็นโอกาสที่พวกมันรอคอยกันนัก
"เดี๋ยวเปิดเทอมพ่่อจะซื้อรองเท้้านักเรียนใหม่ให้สักคู่" เป็นน้ำเสียงนุ่มๆที่ผมคุ้นเคยกับสายตาอ่อนโยนแฝงความกร้านแดด ลม ฝน อยู่ในนั้น
"จริงๆนะ พ่อต้องซื้อให้จริงๆนะ" ความลิงโลดดีใจทำให้ผมอดที่จะทักท้วงขึ้นอย่างทันควันไม่ได้
"อืม...เดี๋ยวขายกล้วยคราวหน้าพ่อจะซื้อให้" ผมอมยิ้มอยู่ในใจ แต่ก็ล้นออกใบหน้ามาจนได้ เมื่อนึกถึงรองเท้านักเรียนสีแดงอมโคลนใหม่เอี่ยม พลันได้กลิ่นยางใหม่ๆ ตอนแกะกล่องของมันขึ้นมาในทันที และแน่ใจเป็นที่สุดว่าเพื่่อนๆ ที่เดินไปโรงเรียนด้วยกันทุกเช้าต้องมองเป็นตาเดียวกันอย่างแน่นอน ‘พวกนั้นคงต้องซักกันกันจ้าละหวั่น’ ผมคิดในใจเมื่อนึกถึงรองเท้าคู่ใหม่ พลันพ่อก็ลุกขึ้นเดินนำหน้าไปหยุดอยู่ห่างจากผมประมาณสี่วาในแนวเดียวกันแล้วก้มลงใช้้จอบขุดดินบริเวณนั้นให้เป็นหลุมทรงสี่เหลี่ยมจตุรัสประมาณ 30 เซนติเมตรลึกครึ่งศอก แล้วผมก็ลุกตามไป เนื่องจากเสียงฟ้าร้องทำให้ผมคำนึงได้ว่าไม่ควรอยู่ห่างพ่อให้มากนัก แม้จะเป็นเวลาประมาณบ่ายสองกว่าๆ แต่ก็คล้ายเวลาโพล้เพล้ เนื่องจากเป็นฤดูฝนในดินแดนที่ถูกทะเลขนาบทั้งสองข้าง กอรปกับความดิบชื้นและอุดมสมบูรณ์ของผืนป่ายังผลให้บรรยากาศยิ่งมืดครึ้มวังเวงเป็นทวี อันที่จริงในช่วงเวลาเช่นนี้หากไม่มีฝนตกมักจะได้ยินเสียงเก้งหรือฟานร้อง ผาด! ผาด! ดังก้องมาจากหุบเขา หลายครั้งที่มันแอบมาเล็มยอดต้นกล้ายางพาราของเรา บางทีก็งาบไปครึ่งต้นจนกล้านั้นไม่สมบูรณ์ทำให้พ่อต้องเอาต้นกล้ายางพารามาซ่อมใหม่ ผมเคยเห็นหลายครั้งลักษณะมันคล้ายลูกวัวแต่หางสั้นเหมือนกวาง พ่อเคยบอกว่ามันโตแล้วและจะไม่โตไปกว่านี้ ส่วนพวกเม่นนั้นต่างออกไป เม่นจะกัดกินบริเวณโคนของต้นกล้า โดยเฉพาะต้นกล้ามังคุดนั้นเคยมีปัญหานี้มาแล้ว และมันก็นำไปสู่ต้นเหตุแห่งความบาดหมางใจกับเพื่อนบ้านได้อย่างน่าชมเชย เหตุเริ่มจากเจ้าเม่นพวกนี้ไปกัดกินโคนต้นมังคุดของเพื่อนบ้านที่มีเขตแดนติดกัน มันดันเลาะซะหมดเปลือก เหลือไว้เพียงแก่นต้น เมื่อไม่มีเปลือกส่งน้ำเลี้ยง ต้นมังคุดนั่นก็มีอันต้องดับเดี้ยงลงไปตามยถากรรม จึงเป็นการเข้าใจได้อย่างไม่ยากเย็นว่าถูกกลั่นแกล้ง ถ้าไม่มีการอธิบายกันให้เข้าใจในเรื่องนี้ พวกคนเมืองมาซื้อที่ใหม่อย่างพวกเขาย่อมกระจ่างแจ้งไปได้ยากเย็นตามสมควร พวกเราได้เพียงหวังให้เขาเข้าใจในเร็ววัน เม่นมันคงย้ายฝูงไปหาที่อยู่ที่กินแห่งใหม่เพราะถิ่นเดิมของมันถูกรุกราน และภายในป่าลึกนั้นเม่นนอกเผ่าอย่างพวกมันอาจถูกฝูงเม่นเจ้าถิ่นต่อสู้และขับไล่ อย่างไรก็ดีไม่มีใครรับประกันได้แน่ชัดว่าการเลาะเปลือกต้นมังคุดของเจ้าเม่นพวกนี้มีเหตุผลอันใด
แดนดินถิ่นนี้ช่างเงียบสงัดนัก เมื่อมองไปทางซ้าย ขวา หน้า หลัง หรือจะเฉียงไปทางไหนก็มีแต่ภูเขาและผืนป่าขจี รกทึบ คงด้วยเหตุนี้กระมังที่ทำให้ดินแดนแห่งนี้ได้ชื่อว่า "หกภู" ยามที่ได้ยืนอยู่บนยอดภู ผมชอบตะโกนเสียงออกไปดังๆ แล้วนิ่งฟังความกังวานยาวไกลของมัน ขณะที่เสียงแหวกอากาศไปสู่เวหาด้านล่างนั้นมันได้ซอกซอนไปทุกที่ และผมคือเสียงนั้น ผมกำลังเหินเวหาไปสู่ทุกที่อย่างรวดเร็ว ลมที่โต้มาปะทะเข้ากับใบหน้าและร่างกาย ท่ามกลางความสูงในระดับยอดเขานั้นยังให้ผมอกสะท้านและอิ่มเอิบเป็นยิ่งนัก แต่ในยามหลับช่างตื่นตาตื่นใจกว่านี้หลายเท่า จริงอยู่ที่ดินแดนแห่งนี้จะถูกฝนกระหน่ำไม่เลือกฤดูกาล แต่ทว่าฝนก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด เพราะความสมดุลของดิน ฝน และแดดได้ก่อให้เกิดปุยหมอกสีขาวละมุนในยามเช้า มันโอบคลุมภูเขาลูกใหญ่สีเขียวครึ้มไว้หนาแน่นเสียจนมองไม่เห็นตีนเขา คงเหลือไว้แต่ส่วนยอดของมันที่แทงทะลุปุยหมอกหนาทึบโผล่ขึ้นมาเรียงรายลดหลั่นกันไปสุดลูกหูลูกตา ประหนึ่งว่าเป็นเกาะเล็กเกาะน้อยกลางมหาสมุทรอันกว้างใหญ่นั่นทีเดียว และแล้วเมื่อหมอกควันเหล่านั้นถูกลมเอื่อยๆ ผสานแสงแดดบางเบาที่ยิ่งทวีความแรงกล้าเข้ามาเบียดเสียดแทนที่ในยามสายจนมันเจือจางหายไป ฉับพลันก็ปรากฏให้เห็นเห็ดโคนขาวโพลนไปทั่วผืนดิน มันจะงอกขึ้นมาตรงที่ที่เคยงอกทุกๆ ปี กลิ่นหอมของเห็ดโคนระคนกับกลิ่นไอดินกระจายไปทั่วบริเวณในทันทีที่มันโผล่พ้นผืนดินขึ้นมา แน่ล่ะ! รสชาดที่หวานหอมและเอร็ดอร่อยของมันย่อมเป็นที่โปรดปรานต่อหลากชีวิต ทั้งแมลงปีกแข็งตัวเล็กตัวน้อย สัตว์ป่า และโดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเราพี่น้อง สังเกตได้จากทุกครั้งที่แม่ปรุงเห็ดโคนเป็นอาหาร ไม่ว่าจะผัดน้ำมันพืช แกงเลียงหรือผัดเผ็ด กระทั่งต้มยำ พวกเราพี่น้องย่อมเห็นแก่ฝีมือแม่จึงช่วยกันสงเคราะห์จนหมดหม้อทุกคราไป
เมื่อช่วงเวลาผ่านพ้นมาพอสมควรผมเคยลองถามพ่อ เกี่ยวกับคำสัญญากลางสายฝน พลางหวังไว้ลึกๆ ถึงรองเท้าคู่ใหม่
"เดี๋ยวให้น้องหายป่วยก่อนนะ พ่อต้องเก็บเงินไว้ซื้อยาให้น้อง" คำตอบนั้นไม่มีน้ำหนักมากพอที่จะทำผมปักใจลงไปได้ว่าผมจะได้รองเท้าคู่ใหม่หรือไม่อย่างไร ‘น้องกำลังไม่สบาย โอกาสคงไม่ง่ายนัก ต้องขายกล้วยก่อนอีก นอกนั้นคงไม่มีรายได้อื่นมาเสริมให้มากพอที่จะซื้อรองเท้านักเรียนคู่ใหม่ได้อยู่ดี ยางพาราน่ะหรือ? ต้องใช้เวลาถึงเจ็ดปีกว่าที่ต้นมันจะโตพอกรีดเอาน้ำยางได้ แต่นี่เพิ่งจะเอาลงหลุมเมื่อวานซืนเท่านั้นเอง’ ผมคิดคำนึงถึงวันที่เราตัดกล้วยน้ำว้าจากในไร่ซึ่งอยู่บนเขาสูงชันเพื่อไปขาย จำได้ว่าในวันที่ฝนตกผมเคยกลิ้งลงจากเขาหลายตลบ ส่วนกล้วยที่แบกมานั้นมันกลิ้งแซงผมลงเหวไปเป็นที่เรียบร้อยน่ารักทีเดียว เราช่วยกันขนกล้วยมาที่บ้าน จากนั้นก็ตัดเป็นหวีๆ เรียงกันจนได้ระเบียบและต้องใส่คานหาบหน้าหลังให้หมดภายในเที่ยวเดียว พ่อเป็นคนหาบไปถึงถนนดำหน้าหมู่บ้าน ผ่านเนินควนสูงและลำคลองเป็นระยะทางกว่า 2 กิโลเมตร เราต่างดีใจเมื่อพ่อกลับมา เพราะที่ปลายไม้คานหาบด้านหลังนั้นมีขนมห้อยอยู่ทุกครั้ง เมื่อมาถึงพ่อนั่งลงบนแคร่ไม้ไผ่ใต้ต้นขนุนหน้าบ้าน พลางหยิบรองเท้าบู๊ทคู่กายของแกเคาะลงกับพื้นดินดัง กึก! กึก! เพื่อเททรายที่ติดค้างอยู่ข้างในออก ขณะนั้นเองที่ผมเพิ่งสังเกตเห็น บริเวณพื้นรองเท้าบู๊ทยางคู่นั้นมันขาดจนอ้าออกคล้ายปากพวกเราตอนเล่นอ้าปากรับน้ำฝน แต่ทว่า...
'รองเท้าคู่นี้มันขาดมานานแล้วนี่?' หลายเดือนก่อนผมเคยใส่มันไปเก็บหมากสุกที่หล่นอยู่โคนต้นริม เขตแดนยังถูกหน่อหญ้าคาตำเท้าเสียปวดไปหลายวัน จนผมต้องใช้วิธีจิกหัวแม่เท้าคุดคู้เพื่อเวลาเดินมันจะกดพื้นรองเท้าให้ไม่อ้ามากนัก
'หรือเป็นคู่ใหม่ที่เผอิญขาดบริเวณเดียวกัน?' ...นั่นยิ่งไม่ใช่ไปอีก เพราะจำได้ว่าผมเคยเอามีดเหลาดินสอมาขูดรูปตราดอกดาวเรืองสีเหลืองๆ นั่นจนตราหายไปข้างหนึ่ง อันที่จริงมันจะต้องหายไปทั้งสองข้างถ้าขณะนั้นไม่มีเสียงแม่ตะโกนมาดังๆ ว่า
"อย่าเอามีดไปกรีดรองเท้าพ่อนะ!...ถ้ามันขาดมากกว่านี้เดี๋ยวพ่อก็ได้เดินเท้าเปล่าหรอก" นั่นเป็นผลทำให้ตราดอกดาวเรืองยังคงเหลืออยู่ข้างหนึ่ง ซึ่งเมื่อสำรวจดูก็เป็นข้างขวาที่มีตราเหลืออยู่ ส่วนข้างซ้ายนั้นไม่มีตราอะไรเลยสีมันดำสนิททั้งข้าง มิหนำซ้ำยังเก่ามากขึ้นกว่าวันก่อนหลายเท่านัก
'ทำไมพ่อไม่ยอมเปลี่ยนรองเท้าใหม่เสียที...' ผ่านไปชั่วครู่ขณะใกล้ค่ำเต็มที เสียงน้องก็ร้องดังเจื้อยแจ้วขึ้น แม่กำลังหั่นหัวหอมและฉีกดอกดาวเรืองผสมเข้ากับยาเขียวที่ละลายในน้ำร้อนปนเมล็ดข้าวสารไว้แล้ว ผมเคยกินยาขนานนี้มาหลายครั้งหลายครายามที่ไม่สบาย หลังจากนั้นไม่เคยเกินสามวันอาการก็ดีขึ้นจนหายป่วย และตอนนี้น้องผมก็ต้องกินมันเหมือนกัน แม่คงมีความหวังที่จะให้มันได้ผลกับน้องภายในไม่เกินสามวันเช่นกัน เนื่องจากว่าสถานีอนามัยนั้นตั้งอยู่ห่างจากปากทางถนนดำราวเจ็ดกิโลเมตร รวมกับระยะทางจากบ้านอีกก็เกือบสิบกิโลเมตร ส่วนพ่อออกไปหาปลีกล้วยมาต้มจิ้มน้ำพริก และตัดหยวกกล้วยเถื่อนเพื่อนำมาแกงกะทิกับเนื้อหมูซึ่งนานๆ จะได้กินเนื้อหมูสดจากตลาดที่ไม่ใช่หมูหมักเค็มเป็นส่วนประกอบของมื้ออาหาร แน่นอนว่าแกสวมรองเท้าบู๊ทปากอ้าคู่นั้นออกไป
ผมนิ่งสงบอยู่หน้าชานเรือนกับความสำนึกของตัวเอง มีรองเท้าใหม่สองคู่ระหว่าง รองเท้าบู๊ท กับรองเท้านักเรียนกำลังล่องลอยอยู่ในหัวผม ความคิดที่สับสนในตอนนี้ทำให้ผมไม่สามารถที่จะเลือกข้อไหนได้เลย แต่สำหรับพ่อ เมื่อหวนนึกถึงหลายเดือนที่ผ่านมาทำให้ผมรู้ว่า พ่อได้เลือกคำตอบเอาไว้แล้วเพียงแต่ยังไม่ได้ตอบมัน พ่อไม่ได้เลือกข้อแรก แกรีรอที่จะเลือกข้อที่สอง หลายอย่างทำให้พ่อต้องรอมาจนหลายเดือน และคำตอบนั้นทำให้แกไม่มีรองเท้าบู๊ทคู่ใหม่เสียที "พ่อ"... ผมพยายามเอ่ยคำคำนี้ออกมา ไม่สำเร็จ มันออกมาจากช่องท้องผ่านทรวงอกขึ้นไป แต่มันมากระจุกแน่นอยู่ตรงโคนลำคอ ถึงจะกลืนน้ำลายไปหลายอึก แต่มันก็ไม่ได้กลับลงไปที่เดิม และไม่ได้ออกมาเช่นกัน ลมหายใจถูกบีบจนตีบตัน มันคับแค้นอัดแน่นยิ่งนัก และแล้วน้ำตาก็เอ่อล้นออกมาจากดวงตาที่สุกใส มันออกมาแทนคำนั้น เสียงสะอื้นอันแผ่วเบาตามมาอีกไม่นานนัก มโนภาพที่ปรากฎอยู่เบื้องหน้าในขณะนี้ คือภูเขาอันตระหง่านเงียบขรึมแห่งหมู่บ้านหกภู เป็นภูเขาที่คอยแต่ซึมซับเสียงฟ้าร้อง สายลมแรง สายฝนพรำ และเปลวแดดที่แผดจ้า จนถึงความร้อนหนาวที่เกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลงเรื่อยไปไม่เคยมีวันหยุดหย่อน จากวันนั้นมาผมไม่แน่ใจว่าได้บอกกับพ่อเรื่องเคล็ดลับการจิกหัวแม่เท้าเพื่อป้องกันมิให้หน่อหญ้าคาตำเท้าหรือไม่ แต่ที่แน่ใจคือผมไม่เคยถามพ่อเรื่องรองเท้าคู่ใหม่อีกเลยจนเดี๋ยวนี้
ท่ามกลางฟ้ามืดครึ้มและสายฝนพรำนอกหน้าต่างห้องหนึ่งในเมืองใหญ่ ผมนั่งมองรองเท้าริมประตูทั้งเก่าใหม่หลายคู่่ ขณะที่ข่าวพยากรณ์อากาศในทีวีระบุว่าในระยะนี้อาจมีฝนตกติดต่อกันอีก 2-3วัน เนื่องจากอิทธิพลของพายุโซนร้อนจากทะเลจีนใต้ ผมปิดหน้าต่างแล้วลุกไปเสียบกระติกน้ำร้อน
เอื้องคำ