9 สิงหาคม 2547 10:53 น.

๏ พญาตานี ๏

เอกมาศ

                                 ๏ พญาตานี ๏ 
        ๏ กร่างตระง่านงันงามหน้ากระทรวงฯ	
สง่ากว่าทั้งมวลปวงปืนผา
ตั้งหันผันผืนปืนใหญ่ให้นานนา		
จึงใคร่ถามใครหนา มาบอกความ
         ปากกระบอกกว้างยาวได้ศอกเศษ	
ระบุเพศ พญาตานี ที่ยากถาม
ราชสีห์สลักเป็นศรีอยู่เจือจาง			
กาย ฤา ก็เหลืองอร่ามพลางปืนดิน
          ร่ำร่ำ ใครกันที่ชันชะลอ		
ขอยศยอ สอพลอให้วิเศษสิน
ที่พลัดพา ยันยามาแผ่นดิน			
จากต่างถิ่นที่มา ฟาฏอนี
           ยาวลำปืนถึงสามวากับหกศอก	
ถ้าก่ายกอดคงพรอดพร่ำหนำหัตถี
แปลกแต่ตาเพลามองอยู่หลายที		
โอ้ ตานี นามนี้คือกระไร
      ๏  อยากจะถามผู้ว่าฯ ณ หน้ากระทรวงฯ	
ก็กลัวจะร่วงดอกพิกุลพิรุณเฉไฉ
ครั้นจะตอบกลัวจะดอดออกป่าไพร		
ด้วยมิได้รู้แจ้งและเห็นจริง
          ป่าวประกาศ เอกมาศ มาดชวนหัว	
ฤา นายกลัว รู้แจ้งแจ่มใจสิงห์
ถ้ารู้ว่า ประวัติศาสตร์ เบือนบิดจริง		
จะเอาสิ่งเอาใดไปประกัน
          ศิลปวัฒนธรรมไทย		
เหตุไฉน ลืมความตามเสกสรรค์
หลวงวิจิตรฯ ลวงตา ฤา อย่างไรกัน		
สยามนั้นประกอบไทยให้เป็นแดน
           วิจิตรฯ วิศวกรรม			
ประกอบไทยธรรมา ประกาศแสงฯ
สยามใหม่จะยิ่งใหญ่ วิมานแมน		
เท่าด้าวแดนแสนทัพอัปมงคล

	๏ ลองตรึก ลองตรอง ประวัติศาสตร์ ชาติฉัน๏ 
          
      ๏  ร่ายประวัติวัตถุจากต่างถิ่น		
อันเป็นสินส่วน พระองค์ทรงชะลอหน-
- ครายกทัพ รับหมื่นม่าน พม่าพล		
เพื่อปัด บงส์ เบื้องบาทประกาศนาม
           ลุได้ป้อง สองทัพ ณ มลฑล		
ประมาณการณ์ กล ลุว่าคงจะเสิบสาร
ประกาศก้อง จงน้อมจงกราบกราน		
จำนนจาร ด้วยทหาร แห่งองค์บวรฯ
           ตีแตกให้แตกทัพรับศึก		
แขก คึก ปกปืนป้องก้องสะท้อน
ก้องปืนแสดแก้วหู อยู่รอนรอน		
องค์บวรฯ มิทดถอน ให้อ่อนลา
          แตกเมืองแตกทัพ รายาแห่งตานี	
แตกบ้านจะเสียที่ มาดชาติสิงหา
แตกทัพจะเสียหนึ่ง ซึ่ง ศัสตรา		
แตกกรุงนัคราเสียไพร่ฟ้า ประชากร
      ๏  ประวัติศาสตร์ฝั่งฟาก ฟาฏอนี	
คราเสียที่ ศรี ศัสตราอุทาหรณ์
น้อมเกล้าฯไปผองเพื่อนข้าฯ อย่าวายวอน	
อย่าลืมย้อน ไถ่ถอนข้าฯ พญาตานี
         สุดเทศาภิบาล มลฑล		
ยังได้อยู่ยง ใต้องค์ พระทรงศรีฯ
ยังเป็นสยามอยู่ใต้สุดธารธรณี		
ยังมีที่ ฝังร่างอยู่ อย่างเราเรา
          จนประวัติศาสตร์แห่งชาติไทย	
รุกรานไปจนสิ้นถิ่นแขกเขา
ทิ้งกำเนิด เกิดมาด ชาติไทยเรา		
ลืมภูเขา ลืมดง รกพรงไพร
          ประกาศชาติลืม ทุกชาติชน		
เราทุกคนเป็นชนอื่น ฤา ไฉน
ใช่, เราต่างพันธุ์ อยู่ร่วมกันมิเป็นไร		
แล้วคนไทย ไยเรียกข้าฯ ว่าตานี  .???

................................................................................................................................................................................................................
   ๏       อยู่ใต้ฟ้า ฟ้า บ่ กั้น            กันและกัน ยันชายขอบรอบสยาม
แตกภาษาถิ่น แตกถ้อยเจียรจาร    แต่ไม่แตก ความต่างซึ่ง ความดี.....๏

		รักกัน นะครับ เรารักกันแม้ไม่ใช่ไทยจะเป็นแขก ลาว จีน มอญ พม่า ยวน ฝรั่ง หรือ อย่างไร .......รักกันได้ไม่สำคัญ.....................ที่น่ารังเกียจคือไทยยังแบ่งไทย....แบ่งกันที่ เงิน วาสนา บารมี ...แบ่งกันด้วยอำนาจ ......ข้าพเจ้า เหนื่อยหน่ายเหลือเกิน กับ เล่ห์กระเท่ห์ของคนที่คิดว่าตนเป็นไทยบน แผ่นดินสยาม แบ่งแยกกันที่ชนชั้นที่เราเลือกเกิดมิได้ แบ่งกันทำไม...ทำไม..ทำไม...???
			
				
31 กรกฎาคม 2547 16:31 น.

๏ เสนาะไพร ฯ ๏

เอกมาศ

                                    เสนาะไพร ฯ

	                   ๏  เด่นระเดื่อคู่เคียงมาเรียงร้อย	
          บรรจงกรอยลอยลู่มาสู่เสียง
          ประจบใจประจับจิตรเป็นจำเรียง		
         ไพเราะเสียงประดู่ธรรมประจำใจ
	                   เย็นระรื่อเรื่อยเรื่อยมาเฉื่อยฉ่ำ	
          เย็นเป็นธรรมสำเนียงเฉวียงไหว
          เสียงระฆังดังมาว่าจับใจ			
          แสงเทียนชัยไสวประทีบจีบเจือง
	                   จิดระริดจี๋จ๋ามาแต่รุ่ง		
          มาคละคลุ้งฝูงกามาเป็นเหมือน
          วิหคลิ่วเวหาศมาดชำเลือง			
          จะแชเชือนเหมือนคนก็หาไม่
	                  แดดฉ่ำ ฉ่ำร่ำลาพระจันทร์สวย	
           แสงอำนวยรวยชวยชื่นระรื่นใส
           มาออกเดินเผชิญถนนพ้นล่มไทร		
           มาชมไพรในสงวนให้ชวนชม
	                  แดดจะออกจะรุ่มจะร้อน		
           กลีบผยอมจะตรอมจะสม
           จ้าจะร้อนจะเรื่อยจะทน			
           จะเดินจะชมจะชวนจะชาย
	                 เอื้อยเอื้อยเจื้อยจ้ามาเรื่อยรี่		
           จั๊กกระจี่จั๊กกระจั่นดังหวั่นไหว
           แมลงภู่สู้แสงมาแกมใบ			
           แมลงไรฉับไฉวมาดมดอม
	                 ดอกเข็มเห็นเห่ เป็นเอนไหว		
           ดอกคุณนายตื่นสายฉายเกสร
           ดอกมะลิขาวขาวเย้าภมร			
           ดอกผยอมโชยกลิ่นประทินโชย
	                ระยิบระยับจับตามาสู้แสง		
           ชะเง้อแหงนแจ่มจ้าจนหิวโหย
           มัวแต่ชมรมย์รื่นจนชื่นโชย		
           มาโปรดโปรยโรยราจนหน้ามัว
	                แสงเอื่อยเอื่อยเรื่อยมาว่ายามเย็น	
           เห็นไหมเห็นอัสดงจะลงหัว
           แสงเรื่อยรื่อครืนคราดจนมัวมัว		
           แล้วเข้าครัวคั่วข้าวเอามากิน
	                เย็นย่ำค่ำร่ำลามาร่ำไร		
           สำเนียงไพร ไพเราะเสนาะศิลป์
           ว่ามืดแล้วแคล้วค่ำเป็นอาจิณ		
           จนรุ่งรินแดดเกื้อจะเอื้อคอย ฯ

........................เขียนกวีนิพนธ์นี้ไว้นานแล้ว สองปีได้กระมัง  ตั่งแต่คราวเป็น วีรพโล ภิกษุ ....ยามว่างอยู่วัดบ้านนอก  บรรยากาศสงบจับใจ.......ไม่มีอะไรมารบกวนใจเลย มันคงตะสะท้อนมาถึงกวี บทนี้กระมัง  .........ทำให้ตอนนี้ยังอดที่จะกลับไปเป็นอย่างนั้นอีกไม่ได้  ความสุขที่แท้จริงกลับไม่มี คงมีแต่ความพอใจกับความทุกข์ ที่ได้รับ กระมัง   ...
 .............................ทำให้ทุกวันนี้.....เป็นผมอย่างทุกวัน........สักวันก็ได้แต่หวังว่า โลกของโลกียะ จะไม่นำพาเราไปจนสุดโต่ง เมื่อพอถึงที่สมควรแล้ว โลกุตระ จะกลับคืน.............
 				
30 กรกฎาคม 2547 20:14 น.

...โศก รัก หักกระบี่ ..( กระบี่พร่อง หิมะพริ้ว )

เอกมาศ



                    โศก รัก หักกระบี่ ( กระบี่พร่องหิมะพริ้ว )   

     กระบี่คือกระบี่พู่กันไซร้
ข้าเช่นใครไหนที่ไหลหลง
อักษรกระบี่คู่นี้เจตจำนง
ที่เร้นร่างกลางดงพ้นราคี
                        
      ที่รักข้าปักดอกเบญจมาศ
ปากแต้มชาดงามอาจรัศมี
ข่มจันทราคืนเดียวเหลียวบ่มี
เท่าคนรักข้านี้งามนิจนิรันดร์
					
      กระบี่นี้ที่กลั่นกล้า
ดุจดวงชีวา ณ อาสัญ
งามนุชดุจ ดวง พระจันทร์
กลางแมกหมอกควันที่เลือน ลาง

      กลางทุ่งพรายหิมะ
ยะเยือกเย็น เช่นกลิ่นสาง
ข้าหลงใหลอยู่เป็นประมาณ
โอ้..ว่าอนิจจาวันวารที่ ผ่านเลย

      กับหนึ่งนี้ คัมภีร์ วิเศษ
ปลงสังเวช เสพเพลิศเผย
ปลงปรามาส ขาดทรามเชย
อยู่เป็นคู่เคย เปรยอาวรณ์

      พร่างคืนที่มืดหมอก
เก็บความช้ำชอก ที่ทอดถอน
เก็บกระบี่เหน็บอาภรณ์
ในคืนสะท้อนแสงหิมาลัย

      เอ่ยถามโอ้...ศิษย์รัก
จงตระหนักในสงสัย
ริ้วรอยที่ผ่านมาเป็นสิ่งใด
ที่เร้นร่างกลางไพรมานานปี

      อันสงครามระหว่างรัฐ
เลือดนักต่อนัก...หลั่งหลากสี
อยู่เปื้อนแปดแคว้น..จ้าว..ร้าวปฐพี
ร่างล้มลงหมื่นปี...ไม่มีคืน

      เอ่ยถามถึง....ดั่งจันทร์
อย่าได้เคืองแค้น..แน่น..อกฝืน
สงครามนี้จะมิจบถ้าทบแค้นคืน
แลจิตรเจ้าจะขมขื่นกลืนตัวตน

      กับ..น้ำโจร...ที่ข้ารัก
จงฝังร่าง...หักลง..ณปลายสน
ให้ทิ้งร่างข้าไว้..ให้เปรอปรน
ให้รักเราอยู่จน...ตราบกาลนาน

      โอ้...ชีวานับแต่นี้
สืบจากที่...เราสองลอบสังหาร
เจิ้นอ๋อง..เจ้าจอมภพ..จบ..จักรวาล
ทรงฤทัยหม่นหมาง...พลางเอกา

      โอ้..ว่าโลกานี้..ร้ายนัก
สร้างชีวาดับ..ชีวายก็หายหา
หม่นแต่ชีพที่กำเนิดเกิดมา
อยู่ใต้...ดินใต้หล้า..นภาเดียว

      พรายน้ำงามจับตา
อีกเจ้ายา พร่างพรายเขียว
สะท้อน เงาเขากลมเกลียว
ข้าฯแดเดียว ถึงจากมา 

      อนิจจาโอ้ว่า..เจ้าหิมะ
ใยทิ้งรัก..หัก...อุษา
เพื่อสิ่งใด..เล่า..ชีพชะตา
กับรักร้างราโอ้...อาลัย

      ดาบนี้ที่ทาบแทง
กลั่นกันแสง...แทนแสงไสย
กลั้นน้ำตา....เจ้าดวงใจ
หลั่งรินไหล ...แทนสายโลหิตริน

      ดาบนี้ที่เจ้าสนอง....
แทนรักรอน....ที่โศกสิน
รักเจ้าเหนือผืนฟ้าแผ่นดิน
เพื่อ..แค้นหนี้..ชีวิน ยอมมลาย

      โอ้..ว่า..ที่รักข้าช้าล่านัก
พลันได้เห็นยอดรัก..นั้นก็สาย
ร่างเจ้าทิ้งลง...บนผืนทราย
หัวใจข้าสลายแล ล้มพลัน....

      กอดเก็บรั้งร่างนางโอบกอด
ให้ข้าพรอดกอดร่างนางเถิด สวรรค์
ให้กระบี่นี้แทงทาบ...สองเราพลัน
ให้ทิ้งร่าง ณ แสงจันทร์แสงดาราย
	
      หิมะ....เอยเคยฟังไหม
เสียงหัวใจข้านี้ที่ยามสาย
ชีพเจ้ามอด...ข้าใกล้ม้วยมลาย
โอ้....ชีวายข้ารักเจ้าหิมะเอย

.........................วีรบุรุษทลายฟ้า จากผลงานของ จาง อี้โหม่ว.......สู่ความเป็น ปรัชญาทางการเมืองว่าด้วยเรื่อง ผู้นำเดี่ยว.....ซึ่ง สัมพันธ์ กับยุคสมัยของการเมืองไทยในปัจจุบันมากเสียจริง.........
.....................บางทีการที่มีผู้นำทางการเมืองแต่ผู้เดียวก็ดีกว่า การที่จะแก่งแย่งกันเองของนักการเมืองเสียอีก.........
........................โศก รัก หักกระบี่ นี้ เป็น เพียวส่วนเดียวของ วีรบุรุษทลายฟ้า    (  Hero ) เท่านั้น  เส้นทางความรักกับ ทางการเมืองการรัฐนั้นขนานอยู่บนระนาบแห่งการลวงและความจริง  รักนั้นเป็น ตัวชูโรงของเรื่อง แต่มิใช่เป็นแก่น แต่อย่างใด.....แก่นนั้นก็คงบอกไม่ได้เต็มปาก ว่า  การเมือง .....ว่ากันด้วย คุโณปการ ของ ฉิน อ๋อง  ความลำพองบนความ เอกา  สร้างจีนให้เป็นหนึ่งเดียวตราบจนวันนี้ ด้วย ตะเกียบและภาษา ที่ยาวนาน....... 
				
23 กรกฎาคม 2547 08:25 น.

อาทิตยาตกฟ้า ณ ไกลกังวล

เอกมาศ

                           ไกลกังวล           
         
                    อาทิตยาตกฟ้าที่ไกลกังวล         

           ห่วงแสนหนคำนึงสรรค์  

           ประชาราษฎร์อยู่เย็น อย่างไรนั้น

           ใต้ขอบเขตขันธ์ พันธเสมา

                      เดชพระบรมบพิตรนาถ

           อยู่เป็นแคว้นเป็นรัฐ ราช รักษา

           ฝากจากชื่อนามสืบ อโยธยา

           แต่กรุงมาแต่ครั้งบรรพชน

                     องค์สมเด็จพระ ราม รามา

           บรมราชาราชันย์ เจ้าสถล

           สืบแต่กรุงครั้งมานาน กาล กล 

           ประคองประคลครรภ์ นั้นเรื่อยไป

                    สืบแต่รุ่ง ทิวา ฟ้า

           คณะประชา คณะราษฎร์อำนาจ สิ้นไซร้

           นับแต่นี้ไม่มีแล้ว ประชาธิปไตย

           สืบแต่นี้สืบไป ไม่มีอีกแล้ว ราม รามา ฯ


................    ขอพรพระราชประสงค์ในหวัง

           ชั่วลูกหลานยัง ไป่ สิ้น พุทธเจ้าข้าฯ

           ให้เหลนโหลน ฝากพระราชทินนาม นานมา

           ขอ อภัยทานเถิดฟ้า ข้าฯ พระองค์

                   ขอบูชาพระราชกษัตริย์

           ให้ชูชัก ข้าฯพระบาทสมประสงค์

            สืบจากวัน สละอำนาจ ที่ไกลกังวล

            ๒๔ มิถุนายน เป็นต้นมา.....


    .....๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕  ....ที่พระราชวังไกลกังวล.......ยามนั้น...คณะราษฎร์ ยึด สยาม.............การควบคุมพระองค์แด่ สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต....และจากนั้น กรณี พระองค์เจ้าบวรเดช......จนป่านนี้ใครเล่าจะบังอาจใช้ วันที่ ๒๔ มิถุนายน นี้เป็น วันประชาธิปไตย เล่า....ทำไมเล่า.......... 

.........ปีนี้วันนที่ ๓๐ พฤษภาคม เป็นวาระวัน ครบรอบ ๖๓ ปี แห่งการ สวรรคต ของพระองค์........ณ ประเทศ อังกฤษ......				
8 กรกฎาคม 2547 13:24 น.

เพลงยาว กาพย์ กรุงเทพฯ แห่งกรุงสยาม

เอกมาศ

               กาพย์...พระมหานครแห่งกรุงสยาม
	
                       แลมืดช้าเป็นพัลวัน       แลค่ำลงหลังสนธยา
    มวลหมู่นกหนูสกุณา                          มิเข้ารังแลลาอยู่คราคืน
    พระจันทร์เจ้าพลี้พลี้	                 หลบหลี้หลังตะวันตื่น
    เมฆานั้นก็ลาแลลืม	                 คล้ายคนสะอื้นคลายคลื่นซัดทราย
    แลปรากฎเป็นอัศจรรย์	                 ค่ำครานั้นจันทร์มิส่องแสงฉาย
    ใกล้ทุ่มยามแสงแผ้วมิจืดจาย            กลับแสงส่องอำพรายอยู่ลับตา
    ฟ้าไกลอยู่แสงแดงแดง	                 หมู่แมลงมิแซมพฤกษา
    ทานตะวันนั้นก็หลบสุริยา	                 โอ้ว่านี้หนาช่างอัศจรรย์	

....
                    อมรสถานกรุงเทพฯ	   วิมานเขตนิเวศสวรรค์
    สองศตวรรษอมรกรุงตั้ง	                     กรุงรัตนโกสินทร์พิมานเมือง
    บรมสถานบุราณราช	                       โยธาชาติ พลไพร่ให้ปลดเปลื้อง
    ตั้งสถานกรอบกรุงจนรุ่งเรือง	       ชาติชนสยามชนพึ่งใบบุญ
....
              ครั้นแล้วสองร้อยปีล่วง	       ทุกข์ทั้งปวงเคยมีมิเกื้อหนุน
    ชะตากรุงครั้งใหม่ไม่การุณ	        สยามชนคงชีพดังหลบหลีบ
    แลปรากฎเป็นพิบัติยุค	                       สิ้นสุดดับดวงประทีป
    คร่าตัวตายให้กลบกลีบ	                     เกสรชบาช่วงสนธยาเย็น
    แลปรากฎเช่นนี้นา	                        กรุงศรีอยุธยายุคยากเข็ญ
    คล้ายจะรอให้วายเวร	                      คล้ายดังองค์ดำเนินชาย
    มัวฟ้ามืดมัวชั่วทิวา	                       ราตรีกาลรุ่งกว่าเพลาไหน
    มนุษย์นี้อยู่คืนหรือกระไร	                   ดังค้างคาวอยู่ถ้ำต่ำสกุล
    แลปรากฎเช่นหมอกควัน	                  จางจากจันทร์ดั่งสถุน
    ทิพากรแสงแรงรุน	                       คล้ายองค์ทรงเกรี้ยวกราด
    มาสเดือนที่สามแลสี่	                      ร้อนฉะนี้เป็นวิปลาส
    ดังสุมเพลิงในเตาตาด	                     รุ่มเร้าเผาชีวาว่าเพลิงจุล
    ฆาตกรฆาตกรรม	                        เบือนบังความคราคุ้น
    ไฉนว่าน้ำมีดินสินเป็นทุน	        ประชาราษฎร์กลับคร่าชีวาวาย
    อีกปลอกลอกทองพระประติมา	     ทั่ววัดวาอารามตามเลื่อมใส
    แลปลิดชีพองค์สังฆาลัย	                     ด้วยบุตรองค์พระโคดมเป็นปาจิตตีย์
    องค์เอยก็องค์สม	                         คู่ชมสังคมเป็นศักดิ์ศรี
    แต่งงานดังอยู่กันชั่วชีวี	                     ล่วงมาสเดือนกลับเลือนคำ
    ลูกแม่พรากออกจาก	                      พรากชีวาตจากคืนค่ำ
    เอื้องเหนือแสนระกำ	                      กับเงินตราที่ตราใจ
    ทั่วทิศสยามศก		               ตกต้องเป็นเมืองกิเลศัย
    ไฉนเลยว่าเมืองไทย	                      อยู่ตั้งตนแต่ชนเดียว
    คำคนอ้ายพวกวิจิตรฯ	                     คราคิดเพียงประเดี๋ยว
    ล้อมกรอบสยามเลยเทียว	                  เพื่อตนแลพ้องปกครองไทย
    ตายตกชีพมิเคยได้ดี	                     ไล่หนีจากแผ่นดินนี้ไซร้
    สยามประเทศไทย	                       มิได้เป็นของไทยแต่ชนเดียว...

........................
        สงวนสิทธิ์....

           เป็นเพียงความจากความคิดคนเดียวไม่เกี่ยวข้องกับใคร จะพาดพิงใครก็ขออถัยมา ณ ที่นี้   และจะวิเคาระห์วิจารณ์อะไรก็ไม่ว่าครับ....
เพราะจะไม่เปลี่ยนแนวทางมันไม่ใช่..ความคิดที่ถูกและผิด มันเป็นเพียงความรู้สึกผ่านอักษร...และสิ่งที่มครวิจารณ์ก็ไม่ผิดครับ  เป็นเพียงสิ่ง สะท้อนเท่านั้น
กวีเป็นกวี  แต่ก็เป็นสื่อแห่งมวลชนเช่นกันไม่ใช่แต่ไพเราะสถานเดียว....ขอบคุณครับ 				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟเอกมาศ
Lovings  เอกมาศ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟเอกมาศ
Lovings  เอกมาศ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟเอกมาศ
Lovings  เอกมาศ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงเอกมาศ