16 เมษายน 2547 22:48 น.

ทุ่งทานตะวัน..ตัวฉัน..ผู้มาเยือน

เสือยิ้มมุมปาก

เช้าวันหนึ่ง ผู้คนมากมายมาจากทั่วสารทิศ ตรงมายังลานกว้างที่พวกเราอาศัยอยู่ บ้างก็เอากล้อง เอาวีดีโอมาถ่ายรูป เพื่อนฉันบางคนไม่ได้อยู่ในลานกว้างนี้ แต่เขาถูกใส่ไว้ในถังน้ำรวมกับเพื่อน ๆ อีกหลายคน รอให้คนมาซื้อตัวไป "โอ๊ย !!! " เสียงร้องดังมาแต่ไกล ฉันเห็นเพื่อนหลายคน ล้มฟุบลงไปกับพื้นดิน ตัวเขียวช้ำไปหมด "หวังว่ามันคงไม่เกิดกับเรานะ ไม่งั้นตายแน่ ๆ" ฉันพูดกับ เพื่อนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ สักพักหนึ่ง ผู้คนเริ่มมาเยอะขึ้น พร้อม ๆ กับเพื่อนฉันที่ล้มฟุบไปทีละคนสองคน ฉันเห็นเพื่อนเริ่มตายไปต่อหน้าต่อตา บางคนหัวขาด บางคนถูกเหยียบจนตาย บางคนถูกเอาไปขาย พอสิ้นสุดวันนี้ ฉันกับเพื่อน ๆ ที่อยู่รอดคงต้องจัดงานศพกันอีกหลายวัน นี่หรือ ชีวิตในทุ่งทานตะวันอย่างพวกเรา				
16 เมษายน 2547 22:24 น.

คืนหนึ่ง..คืนหนาว

เสือยิ้มมุมปาก

อากาศราอบๆ คฤหาสน์หลังงามค่อยๆ เย็นตัวลงพร้อมๆ กับแสงอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้าไปอย่างช้าๆ ลมหนาวพัดโชยเอื่อย ปะทะคฤหาสน์เป็นระยะ แสงจากโคมไฟให้ความสว่างไปยังโต๊ะทำงานเบื้องล่าง ชายหนุ่มรูปงามในชุดลำลองทำงานใต้แสงไฟอย่างเหนื่อยอ่อน นกไม้โผล่หน้าออกจากนาฬิการ้อง 'คุกคู' ติดกันสิบสองครั้ง อากาศหนาวได้ทวีความหนาวขึ้นอีก ชายหนุ่มเอี้ยวตัวเป็นระยะเพื่อลดทอนความเมื่อยล้า เสียงสุนัขที่ต้นซอยดังระงมมาแต่ไกล เขาลุกขึ้นแง้มม่านออก เพื่อทอดสายตาออกไปภายนอก เสียงรถยนต์เก่าๆ คันหนึ่งแว่วมาพร้อมแสงไฟหน้าที่ทอดยาวมาไกลๆ เจ้าของเสียงได้มาหยุดลงที่หน้าประตูใหญ่ เห็นเพียงเงาตะคุ่มของใครสักคนหนึ่งลงมาจากพาหนะนั้น ก่อนที่มันจะกลับออกไป เสียงกระดิ่งหน้าบ้าบดังขึ้น แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครได้ยินมัน ชายหนุ่มเริ่มขมวดคิ้วพร้อมๆ กับเดินลงจากชั้นบน คว้ากุญแจบ้านแล้วตรงไปยังประตูหน้าทันที คิ้วของเขาคลายอาการขมวดลงเมื่อใกล้ประตูเข้ามา ประตูเปิดอ้าออก สาวน้อยในชุดลำลองก้าวเข้าประตูมา ทั้งที่ยังก้มหน้าอยู่ ลมหนาวพัดอยู่เป็นระยะ ทุกสรรพเสียงได้เงียบลงหลังจากที่ชายหนุ่มได้ปิดประตูลง คงเหลือไว้แต่เสียงสะอื้นในลำคอของเธอเป็นระยะ เขาเอื้อมมือไปวางบนไหล่เธออย่างนุ่มนวล เสียงสะอื้นทวีความรุนแรงขึ้นจนกลายเป็นเสียงร้องไห้ เธอโผเข้าไปในอ้อมกอดของเขา แนบแก้มลงบนแผ่นอกที่แสนจะอบอุ่นนั้น น้ำตาของเธอไหลออกมาไม่ขาดสาย ชายหนุ่มค่อยๆ ลูบผมอันยาวสลวยของเธออย่างแผ่วเบา และในที่สุด . . . เสียงสะอื้นนั้นก็จางหายไป				
16 เมษายน 2547 22:07 น.

อยากให้เข้ามาอ่านกันนะ ((น่ากลัวจังนะ))

เสือยิ้มมุมปาก

'มีคนฝากบอกมานะครับ ว่าวันนี้ป็นวันเกิดคุณต้อย ขอให้มีความสุขในวันเกิดนะครับ . . . ทุกคนก้าวเข้ามาขยับแข้งขยับขากันต่อได้เลยครับ . . .'
สิ้นเสียงของดีเจในชุดเปรี้ยวตามสมัย เสียงเพลงอันร้อนแรงก็ดังขึ้น . . . แสงวาววาวแวบวาบกับเสียงเบสหนักๆ ของดนตรีเต้นรำสมัยใหม่เหมือนกับจะสะกดทุกๆ คนให้ลุกออกมาขยับตัวตามจังหวะ . . . เว้นแต่ผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ในซอกเล็กๆ ที่มุมห้อง อัดควันบุหรี่เข้าปอด พลางดื่มเครื่องดื่มเปลี่ยนนิสัย เหมือนอูฐที่พึ่งข้ามทะเลทรายมาพบโอเอซิส ภายในใจเขายังครุ่นคิด
'ทำไมคนอย่างเราช่างอาภัพเสัยเหลือเกิน . . . เฮ้อ . . . ใช่แล้ว . . . เรามานั่งเศร้าอยู่อย่างนี้มันช่างไร้ประโยชน์ ทำไม่เราไม่ไปสนุกกับชีวิตเล่า . . . '
คิดได้ดังนั้นแล้วซอกนั้นก็ต้องมีอันว่างเปล่า แต่กลับเพิ่มชายหนุ่มที่มีรอยยิ้มเพิ่มขึ้นกลางฟลอร์อีกคน . . .
แม้แอร์จะเย็นเพียงไร แต่ตอนนี้เหงื่อของเขาเริ่มรวมตัวกันเป็นเม็ดใหญ่ ใหลมารวมกันที่ปลายคาง . . . แขนเสื้อด้านขวาถูกนำมาซับเหงื่ออย่างเคยชิน . . . แต่แล้วปลายศอกก็ต้องไปกระทบกับอะไรเข้าสักอย้าง
'โอ้ย! . . . นี่คุณจะบ้าเหรอ ไม่เห็นหัวฉันรึไง'
ขายหนุ่มค่อยๆ เคลื่อนแขนเสื้อออกจากหน้า และมองตามไปยังเจ้าของเสียงนั้น
'ขอโทษครับ . . .'
มันเป็นคำเดียงที่ชายหนุ่มพูดออกมา ก่อนจะเห็นหน้าคู่กรณีได้ชัดเจน . . . และมันก็เป็นคำเดียวที่เขาพูดได้ก่นถูกมนต์สะกด ด้วยใบหน้าของเธอ . . . ใบหน้าของหญิงในฝันของเขา ใบหน้ารูปไข่เกลี้ยงหมดจด ผมสลวยยาวไปถึงหลัง นัยตาสีน้ำตาลอ่อนใบหน้าได้ส่วน แม้จะรูปร่างไม่ใหญ่ แต่ก็แสดงถึงความปราดเปรียว . . . ตุ้มหูของเธอสั่นไหว . . . แต่นัยตาของเธอกลับจ้องมองนิ่งมาที่เขา . . . ร่างในชุดแสนหวานของเธอกระเถิบเข้ามาใกล้เขามากขึ้น มากจนเขาสามารถสำผัสลมหายใจของเธอ จากปลายคางของเขาได้ . . . เขาไม่สามารถพูดอะไรได้ . . . หญิงสาวมองเขาอย่างตาไม่กระพริบ . . . และในที่สุดเธอก็เอ่ยถ้อยคำที่สุดแสนจะทำให้เขาดีใจ รวมทั้งแปลกใจ
'ชายหนุ่มในผันของฉัน . . .'
ในตอนนี้ไม่มีคำใดที่จะต้องใช้กล่าวพูดอีกแล้ว . . . เขาเดินจูงมือเธอออกมาจากฟลอร์ กลับไปยังซอกเล็กๆ ซอกเดิม . . . การพูดคุยช่างเป็นไปอย่างถูดคอเหลือเกิน แม้เหล้าแก้วแล้วแก้วเล่า จะถูกดื่มกินลงไป แต่ดูเหมืนอทั้งสองจะไม่รู้สึกมึนเมาเอาเสียเลย . . . จากการนั่งตรงข้ามองหน้ากันก็เปลี่ยนไป . . . ทั้งคู่ค่อยๆ กระเถิบเข้าหากัน จนนั่งเบียดกัน แต่ก็ยังคุยกันไม่เลิกรา . . . เวลาค่อยๆ ผ่านไป . . . เร็วจนเกินกว่าใครจะนึกถึง . . . เสียงประกาศด้วยน้ำเสียงเดิมๆ ก็พูดขึ้นอีกครั้ง
'และนี่คงเป็นเพลงสุดท้าย สำหรับคืนนี้แล้วนะครับ ขอให้ทุกท่านมีความสุขมากๆ นะครับ แล้วพบกันใหม่พรุ่งนี้นะครับ สวัสดีครับ'
สิ้นเสียงประกาศทั้งสองต่างมองหน้ากัน . . .
'ไปต่อบ้านผมเถอะ . . . '
หญิงสาวไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่พยักหน้ารับคำ ทั้งสองเดินคลอเคลียกันออกไป ชายหนุ่มพาเธอมาที่รถของเขา ทำท่าจะไขกุญแจ . . .
'ไปรถฉันเถอะค่ะ'
ชายหนุ่มทำท่าครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง แล้วก็เดินเอียงๆ ตามเธอไปยังรถของเธอ . . . ในไม่กี่นาทีทั้งสองก็ได้มาถึงยังจุดหมายปลายทาง . . . หลังจากจอดรถเสร็จ ทั้งสองก็พากันเดินเข้าบ้านชายหนุ่ใปในทันที
การคุยกันอย่างถูกคอเริ่มต้นขึ้นอีกแล้ว . . . พูดอย่างเรื่อยเปื่อยไร้จุดหมาย จนกระทั่งเขาได้พูดประโยคหนึ่งขึ้นมา
'คุณเชื่อเรื่องพรหมลิขิดใหม ?'
หญิงสาวไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่พยักหน้ารับ . . . ทุกอย่างในห้องเงียงลงถนัดตา . . . ชายหนุ่มกระเถิบมาใกล้เข้าทุกที . . . แล้วก็ประทับรอยจูบลงบนริมฝีปากของเธอ . . . ไม่รู้ว่าเป็นเวลานานสักเท่าไร . . . ทั้งสองมองจ้องกันตาไม่กระพริบ แล้วทั้งสองก็พยักหน้าขึ้นพร้อมๆ กัน

                               . . . ค่ำคืนอันแสนหวานผ่านล่วงไป . . .

ในตอนเช้าชายหนุ่มในร่างที่เปลือยเปล่าตื่นขึ้นมา เพราะไม่สามารถสำผัสคนที่เคยอยู่ข้างกายได้ เขาลุกขึ้นมา งัวเงีย มองไปรอบๆ ห้อง . . . แล้วคิดในใจ
'เธอไม่อยู่'
และแล้วก็เหลือบไปเห็นข้อตวามสำคัญ ที่เขียนอยู่บนกระจกด้วยลิปสติกสีแดง . . . 



ยินดีต้อนรับสมาชิกใหม่

จากเหตุการณ์เมื่อคืนทำให้
ฉันแน่ใจแล้วว่าเราได้สมาชิก
โรคเอดส์คนใหม่แล้ว . . . 

ถ้าโชคดีคงได้เจอกันอีก
เมื่อคืนฉันมีความสุขมาก  				
16 เมษายน 2547 22:04 น.

เด็กชายกับไม้ไอติม

เสือยิ้มมุมปาก

'แม่ฮะผมอยากกินไอติมฮะ'
เสียงเด็กชายตัวน้อยพูดพร้อมดึงชายกระโปรงแม่ 
'จะเอาอันไหนละครับ'
คุณพ่ออุ้มเด็กน้อยขึ้นดูไอติมในตู้กลางห้างสรรพสินค้า 
'อันนี้ฮะ'
พูดพลางเด็กน้อยก็เอื้อมไปหยิบไอติมสีเขียวในตู้... หลังจากเดินเลือกสินค้าอยู่อีกพักใหญ่ครอบครัวสุดแสนน่ารักก็หิ้วถุงใบใหญ่เดินออกมายังที่จอดรถ พระอาทิตย์แสนขี้เกียจบัดนี้ได้แอบหลบอยู่หลังเมฆฝนอย่างสบายใจ 
'รีบกลับก่อนฝนตกเถอะค่ะ'
พ่อพยักหน้าพร้อมขึ้นรถ แม้ที่จอดรถจะค่อนข้างพลุกพล่านแต่พ่อก็ได้นำรถออกมาถึงถนนใหญ่ได้โดยใช้เวลาไม่มากนัก เด็กชายนั่งเลียไม้ไอติมอยู่บนเบาะหลังกับข้าวของที่เพิ่งได้ซื้อกันมา 
'ทิ้งเสียเถอะนะครับ'
คุณแม่หันมาคุยกับลูกชาย.. เด็กน้อยส่ายหน้าอย่างน่ารัก แม่จึงหันกลับไปพูดเรื่องอากาศกับพ่อต่อ... 
'แม่ค้าบ... ผมทำไม้ไอติมหล่นไปตรงไหนก็ไม่รู้' ...
'ช่างมันเถอะลูก'
เด็กน้อยยังไม่เลิกรบเร้าจนผู้เป็นพ่อรู้สึกรำคาญ 
'แม่ก็หาให้ลูกหน่อยซิ'
ผู้เป็นแม่เริ่มไม่พอใจกับสิ่งที่พ่อพูด... เจ้าตัวเล็กเริ่มเป่าปี่ 
'ลูกลองหาใต้เบาะดูหรือยังครับ'
เด็กน้อยก้มลงไปหาใต้เบาะ... สักพักก็เริ่มเป่าปี่อีก... 
'แม่ก็หาให้ลูกหน่อยซิ'...
'ไม่!'...
บทสนทนาของพ่อและแม่เงียบลงชั่วขณะ 
'เอ้า! พ่อหาให้ก็ได้'
ผู้เป็นพ่อเหลือบมาดูข้างเบาะของตน 
'นี่ไงลูกอยู่ข้างๆ พ่อนี่ไง'
เด็กน้อยมองเห็นไม้ไอติมแล้ว เสียงร้องกวนใจเงียบลงพร้อมๆกับที่เด็กน้อยเอื้อมไปหยิบไม้ไอติม... 
โป๊ก!... การกระเทือนของรถทำให้เจ้าหนูหัวชนขอบประตู... แต่ด้วยความอยากได้ไม้ไอติมหนูน้อยจึงไม่รู้สึกเจ็บ กลับพยามเอื้มไปจนหยิบไม้ไอติมได้... 
'พ่อครับ ผมหยับไม้ไอติมได้แล้ว'
ไม่มีเสียงตอบจากพ่อ... 
'แม่ฮะ ผมหยิบได้แล้ว'
แม่ก็เงียบเช่นกัน... เด็กน้อยยังนั่งเล่นไม้ไอติมอยูหลังรถ... ...เสียงไซเรนเรียกความสนใจจากเด็กน้อยไปชั่วขณะ รถที่มีไฟสีแดงอยู่ด้านบนมาพร้อมกับเสียงนั้น มันจอดลงข้างๆ รถของเด็กน้อย มีชาย 2 คนเดินลงมา....

...มาบัดนี้หนูน้อยยังสงสัยอยู่ว่า ทำไมเขาต้องมาพาพ่อกับแม่ของเด็กน้อยที่ถือไม้ไอติมคนนี้ไป...				
16 เมษายน 2547 20:49 น.

..สันโดษ..

เสือยิ้มมุมปาก

ถ้าเราสามารถทำให้ภาพที่เห็นกลายเป็นภาพของความว่างเปล่าได้คงดีนะ เพราะวันนี้เราต้องลำบากใจกับภาพที่ปรากฏอยู่ข้างหน้า ทำเอาจิตใจรู้สึกวูบไปเหมือนกัน คิดดูนะเหมือนกับพายุที่โหมเข้ามาแรงมาก แล้วเราตกลงกันแล้วว่าจะถูกพัดไปด้วยกัน แต่เมื่อพายุนั้นพัดผ่านไป เขายังยืนอยู่ที่เดิม แต่เรากลับถูกพัดกระเด็นไปอีกสถานที่หนึ่ง ระยะทางที่เราถูกพัดมาคงแปรผันตรงกับความ ไม่เข้าใจ ที่ทวีมากขึ้นทุกขณะ หลายคำถามที่ผุดขึ้นมาเพื่อลบล้างความไม่เข้าใจดังกล่าว แต่เมื่อนึกถึงเหตุผลแล้ว อาจบอกได้เลยว่า ไม่มี บางครั้งการเป็นคนแบบนี้ควรเป็นสไตล์ของ สันโดษชน ความไม่ต้องการที่จะกลับไปดูกองขยะเดิม ที่เคยผ่านมาแล้วมันผิดหรือ ? ถึงแม้ว่าตัวเราเองเป็นขยะด้วยก็เถอะ เราจะขอใช้ ศักดิ์ศรีของขยะ พัดตัวเองไปจากขยะกองเดิมให้ได้ ถ้าจะพูดว่าเรายึดติดกับสันดานตัวเองมากเกินไป คงเป็นคำกล่าวหาที่รุนแรงและโหดร้ายแต่ก็คงไม่เกินความสามารถที่จะยอมรับของเราหรอก แน่นอน ! สันดานที่ไม่ดีย่อมควรแก้ไข แต่เราคิดว่ามันสมควรแก้ไขสำหรับคนที่มันยังไม่แก้ไขตัวเอง เพราะยังไงมันก็ไม่คุ้มค่าอยู่ดี วิญญาณของการปกป้องตัวเอง ย่อมมีอยู่ในมนุษย์ทุกคนอยู่แล้ว แต่ วิญญาณของการปกป้องผู้อื่นที่นึกว่าเป็นตัวเอง นี่ซิคงจะมีอยู่ในวิสัยของ สันโดษชน เท่านั้น คาบเคมีวันนี้เรียนคำนวณปริมาณสารสัมพันธ์ เรียนแล้วอดนึกตัวเองไม่ได้ที่ยังเป็น สมการไอออน ซึ่งไม่เสถียรสักที หรือถ้าจะนึกถึงการทำปฏิกิริยาเคมีมันก็คงเป็นสารที่ไม่ยอมทำปฏิกิริยากับสารอื่น เป็นสารเคมีที่รักในความไม่เสถียร แหกกฎของสารเคมีทั้งหลายทั้งปวงอยู่นั่นเอง เมื่อความสามารถที่จะรวมชีวิต 2 ชีวิตให้มีวิญญาณเดียวกันไม่สำเร็จ เราก็จะขอยืนหยัดอยู่ด้วยตัวเองให้ได้ มันคงไม่ใช่ความล้มเหลวครั้งแรกหรอก มันเป็นแค่การเปิดประตูสู่ความล้มเหลวเท่านั้นเอง คงเป็นอีกบทเรียนที่เจ็บปวดสำหรับคนที่พร้อมจะเจ็บปวดอีกแล้วนะ.				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟเสือยิ้มมุมปาก
Lovings  เสือยิ้มมุมปาก เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟเสือยิ้มมุมปาก
Lovings  เสือยิ้มมุมปาก เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟเสือยิ้มมุมปาก
Lovings  เสือยิ้มมุมปาก เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงเสือยิ้มมุมปาก