24 กุมภาพันธ์ 2551 12:57 น.
เสี้ยว
...ความสุขของการที่ได้รักคือ
การมีความสุขที่เราได้ให้
และมีความสุขที่ได้เห็นคนที่เรารักมีความสุข
คงไม่ผิด ถ้าจะบอกว่า การให้ความรัก คือ
การส่งผ่านความสุข และความปรารถนาดี
และไม่ว่าคนรับเขาจะรู้หรือไม่ก็ตาม
หัวใจก็ไม่ควรจะถูกปิดกั้น
หัวใจและความรู้สึกไม่ได้มีอยู่เพื่อถูกกักขัง
เพราะหากถูกปิดกั้น กักขังความรู้สึกเสียแล้ว
จะส่งผ่านความสุขและความปรารถนาดีได้อย่างไร
ปล่อยให้ใจได้รักเถิด
แล้วจงให้ความรักนั้น บันดาลความสุข
ให้เกิดขึ้นในใจของเราเอง
รัก และให้เถิด เพื่อความสุขของเรา
รักแล้วก็รักให้สุด
เพื่อเรียนรู้ให้ถึงแก่นของความรัก
เพื่อที่จะได้ลิ้มรสความสมหวังให้ได้มากที่สุด
และรับรู้ถึงความเจ็บปวดให้มากที่สุด
การหัวเราะและการร้องไห้ ไม่ใช่อะไรเลย
นอกจากการออกกำลังกายให้หัวใจตัวเอง
ไม่มีใครรู้ได้ว่ารักจะนำเราไปทางไหน
เราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นพรุ่งนี้
เราจะทำอะไรเพื่อเขาได้บ้างในวันพรุ่งนี้
จะยังมีเขาให้เรามอบสิ่งต่างๆให้หรือไม่
แม้ตัวเราเอง ก็ไม่รู้ว่าจะยังมีลมหายใจไว้รักเขาอยู่หรือเปล่า
ความรักจึงวางแผนไมได้ จะไปคิดถึงวันข้างหน้าทำไม
ปล่อยไปตามธรรมชาติเพราะความรักนั้นมีชีวิต
ไม่ใช่สิ่งที่ถูกล้อมกรอบ และตั้งทฤษฎีเอาไว้
ผลสำเร็จของความรัก ไม่ใช่อยู่ที่การที่เขารักเราตอบ
เพราะถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้รับรู้ความรักนั้นเลย
ความรักของเราก็ไม่ได้มีค่าลดน้อยลง หรืองดงามน้อยลง
เพราะคนที่จะรักษาให้ความสวยงามของความรักคงอยู่
คือตัวเราเอง ไม่ใช่ตัวเขา
ความรักที่ไม่คาดหวังนำมาซึ่งความสุขเสมอ
รักเพียงเพื่อจะรักเขาเท่านั้น
ไมใช่รักเพื่อจะให้เขารักเรา
เพราะหากคาดหวังแล้ว ก็ย่อมมีผิดหวัง
ความผิดหวังนำมาซึ่งความเจ็บปวด
แต่เมื่อไม่ได้หวังอะไรอยู่แล้ว
ก็ย่อมไม่มีอะไรจะต้องมาเสียใจ
ไม่เศร้า ไม่โกรธ ไม่เกลียด
และมีแต่ความงดงามให้ระลึกถึงเสมอไป
แต่หากทำไม่ได้ และต้องเจ็บ ก็จงอยู่กับความเจ็บนั้น
ถือโอกาสเก็บเกี่ยวความรู้สึก และประสบการณ์
เรียนรู้ตัวเองจากความเจ็บปวด ผ่านบทเรียนแต่ละบท
เพื่อให้อารมณ์ของเราเข้มแข็งขึ้น
สิ่งที่เจอให้วันนี้ อาจจะช่วยหล่อหลอมให้เราเข้มแข็ง
พอที่จะเป็นที่พึ่งให้ใครอีกคนที่กำลังตามหาเราอยู่ก็เป็นได้
หากไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเขา
ก็จงเรียนรู้ความรู้สึกของการเป็นคนนอก ของการเป็นคนห่างไกล
ซึมซับความรู้สึกที่ไม่สมหวัง
แต่อย่าไปแปรเปลี่ยนความรู้สึกตัวเอง
และอย่าบงการให้มันถลำลึก
ดูเสีย มันจะไปถึงเท่าไหร่กัน
และนั่น จะทำให้เราเริ่มออกเดินทาง
และค้นพบความสวยงามอันลึกลับของความรู้สึก
ก็ใครบอกเล่าว่าความสวยงามนั้น มีเพียงแค่เรื่องที่เป็นสุขเท่านั้น
บางบทบางตอน แม้เพียงเก็บไว้มันก็สวยงามที่สุดแล้ว
โศกนาฏกรรม กลับกลายเป็นวรรณกรรมที่งดงามที่สุดมานักต่อนัก
ความเจ็บปวดที่เจอนี้ มันก็เป็นความงดงามของชีวิตเช่นกัน
ก็เจ็บไปเถิด ตราบเท่าที่ยังเต็มใจ
อาจดูโง่เขลาเบาปัญญาหากเราผ่านมันมาแล้ว
แต่หากหัวใจยังเป็นสุขกับการทำเช่นนั้น ก็เอาเถิด
อย่าพยายามดึงหัวใจกลับบ้านถ้ามันยังไม่อยากกลับ
การฉุดรั้ง ไม่ยิ่งทำให้ถลอกปอกเปิกหรือ
สิ่งใดจะเกิดก็จงปล่อยให้มันเกิด
ปล่อยให้มันเป็นไป หัวใจจะหลงทางก็ปล่อยให้มันหลง
อยากกลับเมื่อไหร่ก็คงจะกลับมาเอง
ไม่เคยมีการตัดสินใจใดๆหรอกที่ถูกต้อง
ไม่ว่าจะทำอย่างไร ผลก็คือ ต้องเสียใจอยู่ดี
และในเมื่ออย่างไรก็ต้องเสียใจอยู่แล้ว
จะยังยอมเสียดายหากไม่ได้ทำอีกอย่างนั้นหรือ
มันไม่ใช่การสูญเสีย เพราะเราสูญเสียสิ่งที่เราไม่มีอยู่แล้วไม่ได้
ก็แค่เฝ้าดูหัวใจตัวเอง ติดตาม และเรียนรู้มัน
จากความเจ็บปวด ความปีติ ที่เราได้รัก
มันก็เป็นแค่การเรียนรู้เท่านั้นเอง
8 สิงหาคม 2549 12:54 น.
เสี้ยว
เคยได้ยินมาว่าความรักนั้นคือสิ่งที่สวยงาม
ไม่ว่าความรักนั้นจะเป็นสิ่งที่เป็นสุขหรือเป็นทุกข์
ความรักก็ยังคงเป็นประสบการณ์ล้ำค่าที่หัวใจควรจะเรียนรู้
ความรักจึงควรได้รับการต้อนรับอย่างยินดี
แล้วทำไมความรักจะต้องโดนรังเกียจ
ทำไมความรักจะต้องเป็นเป้าหมายของอคติและความหมั่นไส้
มันผิดมากนักหรือกับการที่เราจะรักใครสักคน
มันผิดมากนักหรือกับการทำตามสิ่งที่หัวใจอยากจะทำ
โดยไม่ได้ผิดทำนองคลองธรรม หรือไปแย่งแฟนชาวบ้านเขามา
ทำไมการรักใครชอบใครสักคนทำให้ต้องถูกนินทาว่ากล่าว
โดนหมั่นไส้ โดนตั้งแง่ โดนกล่าวหาว่ามารยามารหญิง
แล้วทำไมความรักของผู้หญิงคนหนึ่งจะต้องถูกกักขัง ถูกกีดกัน
ถูกจองจำให้ต้องอยู่แต่เพียงภายใน จะต้องไม่แสดงออกให้ใครเห็น
ผู้หญิงทำได้แค่การแอบรักเท่านั้นหรือ
หรือจริงๆแล้วความรักนั้นไม่ได้จรรโลงโลก ไม่ได้ทำให้ทุกสิ่งสวยงาม
ความรักก่อให้เกิดแต่เพียงความเกลียดชัง ความริษยา ความเครียด
เป็นอย่างนั้นจริงๆหรือ
***************************************
การที่เราไปชอบไปรักใครเข้าสักคนหนึ่ง
ทำไมถึงต้องโดนนินทา โดยเสียดสี
การได้เห็นหน้าคนที่เรารักกลายเป็นความอึดอัด
ไม่กล้ามองหน้า ไม่กล้าสบตา เพราะกลัวจะโดนนินทา
ทำไมความรักนำมาซึ่งความไร้อิสระ
อิสรภาพของหัวใจที่จะทำสิ่งที่ต้องการนั้น ได้ถูกพรากเอาไปเสียแล้ว
ความรักยังเป็นสิ่งที่ดีอยู่หรือ
ความรักที่เราเก็บอยู่ข้างใน มันสมบูรณ์แล้วกระนั้นหรือ
เราไม่ได้ต้องการให้คนที่เรารักได้รับรู้เลยหรือ
หัวใจเราจริงๆต้องการอย่างนั้นหรือ
แต่ความรักที่บอกไม่ได้ เพราะกังวลสายตาคนรอบข้าง
มันสมเหตุสมผลหรือเปล่า
*****************************
เสื้อหนาวของพี่ชายที่ถอดคลุมไหล่น้องสาวคนนี้
มันไม่ได้เต็มไปด้วยความปรารถนาดีหรอกหรือ
หัวใจน้องสาวคนนี้อบอุ่นยิ่งนัก แม้ว่าพี่ชายจะไม่ได้คิดอะไรเลย
แต่แล้วก็เหมือนกับโดนผลักตกเหว
ด้วยคำพูดอะไรสักอย่างของใครสักคน
การรับความปรารถนาดีนั้น มันผิดด้วยหรือ
แม้แต่การคิดไปเองอยู่คนเดียว
ตีความเอง เข้าข้างตัวเองไปเองเงียบๆ
ก็ต้องถูกตั้งข้อรังเกียจด้วยหรือ
สังคมนี้มีพื้นที่สำหรับหัวใจอิสระได้โบยบินหรือไม่
****************************
อยากให้หัวใจลอยไป...ลอยไป ยังดินแดนที่ไกลโพ้น
ที่ที่ความคิดจะโผผิน ที่ที่ความรักโบกบินตาม ที่ที่ความงดงามจะพาใจล่องลอยเสรี ผ่านภูผาข้ามท้องนทีที่อ่อนโยน.....ที่ที่ความท้อจะจางหาย ที่ที่ความทุกข์จะกลับกลาย ที่ที่มีไฟพร่างพราว ส่องสกาวตามแสงดาวพริบพราย และความฝันที่มอดมลาย จะหวนคืน....จะกลับมา....
19 สิงหาคม 2545 22:09 น.
เสี้ยว
จริงอยู่ ผีเสื้อสมุทรเป็นตัวแทนของความดุร้าย
ความโหดเหี้ยม
ความหื่นกระหาย
ความอัปลักษณ์
แต่ใครเล่าจะนึกบ้างว่า ที่สุดแล้ว เธอก็เป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้นเอง
ผู้หญิงที่สุดท้ายก็จบชีวิตลงด้วยน้ำมือของคนที่เธอรักอย่างสุดหัวใจ
จบลงด้วยเสียงปี่วิเวกหวานของพระอภัยมณีผู้ที่เป็นสามีที่เธอรักยิ่ง
เธอโกหกหลอกลวงพระอภัยมณี นั่นเป็นความจริง
แต่มันเป็นไปเพราะรักมิใช่หรือ
หรือที่สุดแล้ว ความอัปลักษณ์ของเธอคือสิ่งที่ฆ่าตัวเธอเอง
คุณรู้อะไรอีกอย่างหนึ่งไหม..
ผีเสื้อสมุทรนั่นแหละที่สะท้อนนิสัยส่วนลึกของผู้หญิงออกมา
เมื่อผู้หญิงรักใครแล้ว เธอจะยอมทุกอย่างที่จะทำเพื่อคนที่เธอรัก
สำหรับบางคนแล้วแม้ว่านั่นจะเป็นสิ่งที่ผิดเธอก็พร้อมจะทำ
ความรักของผู้หญิงนั้น มากขึ้นเรื่อยๆ ตามวันเวลาที่พ้นไป..
.ตรงข้ามกับคุณหรือเปล่า.
ฉันขอถามคุณอย่างหนึ่ง..
ถ้าในวันหนึ่งคุณพบว่า แท้จริงแล้วฉันไม่ได้เป็นสิ่งที่คุณเคยเข้าใจหรือคาดหวังไว้เอาไว้เลย
คุณจะขึ้นขี่หลังนางเงือกหนีจากฉันไปไหม
ฉันอยากรู้
ถามใจคุณดูก่อนนะ
18 สิงหาคม 2545 22:56 น.
เสี้ยว
ฝนเริ่มลงเม็ดพอดีที่ฉันไปถึงที่นั่น ลานกว้างๆ ร้านอาหาร และเวทีกลางแจ้ง จากมุมของฉันนั้น ฉันรู้สึกว่าตัวเองโชคดีเหลือเกิน ที่ฝนตกก่อนที่ฉันจะสั่งอาหาร ไม่งั้นฉันคงต้องกินกลางฝนแน่ๆ คงลำบากพิลึก เอ้า...ฝนตกก็ตก ไม่เป็นไร ฉันก็คงต้องเปลี่ยนแผนไปกินที่อื่น เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ฝนจะหยุด และเก้าอี้ก็คงเปียกหมด บรรดาลูกค้าที่นั่งกินกันอยู่ครึ่งๆกลางๆ ต่างก็พากันมองอาหารที่ยังไม่หมดนั้นด้วยความเสียดาย แต่ฝนก็แรงขึ้นทุกทีๆ จนต้องทิ้งข้าวปลาอาหารหลบเข้ามา ฉันบอกแล้วไง ว่าดีนะเนี่ยที่ฉันไม่ใช่หนึ่งในนั้น ฉันคงเสียดายน่าดู คุณอาจสงสัยว่าฉันเล่าเรื่องปกติธรรมดาของชีวิตเหล่านี้ให้คุณฟังทำไม มันก็คงเป็นเหตุการณ์ธรรมดาที่สุดอย่างหนึ่งสำหรับฉันเหมือนกันแหละ ถ้าหูตาของฉันไม่(เสือก)ไปรู้เห็นเหตุการณ์เหล่านี้
"ป้าๆๆๆๆ ไม่ต้องผัดแล้วล่ะ ฝนตกแล้ว ฉันไม่กินแล้วล่ะ"
"อ้าว! แล้วกัน จะเสร็จแล้วคู้ณ เดี๋ยวฝน...........ว้า! ไปซะละ"
ว่าแล้วคุณลูกค้าคนสวยก็เผ่นแผล็วไปเร็วพอๆกับฝนที่จู่ๆก็ตกลงมา........เต็นท์ขายอาหารกลางแจ้งที่เรียงรายอยู่ประมาณเกือบ 20 ร้านนั้นเศร้าสร้อยไปตามๆกัน ฝนยิ่งตก ลูกค้าก็ยิ่งลด แล้วไอ้ที่ผัดที่แกงเอาไว้ครึ่งๆกลางๆนี่ล่ะ ใครจะกิน แต่ละร้านก็มองลูกค้าที่วิ่งหลบฝนกันอย่างสลดหดหู่ไปหมด
ของสดๆที่เหลืออยู่นี่ก็เก็บไว้ไม่ได้ ขาดทุนขนานใหญ่ทีเดียว
ฉันอ่อนไหวกับเรื่องราวเหล่านี้ ........ภาพในสมองฉันย้อนกลับไปหาเมื่อหลายสิบปีก่อน คุณตาฉันเป็นช่างตัดกางเกง วันไหนที่ฝนตก วันนั้นร้านตัดกางเกงของตาจะเงียบเหงาที่สุด แทบจะไม่มีเสียงการสัญจรผ่านไปมาเลย มีแค่เสียงหยดน้ำที่ตกลงกระทบแอ่งน้ำเจิ่งนองเท่านั้น มันยิ่งย้ำถึงความเฉอะแฉะของถนนหน้าบ้าน แน่นอน ไม่มีใครคิดอยากจะตัดกางเกง ทั้งบ้านก็นั่งตบยุงกันให้เป็นที่รำคาญกันไปหมด
ตอนนี้คุณตาฉันก็เสียไปเป็น 10 ปีแล้ว ฉันไม่ได้สัมผัสบรรยากาศอย่างนั้นอีก จนมาถึงวันนี้ วันที่ฝนตก ฝนซาแล้ว ฉันไปสั่งก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ ป้าเขารีบทำให้ฉันอย่างกระตือรือร้น ฉันเห็นใบหน้าป้ายิ้มแย้ม ภาพนั้นซ้อนด้วยใบหน้าเหี่ยวๆของตาฉันเมื่อลูกค้าเดินเข้าร้าน
เอ้า! ไปเช็ดเก้าอี้ให้คุณเขาหน่อยซิเอ็ง
หูฉันคงแว่วอีกแล้วกระมัง
ลื้อนั่งก่องๆๆๆ เดี๋ยวอั๊วเอาน้ำชาให้ลื้อน้า
คืนนี้ ก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่รสเค็มปร่าอย่างไรก็ไม่รู้
12 สิงหาคม 2545 22:42 น.
เสี้ยว
เหตุการณ์แรก
..................
ฉันนั่งอยู่ในบ้าน
ข้างนอก ดูเหมือนฝนใกล้จะตก
ฉันเดินไปหยิบร่ม หยิบรองเท้า
เปิดประตูบ้าน.....อ้าว ! อากาศแจ่มใส
ไม่มีวี่แววว่าฝนจะตกสักนิด
ฉันเดินเข้าไปในบ้าน เก็บร่มไว้ที่เดิม
มองไปภายนอก.......บรรยากาศอึมครึมพิกล
ฉันชักสงสัย.....อะไรกันแน่?
เดินไปเปิดประตูใหม่
โธ่เอ๋ย...ฉันไม่ได้เช็ดกระจกนี่เอง.........
..........................
เหตุการณ์ต่อมา
ฉันเดินออกไปนอกบ้าน
.....ฉันพบเขา.....โดยบังเอิญ
เขาดูเปลี่ยนไปในความคิดฉัน
อดคิดไม่ได้ว่า.....เขาดูเหงาจัง
เป็นอะไรไปนะ ฉันเดินเข้าไปหาเขา
หนึ่งก้าว.........สองก้าว..........สามก้าว.....
แล้ว...........
|
|
|
|
|
|
|
...หยุด...
ใครคนหนึ่ง.......เดินเข้าไปหาเขา
พร้อมกับน้ำ 1 แก้วโตๆ มีหลอด 2 อัน อยู่ในแก้วใบนั้น
เขา......ลุกขึ้น แล้วเดินเข้าไปหาใครคนนั้น
ฉันหันหลังกลับ....รู้แล้ว
ฉันลืมเช็ดหัวใจตัวเอง........
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
กระจกมัว ทำเอาท้องฟ้ามัวไปด้วย
หัวใจหมอง ........ก็เล่นเอามองคนอื่นหมองไปด้วย....บ้าจัง