28 มิถุนายน 2554 08:23 น.
เสี้ยว
เคว้งๆ เว้งว้าง
คว้าความว่างตรงหว่างฝัน
มืดมิดในความคิดอนันต์
เมามายคืนวันผ่านชีวิต
ติดกรอบแสวงหา
บนมรรคาที่ต่างยึดติด
ขอบเขตความรักและความคิด
ปิดลับดำมิดอยู่อย่างนั้น
บางครา .. หลับตาตื่น
บางคืน .. ลืมตาฝัน
เมื่อสองฟากเคลื่อนจากกัน
จึงตกอยู่หว่างคืนวันเช่นนี้
เงี่ยฟังเสียงสะท้อน
อาจมีเสียงเว้าวอนริบหรี่
หากความเงียบยังปกคลุมตรงนี้
กดกอดความรู้สึกที่มี, พันธนาการ
แต่เพราะความรัก มีความรั้น
ตำนานความฝันจึงถูกเล่าขาน
สุดเขตกฏเกณฑ์คือจินตนาการ
หากผู้เล่านิทานมักเดียวดาย
ที่สุดขอบความฝัน
เรื่องราวร้อยพันจะสูญหาย
เพียรสร้างเพียรทำไม่เว้นวาย
จะมลายเมื่อยามลืมตา
นิทานเรื่องยาวเริงร่าย
บอกเล่างมงายอย่าถือสา
เมื่ออ่อนล้ายามสิ้นศรัทธา
มีหวังไหมว่าจะได้กลับคืน
เหนื่อยแล้วสิใจเจ้า
ยิ้มเก่าๆ จึงฝืดฝืน
บนสองเท้าที่ยังหยัดยืน
ทรนงเต็มกลืนแล้วใช่ไหม
ใจเอย ... ตรงรอยบากของเส้นทาง
โดดเดี่ยวอ้างว้างกว่าครั้งไหน
ลืมเสีย ลืมตา หรือบ้าต่อไป
หรือยอมรับเงียบๆ ในใจว่า .. ยอมแพ้ .. ?
22 มีนาคม 2554 01:52 น.
เสี้ยว
แสงจันทร์หม่นร้าว
แสงดาวพลอยห่างหาย
ส่องแสงริบหรี่พร่าพราย
มึนหมองเมามายใต้เงาจันทร์
เลือนพร่าหรือลาห่าง
หรือเลือนลางเพราะพิษฝัน
เคยอุ้มโอบใต้ดวงตะวัน
กลับลาจากพลันลับไกล
จันทร์เอยเลือนพร่า
หรือเพราะน้ำตาบ่าไหล
ยื้อแสงดาวริบหรี่ไว้
เก็บกอดให้แนบใจนิรันดร์
เลือนพร่าราวจะลาลับ
ก็ใครเล่าคอยนับความฝัน
แว่วเสียงอาวรณ์สะท้อนหวั่น
แล้วเพียงเท่านั้นก็อำลา
อยู่ก่อน โปรดอยู่ก่อน
เพ้อหนักจึงร่ำกลอนกับฟ้า
ยินเพียงลมแผ่วกระซิบมา
แว่ววอนอ่อนล้าเหมือนขาดใจ
ลมเย็นบาดผิวเจ็บ
พระจันทร์หนาวเหน็บกว่าคราวไหน
ดูเมฆสิ รังแกหรือกระไร
ห่มคลุมฟ้าไว้ให้มัวเมา
น้ำตาจันทร์หยดใครรู้
แสงดาวหดหู่ในคืนเหงา
ความมืดมีมนตร์มอมเมา
ความรักจึงหม่นเศร้าเหมือนเงาจันทร์
16 มีนาคม 2554 09:27 น.
เสี้ยว
แผ่นกระดาษพาดแอ่นบนแผ่นไม้
วาดลวดลายสายเส้นเป็นเขตขัณฑ์
รวมเรื่องราวใหญ่น้อยไว้ร้อยพัน
เพียงสำคัญขานตำนานผ่านแผ่นเดียว
หากลองย้อนมองหมู่มวลมนุษย์
เปรียบประดุจสิ่งใดลองแลเหลียว
จักรวาลไพศาลกว้างจริงเจียว
ละแหล่นเลี้ยวเรียวทางอย่างยืนยง
มนุษย์เรามัวลุ่มหลงทะนงนัก
จงประจักษ์ว่าสิ่งรู้เพียงเศษผง
อย่าเทียมเทียบจักรวาลที่ธำรง
เจียมตนลงคงเทียบ เ พี ย ง ธุ ลี
23 กุมภาพันธ์ 2554 09:04 น.
เสี้ยว
...ความสุขของการที่ได้รักคือ
การมีความสุขที่เราได้ให้
และมีความสุขที่ได้เห็นคนที่เรารักมีความสุข
คงไม่ผิด ถ้าจะบอกว่า การให้ความรัก คือ
การส่งผ่านความสุข และความปรารถนาดี
และไม่ว่าคนรับเขาจะรู้หรือไม่ก็ตาม
หัวใจก็ไม่ควรจะถูกปิดกั้น
หัวใจและความรู้สึกไม่ได้มีอยู่เพื่อถูกกักขัง
เพราะหากถูกปิดกั้น กักขังความรู้สึกเสียแล้ว
จะส่งผ่านความสุขและความปรารถนาดีได้อย่างไร
ปล่อยให้ใจได้รักเถิด
แล้วจงให้ความรักนั้น บันดาลความสุข
ให้เกิดขึ้นในใจของเราเอง
รัก และให้เถิด เพื่อความสุขของเรา
รักแล้วก็รักให้สุด
เพื่อเรียนรู้ให้ถึงแก่นของความรัก
เพื่อที่จะได้ลิ้มรสความสมหวังให้ได้มากที่สุด
และรับรู้ถึงความเจ็บปวดให้มากที่สุด
การหัวเราะและการร้องไห้ ไม่ใช่อะไรเลย
นอกจากการฝึกฝนให้หัวใจนั้นแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม
ไม่มีใครรู้ได้ว่ารักจะนำเราไปทางไหน
เราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นพรุ่งนี้
เราจะทำอะไรเพื่อเขาได้บ้างในวันพรุ่งนี้
จะยังมีเขาให้เรามอบสิ่งต่างๆให้หรือไม่
แม้ตัวเราเอง ก็ไม่รู้ว่าจะยังมีลมหายใจไว้รักเขาอยู่หรือเปล่า
ความรักจึงวางแผนไมได้ จะไปคิดถึงวันข้างหน้าทำไม
ปล่อยไปตามธรรมชาติเพราะความรักนั้นมีชีวิต
ไม่ใช่สิ่งที่ถูกล้อมกรอบ และตั้งทฤษฎีเอาไว้
ผลสำเร็จของความรัก ไม่ใช่อยู่ที่การที่เขารักเราตอบ
เพราะถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้รับรู้ความรักนั้นเลย
ความรักของเราก็ไม่ได้มีค่าลดน้อยลง หรืองดงามน้อยลง
เพราะคนที่จะรักษาให้ความสวยงามของความรักคงอยู่
คือตัวเราเอง ไม่ใช่ตัวเขา
ความรักที่ไม่คาดหวังนำมาซึ่งความสุขเสมอ
รักเพียงเพื่อจะรักเขาเท่านั้น
ไมใช่รักเพื่อจะให้เขารักเรา
เพราะหากคาดหวังแล้ว ก็ย่อมมีผิดหวัง
ความผิดหวังนำมาซึ่งความเจ็บปวด
แต่เมื่อไม่ได้หวังอะไรอยู่แล้ว
ก็ย่อมไม่มีอะไรจะต้องมาเสียใจ
ไม่เศร้า ไม่โกรธ ไม่เกลียด
และมีแต่ความงดงามให้ระลึกถึงเสมอไป
แต่หากทำไม่ได้ และต้องเจ็บ ก็จงอยู่กับความเจ็บนั้น
ถือโอกาสเก็บเกี่ยวความรู้สึก และประสบการณ์
เรียนรู้ตัวเองจากความเจ็บปวด ผ่านบทเรียนแต่ละบท
เพื่อให้อารมณ์ของเราเข้มแข็งขึ้น
สิ่งที่เจอให้วันนี้ อาจจะช่วยหล่อหลอมให้เราเข้มแข็ง
พอที่จะเป็นที่พึ่งให้ใครอีกคนที่กำลังตามหาเราอยู่ก็เป็นได้
หากไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเขา
ก็จงเรียนรู้ความรู้สึกของการเป็นคนนอก ของการเป็นคนห่างไกล
ซึมซับความรู้สึกที่ไม่สมหวัง
แต่อย่าไปแปรเปลี่ยนความรู้สึกตัวเอง
และอย่าบงการให้มันถลำลึก
ดูเสีย มันจะไปถึงเท่าไหร่กัน
และนั่น จะทำให้เราเริ่มออกเดินทาง
และค้นพบความสวยงามอันลึกลับของความรู้สึก
ก็ใครบอกเล่าว่าความสวยงามนั้น มีเพียงแค่เรื่องที่เป็นสุขเท่านั้น
บางบทบางตอน แม้เพียงเก็บไว้มันก็สวยงามที่สุดแล้ว
โศกนาฏกรรม กลับกลายเป็นวรรณกรรมที่งดงามที่สุดมานักต่อนัก
ความเจ็บปวดที่เจอนี้ มันก็เป็นความงดงามของชีวิตเช่นกัน
ก็เจ็บไปเถิด ตราบเท่าที่ยังเต็มใจ
อาจดูโง่เขลาเบาปัญญาหากเราผ่านมันมาแล้ว
แต่หากหัวใจยังเป็นสุขกับการทำเช่นนั้น ก็เอาเถิด
อย่าพยายามดึงหัวใจกลับบ้านถ้ามันยังไม่อยากกลับ
การฉุดรั้ง ไม่ยิ่งทำให้ถลอกปอกเปิกหรือ
สิ่งใดจะเกิดก็จงปล่อยให้มันเกิด
ปล่อยให้มันเป็นไป หัวใจจะหลงทางก็ปล่อยให้มันหลง
อยากกลับเมื่อไหร่ก็คงจะกลับมาเอง
ไม่เคยมีการตัดสินใจใดๆหรอกที่ถูกต้อง
ไม่ว่าจะทำอย่างไร ผลก็คือ ต้องเสียใจอยู่ดี
และในเมื่ออย่างไรก็ต้องเสียใจอยู่แล้ว
จะยังยอมเสียดายหากไม่ได้ทำอีกอย่างนั้นหรือ
มันไม่ใช่การสูญเสีย เพราะเราสูญเสียสิ่งที่เราไม่มีอยู่แล้วไม่ได้
ก็แค่เฝ้าดูหัวใจตัวเอง ติดตาม และเรียนรู้มัน
จากความเจ็บปวด ความปีติ ที่เราได้รัก
มันก็เป็นแค่การเรียนรู้เท่านั้นเอง
...
ฉบับเรียบเรียงใหม่อีกครั้ง
20 กุมภาพันธ์ 2554 13:13 น.
เสี้ยว
อ่อนไหวกับเรื่องง่ายง่าย
ที่ไม่น่าระคายความรู้สึก
ความเปราะบางที่ซ่อนอยู่ลึกลึก
บางครั้งก็ล้นเอ่อในสำนึกเพียงลำพัง
ห้องมันเงียบหรือใจมันเหงา
หรือเพราะเรื่องเก่าๆ ยังวนเวียนในความหลัง
เมื่อความรู้สึกหลั่งล้นมาอีกครั้ง
ก็สุดกำลังต้านทานอีกต่อไป
จึงปล่อยหัวใจให้ไหวหวั่น
ปลดปล่อยความฝันยาวนานให้ฟื้นคืนใหม่
ปล่อยใจเจ็บกับเรื่องที่พ้นผ่านไป
ให้มันล่องลอยไปแสนไกลเท่าที่ต้องการ
น้ำตาที่ไหล ปล่อยให้รินหลั่งไหล
อาบหัวใจที่สุดอ่อนไหวจนสั่นสะท้าน
เสพสุขกับเรื่องแสนสุขในวันวาน
แล้วความเศร้าก็เล่าขานขึ้นอีกครั้ง
ได้แต่มองดูเรื่องเก่าที่เล่าซำ้
ยิ้มขำๆ กับเรื่องแต่หนหลัง
แล้วนำ้ตาก็ไหลรินลงอีกครั้ง
นี่กระมัง คือ "รัก" ที่จากไป