3 เมษายน 2550 08:22 น.
เสี้ยว
ดื่มกินแสงดาว
จนใจเจ้าเมามาย
บางครั้งก็คล้าย-คล้าย
เหมือนหลุดหายไปในความฝัน
โลกฝันแสนงาม
แต่จะลาลับตามพระจันทร์
แค่เพียงโดนแสงตะวัน
ทั้งหมดนั้นก็มอดมลาย
ค่ำคืนเหน็บหนาว
ดื่มกินความเหงาจนเมามาย
อนิจจา แสงดาวลับหาย
ใครที่ไหน จะช่วยหา
ดิ่มกินแสงจันทร์
ที่ดูไหวสั่นเลือนพร่า
คงไม่ใช่เพราะหยดน้ำในดวงตา
แต่คงจะเพราะว่าเราเมาเล้วใช่ไหม
ดื่มกินแมรัยรัก
สุขนิ่งนัก หากน้ำตายังบ่าไหล
เป็นเพราะเมามายหรือเปล่าใจ
จึงหลับละเมอไปจนใครๆมาได้ยิน
สุดท้าย...ดื่มกินความฝัน
จนมันใกล้จะหมดสิ้น
ที่เหลือคงมีเพียงลมหายใจรวยริน
ที่ไม่นานจะถูกกลืนกินด้วยวันเวลา
16 กุมภาพันธ์ 2550 21:16 น.
เสี้ยว
ละอองดินผินหน้าเข้าหาดาว
อันนวลขาวสกาวสุกสว่างใส
สวยระยิบพริบพรายระรายไพร
ประดับไว้คล้ายดารามาเยี่ยมเยือน
ละอองดาวสกาวแสงจนแจ้งป่า
ละอองฟ้าระยับตาหาใดเหมือน
ละอองดินรมิลแลมิแชเชือน
ละอองสุขประทับเตือนมิเลือนไป
ว่าครั้งหนึ่งเคยอิ่มไอกลิ่นอายอุ่น
แสงละมุนแผ่มาคราฟ้าใส
ละอองดาวพราวพลังใช่ตั้งใจ
ละอองดินเพียงหมายใจรับไว้เอง
8 กุมภาพันธ์ 2550 02:17 น.
เสี้ยว
ถ้าหากวันหนึ่งข้างหน้า
ที่เราสองร้างลาห่างหาย
จะเป็นไหมที่เราจะกลับกลาย
เป็นคนแปลกหน้าที่คล้ายเคยคุ้นกัน
เหมือนตอนเช้ายามตื่นนอน
เราไม่เคยอาวรณ์กับความฝัน
แต่สงสัยว่าเรื่องจริงที่ผ่านมานั้น
มันจะเป็นแบบเดียวกันรึเปล่า...ไม่แน่ใจ
เปล่า...ไม่ได้แต่งกลอนให้ใครเขา
เพียงแต่สงสัยตัวเราเข้าข่ายไหน
อาจเป็นบ้าเป็นประสาทเลยเป็นไป
ตอบตัวเองยังไม่ได้....อย่าถือสาเลย
แล้วกลอนบทนี้จะบอกอะไรเล่า
เพราะยังคงเมาๆ....โปรดเพิกเฉย
หากได้อ่านอย่างไรแล้ว....โปรดผ่านเลย
หรือมีอารมณ์จะเยาะเย้ย ก็ได้เลยไม่ว่ากัน
8 กุมภาพันธ์ 2550 00:29 น.
เสี้ยว
โอ้คนเราคงลืมอะไรไปบางสิ่ง
นั่นคือความเป็นจริงที่เราต่างมองผ่าน
เรื่องที่ว่าชีวิตนี้อยู่เพียงอีกไม่นาน
ก็ถึงเวลาคืนกลับ "บ้าน" ที่จากมา
เลยวิ่งวุ่นเรื่อยไปตามใจระบบ
ที่เขาคิดสมคบให้เราต้องวิ่งหา
เพื่อหล่อเลี้ยงชีวิตไว้ด้วยเงินตรา
แล้วละเลยรักล้ำค่าให้หายไป
แล้วที่อีกครึ่งโลกยังทวงถาม
ว่าความงดงามของโลกนั้นอยู่ไหน
ไม่พอหรือ เอาอีกหรือ...ยื้อแย่งกันเรื่อยไป
ก็ยังปล่อยความเห็นแก่ตัวไว้นิจนิรันดร์
อ่อนล้าราแรงแล้วกับโลกนี้
เบื่อที่ต้องวิ่งไปตามที่เขาจัดสรร
ไม่เห็นมีสิ่งใดเป็นสาระสำคัญ
ที่เขายัดเยียดทั้งหมดนั่น...คือมายา
ภายใต้ทุนนิยมโลกนี้ที่กำหนด
มันเบียดบดบังไว้ซึ่งคุณค่า
อารยะที่แบกรับไว้ตลอดมา
คือวาทกรรมที่เข่นฆ่าความดีงาม
ขอแค่นี้ พอแล้วที่มี กับชีวิต
ขอสู้ตามสิ่งที่คิด ตามชีวิตที่ทวงถาม
เพียงพอแล้วกับวาทกรรมความดีงาม
จะขอเพียงปล่อยใจตามกับสายลม
คงไม่สายเกินไปที่ใจจะเริ่มคิด
จะต่อเติมชีวิตให้ยึดติดในสิ่งสม
อาจจะยากแต่เพียงอยากจะชื่นชม
ตัวเราเองที่ไม่ยอมจมในโลกมายา
7 กุมภาพันธ์ 2550 20:48 น.
เสี้ยว
ยายของฉัน
บ่นทุกวันว่าอยากกลับบ้าน
ทุกๆคืนยายร่ำร้องออกมานอกชาน
จะกลับไปตามหาบ้านที่ยายคุ้นตา
ยายบอกว่าคุณตารออยู่บนบ้าน
รอคุณยายมานาน ให้กลับไปหา
ตากำลังรอยายกินข้าวกินปลา
ยายต้องไปหุงหาให้ตาได้กิน
ยายยังว่าชั้นสองมีช่างตัดเสื้อ
ในห้องรกเรื้อด้วยผ้าหลากชิ้น
นี่มันไม่ใช่บ้านที่คุ้นชิน
ยายว้าวุ่นไม่สิ้น ถ้าพวกเขารอ
โอ้ยายจ๋า
ตาไปบนฟ้าตั้งนานแล้วหนอ
ทั้งช่างตัดเสื้อเขาไม่ได้รอ
เพราะต่างมีเรือนมีหอแยกย้ายกันไป
ส่วนฉันไงหลานคนที่สิบห้า
ที่ยายเคยว่าดื้อกว่าหลานคนไหน
โอ้ยายจ๋า ยามนี้ฉันเศร้าจับใจ
เมื่อฟังที่ยายพูดไป มันบาดหัวใจระทม
หวนคิดถึงตักนุ่มๆที่เคยนอนหนุน
กับมือกร้านหากอบอุ่นของยายยามลูบผม
หากดื้อนัก ยายจะขู่ด้วยก้านมะยม
ให้ฉันทำตัวเหมาะสมอบรมเป็นกุลสตรี
ยายจ๋า นี่แหละบ้านยาย
อนิจจา.. ยายจำไม่ได้เสียแล้ววันนี้
โอ้ยายจ๋า ฉันจะทำเช่นไรดี
กับสังขารที่ร่วงราลงทุกที...คงไม่มีหนีพ้นเลย