25 ตุลาคม 2552 19:40 น.

เย้ยหยัน ... พึงรำพัน

เสี้ยว

ล่องลอย เคว้งคว้าง
กลางเมืองกระด้างอันว้างเวิ้ง
ศรัทธาเล่า ศรัทธาจางหายไปไหน
จางหายไปในหมอกควันกระนั้นหรือ
รำพึงรำพัน เงียบหงอยเปล่าดาย
รอบรายเสียงโหวกเหวกอึง
ตะครุบ! จิตวิญญาณอันรักใคร่
เปล่งแสงริบหรี่ แล้วมอดดับ
ต่อหน้าต่อตา ต่อตา ต่อตา 

หมอกควันหนานุ่มเหมือนสายไหม
ปกคลุมต้นไม้จนอึดอัด
ดูสิ! กี่ต้นต่อกี่ต้น
ดอกไม้ตายทั้งตูม
ไยโลกไม่ปล่อยให้ชีวิตเติบโต
คำถามอาจโต้กลับ
ก็แล้วไยชีวิตไม่เว้นที่ว่างไว้บ้างเล่า
ให้ความงดงามของจิตศรัทธา
ได้มีที่ยืนบ้าง ได้มีบ้าง ได้มีบ้าง 

ร้องแรกแหกกระเชออยู่หน้าฝูงชน
หูเขาไม่หนวก หากเราสิ เบื้อใบ้
เสียงกระซิบของอคติ
ถากถางคุกคาม
นี่ไม่ใช่โลกของเจ้า 
จงกรีดร้องเสีย 
แล้วอย่าลืมยืนไว้อาลัย
ความงามของวันเวลา
ที่บินลับไปสุดขอบฟ้าอีกด้าน
สักนาที ก็พอ ก็พอ ก็พอ 

เศร้าบ้างไหม กับ 'ความรัก' ซึ่งขมขื่น
และ 'ความไม่รัก' ซึ่งเข่นฆ่า
เวทนาสิ จงเวทนา
แล้วแค่นเสียงหัวเราะ เย้ยหยัน
อย่างที่ใจต้องการ				
2 สิงหาคม 2552 00:11 น.

กรีดร้อง...เป็นเสียงลม

เสี้ยว

เมื่อโลกแยกเราออกห่างจากตัวเอง
และทุกสิ่งที่ทำไม่ได้มาจากความต้องการที่กรีดร้องภายใน
ซ้ำร้าย มันยังไม่เปิดโอกาสให้เราได้เงี่ยหูฟังเลยสักครั้ง
ว่าแท้จริงแล้ว หัวใจกำลังบอกเราว่าอะไร 

ใจเอย... ใจเอย... 
นานเท่าไหร่แล้วที่ต้องดิ้นรนอัดอั้น
เพราะความนึกคิดถูกวาทกรรมที่แข็งกระด้าง
เคลือบจิตวิญญาณด้วยสีดำราวช็อกโกแลตปีศาจ
จนไม่รู้ว่าภายใต้กระดองเหตุผลและความรู้ที่สร้างขึ้นนั้น
มีความอ่อนไหวบอบบางที่สวยงามซ่อนอยู่ในนั้น 

อนิจจา... 
ความอ่อนโยนที่เคยเริงระบำอยู่ในหัวใจ
...กำลังเดินทางสู่ความพ่ายแพ้... อย่างกะปลกกะเปลี้ย
ใช่ไหมเล่า ที่น้อยยิ่งกว่าน้อย
ดวงตาจะได้มองฟ้าจนอิ่มเมื่อยามสาง
และก็ใช่ไหมเล่า ที่ยากยิ่งกว่ายาก
จะได้สูดลมหายใจของดอกหญ้าเมื่อยามอาบแสงสุดท้ายของวัน
แล้วจะเอาแรงจากไหนมาเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งแรงบันดาลใจ
ที่ก็มีแต่จะเหี่ยวเฉาลงไปทุกขณะ 

เวลาถูกจัดสรรมาให้แต่ละชีวิตไม่มากนัก
ก็เพียงแค่ยาวนานพอจะให้ได้เรียนรู้จักตนเอง 
แต่กระนั้นเราก็ยังปล่อยให้อะไรสักอย่าง
มาฉุดกระชากโมงยามอันแสนสั้นของเราไป
แล้ววันหนึ่งก็จะหมดลง 
โดยที่เรายังไม่ได้ใช้สิทธิแห่งชีวิตเลยแม้แต่น้อย
ช่างโง่เง่า น่าสงสาร และน่าหัวเราะเสียนี่กระไร 

ได้แต่ก่นด่าไปในความเงียบ
เพราะลมหายใจที่ได้แค่ผ่านเข้าผ่านออกไปวันๆ นั้น
มันแผ่วเบาเกินไปจะเปลี่ยนแปลงโลกที่เป็นอยู่
ก็ใครหนอ ช่างสรรค์สร้างวาทกรรมเจ็บแสบ
อาบน้ำผึ้งให้ดูดกลืนอย่างเอร็ดอร่อย
รู้สึกไหมเล่า ถึงกลิ่นคาวเลือดของเนื้อหนังแห่งมวลมนุษยชาติ
อันถูกแล่หลุดออกเป็นชิ้นๆ
ชิ้นแล้ว ชิ้นเล่า 
เจ็บบ้างไหม เจ็บไหม
หรือเพราะว่าใบมีดแห่งความมั่งคั่งนั้นช่างน่าขยอกกลืน
เราจึงเฉาะลึกลงไปในผิวกายของเราเรื่อยๆ
ลึกลงไปเรื่อยจนถึงจิตใจ
สุดท้ายน่ะหรือ... 
มันเป็นเรื่องเศร้า
ก็นั่นไง เห็นไหม เห็นไหม
มนุษยชาติจบลงแล้ว ด้วยการกัดกินหัวใจของกันและกัน 

ทางเลือกของชีวิตแบบอื่นๆ มีไหม
ไหนล่ะ อิสระเสรี
ไหนล่ะ อิสระในการเลือกเส้นทางของตัวเอง
ไหนล่ะ ชีวิตที่ปราศจากการคุมขัง 

เราถูกขัง ใช่เราถูกขัง
ขังปิดตายอยู่ในวาทกรรมอันแข็งกระด้างและไร้ชีวิต
มืดบอดอยู่ในอารยธรรมแห่งการทำลายล้าง
ที่มันขยอกกลืนเราเข้าไปตอน 8 โมงเช้า
แล้วคายกลับออกมาเมื่อตะวันตกดินไปแล้ว
เหมือนชานอ้อยที่ถูกเคี้ยวจนแห้งผาก
เรากลายเป็นฟันเฟืองหนึ่งที่คอยหมุนระบบ
เพื่อให้มันมีชีวิตอยู่ไปได้
เพื่อให้มันกลืนกินเราต่อไปได้
เพื่อให้มันมีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ
เพื่อให้มันกลับมากดขี่ข่มเหงเรา
อีกครั้ง อีกครั้ง อีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง
มันมุ่งหวังให้เราตกเป็นทาสมันไปตลอดกาล 

โอ... เงินตรา
โอ... ทุนนิยมบัดซบ และเสรีประชาธิปไตยเลวทราม
นี่หรือ โลกใบใหม่ที่ทุกคนกินดีอยู่ดี
นี่หรือ สิ่งที่เรารอคอย
นี่หรือ 
นี่ล่ะหรือ? 

เสียงก่นด่าแปรเปลี่ยนเป็นเสียงกรีดร้อง
หากเป็นเสียงกรีดร้องที่ไม่เคยระคายไอ้ปีศาจทุนตัวนี้
มันไม่เคยฟังคำทวงสัญญาที่เคยให้ไว้ถึงชีวิตที่ดี 
เสียงกรีดร้องจึงดังก้องในความเงียบงัน
สงัดดังพายุในแดนดงดิบอันห่างไกล
ไม่ได้ยิน แปลว่าไม่เคยเกิดขึ้น 

เสียงร่ำไห้ของหัวใจอันดิ้นรน
ที่จะสลัดให้หลุดจากฤทธิ์น้ำกรดเงินตรานั้น
ในที่สุด ก็จะเลือนไปจากความรับรู้อันชินชา 

ปลิวคว้าง 

ลอยลมไป 


แล้วนั่น 


จางหายไปแล้วในม่านเมฆ 



ความเงียบเป็นนิรันดร์เสมอ 



อนิจจา...				
30 กรกฎาคม 2552 20:31 น.

ในม่านขาว ... หลังหน้าต่างใส

เสี้ยว

หน้าต่างใสถูกย้อมเป็นสีขาว
ม่านทึบผืนใหญ่พรูพรายอยู่ภายนอก
เพลงฝนบรรเลงครึกโครม
ครืนครืนคำรามจากต้นฝน
ใบไม้ฉ่ำน้ำ หยาดน้ำฉ่ำหญ้า

สายลมปะทะประตูเบาๆ
เหมือนเพื่อนเรียกร้องทักทาย
เชิญชวนมาวิ่งเล่น 
มาเถอะ ข้างนอกสดชื่นยิ่งกว่าสดชื่น
สะอาดยิ่งกว่าสะอาด

สายลมเย้ายวนแกมเว้าวอน
สายฝนเย้ยมาผ่านหยดน้ำ
ที่ไหลผ่านหน้าต่าง
มัวนั่งจับเจ่าอยู่ทำไม
ทำชีวิตหล่นหายไปไหนหรือ

ไปเถอะ ไปเล่นน้ำฝน
ระริกระรี้ กระโจนลงโคลน 
แหวกว่ายในสายลมแรง
เงยหน้าอ้าปาก รับหยดน้ำ
ชุ่มหวาน ใสสะอาด

ไปเถอะ ไปเต้นรำในม่านน้ำ
เสียงเพลงเร้าลึกครึกครืน
โครมคะนองสนุกสนาน
เอ่ยปากตะโกนหัวเราะลั่น
ผสานเสียงชีวิตเป็นดนตรี

ไปสิไป เอ่ยปากพยักหน้ารับคำ
พลัน, เพราะเงียบยิ่งกว่าเงียบ
เสียงหัวกระทบขอบโต๊ะจึงกังวาน
แล้วหน้าต่างสีขาว ก็เลือนหายไปในความเงียบ
ที่กลบเสียงฝนกระทบหลังคา

ยินเพียงเสียงนาฬิกาเดินตามจังหวะ
เห็นเพียงในม่านขาว หลังหน้าต่างใส
ไร้สนามหญ้าเปียก 
ไร้รอยยิ้มของหยดน้ำ
มีเพียงหมู่ตึกขมุกขมัวจางๆ				
13 เมษายน 2552 13:06 น.

...สี...

เสี้ยว

...เรื่องราวต่อไปนี้เป็นเรื่องเล่า...

เช้าวันหนึ่งของเมืองเล็กๆ ที่เคยสวยงาม
สองขาก้าวเข้าไปท่ามกลางพื้นที่แห่งสุญญากาศ 
ที่ถ่างช่องว่างระหว่างจิตใจของผู้คนให้กว้างออก

สองขาก้าวเดินไปในฝุ่นฟุ้งตลบ อึดอัดทรมาน
ท่ามกลางเขม่าสีเหลือง ละอองฝุ่นสีแดง และหมอกควันสีน้ำเงิน
ที่ห่อคลุมผู้คนไว้หลังม่านขมุกขมัว

ในควันเพลิงสีเทาที่แผดเผาความอ่อนโยนให้ปลาสนาการ
เห็นเพียงสีขาว และสีดำ เดินว่อนเต็มถนน 

ผู้คนไว้ทุกข์อะไรกันหรือ
ในวันที่ฟ้ายังเป็นสีฟ้า ปุยเมฆยังเป็นสีขาว

ผู้คนไว้ทุกข์อะไรกันหรือ
ในวันที่สีแดงยังคงเป็นของดอกไม้ 
สีเหลืองยังคงเป็นของพื้นดิน
และสีน้ำเงินยังคงเป็นของน้ำทะเลลึก
แต่สีสันในแววตาของผู้คนหายไป

อาลัยอะไรกันหรือ อาลัยสิ่งใดกัน
อาลัยน้ำใจไมตรี และความศรัทธาอย่างนั้นหรือ
อาลัยโลกแห่งความอาทรต่อกันอย่างนั้นหรือเปล่า

ในวันนี้ที่ทุกพื้นที่ว่างถูกดูดกลืน
ไม่มีที่ใดเป็นอิสระจากการถูกจองจำ
จองจำอยู่ในคำว่า พวกเขา และพวกเรา
จนกระทั่งสีสันของผู้คนหายไป
เหลือให้เห็นเพียงสีดำ และสีดำ 
ในเงาที่ทาบทับใบหน้าอันเรียบเฉยเหล่านั้น

หรือพวกเขากำลังไว้ทุกข์ให้กับการเกิดขึ้นของความเกลียดชัง
และเฉลิมฉลองให้แก่การจากไปของความรัก				
2 กุมภาพันธ์ 2552 12:05 น.

อุทยานของเจ้าหญิง

เสี้ยว

พระอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้า
นกยังเกาะเต็มหลังคา
คล้ายสังสรรค์ก่อนแยกย้ายกลับบ้าน
ฟ้ายังไม่มืดเร็วๆ นี้หรอก
มีเวลาอีกสักพักให้จุ๊บๆ จิ๊บๆ กับเพื่อนฝูง

ดูในน้ำนู่นสิ ลูกเต่าตัวเล็กๆ ว่ายน้ำป๋อแป๋
ขึ้นมาดูพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าที่ผิวน้ำ
ร่าเริงพอๆ กับลูกนกตัวน้อยที่รั้งปีกแม่ให้อยู่ก่อน
ใครล่ะจะห้ามความอยากรู้ของเด็กๆ ได้
อยากรู้จังว่า ทำไมพระอาทิตย์ต้องหนีไปนอน

อากาศตอนนี้ดีแสนดีจริงๆ นะ
เห็นไหม ลุงเต่าตัวโตยังโผล่หน้าขึ้นมาเล่นกับหลานๆ
ดอกไม้สีแดงยิ้มจนแก้มปริ
สะบัดไหวตามแรงลมที่ปะทะเบาๆ
นี่คืองานปาร์ตี้อันสงบสงัดอยู่ริมน้ำนี่นา

เจ้าหญิงแต่งตัวปอนๆ สวมมาลัยดอกไม้
ก้มตัวแทบชิดผิวน้ำ ข้างๆ พุ่มไม้กอใหญ่ 
หวังให้ใครมาเตะก้น เธอจะได้ลงไปเล่นน้ำกับเต่า
แต่ไม่มีใครมาเตะก้นเธอ เธอเลยเงยหน้าขึ้นมาเขียนบันทึก
แล้ววาดรูปพระอาทิตย์ดวงกลมโตสีส้มจางๆ ลงไปด้วย

โอ๊ะ เผลอเดี๋ยวเดียวเสี้ยวจันทร์ขึ้นถึงกลางฟ้าแล้ว
คงรีบมาจะได้ทันทายทักดวงตะวันยามเปลี่ยนกะ
ดาวยังไม่ขึ้น แต่พ่อแม่นกก็พาลูกๆ กลับรังไปแล้ว
เต่าน้อยใหญ่หายหน้ากลับลงน้ำ คงหนีลงไปกินข้าวกับครอบครัวข้างล่าง
เจ้าหญิงลุกขึ้นยืน แล้วยิ้มให้ดอกไม้ที่หลับไปแล้วหนึ่งที				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟเสี้ยว
Lovings  เสี้ยว เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟเสี้ยว
Lovings  เสี้ยว เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟเสี้ยว
Lovings  เสี้ยว เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงเสี้ยว