14 ตุลาคม 2548 18:50 น.
เสียงพิณที่ชานเรือน
ลมโชยพัดสัมผัสกายสบายจิต
นั่งหยุดคิดปลดปล่อยใจไหลตามสาย(น้ำ)
นั่งริมคลองมองเรือผ่านแสนสบาย
นั่นเรือขายก๋วยเตี๋ยวพายเลี้ยวมา
โอ้ลุงจ๋าขอเชิญทางนี้หน่อย
พายค่อย ๆ ตามสบายไม่รีบหนา
พอลุงจอดฉันก็สั่งก๋วยเตี๋ยวปลา
ใส่เกี๋ยวซ่าน้ำขลุกขลิกพริกไม่เอา
เอ้าหลาน ๆ ก๋วยเตี๋ยวมาจอดท่าแล้ว
ยินเสียวแจ๋ววิ่งพรูพร้อมขับขาน
ก๋วยเตี๋ยวมาปล่อยให้หิวเสียตั้งนาน
เอ้าหลาน ๆ ค่อย ๆ สั่งตังค์อามี
เอ๊ะนั่นเรือกาแฟ เรือไอ้ติม วิ่งมานั่น
ใครมีตังค์เลี้ยงอาบ้างอย่าได้หนี
หลาน ๆ ต่างยกมือว่าหนูมี
อากินซีหนูกินด้วยช่วยออกเงิน
เรานั่งยิ้มน้ำตารื่นชื่นใจเด็ก
แม้ตัวเล็กแต่น้ำใจไม่ตื้นเขิน
ไม่เหมือนคนตัวใหญ่ซิเหลือเกิน
เราเผชิญคนน่าชังหันหลังมา
กลับมาสู่ บ้านเดิม เป็นเรือนพัก
มาตั้งหลักตั้งตัวไม่มัวหา
ความจริงใจที่นี่เหลือคณา
ทั้งลุง ป้า พ่อแม่ ล้วนแคร์กัน
ไม่ต้องหาสิ่งใดจากไหนแล้ว
วิมานแก้วริมน้ำคือบ้านฉัน
หลานชายหญิงก็อยู่พร้อมหน้ากัน
ทุกคนปันความสุข ความทุกข์กัน
แต่ว่าเอ๊ะ เสียงแจ้วไป ไหนหมดแล้ว
เฮ้ยมันแจวไปอยู่ที่แห่งหน
มองไม่เห็นนั่งอยู่ซักกะคน
หนอยเจ้าคนช่วยออกตังค์ นี่กลับมา
ลมโชยพัดสัมผัสกายใจรวยรื่น
คอยหลานตื่น หลับเรียงราย ข้างกายฉัน
พอหลานตื่นจะเล่นน้ำสนุกกัน
ชีวิตฉันพอแค่นี้ นี่สุขใจ
27 มิถุนายน 2548 18:09 น.
เสียงพิณที่ชานเรือน
มองไกลจากหน้าต่างชั้นสามสิบ
มองไปลิบลับไกลใจเหว่ว้า
คิดถึงคืนวันเก่าที่ผ่านมา
คิดถึงสามสิบปีที่ผ่านเลย
เมื่อตอนนั้นยังเด็กยังเล็กอยู่
ยังไม่รู้สิ่งทุกอย่างมองผ่านเฉย
ไม่ได้คิดไม่ได้กลัวอะไรเลย
สิ่งใดเคยก็กระทำซ้ำซากไป
เฝ้าแต่คิดว่าเมื่อไหร่เป็นใหญ่ได้
คงสบายจะได้ทำ ได้ไปไหน
คงไม่มี ใครมา บังคับใจ
ได้เป็นใหญ่ทำตามใจของตนเอง
ไม่ต้องทุกข์ต้องร้อนโดนข่มเหง
ไม่ต้องเกรงผู้ใหญ่คอยเดียดฉันท์
อยากจะทำอะไรก็ทำกัน
สนุกทั้งวันไม่ต้องห่วงเรื่องเล่าเรียน
แต่พอฉันเติบโตเป็นผู้ใหญ่
สิ่งที่ใจเคยคิดเคยขีดเขียน
ว่าถ้าเป็นผู้ใหญ่ไม่ต้องเรียน
ชีวิตเวียนว่ายไปไม่ต้องตรม
ทุกอย่างตรงข้ามกับที่คิด
ชีวิตติดกับสิ่งที่ขื่นขม
ติดกับงานกับทุกอย่างของสังคม
ไม่รื่นรมย์เหมือนคิดไว้ในวัยเยาว์
ต้องตื่นออกจากบ้านแต่ตีห้า
แสนเหนื่อยล้าต้องออกมาให้ทันเขา
ที่ขันแข่งยื้อแย่งแข่งกับเรา
เพื่อได้เอาเงินทองของนอกกาย
เงิน เงิน เงิน เงินนั้นหรือคือพระเจ้า
ทุกคนเฝ้าแสวงหาให้มากหลาย
เฝ้าแต่คิดแสวงหาจนวันตาย
แต่สุดท้ายนี่คือทุกข์ หรือสุขกัน
ทุกวันนี้ได้แต่คิดถึงวัยเด็ก
ตอนที่เล็กได้สนุกได้สุขสันต์
ได้วิ่งเล่น ซ่อนหา อาบน้ำกัน
ได้วิ่งกันกลางแดด แอบคุณยาย
ได้เล่นว่าว โพงพาง มอญซ่อนผ้า
ได้แก้ผ้าเล่นน้ำฝนจนโดนหวาย
ได้ไปเรียนเพื่อนฝูงแสนมากมาย
พอตอนบ่ายก็แอบหลับทับตำรา
สะดุ้งตื่นขึ้นมาตำราหาย
มองรอบกายแล้วนี่ที่ไหนหนา
มองขึ้นไปเอ๊ะนั่นบอส มองมา
ตายละหวาทำงานต่อ ท้อจริงจริง
26 มิถุนายน 2548 03:48 น.
เสียงพิณที่ชานเรือน
จำใจจำจรต้องจรจาก
จำพรากจากไกลใจฉันเหงา
ใจที่เจ็บช้ำจำจากพรากเรา
จำจากเจ้าใจจรสะท้อนทรวง
จากไปใจเจ็บแทบสลบ
จำต้องหลบหนีหน้าจากคนเห็น
จรจากไปจำจากยากลำเค็ญ
คงไม่เห็นเจ้าซักพักเพราะรักตรม
ลาแล้วล่วงเลยรับลาล่วง
ลาแล้วจักห่วงเจ้าเสมอ
ลาแล้วลาจากไม่อยากเจอ
ลาแล้วลาเธอไม่เจอกัน
ลาแล้วน้องแก้วของพี่เอ๋ย
ลาแล้วล่วงเลยเคยไหม
ลาแล้วจำจากพรากไป
ลาไกลไม่อยากเจอเฮ้อ! ปลง
ระกำช้ำจิตคิดหนัก คิดพักทุกอย่างห่างเหิน
ระทมทุกข์ใจใครเกิน เผชิญจำพรากจากจร
ระลึกถึงเจ้าน้องรัก สุดหักห้ามจิตคิดไฉน
ละเลงบทกลอนวอนไป แต่ไม่เอาระกำที่ช้ำทรวง
25 มิถุนายน 2548 23:07 น.
เสียงพิณที่ชานเรือน
เสียงเพลงแผ่วแว่วหวานกังวาลแว่ว
เป็นเสียงของพิณแก้วที่สดใส
สร้อยสำเนียงเสียงหวานซึ้งจับใจ
เสียงจากใจสอดประสานที่ชานเรือน
ชานเรือนนี้เคยมีคนที่รัก
เป็นที่พักผ่อนกายให้คลายเหงา
แต่วันนี้คงมีแค่เพียงเงา
กับความเศร้าโศกซึ้งซึมในทรวง
พิณแก้วเจ้าไปห่างไกลแล้ว
เสียงเพลงแผ่วแววมาคราเคลิ้มฝัน
เสียงเพลงนี้สถิตในใจทุกคืนวัน
เป็นนิรันดร์แห่งตำนานของชานเรือน