14 พฤศจิกายน 2548 20:18 น.
เศษทาน
นิทาน...นาย นิทาน ตอน ยังเยาว์ ๑
เพราะเกิดมาเป็นลูกชาวไร่ ชาวนา ชิวิตของข้าจึงผุกพันอยู่กับวิถีท้องทุ่งเป็นส่วนใหญ่ ตั้งแต่ข้าเริ่มจำความ ข้าก็รู้ว่าตอนนั้นครอบครัวของข้าอาศัยอยู่ที่ห้างในไร่ห้วยนางทอง(บ้านดงยาง ในปัจจุบัน)นานๆจึงกลับเข้ามาที่บ้านในหมู่บ้านสักครั้งนึง เหตุที่นานๆกลับครั้งเพราะว่าทางไกล ในสมัยนั้นการเดินทางจากไร่มาบ้านใช้เวลาเกือบหนึ่งวันเต็มๆ เพราะต้องกลับด้วยล้อ(เกวียน)ซึ่งใช้แรงงานงัวนั่นเอง
การไปนอนที่ไร่ในสมัยนั้นจะไปช่วงที่ทำนาแล้วเสร็จ เพื่อไปทำไร่ฝ้าย และ ถั่ว สุมถ่านบ้าง และ พ่อก็จะขึ้นเขาไปโค่นไม้มาเลื่อยเพื่อสะสมไว้ทำบ้าน เลื่อยพื้นบ้านบ้าง ฝาบ้านบ้าง แล้วก็ใช้ ล้อลากกลับยามหน้าแล้ง เพราะทางจะแห้งไม่ค่อยมีหล่ม งัวจะเดินทางได้สะดวกและไม่หนัก ข้าชอบนอนในไร่ที่สุดสมัยเด็กไม่เคยอยากกลับเข้าบ้านเลยสักครั้งแม้จะไม่มีเพื่อนเล่น เพราะเด็กๆรุ่นราวคราวเดียวกันที่อยู่ในไร่นั้นจะอยู่ไกลกันมากระหว่างห้างแต่ละหลัง แต่ข้าก็มีน้องที่ต้องคอยเลี้ยงอีกคนนึง ซึ่งตอนนั้นข้าเองเพิ่งได้๖-๗ขวบมั้ง
แต่ข้าก็มีเพื่อนที่ข้ารักที่สุดอยู่๓ตัว เป็นหมาพันธุ์ไทยแท้ ชื่อ ไอ้ขาวและ งัว อีก๑คู่ที่พ่อใช้ติดล้อและไถไร่เพื่อปลูกฝ้ายและถั่ว มันชื่อไอ้จันกับไอ้ไหม มันเป็นงัวคู่แรกที่ผมได้เลี้ยงและลุกขึ้นมาช่วยพ่อล้างน้ำมันในตอนเช้า ก่อนเอามันออกไปกินหญ้าตามที่ว่างๆที่เขาไม่ได้ทำอะไร
โดยเฉพาะไอ้ขาวมันคือเพื่อนที่ดีของข้ามากมันจะคอยติดตามข้าไปทุกๆที่เวลาข้าเอางัวไปเลี้ยง มันช่วยข้าล่าสัตว์ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะงูและกิ้งพอน(พังพอน) ถ้าวันใดได้ยินเสียงไอ้ขาวมันเห่า นั่นหมายความว่าต้องได้อะไรมาเป็นกับข้าวในตอนเย็นแน่นอน
ห้างในไร่ของข้าตอนนั้น เป็นห้างหลังค่อนข้างใหญ่ ยกพื้นสูง ใต้ถุนห้างจะทำคอกงัวไว้ให้ไอ้ไหมกับไอ้จันมันนอน และจะมีเล้าไก่อยู่ข้างๆคอกงัวอีกทีนึง เลี้ยงไก่ชนพื้นบ้านธรรมดาไว้เก็ยไข่กินบ้าง หรือ ไม่ก็ฆ่าแกงยามเพื่อนของพ่อแวะมาเยี่ยม หรือ เวลาที่พ่อเลื่อยไม้ คือ เวลานั้นเขาจะผลัดกันหรือเอาแรงกันเลื่อยไม้ ถ้าเลื่อยไม้ของใครคนนั้นต้องเลี้ยงข้าวเลี้ยงเหล้ากันแบบไทยๆเรา และมือเพชฌฆาตก็ไม่ใช่ใครข้าเองนี่แหละเวลายิงกระสุนยาง(หนังสติ๊ก)นี่แม่นนัก หากพ่อชี้จะเอาตัวไหนเอาข้าวเปลือกมาโปรยแล้วยิงไม่เคยพลาดสักครา เพราะเวลาเอางัวไปเลี้ยงข้าชอบยิงเป้าด้วยกระสุนยางบ่อยๆจึงแม่นเหมือนจับวาง(โม้หรือเปล่าว่ะ)
ถัดจากห้างมาก็จะเป็นโรงทึมสร้างไว้สำหรับเก็บผลผลิตยามเก็บเกี่ยว เช่นถั่วและฝ้าย ถ่านบ้าง ซึ่งโรงทึมนี้จะใหญ่มากและอยู่ใกล้ๆกับต้นปูต้นใหญ่ ซึ่งเป็นอาหารของเหล่าบรรดานกทั้งหลายจะมากินยามลูกปูสุก นั่นหมายถึงอาหารของครอบครัวข้าด้วย และตอนกลางวันมันคือร่มของไอ้ไหมกับไอ้จันงัวคู่ทุกข์คู่ยากที่พ่อใช้มันติดไถไถไร่ติดล้อลากของกลับบ้านยามหน้าแล้ง
โปรดติดตามตอนต่อไป
เศษทาน
๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ ๒๒.๑๗ นาฬิกา
6 พฤศจิกายน 2548 08:43 น.
เศษทาน
นิทาน...นาย นิทาน
บทนำ
คงไม่มีอะไรจะกล่าวมากมายในบทนี้ งานชิ้นนี้ข้าเองตั้งใจเรียบเรียงความเป็นมาของตัวข้าเองตั้งแต่จำความได้
พูดง่ายๆก็คือ ตั้งแต่เด็กๆมาจนถึงปัจจุบัน อาจเปรียบเสมือนบันทึกของชีวิตข้าเองก็ว่าได้ ซึ่งข้าเองพยายามนึกย้อน
และทบทวนเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมาให้ได้มากที่สุด เท่าที่จะมากได้
อาจจะดูไม่มีค่าและสำคัญเท่าใดนัก ข้าเองขอบอกไว้ ณ ที่นี้เลยว่า นี่ไม่ใช่นวนิยาย หรือ เรื่องสั้น แต่มันคือ
บันทึกเล่มนึงของคนๆนึงเท่านั้น อาจจะมีสาระบ้าง หรือ ไร้สาระ แต่ใจข้าเองแล้วหวังว่าจะมีประโยชน์บ้าง ไม่
มากก็น้อย สำหรับผู้ที่ชอบอ่านหนังสือ หรือ ท่องเวบไซด์ ในเวบต่างๆ
และเรื่องที่ข้าจะนำมาเขียนในที่นี้ล้วนมาจากวิถีชีวิตที่เกิดกับข้าโดยตรง ได้เห็นและสัมผัสมาในชีวิตจริงๆซึ่งบาง
คนในสมัยนี้อาจจะไม่เคยพบหรือประสบมาเลย เนื่อง ด้วยปัจจุบันนี้บ้านเมืองเราเจริญและเปลี่ยนแปลงไปตามกาล
เวลา ตามยุคสมัย ซึ่งไม่ว่าที่ใดก็หลีกหนีไม่พ้น
สุดท้าย หากใครก็ตามที่เข้ามาแวะเยี่ยมเยือนหรือทักทาย ก็ขอขอบพระคุณอย่างยิ่งที่ท่านสละเวลาอันมีค่ายิ่งของ
ท่านมานั่งอ่านงานที่ไม่มีประโยชน์หรือไร้ซึ่งแก่นสาร หรือหากท่านมีเมตตาจะติติงข้าก็น้อมยินดีรับฟังคำติเตือนจาก
จากท่านทั้งหลายด้วยใจที่ปีติยิ่ง ด้วยอำนาจแห่งพระสยามเทวาธิราชและคุณพระศรีรัตนตรัยจงช่วยกันปกปัดรักษา
คุ้มครองขจัดภัยอย่าให้แผ้วพาลราวีท่านที่รักการอ่านการเขียนและทีมงานที่จัดทำเวบไซด์นี้ขึ้นมา ขอให้ทุกท่านจง
มีความสุข ความเจริญ ทั้งกาย ใจ พร้อมทั้ง ญาติมิตรบริวาร ด้วยเทอญ
ขอบคุณอย่างสูง
เศษทาน
๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๘