21 กรกฎาคม 2549 21:13 น.
เศษทาน
นิทาน..เมื่อวันวาน
ไก่ย่าง
ไก่ครับไก่ ซื้อไหมครับจะกลับแล้วไก่ ไก่ขายถูกๆแถมกระดูกกับไม่เสียบไก่ .....
ไม่รู้ว่ามีใครเคยได้ยินเพลงนี้กันบ้างไหม แต่สำหรับผมแล้วเมื่อตอนวัยเด็กถ้าได้ยินเพลงนี้แล้วละก็จะรีบวิ่งลงจากบ้านทันที เพราะจะต้องมายืนรอรับกลิ่นเจ้าไก่ย่างที่รถเร่ขายกำลังจะขับผ่านหน้าบ้านไป ประมาณว่าไม่ได้กินหอมกลิ่นก็ยังดีอะไรทำนองนี้แหละ สำหรับบ้านนอกยี่สิบปีที่แล้วนะตอนนั้นผมยังเป็นเด็กอยู่เลย ถ้าเอ่ยถึงไก่ย่างแล้วน้ำลายมันหกเลยแหละ ไก่ย่างไม้ละสองบาทนี่แหละชวนให้น้ำลายไหลยิ่งนัก รสชาติไก่ย่างสมัยนั้นอร่อยจริงๆนะไม่รู้ว่าเขาหมักแบบไหน หากใครเคยได้กินคงจำได้ดีว่ารสชาตินั้นอย่าบอกใคร เอาว่า เคเอฟซี สมัยนี้เทียบไม่ได้ว่างั้นเถอะ
กว่าจะได้กินไก่ย่างแต่ละทีนะ ลำบากยากเย็นจริงๆสมัยนั้น ถ้าแม่ไม่ให้ตังค์ไว้นะไม่ได้กินหรอก เงินก็หาเองไม่ได้ ไอ้ที่ได้ไปโรงเรียนวันละ สอง บาท ก็หมดตั้งแต่เที่ยงแล้วหล่ะ วันไหนรถขายไก่ย่างมาตรงเวลาเลิกเรียนแล้วมีเฮเลยนะกะเพื่อนๆ ไปยืนรอกันเป็นกลุ่มกะเพื่อนๆแล้ววิ่งตามรถไปกันเป็นขบวนไล่ดมควันไก่ย่างกัน นึกแล้วก็สนุกแอบขำ ไม่น่าเชื่อว่าเราจะทำไปได้ แต่อย่างว่าแหละเด็กนี่รู้อะไรมากเล่า กินเล่นนอน แค่นั้นเอง
แต่ไม่รู้ว่าสมัยนี้ยังรถขายไก่ย่างแบบนี้อีกหรือเปล่าไม่รู้นะ ไก่ย่างสูตรไทยๆที่ขายไม้ละสองบาท สามไม้ห้าบาท มีข้าวเหนียวห่อใบตองด้วยห่อละสองบาทอีกเหมือนกัน กินไก่ย่างหมดแล้วก็นึกเพลงอีกท่อนนึงที่เรียกว่า ท่อนฮิตติดหูเลย ที่ว่า......กระดูกเอาไปชิงโชคไปเที่ยวรอบโลกกับคนขายไก่...............ใครเคยได้กินไก่ย่างและได้ยินเพลงนี้บ้าง ลองมาเล่าสู่กันบ้างสิว่ามีใครแอบวิ่งตามรถดมควันไก่ย่างแบบผมกันบ้าง ไม่น่าอายที่จะเล่าสู่กันฟัง แต่เป็นวันวานอีกวันหนึ่งที่น่าจดจำ
สวัสดี
นาย นิทาน ป่านไหม
๔ มิถุนายน ๒๕๔๙
5 กุมภาพันธ์ 2549 09:37 น.
เศษทาน
เพื่อนยามยาก
เพื่อน หากใครก็ตามที่เอ่ยคำคำนี้ออกมาหรือได้ยินก็ตาม ย่อมเข้าใจความหมายของคำคำนี้ได้เป็นอย่างดี เพราะเพื่อนนั้นมีความสำคัญและมีบทบาทและมีอิทธิพลต่อตัวเราอย่างมากในแต่ละบุคคลในแต่ละวันที่เราได้อยู่ร่วมกันและใช้ชีวิตประจำวันในโลกมายาหรือโรงละครขนาดใหญ่แห่งนี้
เพื่อน เขาจึงได้เปรียบเทียบไว้ให้เป็นอีกหนึ่งกัลยาณมิตรที่อยู่ใกล้ตัวเรา หากใครมีเพื่อนดีก็มีแต่สิ่งที่ดีๆเกิดขึ้นกับตน หากใครมีเพื่อนไม่ดีก็ประหนึ่งคบคนพาล ซึ่งมีคำบุราณแต่กาลเก่าเขาเปรียบเทียบไว้ว่า เพื่อกินหาง่าย เพื่อนตายหายาก นั้นยังใช้ได้ดีไม่ว่ายุคสมัยใดก็ตาม
ยิ่งในยุคปัจจุบันนี้เรายิ่งเห็นได้ชัดเจนมากขึ้น ที่คนในยุคนี้จะมีเพื่อนแท้ๆที่ไว้ใจได้มาอยู่ข้างกายสักคน มันยากยิ่งกว่าหาเพชรน้ำหนึ่งเสียอีก
เพื่อนนั้นหาง่ายบางครั้งเราไม่ต้องแสวงหาเพื่อนก็มาหาเราเองก็มี มีเพื่อนเป็นร้อยแต่จะมีซักหนึ่งไหมที่จะเป็น เพื่อนยามยาก ของเราได้อย่างแท้จริง
เพื่อนยามยาก นั้นแบ่งได้เป็น ๒ ประเภท คือ
เพื่อนยามยาก ประเภทที่๑นี้ คือ ในยามที่เรากำลังตกระกำลำบากยากไร้อยู่นั้น ได้มีเพื่อนมาคอยช่วยเหลือค้ำจุนเราโดยที่เรายังมิได้เอ่ยปากขอร้องสักคำเดียว แต่กลับกุลีกุจอเป็นภาระหน้าที่คอยช่วยเหลือเราตลอดเวลาจนเราสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ในระดับหนึ่ง และเพื่อนประเภทนี้จะไม่มีมายุ่งแวะข้องเกี่ยวกับเราเลยในยามที่เราสุขสบายแต่เรากลับหาได้ในยามที่เราลำบาก
เพื่อนยามยาก ประเภทที่ ๒ในยามที่มีทุกข์เพื่อนประเภทนี้จะไม่มาเกี่ยวข้องแวะกับเราเลย แต่จะมาหาเราเองในยามที่เขานั้นทุกข์ระกำลำบากเพื่อร้องขอให้เราช่วยเหลือ ต่างๆนานาพร้อมยกเรื่องราวในอดีตมากมายมากล่าวอ้างเพื่อผุกสัมพันธุ์กับเราใหม่ในฐานะของคำว่า เพื่อน
สรุป แล้ว ตอนนี้เพื่อนรอบตัวเราเป็นแบบใดกันเล่า
เราเคยเป็นเพื่อนยามยากของใครบ้างหรือเปล่า และ เป็นแบบใด
และ
เราเคยมีเพื่อนยามยากบ้างไหม และ มีแบบใด
ขอให้โชคดีทุกๆคน
เศษทาน
25 มกราคม 2549 13:50 น.
เศษทาน
ชีวิตคู่ คู่ชีวิต
จากชื่อเรื่องข้างบน ผมใคร่ขอถามว่า คุณอยากมี
ชีวิตคู่ หรือ คู่ชีวิต
หากคุณเลือก ชีวิตคู่ ทำไมคุณจึงอยากมี ชีวิตคู่ ?
หากคุณเลือก คู่ชีวิต ทำไมคุณจึงอยากมี คู่ชีวิต?
แล้ว.....
ชีวิตคู่ กะ คู่ชีวิต มันต่างกันยังไง หลายคนอาจสงสัย เพราะสองคำนี้ความหมายมันจะน่าจะเหมือนกัน คุณว่าไหม
แต่.................
ในความคิดผม ของผมคนเดียวนะ ผมคิดว่า คำสองคำนี้แตกต่างกันแน่นอนครับ ทำไม ? จึงแตกต่าง แล้ว แตกต่างกันยังไง งั้นลองคุณมาอ่านความคิดของผมกันดูนะ แล้ว แสดงทัศนคติวิจารณ์ออกมาเพื่อแลกเปลี่ยน โลกทัศน์ของกันและกันดู เผื่ออาจจะมีประโยชน์บ้างในวัยข้างหน้า
ชีวิตคู่ ในความคิดของผมเองนั้น ผมคิดว่ามันเป็นอะไรที่ง่ายๆในสังคมปัจจุบันนี้นะ เพราะหลายๆคนใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกันแต่ไม่เคยคิดถึงอนาคตหรือคู่ชีวิตกันเลยสักนิด เจอหน้ากัน ถูกใจ พบปะพูดคุย สนิทกัน แล้วก็ไปใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกัน ใหม่ๆอะไรก็ดีไปหมด แต่พอนานๆไปเริ่มเข้ากันไม่ได้ สุดท้ายเป็นไง ได้เลิกรากันไปอีกแล้ว ชีวิตคู่ก็จบลงตรงนั้น
คู่ชีวิต นั้นผมคิดว่ามันเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่มากมายเลยนะ เพราะการที่เราจะได้ คู่ชีวิต มาเนี่ยมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยนะ คุณว่าไหม มันต้องผ่านอุปสรรคนานาสารพัดสารพันปัญหาที่ถาโถมโรมรันพันพัว เข้ามาใส่ชีวิตคู่ คู่นั้นๆไม่รู้กี่ฝนกี่ร้อนหนาว ให้เขาสองคนนั้นต้องเจ็บปวดรวดร้าวอยู่ทุกคราวไป แต่เขาสองคนนั้นกลับฝ่าฟันอุปสรรคนานาเหล่านั้นไปได้ จนใครคนหนึ่งล้มหายตายจากกันไป ตามวาระเวลาของแต่ละบุคคลนั้นๆ
ยิ่งในปัจจุบันนี้เราจะได้พบเห็นการใช้ ชีวิตคู่ มากกว่าจะได้เห็น คู่ชีวิต นะ บางคนกว่าจะเจอ คู่ชีวิต ก็ไปหลงอยู่ใน ชีวิตคู่ หลายครั้งก็มี เพราะความเจริญทางด้านวัตถุเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเรานั่นเอง เราจึงไม่ค่อยคิดอะไรลึกซึ้งแบบคนสมัยก่อนเก่า
แต่ก็หวังไว้ในใจลึกๆว่าในอนาคตอันใกล้นี้ เราฐานะคนปัจจุบันคงยอมรับได้กับอนาคตที่จะเกิดขึ้นกับเราเองและคนที่ใกล้ชิดเราในวันข้างหน้าได้ ในเมื่อเราก็รับค่านิยมด้านวัตถุนี้เหมือนกัน
หากคุณหรือใคร เจอ คู่ชีวิต ที่เขาผ่าน ชีวิตคู่ มาแล้วนั้นขอให้คุณหรือใครยอมรับความจริงเสียเถอะครับ เพราะมันคือ ความจริง ที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้วในอนาคตอันใกล้นี้
เศษทาน
25/01/49
15 มกราคม 2549 08:07 น.
เศษทาน
นิทาน...นาย นิทาน
ตอน น้ำข้าว
แม้ฤดูนี้จะเป็นหน้าร้อนแต่เมื่อคืนก็นอนหลับอย่างสบายบนห้างในไร่หลังนั้น เพราะสายลมที่พัดเอื่อยๆอย่างเฉื่อยฉ่ำในยามค่ำคืนของราตรีที่เงียบสงัดถึงแม้นานๆครั้งจะมีเสียงอันไม่พึงปรารถนาจะดังสอดแทรกเข้าบ้างเป็นระยะๆแต่พวกข้าก็หลับสนิทหาได้ยินเสียงเหล่านั้นแต่อย่างใด มารู้สึกตัวลืมตาตื่นอีกครั้งเมื่อไอ้โต้งตัวเอกมันกระพือปีกพั่บๆพร้องขับเสียงใสๆโก่งคอขันอยู่บนหลังคอกงัวเพื่อปลุกให้ทุกคนรับรู้ว่าใกล้จะถึงเวลาเช้าของวันอีกใหม่แล้ว
แม่ข้าจึงจำเป็นต้องลุกจากที่นอนก่อนใคร เพื่อต้องเตรียมหุงหากับข้าวกับปลาเพื่อเลี้ยงปากท้องคนในครอบครัวตามหน้าที่ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในวิถีชีวิตประจำวัน ทุกๆวันทุกๆเวลามานานนับเดือนนับปีที่ยังไม่รู้ว่าเมื่อไรจะหมดเวลาวาระลงเสียที
ต่อจากนั้นพ่อข้าก็ลุกจากที่นอนอันแสนอบอุ่นแม้จะไม่อยากลุกก็ตามที เพราะในเวลาหนึ่งวันที่ได้พักผ่อนแบบสบายใจที่สุดก็มีเพียงเวลาที่ได้เอนกายพักผ่อนหลับนอนยามค่ำคืนเท่านั้นกระมัง ที่บรรเทาความเหนื่อย ความปวด เมื่อยล้า จากการที่ต้องตรากตรำทำงานทั้งวันในวิถีแห่งชาวนาไร่ วิถีท้องทุ่ง วิถีไร่นา อยู่กับป่าเขาลำเนาไพร และผืนแผ่นดินทองอันอุดมสมบูรณ์ที่บรรพบุรุษได้พลีเลือดเนื้อชีวิตและวิญญาณปกปักรักษามาจนถึงลูกหลานเหลนโหลนนับร้อยๆปีผ่านมา
แต่เราอนุชนคนรุ่นหลังหาได้รู้คุณบุญแผ่นดินไม่ จ้องจะทำลายทำร้ายผืนแผ่นดินถิ่นกำเนิดที่ให้ชีวิต ให้เลือดเนื้อ ให้วิญญาณ ให้อาหาร ให้ทุกๆสิ่งทุกๆอย่างแก่มวลมนุษย์อย่างเท่าเทียมทัน โดยที่ไม่เคยเรียกร้องสิ่งตอบแทนจากเราทั้งหลายเลยแม้แต่น้อยนิด หากแต่เราต่างหากที่คอยจ้องทำลายสิ่งที่ให้ชีวิตและหล่อเลี้ยงเรามาจนปีกกล้าท้าตาวัน ได้อย่างสง่าผ่าเผย ไยเลยเราท่านทั้งหลายไยไม่ตระหนักกันบ้าง ในบุญคุณแผ่นดินที่เราได้เหยียบยืนอย่างองอาจ
เมื่อพ่อข้าลุกไปได้สักพัก ข้าก็ได้ยินเสียงแม่ร้องเรียก ไอ้น้อง !สงกรานต์เอ้ย น้ำข้าวได้แล้วเน้อ.....เท่านั้นข้าก็หูผึ่งรีบลุกออกมาจากที่นอนทันที โดยที่แม่ไม่ต้องเรียกซ้ำบอ่ยๆ เพื่อรีบมากินอาหารเช้าที่โปรดปรานยิ่งนัก มันช่างแสนอร่อย เลิศรส เสียยิ่งกว่าเครื่องดื่มอะไรต่อมิอะไรในสมัยนี้เสียอีกกระมัง
ใช่แล้ว มันคือ น้ำข้าว น้ำที่ได้จากการหุงข้าวเตาฟืนหรือเตาถ่านเมื่อก่อนนี้ ที่เดี๋ยวนี้แทบไม่มีแล้วเพราะต่างเครื่องใช้ไฟฟ้ามาช่วยอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันไปเสียสิ้น ทำให้ลืมกลิ่นน้ำข้าวที่แสนจะหอมหวลอวลอบตลบคลุ้งยามก้มหน้าลงไปสูดกลิ่น
ข้าเองนั่งอยู่ตรงหน้าชามน้ำข้าว ซึ่งเป็นชามโห้งสังกะสีสีขาวและช้อนสังกะสีสีเขียวอีกคันนึง แม่เอาเกลือเม็ดใส่ในชามน้ำข้าว 2-3 เม็ดเพื่อให้มีรสเค็มนิดๆ แล้วข้าก็นั่งกวนจนเกลือละลายจนหมด จึงทำให้รสชาติของน้ำข้าวเค็มๆมันๆและหอมหวลยิ่งนัก ยามตักน้ำข้าวใส่ปากกลิ่นลอยมาปะทะจมูกต้องนั่งนิ่งสูดเอากลิ่นเข้าไปพร้อมกับซดน้ำข้าวเสียงดัง โพรดดดดดดดดด
ไม่มีอะไรอร่อยกว่านี้อีกแล้วกระมัง น่าเสียดายยิ่งนักที่ปัจจุบันนี้แทบไม่มีแล้วการหุงข้าวเตาฟืนเตาถ่านที่ต้องรินน้ำ อย่าว่าแต่มีน้ำข้าวให้กินเลย ข้าวสวยที่ได้ยังหอมกว่าหุงหม้อไฟฟ้าเสียอีกกระมัง คนปัจจุบันนี้ไม่ได้กินแล้วหล่ะ ข้าเองอาจจะเป็นรุ่นสุดท้ายก็ได้มั้งที่ยังทันได้กินน้ำข้าวที่เลอรส
เศษทาน
29 ธันวาคม 2548 20:16 น.
เศษทาน
นิทาน...นาย นิทาน
ตอน...ตะวันลับท้ายไร่
ชีวิตในช่วงเยาว์วัยที่ได้อาศัยอยู่ในไร่ห้วยนางทอง ที่เต็มไปด้วยป่าเขาลำเนาไพรที่บริสุทธิ์สดใส ในกลิ่นอายของธรรมชาติที่ข้าเองลืมมิได้นั้น มันช่างเป็นมนต์เสน่ห์ที่ติดตรึงตราในใจยิ่งนัก
เริ่มจากยามเย็นที่เราได้เห็นตาวันค่อยๆคล้อยเอนต่ำลงลับเหลี่ยมเขาที่มองจากหลังห้างที่ข้าได้อาสัยหลับนอนในยามค่ำคืน มันช่างสวยเสียนี่กระไรหากวันนั้นข้ามีกล้องคงได้ถ่ายรูปเก็บไว้มากมายในทุกๆวินาทีที่ฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีจากแสงแดดที่ร้อนแรงจ้าแล้วค่อยๆอ่อนลงๆจางลงทีละนิดๆจากตาวันดวงเล็กๆที่แจ่มแจ้งด้วยแสงสูรย์จนมองเห็นเป็นดวงใหญ่สีส้มโตอยู่บนยอดเขาไรๆเห็นหมู่มวลแมกไม้ที่ขึ้นหนาแน่นบนยอดเขาไกลๆโน่น
หากแต่น่าเสียดายที่ข้าไม่สามารถบันทึกไว้ได้ ทำได้แค่เพียงบันทึกด้วยกล้องสองตาที่มีอยู่แล้วเก็บข้อมูลเหล่านั้นใส่แผ่นซิปสมองไว้ รอวันและเวลาให้มานั่งนึกย้อนอดีตแต่ก่อนเก่า มาบรรยายผ่านตัวหนังสือเป็นเรื่องเล่าให้นึกถึงวันวานที่ผ่านมา ในเรื่องแห่งความทรงจำเมื่อครั้งอดีต แล้วมันจะได้อะไรเล่าจากความทรงจำนั้นๆ ไม่เลยไม่เคยคิดหวังอยากได้อะไรทั้งสิ้น เพียงแค่แอบคิดว่า หากเป็นไปได้เราอยากให้วันนี้ย้อนไปหาวันวานได้ แล้วเราจะเป็นสุขยิ่งนัก เราได้อยู่ใกล้ธรรมชาติที่แสนงดงาม ดื่มด่ำความบริสุทธิ์ที่ธรรมชาติของโลกพลีมอบให้มวลมนุษย์ทุกผู้ทุกคนได้รับอย่างเท่าเทียมกัน ไม่แบ่งชนแบ่งชั้นว่ายากดีมีจน ธรรมชาติพลีมอบให้เท่าเทียมกัน
หากแต่มนุษย์ต่างหากเล่าที่แก่งแย่งกันเอง เอาเปรียบธรรมชาติ รุกรานข่มเหง ย่ำยี จนธรรมชาติทั้งหลายทั้งมวลไม่อาจทานน้ำมือของคนได้
ตาวันจะลับลาฟากฟ้า นกกาผกผินบินกลับรวงรัง ต่างส่งเสียงเซ็งแซ่บนต้นปูข้างห้างของข้า ข้าคิดในใจว่ามันคงพูดคุยกันถึงเรื่องราวต่างๆที่มันได้ออกไปพบมาในวันนี้กระมัง เสียงจักจั่นก็ร่ำร้อง หริ่งหรีดเรไร ต่างขับขานประสานเสียงเป็นบทเพลงที่ไม่สามารถหาฟังได้ง่ายๆ ใบตองกล้วยที่ปลูกไว้เป็นแนวเขตแดนแบ่งเนื้อที่ว่าใครเป็นเจ้าของนั้นสะบัดกวัดใบตามแรงลมปะทะเสียงสั่นพั่บๆพั่บๆชวนให้น่ากลัวยิ่งนัก เจ้าฝูงไก่ขันเรียกร้องพวกพ้องให้ขึ้นคืนคอนบนหลังคอกงัวบ้าง เข้าไปนอนในเล้าที่ทำไว้บ้าง บางตัวก็ขึ้นไปนอนบนกิ่งต้นปูที่ย้อยต่ำระย้าลงมา แสงตาวันลับขอบฟ้าเปลี่ยนจากเวลากลางวันเป็นกลางคืน เจ้านกเค้าตัวเขื่องที่หลับใหลในยามวันลืมตาตื่นขึ้นมาร้อง ฮูกๆอยู้บนต้นปูใหญ่ เป็นสัญญาณให้รู้ว่าถึงเวลาของนักล่ายามราตรีต้องออกหากินแล้ว หลังจากหลับใหลมาตลอดทั้งวัน
ยิ่งดึกยิ่งเงียบยิ่งได้ยินเสียงแปลกๆแปร่งๆยิ่งนักยามอยู่ท่ามกลางป่าเขา มองออกไปไกลๆเห็นแสงตะเกียงรำไรๆจากห้างของเพื่อนไร่ที่ยังไม่หลับนอน บางคราก็ได้ยินเสียงคนร้องเรียกตะโกนดังกึกก้อง สอดแทรกเสียงแห่งราตรี เสียงยุงที่บินหวี่ๆจากตัวเดียวรวมกันหลายๆตัวจนเปลี่ยนเสียงเป็นดังกังวานไปทั่วรอบๆห้าง ยามนั่งกินข้าวต้องคอยปัดยุงไปกินไปท่ามกลางแสงตะเกียง มันช่างสุนทรีย์ยิ่งกว่าไปกินดินเนอร์ใต้แสงเทียนในโรงแรมหรูราคาแสนแพงเสียอีก พ่อแม่ลูกนั่งกินข้าวล้อมวงนั่งขัดตะหมาดปุ้มข้าวด้วยมือใส่ปาก กินอย่างเอร็ดอร่อย มีน้ำพริกถ้วยน้อย กับแกงส้มผักที่เก็บเอาปลายไร่ และต้มผักแกมอีกอย่างสองอย่าง
กินข้าวอิ่มแล้วสิ่งที่ลืมไม่ได้คือไอ้เพื่อนยากที่มันนอนรออยู่ข้างล่างรอเศษข้าวปลาอาหารจากเราผู้เป็นนายนำลงไปขุนไปได้กินอิ่มให้อิ่มหนำตามประสาคนกะหมาที่อยู่ด้วยกันแบบชาวไร่ชาวนา กระนั้นมันก็ยินดียิ่งนักยามเราเอาหม้อข้าวหิ้วลงไปเทใส่รางให้มันได้กิน มันสะบัดหางร้องหงิงๆแลบลิ้นเลียปากวิ่งไปรอที่รางข้าวของมัน ใช่สิถึงแม้มันจะเป็นเพียงเศษอาหารที่เหลือจากเราผู้เป็นนายได้กินแล้วหากแต่มันผสมด้วยน้ำข้าวที่เลิศรส มันจึงชอบยิ่งนัก อย่างน้อยๆไอ้ขาวเพื่อนยากของข้ามันก็อ้วนหัวหลิม แม้มันจะไม่เคยชิมอาหารหมาเลิศรสอย่างหมาๆในปัจจุบันก็ตามที
(โปรดติดตามตอน*น้ำข้าว*ได้ในตอนต่อไปขอรับกระผม)
เศษทาน