29 พฤษภาคม 2551 00:34 น.
เรไร
มองดวงดาวเดี่ยวเหงาเฝ้าท้องฟ้า
เห็นน้ำตาโปรยปรายพรายน้ำค้าง
เหมือนเหว่ว้าจะมืดมนสิ้นทาง
ดูเคว้งคว้างเจ็บช้ำในค่ำคืน
คำหญิงสาวที่บอกถูกหยอกเย้า
ความโง่เขลาทำจิตคิดเป็นอื่น
เหมือนโดนลวงให้ช้ำทนกล้ำกลืน
หลงคิดว่ายั่งยืนชื่นอุรา
คงมิใช่เขลาขลาดเธอพลาดพลั้ง
อาจเป็นหวังที่วาดในปรารถนา
จิตจึงซ่านซึ้งซาบภาพมายา
คอยลวงตาหลอกลวงในดวงใจ
อย่าคิดว่าอ่อนแอจึงแพ้ยับ
จึงต้องรับหมองหม่นเกินทนไหว
คิดลงโทษที่ละเมอและเผลอไป
เสียน้ำตาหลั่งไหล...ทำไมกัน
ที่ต้องมาทนเศร้าเขาไม่รัก
ถูกหาญหักอกระทมตรมโศกศัลย์
เพราะเพียงเธอให้นิยามความสำคัญ
เพ้อพร่ำในสัมพันธ์ที่ฟั่นเฟือน
ความรันทดเจ็บช้ำคอยย้ำจิต
จึงครุ่นคิดว่าเธอเสมอเหมือน
เศร้าสลดจดจำให้ย้ำเตือน
มิลืมเลือนกลับหวาดกลัวใจตัวตน
ว่าสิ้นฟ้าสิ้นดินคงสิ้นสุด
จะขอหยุดหัวใจคลายสับสน
จะไขว่คว้าความสุขเลิกทุกข์ทน
เลิกหมองหม่นสู่โลกแห่งโชคชะตา
ได้เรียนรู้รับรสรักบทแรก
อกแทบแตกหัวใจเหมือนไร้ค่า
ขอเก็บนำร้าวรานที่ผ่านมา
ให้เรียนรู้ไว้ว่าอย่ารักใคร
27 พฤษภาคม 2551 01:03 น.
เรไร
ในวันที่ชีวามันว้าเหว่
จะหันเหทางไหนให้หงุดหงิด
มีเรื่องราวมากมายชวนให้คิด
ทำดวงจิตเคืองขุ่นจนวุ่นวาย
อยากเรียบเรียงถ้อยพจน์บทอักษร
เป็นคำกลอนให้เลื่องลือสื่อความหมาย
เอาอารมณ์หวาดหวั่นเขียนบรรยาย
ก็คิดจนตาลายมิได้ความ
หรือเพราะว่าลืมไปไม่รู้จัก
ฉันทลักษณ์ไม่เก่งจึงเกรงขาม
หรือไฟฝันเริ่มลดหมดนิยาม
เกิดคำถามที่แย่ หรือ...แก่ตัว
จะคำโคลงโยงเรื่องดูเปรื่องปราญช์
ไม่สามารถเพิ่งเรียนก็เวียนหัว
ยิ่งคำฉันท์ฉันขยาดแสนหวาดกลัว
ไม่อยากมั่วจะว่าหมิ่นคนนินทา
หากว่าจะเขียนกาพย์ให้ซาบซึ้ง
เพื่อบอกความคิดถึงคะนึงหา
ยิ่งฟั่นเฟือนเขียนไปคงได้ฮา
ไม่รู้ว่าที่คิด...คิดถึงใคร
ยิ่งนั่งนึกนอนนึกจนดึกดื่น
เลยเที่ยงคืนเริ่มงงคงมิไหว
ตาเริ่มปิดสติลดเริ่มหมดไฟ
หรือเพราะใจสูญสิ้นจินตนาการ