29 กรกฎาคม 2549 23:12 น.
เรไร
อยากขอพรเทวาฟ้าลิขิต
ให้ชีวิตคิดอะไรดั่งใจฝัน
เพียงบรรลุปรารถนาสารพัน
คงสุขสันต์รื่นรมย์สมอุรา
อยากจะเป็นศิลปินเก็บดินเหนียว
เพียงก้อนเดียวตามจินต์ถวิลหา
แล้วขึ้นเป็นรูปร่างอย่างตุ๊กตา
ใส่แขนขาดั่งใจคิดเป็นอิสตรี
แล้วร่ายมนต์ดลคาถามหาเวทย์
พรวิเศษล้ำเลิศประเสริฐศรี
ให้ก้อนดินปั้นจากธรณี
บังเกิดมีชีวันในทันใด
พรประเสริฐเกิดจริงเป็นหญิงสาว
งดงามราวพญาหงส์น่าหลงใหล
หวังเชยชมเชิดชูเป็นคู่ใจ
คือฝันใฝ่ในห้วงดวงกมล
เพราะมัวเพ้อรำพึงจึงประมาท
ความผิดพลาดหลงกิเลสไร้เหตุผล
ลืมกำหนดกำกับใจตอนร่ายมนต์
จึงหมองหม่นทนทุกข์เพราะตุ๊กตา
เราอาจจะสร้างสรรค์ฝันวิจิตร
หรือลิขิตขีดวาดปรารถนา
ให้ตัวเองได้เห็นเป็นธรรมดา
ฤ คิดว่าจะลิขิตชีวิตใคร
20 กรกฎาคม 2549 00:00 น.
เรไร
ดูเถิดสหาย
มีมากมายก่ายกองให้มองเห็น
สรรพสิ่งมีหนทางอย่างที่เป็น
เกิดประเด็นคำถามก็ตามมา
เห็นเมฆลอยคล้อยเคลื่อนเลื่อนลงต่ำ
ดูมืดดำรายรอบถึงขอบฟ้า
ต่างแสดงความคิดเห็นเป็นธรรมดา
ข้อกังขาเกิดตามความเปลี่ยนแปลง
สหายจงฟังสิ
ตั้งสติคิดตามคำแถลง
ในวลีคอยกำหนดบทแสดง
คือถ้อยแห่งความจริงหรือสิ่งใด
เหมือนยินเสียงร้องดังฟังโหยหวน
คล้ายคร่ำครวญโศกาน่าสงสัย
หรือมีเรื่องร้าวรานสะท้านใจ
หรือเพราะได้รื่นรสบทอัศจรรย์
เพื่อนเอ๋ยหากถวิล
ได้ดมกลิ่นหอมฟุ้งจรุงฝัน
ดุจน้ำปรุงจากพฤกษานานาพันธุ์
ที่ใช้มันคอยประทินลบกลิ่นกาย
จนหอมหวนเย้ายวนชวนลุ่มหลง
ดั่งผจงด้วยจิตคิดมั่นหมาย
ส่งความหอมระรวยรินกลิ่นกำจาย
ขอสหายตั้งสติพิจารณา
ตรองเถิดผองเพื่อน
หากบิดเบือนเรียงร้อยถ้อยภาษา
บริภาษในมธุรสบทวาจา
ไร้คุณค่าศักดิ์สิทธิ์จงคิดดู
แม้วจีพูดพร่ำคำไพเราะ
คงเสนาะชมชื่นระรื่นหู
ถ้ามึงมาพาโวยโว้ยมึงกู
น่าอดสูหัวใจเมื่อได้ยิน
เพื่อนเอ๋ยอย่าอึดอัด
รสสัมผัสอาจรัญจวนชวนถวิล
ทุกรูปรสยากลืมหากดื่มกิน
แล้วแต่จินต์แต่ใจจะไตร่ตรอง
เพียงเพราะจิตเรานั่นมันเคลื่อนไหว
โอนเอนไปกับสิ่งชอบตอบสนอง
เผลอภิรมย์สิ่งใดที่หมายปอง
อาจจะต้องเจ็บช้ำก็ทำใจ
17 กรกฎาคม 2549 23:52 น.
เรไร
คือประกายแห่งไฟที่ใกล้มอด
ยามจิตกอดอาภัพทุกข์ทับถม
ให้หวาดหวั่นวิตกจนอกตรม
ยากจะข่มดับพิษที่จิตใจ
คือกองแห่งพระเพลิงที่เริงโรจน์
ยามเกรี้ยวโกรธกลัดกลุ้มคอยสุมใส่
คอยเติมเชื้อถั่งโถมโหมแรงไฟ
จนวายวอดมอดไหม้แม้ใจตน
คือเปลวไฟส่องทางสว่างจิต
นำชีวิตย่อยยับแสนสับสน
ช่วยชี้นำฝ่าข้ามความมืดมน
พาก้าวพ้นเผชิญโลกแห่งโชคชะตา
คือประกายของใจจุดไฟฝัน
ทุกคืนวันหวังวาดปรารถนา
เผาความทุกข์ทับถมตรมชีวา
เผาจนกว่าเลือดเนื้อเป็นเชื้อไฟ
15 กรกฎาคม 2549 10:47 น.
เรไร
กลางดงพงพนา...............ณ ผืนป่าถิ่นอิสาน
เริ่มย่ำรัตติกาล................จิ้งหรีดร้องเล่าเรื่องราว
เดือนเพ็ญเด่นกระจ่าง.....ส่องสว่างกลางหมู่ดาว
ค่ำคืนที่อบอ้าว.................กลับเหน็บหนาวในเดียวดาย
ยินเพียงเสียงขับขาน.........ก้องกังวานจากสหาย
คอยกล่อมให้ผ่อนคลาย......ลืมทุกข์ตรมถมชีวี
บทเพลงที่กู่ร้อง.................ท่วงทำนองแสนสุขี
ส่งผ่านความหวังดี..............ด้วยไมตรีมีให้กัน
ราตรีที่งดงาม.....................แม้ในยามจิตโศกศัลย์
มิตรภาพอาบแสงจันทร์.......จดจำมั่นนิรันดร
13 กรกฎาคม 2549 10:48 น.
เรไร
ขอเรียนเชิญเพื่อนสนิทมิตรสหาย
จงพักกายนั่งลงตรงนี้ก่อน
จะปูเสื่อเอนหลังนั่งหรือนอน
จิตรุ่มร้อนให้หายคลายกังวน
มาเถิดฟังเรื่องราวขอกล่าวขาน
อย่ารำคาญอาจทุเรศไร้เหตุผล
อยากชี้ชวนให้พินิจจิตใจคน
ขอเริ่มต้นตำนานสะท้านใจ
กาลครั้งหนึ่งนานเท่าใดก็ไม่รู้
ฉันอยากมีคนเชิดชูดูยิ่งใหญ่
คอยเสนอสิ่งดีงามอยู่ร่ำไป
ภาพสดใสแต่งจริตจนติดตัว
จนผู้คนหลงเชื่อว่าเนื้อแท้
ที่มีแต่ทองทาทาบไปทั่ว
หลงงมงายหลงเงาเหมือนเมามัว
หลงว่าตัวเปล่งปลั่งเหมือนดั่งทอง
ในโลกที่เสมือนจริงยิ่งสูงค่า
โลกมายากลับยิ่งหยิ่งผยอง
คิดว่าคนทั้งหลายต่างใฝ่ปอง
แต่ยามต้องออกมาเดินเผชิญโลก
ทองที่ทาทาบทับกลับหลุดลอก
ภาพที่ออกก็ล้วนอุปโลกน์
มารำพึงรำพันฉันไร้โชค
ภาพเศร้าโศกเขียนหลอกบอกตัวเอง
แต่สุดท้ายยังรักด้วยศักดิ์ศรี
คงถือดีอยู่ว่าตัวข้าเก่ง
เที่ยวบอกใครต่อใครใจนักเลง
โดนข่มเหงรังแกแพ้คำคน
ภาพที่สร้างน่าสลดแสนหดหู่
ทำให้ดูอาภัพสุดสับสน
บอกว่าฉันเหว่ว้าเข้าตาจน
ต้องทุกข์ทนใจท้อทรมาน
บทสุดท้ายชอกช้ำคำที่กล่าว
น้ำตากราวร่วงไหลใครสงสาร
จบเสียทีเรื่องลำเค็ญเช่นนิทาน
ให้คนขานฉันสร้างภาพตราบฟ้าดิน