24 พฤษภาคม 2548 09:38 น.
เรไร
บางครั้งเราอยากรู้จักใครสักคน
ต้องดั้นด้นไปไกลหลายหมื่นลี้
ใช้เวลาผูกสัมพันธ์นานนับปี
กว่าจะมีเพื่อนรู้ใจได้สักคน
ต้องค่อยเพียรเรียนรู้ดูนิสัย
บ้างเข้าใจถูกผิดบ้างยังสับสน
มองกันไปมองกันมาน่ากังวล
เล่ห์ฉ้อฉลมีไหมหรือไม่เลย
แต่บางคนเสี้ยวนาทีที่รู้จัก
ทักทายกันบางคำคำเอื้อนเอ่ย
คล้ายดังเป็นเพื่อนเก่าเราคุ้นเคย
ใจจริงเผยออกไปไม่ปิดบัง
เสี้ยวเดียวกันคนที่เราคิดว่าเพื่อน
กับดูเหมือนคนสนิทกับผิดพลั้ง
ดูหน้าไหว้นักหนาน่าชิงชัง
พอลับหลังกลิ้งกลอกเหมือนหลอกลวง
พริบตาเดียวสิ่งต่างก็พลันเกิด
ทั้งดีเลิศหดหู่อยู่ในห้วง
ก็รู้เห็นหัวใจใครหลายดวง
เห็นเปลือกกลวงน่าอดสูรู้แก่ใจ
สิ่งที่เคยคิดกันนั้นว่าถูก
สิ่งที่ผูกเรื่องพาน่าสงสัย
จิตรับรู้ว่ามันเป็นอย่างไร
ก็เกิดได้ดีชั่ว...ชั่วพริบตา
...แค่เรากระพริบตาเท่านั้น ..มิตรภาพใหม่ๆก็บังเกิด
...และชั่วพริบตาเดียวกันนั้นเอง
...บางสิ่งบางอย่างที่เราคิดว่าดี กลับกลาย...เป็นตรงข้าม
18 พฤษภาคม 2548 23:18 น.
เรไร
หลั่งมาเถิดนะเจ้า น้ำตา แม่เอย
จงร่วงรินไหลมา สู่พื้น
ออกไปจากอุรา ให้หมด
รันทดโศกสะอื้น หมดสิ้นกันที
เพียงหยัดยืนยกเท้า ก้าวเดิน
ขออย่าคิดหมางเมิน อย่างนั้น
ทุกข์ใดมิใหญ่เกิน เราหยั่ง
อุปสรรคขวางกั้น ฝ่าได้ด้วยใจ
สร้างทหัยแกร่งกล้า อย่ายอม
ความทุกข์ถมตรมตรอม เก็บไว้
ความสุขส่งกลิ่นหอม รออยู่
เพียงแค่รอเราให้ ไขว่คว้ามาชม
ดูสินั่นนกน้อย ทำรัง
ค่อยเก็บก่อต่อหวัง ไม่ท้อ
ทีละเล็กละน้อยยัง อุตส่าห์
เก็บสะสมไม่ง้อ หมั่นสร้างทางฝัน
มิหวั่นเกรงหากต้อง ค้นหา
กำหนดโชคชะตา ขีดไว้
หนทางสุขหรรษา คงพบ
เดินสู่จุดหมายให้ เที่ยงแท้สุขใจ
18 พฤษภาคม 2548 07:11 น.
เรไร
ชิวิตหมดสิ้นหวังครั้งแล้วครั้งเล่า
ความเงียบเหงามาเยือนกี่ครั้งกี่หน
ความโศกเศร้าเหยียบย่ำเจ็บจำเจ็บจน
น้ำตาหล่นคอยยั้งต้องกล้ำต้องกลืน
ความรักเคยมั่นหมายก็หน่ายก็หนี
นานนับปีฝังรากลึกสะอึกสะอื้น
ยากข่มตาให้หลับทุกค่ำทุกคืน
ผวาตื่นดวงกมลกระวนกระวาย
แม้เหน็บหนาวเพียงนิดสะดีดสะดิ้ง
หาที่อิงอยู่ตลอดต้องกอดต้องก่าย
คอยชะแง้แลเหลียวอยู่เดียวอยู่ดาย
แต่สุดท้ายก็ขมขื่นข้ามคืนข้ามวัน
บนทางเดินดั้นด้นเที่ยวค้นเที่ยวคว้า
จนเหนื่อยล้ามิพบใครที่ใฝ่ที่ฝัน
สักคนให้คิดถึงรำพึงรำพัน
มิไหมนั่นหรือดวงแดแค่คร่ำแค่ครวญ
17 พฤษภาคม 2548 13:10 น.
เรไร
เลือกที่นั่งเฉพาะให้เหมาะสม
จะปูพรมวางเบาะพอเหมาะเหม็ง
ตามสบายไม่ว่าคนกันเอง
จะกริ่งเกรงวุ่นใจทำไมกัน
มีนิทานร่วมสมัยเป็นเรื่องราว
ของสามสาวแดนไกลที่ใฝ่ฝัน
อยากไปเที่ยวพักให้หายจาบัลย์
สู้ฝ่าฟันข้ามน้ำข้ามทะเล
สู่แผ่นดินภาคพื้นตะวันออก
เมืองบางกอกเยื้องย่างมิหันเห
ที่เขาเรียกเอเซียอาคเนย์
มิลังเลจึงแยกกันไปทันที
อีกสิบวันล่วงไปได้นัดแนะ
กลับมาแวะที่เดิมที่ตรงนี้
ประสบการณ์พบมาว่าร้ายดี
หรือใครมีอะไรได้เล่ามา
สู้อุตส่าห์ฝ่าข้าม ธารา แสนไกล
ผืนแผ่นพสุธา ฟากฟ้า
หวังเพียงเพื่อตามหา ความสุข สำราญ
ได้ท่องเที่ยวไขว่คว้า ที่นั้นต่างคน ต่างไป
อนงค์นางหนึ่งนั้นพลันย้ายแยก
ไปเมืองแขกนึกนิยมห่มส่าหรี
กลิ่นเครื่องเทศลองชิมลิ้มโรตี
แกงกระหรี่รสล้ำหม่ำมิเบื่อ
สารพัดเครื่องปรุงสมุนไพร
บำรุงให้ขันแข็งแกร่งกล้ามเนื้อ
จนล่ำบึกใหญ่โต..โอ้เหลือเฟือ
จำต้องเชื่อเพราะซึ้งรสบทอัศจรรย์
จะราวเรื่องไปต่อมิขอหยุด
ถึงนงนุชนางหนึ่งคนึงฝัน
ข้ามสะพานมิตรภาพไปเวียงจันทร์
แขวงสุวรรณเขตประเทศลาว
ได้เที่ยวท่องล่องไปในผืนป่า
ชมบุปผามาลีมีดอกขาว
นั่นกล้วยไม้ช่อชุมเป็นพุ่มยาว
เลิกย่างก้าวขอพักสักนิดเดียว
เริ่มก่อไฟเตรียมปรุงหุงอาหาร
มีนายพรานนำทางหยิบข้าวเหนียว
กินแล้วอึดดีแท้แแน่นักเชียว
ทำให้มีเรี่ยวแรงแกร่งกว่าใคร
ทั้งในเรื่องโลกีย์สุนทรียรส
เยิ่นเย่อบทกามาพาหลงไหล
อนงค์นั้นคงรู้อยู่แก่ใจ
ซาบซึ้งในข้าวนึ่งถึงละเมอ
นวลอนงค์คนสุดท้ายไม่ลดละ
ตั้งใจจะมุ่งไปมิไผลเผลอ
อาทิตย์อุทัยถิ่นนั้นพลันพบเจอ
แสนเลิศเลอศิวิไลซ์เมืองใหญ่โต
อยากลองลิ้มสักคราซาซีมิ
วาซาบิเคล้าโซยุคงสุขโข
ดูซาดิสม์จับมาคล้ายปลาโอ
เอามีดโต้ค่อยชำแระแกะเนื้อกิน
กว่าลิ้มชิมได้ลวดลายเยอะ
แต่เอาเถอะใจเย็นหน่อยอร่อยลิ้น
ผักปลาสดอุมดมค่าวิตตามิน
จนได้กินเผ็ดสำลักกระอักกระอ่วน
มันแปลบปลาบวาบในไขสันหลัง
พุ่งปรี๊ดยังสมองต้องโหยหวน
มับแสปซ่าซาบซึ้งถึงร้องครวญ
จนท้องป่วนอิ่มเกินก่อนเดินลา
ตรงเข้าผับขยับกายหาชายฉกรรจ์
กายใจฉันร้อนรักปรารถา
ระเริงบทกามรมย์สมอุรา
รสลีลาเล้าโลมถมหทัย
สิบห้าวันผ่านพ้น คืนวัน เวลา
มีนัดสัญญากัน ว่าไว้
สู่บางกอกมาทัน กำหนด
สามอนงค์เล่าให้ เพื่อนรู้เรื่องราว
ต่างมาเล่าเรื่องนั้น ที่พบพาน
ท่องเที่ยวสุขสาญ ครึกครื้น
บ้างสนุกสนาน พิสวาท เริงกาม
มาเปรียบเทียบกันให้ รับรู้สักที
หนึ่งเสียงว่าแดนโรตีนั้นดีเลิศ
แสนประเสริฐร่างกำยำดูล่ำสัน
มโหฬารเห็นกับตาน่าครามครัน
หนึ่งเสียงฉันยกให้แดนโรตี
อรนุชคนที่สองร้องเสียงหลง
เธอนั้นจงเงียบนั่งฟังทางนี้
ลูกข้าวนึ่งอึดจังกำลังดี
ไหนจะมีใครเทียบหรือเปรียบปาน
คนที่สามเพ้อคำรำพันว่า
เรื่องลีลารุกเร้าเราขอค้าน
ซาซีมิลวดลายแทบวายปราณ
สนุกสนานเริงรื่นชื่นอารมณ์
เริ่มถกเถียงเสียงดังช่างเอะอะ
หวังชนะกันด้วยเรื่องเสพสม
มีชายหนุ่มฟังถ้อยเถียงเสียงะงม
กระแอมข่มทะเลาะกันอยู่ทำไม
เรื่องแบบนี้ต่างจิตก็คิดต่าง
แล้วแต่ทางปรารถนาอย่าสงสัย
สามสาวนั้นคล้อยตามอย่างทันใด
จึงถามไถ่ชื่อฤานั่นกันหรือคุณ
ปู่ฉันเป็นแขกขาวชาวอินเดีย
ตาที่เสียวายชนม์คนญี่ปุ่น
อยู่เมืองลาวชื่อเสียงเรียงสกุล
มีทั้งยุ่นทั้งแขกไม่แยกลาว
ท้าวคำปันชื่อต้น ใช้อิง
กลางชื่อรามาซิงค์ ปู่ตั้ง
ยามาโตะชื่อจริง ท้ายสุด
หัวเราะขำเกินจะยั้ง ตลกแท้ชื่อคุณ
....อ่านมาจากเรื่องสั้นที่ไหนก็ไม่รู้ จำไม่ได้
แต่ว่าเคยได้ยินแถวข้างวงเหล้า
ตอนไปนั่งเฝ้าขวดให้เขา
อาศัยความจำลางๆเอามาเขียน
ขออภัยอย่าคิดมากครับ :)
15 พฤษภาคม 2548 00:04 น.
เรไร
เหลือเพียงแค่ที่มีเท่าที่เห็น
ในความเป็นตัวตนคนอย่างฉัน
เอาเศร้าสุขคลุกใส่ไปด้วกัน
จนผ่านวันล่วงกาลมานานนม
เอาความฝันวางเด่นเป็นจุดหมาย
ในบั้นปลายหวังสงบพบสุขสม
มิลำพังเดียวดายกับสายลม
ค่อยเก็บบ่มสร้างหวังอย่างตั้งใจ
ก็เพราะรู้มันลำบากมีขวากหนาม
พยายามก้าวไปไม่หวั่นไหว
แม้กายล้าเหนื่อยยากสักเท่าใด
ยังคงใฝ่ดั่งฉันฝันละเมอ
ไม่ได้มีอนาคตที่สดใส
อย่างกับใครที่พร้อมน้อมเสนอ
สุขสบายมากล้นคอยปรนเปรอ
ทุ่มให้เธอคอยเฝ้าพะเน้าพะนอ
ก็แค่เป็นอย่างนี้นี่แหละฉัน
ชีวิตมันตามครรลองไม่ร้องขอ
เพียงอยู่มันอย่างนี้ก็ดีพอ
ไม่เคยง้อโชคชะตาฟ้าประทาน
ให้เธอหมดทุกอย่างที่ฉันมี
ร้อยวลีรำพันป็นคำหวาน
เอาดวงใจแทนบทพจมาน
แล้วส่งผ่านความรู้สึกนึกถึงกัน
ก็แค่นี้ต่ำต้อยด้อยคุณค่า
ไร้ราคาจะตีฤดีฉัน
แต่กับเธอคนนี้แม้ชีวัน
มอบกำนัลได้เท่านั้นที่ฉันมี