5 พฤษภาคม 2547 23:45 น.
เรไร
รอยอาวรณ์สอนใจให้สะท้อน
เรื่องราวก่อนครั้งเก่าเราแทบตาย
รอยอาวรณ์สะท้อนกร่อนใจกาย
ไม่เคยหายอาวรณ์จึงต้องตรม
รอยอาวรณ์สะท้อนภาพจาบเจ็บจ้วง
ไฟสุมทรวงร้อนรุ่มกลุ้มไม่หาย
ความรักเก่าครั้งก่อนมอดมลาย
หรือเจ้าหมายมาซ้ำย้ำอาวรณ์
3 พฤษภาคม 2547 19:58 น.
เรไร
แสงตะวันล้าโรยลมโชยอ่อน
แดดสะท้อนผืนน้ำเย็นเป็นระลอก
มวลหมู่ปลาแหวกว่ายใต้แหนนจอก
หมู่นกออกจากที่กินคืนถิ่นรัง
ตัวฉันนั่งเมียงมองจ้องสายน้ำ
ไหลไปตามทางน้ำที่มันไหล
ไหลระรินราดรดไม้น้อยใหญ่
ก็ยังไหลลงไปไม่หวนคืน
ความหวานชื่นคืนฝันผ่านไปแล้ว
ความจริงแน่วแน่แท้ต้องแก้ไข
สิ่งที่พลาดผิดมาเกินอภัย
ขอแก้ไขสรรสร้างอย่างตั้งใจ
เหมือนนกน้อยคอยคู่ที่อยู่ห่าง
มองตามทางคู่ไม่รู้เจ้าอยู่ไหน
คอยคิดคว้างห่วงหาและอาลัย
ว่าเมื่อไหร่กลับคอนขอนคืนรัง
ณ ริมฝั่งวังวนที่หนไหน
ซ่อนเจ้าไว้หรือลืมรังไม่กลับหวน
แดดรอนรอนจวนจะลับดับรัญจวน
หรือโดนตรวนโซ่ทองถูกจองจำ
จนพลบค่ำตะวันดับลับยอดไม้
เจ้าอยู่ไหนหนใดใครคอยอยู่
เจ้ามาดูน้ำตาคนคอยคู่
เสียงร้องกู่ดังก้องสะท้อนไพร
เจ้าคงไปขื่อขอนที่นอนใหม่
จึงจากไปไร้เยื่อไม่เหลือรัก
ลืมเสียสิ้นถิ่นนอนที่รู้จัก
คนเสียหลักไร้คู่อยู่อย่างคอย
1 พฤษภาคม 2547 22:34 น.
เรไร
สะบัดไม้บนสายเสียงสำเนียงเพราะ
ฟังเสนาะเพราะพริ้วทิวไม้ไหว
สื่อสำเนียงเสียงแว่วมาแต่ไกล
เพลงพริ้วไหวลงคล้องทำนองเพลง
เพียงพริ้วแว่วแผ่วปลิวเสียงสายร้อง
เป็นทำนองเพลงเศร้าที่เหงาหงอย
บางครั้งมีท่อนทำนองดั่งคนคอย
เหมือนล่องลอยเลอะเลือนเปื้อนเสียงเพลง
สะบัดไม้บนสายเส้นเสียงขิม
ฟังแล้วอิ่มเอมใจใครจะรู้
ฝากสำเนียงเสียงไว้ให้โฉมตรู
ว่าคนอยู่ตรงนี้เขายังคอย