15 พฤศจิกายน 2547 21:55 น.
เรไร
ขอกล่าวถึง พรานไพร ใจทมิฬ
เที่ยวหากิน ล่าสัตว์ เดรัจฉาน
ในพนา ชื่อป่า หิมพานต์
แต่นมนาน กาเล เร่ร่อนมา
ป่าวประกาศ ข่าวใหญ่ จากในวัง
มีโขลงช้าง เสือสิงห์ สมิงสา
อาละวาด ฟาดฟัด สะบัดงา
ทุกหย่อมหญ้า ประชา ผวาตาม
ผู้ใดกล้า อาสา ถ้าไปปราบ
ให้หมอบราบ คาบเตียน หมดเสี้ยนหนาม
จะให้ศักดิ์ ยศถา สง่างาม
ระบือนาม ฟุ้งเฟื่อง ถึงเมืองไกล
เจ้าพรานไพร แจ้งจิต กิจราชา
อันตัวข้า แกร่งกล้า อย่าสงสัย
จะออกล่า ช้างโขลง ในพงไพร
เอางาใหญ่ งามเหลือง เครื่องบรรณาการ
ดำเนินจาก พารา สู่ป่าใหญ่
ก้าวตรงไป มุ่งมาด อย่างอาจหาญ
ทั้งโล่หอก เวทย์มนต์ ดลบันดาล
หิมพานต์ ข้างหน้า เข้าท้าทาย
เห็นโขลงช้าง นับไป ได้หนึ่งโหล
กำลังโซ หน้านิ่ว หิวกระหาย
เอาหอกซัด ขว้างไป เลือดกระจาย
บ้างล้มตาย ระเนระนาด พิฆาตฟัน
เก็บเอางา งามงดของ คชสาร
แบกใส่คาน จะเอาไป ในเขตขันธ์
ก็มาปะ ฝูงเสือใหญ่ ให้ครามครัน
พนาสัณฑ์ สรรพสัตว์ มากจริงเชียว
ดูเหี้ยมโหด กระโดด เหมือนโกรธจัด
คงจะฟัด กัดให้จม ด้วยคมเขี้ยว
คงหมายให้ วายชนม์ ในครั้งเดียว
ถ้าไม่เอี้ยว เลี้ยวหลบ คงราญรอน
แล้วร่ายมนต์ มายา คาถาเป่า
เรียกเจ้าเขา เป็นใหญ่ ในสิงขร
ช่วยมาปราบ กำราบ ลายพาดกลอน
ให้กายร้อน แรงล้า ชีวาวาย
ถลกเนื้อ เถือเอา แต่แผ่นหนัง
พระเวทย์ขลัง เป่ามนต์ ดลด้วยหมาย
ให้อยู่ยง คงมั่น ฟันไม่ตาย
เจ้าเสือร้าย เสียท่า เพราะอาคม
มีเจ้าป่า เป็นสิงห์ หยิ่งผยอง
ถึงสิบสอง ชอบยกตน คนเข้าข่ม
เจ้าพรานไพร เห็บชอบ ลอบนิยม
จึงพ่นลม จับได้ ด้วยไม่กลัว
จึงรีบจาก สัญจร ก่อนจะค่ำ
ฟ้าเริ่มดำ เห็นแสง แดงสลัว
จิตประหวั่น นึกขลาด น่าหวาดกลัว
เลยพาตัว มาสู่ริม หิมพานต์
เดินซมซาน ตาแดง แรงก็ล้า
โซเซมา ข้ามโขดขอน หวังนอนบ้าน
สะดุ้งเฮือก เหลือกถลึง จึงพบพาน
นี่ยักษ์มาร ขมูขี ผีที่ใด
ไอ้พรานแก่ เมามา ตาฝ้าฟาง
ทำมองขวาง ใช่ยักษ์ขี จากที่ไหน
เป็นเมียเจ้า รออาหาร จากพรานไพร
มิเห็นได้ สักนิด ติดมือมา
มีแต่ขวด ดวดเหล้า มาเท่าไหร่
ตั้งกี่ใบ ช้างสิงห์ มหิงสา
อ้อมีเสือ น่าเดินหลง พงพนา
เมาสุรา พูดเรื่องเก่า เล่านิทาน
ทำสามารถ เก่งฉกาจ ช่างอาจหาญ
ประจัญบาน ปราบพยศ คชสาร
เสือสมิง ตายแหลก แลกวิญญาณ
มาพบพาน แพ้ภัย ยักษ์ในเรือน
15 พฤศจิกายน 2547 10:40 น.
เรไร
เหมือนชีวิต เวียนว่าย ในวังวน
ดูสับสน เวิ่งว้าง ช่างเปลี่ยวเหงา
ดูมืดมิด ทางไปที่ หทัยเรา
เหมือนว่างเปล่า สับสน แต่จนใจ
ถึงกลางคืน เหน็บหนาว ปวดร้าวนัก
อย่างไร้หลัก เล็งนำ ทำไงไหว
จึงมืดบอด คลำหา ว่าเมื่อไร
จะพ้นใน ทางสลัว ที่ตัวเดิน
มองหันคว้า ได้เทียนไข ดีใจแท้
เห็นทางแน่ ก้าวไป ไม่ขวยเขิน
บาทวิถี เป็นหลุม ลุ่มดอนเนิน
จะได้เมิน หลบหลีก ฉีกไม่ก้าว
แต่ราตรี ยืดยาว กว่าที่คิด
มืดสนิท อีกน้ำค้าง บนทางหนาว
ใกล้ดับแล้ว แสงริบหรี่ ที่บางเบา
จิตปวดร้าว จึงมืดบอด ตลอดมา
รัตติกาล น่ากลัว หมองมัวนัก
จิตประจักษ์ กายต้องไป ใจไม่ล้า
หยุดไม่ลง แม้เหนื่อย เมื่อยกายา
หวาดผวา จะหยุด ที่สุดทาง
อุษาสาง กระจ่างแจ้ง แสงสาดส่อง
ฟ้าเรืองรอง เห็นอุปสรรค คอยขัดขวาง
ขอสู้ไป จนกว่า ชีพวายวาง
ฟ้าสว่าง ทางชีวิต ลิขิตมา
@@@@@@@@@@@@@@@@
... เมื่ออุษาสาง คงเห็นทางจะก้าวไป
@@@@@@@@@@@@@@@@
14 พฤศจิกายน 2547 22:39 น.
เรไร
ความรัก จากใจ ของฉัน
ส่งฝัน ผ่านจันทร์ ได้ไหม
ฝากแสง เหลืองนวล ครวญไป
คนไกล คงเห็น เช่นเรา
อีกฉาก ฟากฟ้า ฝากฝัง
หากยัง ไม่เจอ เพ้อเหงา
เพ็ญดับ ลับร้าง ห่างเงา
แสงเศร้า สาดส่อง ห้องใจ
คืนไหน เดือนพบ สบตา
จันทรา เรืองรอง ผ่องใส
เคยฝาก คิดถึง ไปให้
หทัย แนบจิต ชิดเชย
แสร้งรับ รู้หน่อย ได้ไหม
ฝันใฝ่ อย่าเมิน มองเฉย
อย่าทำ เหินห่าง อย่างเคย
ฉันเอ่ย เว้าวอน อ้อนจันทร์
พยาน คือเพ็ญ เด่นฟ้า
สายตา มองซึ้ง ถึงฉัน
ขอให้ ตราบตรึง นิรันดร์
เมื่อหัน ดูฟ้า คราใด
หลับตา ว่าใคร แหนหวง
อย่าห่วง พะวง สงสัย
น้อมนำ ความรัก ฝากไป
จริงใจ ไหว้วาน ผ่านเดือน
12 พฤศจิกายน 2547 17:04 น.
เรไร
เก็บฝันในวันเก่า ความเงียบเหงาของเราสอง
ร่วมกันมั่นประคอง ผนีกก้องต้องดวงมาลย์
รับรู้ในสัมผัส ร้อยตวัดรัดวันหวาน
แนบชิดสนิทนาน จวบจนกาลผลาญสัมพันธ์
ความช้ำคอยย้ำจิต คงสถิตย์ติดตัวฉัน
เคยฝันมั่นนิรันดร์ เหลือแค่นั้นคำสัญญา
ยังจำไว้รักเก่า ถึงแม้เศร้ายังไขว่หา
ไว้ในห้วงเวลา จำไว้ว่าเคยรักกัน
@@@@@@@@@@@@@@@@
.. แด่ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ ในใจผม
อิทธิ พลางกูล
@@@@@@@@@@@@@@@@
11 พฤศจิกายน 2547 02:37 น.
เรไร
มองรอยเท้า ตามทาง เยื้องย่างมา
ผ่านเวลา ปวดร้าว ในคราวก่อน
ประสบการณ์ ทุกข์ใจ ไม่สังวร
อุทาหรณ์ จากหนหลัง ยังมิวาย
หลายปีก่อน เดือดร้อน ทุกหย่อมหญ้า
ด้วยราคา ค่าเงิน นั้นหดหาย
ทั้งเศรษฐี ก็ยากจน ล้มละลาย
ฆ่าตัวตาย เป็นเบือ ด้วยเหลือทน
จึงเลือกนาย หมายว่า จะมาช่วย
หวังร่ำรวย โลภมาก อีกสักหน
แต่ก็ยัง ตกเป็นทาส ช่างมืดมน
ความยากจน ยังติด สนิทใน
แล้วมองไป ข้างหน้า ล้าเหลือเกิน
หนทางเดิน อนาคต ดูสดใส
แต่มันเงียบ เหลือนั่น ฉันหวั่นใจ
มีอะไร รออยู่ มิรู้เลย
จะย่ำเท้า ไม่ก้าวไป ก็ใช่ที่
ไม่รู้ไม่ชี้ ทำมึน ยืนเฉยเฉย
ปล่อยให้ไป ตามกระแส ก็ไม่เคย
ใจมันเลย ห่วงหน้า พะว้าพะวง
จึงอันเชิญ ความคิด ทฤษฎีใหม่
เอามาไว้ เหนือเกล้า มิเฝ้าหลง
ให้พอเพียง เท่าที่มี อย่างมั่นคง
เพื่อยืนยง พัฒนา ประเทศไทย
@@@@@@@@@@@@@@@@
อยู่กับสิ่งที่มี ไม่ใช่สิ่งที่ฝัน
@@@@@@@@@@@@@@@@