15 สิงหาคม 2551 23:06 น.
เรไร
๏.. ๑. อดีตกาล
มองท้องฟ้ามืดสลัวดูมัวหม่น
มีเมฆฝนลอยคว้างบดบังแสง
และสายลมโบยโบกกรรโชกแรง
ฝุ่นสีแดงพวยพุ่งฟุ้งกระจาย
จะก้าวเดินก็ท้อแท้มิแลเห็น
ดูยากเย็นพะวงคิดทิศทางไหน
อนาคตมืดมน...สู่หนใด
สิ่งวาดไว้วาดหวังพังทลาย
๏.. ๒. ปัจจุบัน
พลันเมฆฝนคล้อยเคลื่อนเลื่อนลงต่ำ
ละอองน้ำซ่านกระเซ็นเป็นเส้นสาย
เสียงฟ้าฟาดดุจพายุที่ดุร้าย
จนร่างกายหวาดหวั่นพรั่นวิญญาณ
ขอยืนรอสายฝนรอจนกว่า
หากฝนซาฟ้าสวยช่วยสมาน
แผลในใจทุกข์ระทมต้องซมซาน
เพื่อก้าวผ่านความช้ำสุดกล้ำกลืน
๏.. ๓. อนาคต
เพราะชีวิตดิ้นรนทนลำบาก
ความทุกข์ยากถาโถมสุดขมขื่น
ถึงวันนี้เลิกท้อขอหยัดยืน
เพื่อพลิกฟื้นเศร้าโศกเปลี่ยนโชคชะตา
จะเดินสู่อรุณรุ่งวันพรุ่งนี้
ขอสุขีเสพสุขสันต์ด้วยหรรษา
เดินไปตามความฝันมั่นศรัทธา
ก้าวที่กล้าหวังวันนี้ดีกว่าเดิม
15 กรกฎาคม 2551 18:04 น.
เรไร
๏...กี่วันกี่คืนที่ขื่นขม
ทุกข์ระทมเพียงไหนใจเจ้าเอ๋ย
ดั่งถูกทารุณจนคุ้นเคย
เปล่าเฉยเหว่ว้าเป็นอาจินต์
กี่ฝันค้างฝันในวันก่อน
ร้าวรอนปวดแปลบจนแทบสิ้น
กี่หยาดน้ำตาคราหลั่งริน
ชาชินความเศร้าที่เปล่าดาย
กี่รอยบาดแผลหรือแค่เจ็บ
กอดเก็บอาดูรไม่สูญหาย
แทบสิ้นทานทนทุรนทุราย
สุดท้ายก็สลดหมดศรัทธา
กี่ถ้อยแค้นเคียดคำเหยียดหยาม
ประณามแสนชังฉันกังขา
ไม่มีความหมายในผ่านมา
เวลาร่วมทุกข์หรือสุขเคียง
กี่รอยอดีตตามกรีดเฉือน
ฟั่นเฟือนบ้าใบ้ไร้สรรพเสียง
กรีดร้องขาดใจก็ได้เพียง
คำเลี่ยงพร่ำบอกแต่หลอกลวง
กี่ช้ำกล้ำกลืนกี่หมื่นหน
ต้องทนทุกข์แทนเพราะแหนหวง
กี่ซ้ำบาดแผลในแดดวง
เจ็บทรวงรันทดมิจดจำ
กี่ร้อนกี่ฝนกี่ทนหนาว
ปวดร้าวแกล้งลืมกลับดื่มด่ำ
ฤา ใจจำยอมพร้อมรับกรรม
ชอกช้ำว้าวุ่นจนคุ้ยเคย
สิ้นรักเมื่อใดสิ้นไหวหวั่น
ใจมันยับเยินก็เมินเฉย
เก็บความตรอมตรมไว้ชมเชย
กอดเกยชั่วกัปกัลป์พุทธันดร ๚ะ๛
23 มิถุนายน 2551 08:20 น.
เรไร
๏... เริ่มแรกเรียนรู้วิชาการ.........ก็นมะบุรพจารย์
คือบิดรท่าน.....................และมารดา
๏... สั่งสอนอบรมเสมอมา........กวะรติกรุณา
ให้ฉกาจกล้า.....................ประเสริฐคน
๏... รักษาชีวิตประคองตน........อจละอนยะทน
เพื่อจะผ่านพ้น...................มิปราชัย
๏... ศึกษาฝึกฝนวิชาใด..............อุคหะพริยะไว้
จนกระจ่างใจ......................และช่ำชอง
๏... ดำเนินชีวิต ณ ครรลอง.......หทยสิจะคะนอง
ใคร ฤ จองหอง....................จะลองดี
๏... ความรู้มากมายประหนึ่งชี้......จิตฐิติมลมี
ข้าสิเมธี...............................ณ โลกา
๏... เพียงผู้ใดหากฉลาดกว่า..........ฤดิก็บ่มุทิตา
คิดและอิจฉา......................พิฆาตกัน
๏... ความรู้มากมายอเนกนั้น.........อจิระอภวะพลัน
ใช้มิสร้างสรรค์...................ประโยชน์ใด ๚ะ๛
13 มิถุนายน 2551 00:20 น.
เรไร
กว่าจะถึงวันนี้
คงต้องมีเรื่องราวมาเล่าขาน
เพียงเพราะเราต่างพบประสบการณ์
ทั้งสำราญโศกเศร้าเคล้าปะปน
กว่าจะถึงวันนี้
ทุกนาทีต้องอยู่กับความสับสน
แต่ชีวิตยังไม่สิ้นก็ดิ้นรน
กว่าจะพ้นแทบซมซานก็ผ่านมา
กว่าจะถึงวันนี้
อาจไม่ดีเหมือนใครปรารถนา
แต่ได้เห็นหนทางกระจ่างตา
และรู้ว่าต้องก้าวอีกยาวไกล
กว่าจะถึงวันนี้
ขอบคุณที่ทุกข์ระทมมาโถมใส่
เรียนรู้ว่าสุขเพียงนิดที่จิตใจ
ก็ยิ่งใหญ่สำหรับฉัน...ในวันนี้
29 พฤษภาคม 2551 00:34 น.
เรไร
มองดวงดาวเดี่ยวเหงาเฝ้าท้องฟ้า
เห็นน้ำตาโปรยปรายพรายน้ำค้าง
เหมือนเหว่ว้าจะมืดมนสิ้นทาง
ดูเคว้งคว้างเจ็บช้ำในค่ำคืน
คำหญิงสาวที่บอกถูกหยอกเย้า
ความโง่เขลาทำจิตคิดเป็นอื่น
เหมือนโดนลวงให้ช้ำทนกล้ำกลืน
หลงคิดว่ายั่งยืนชื่นอุรา
คงมิใช่เขลาขลาดเธอพลาดพลั้ง
อาจเป็นหวังที่วาดในปรารถนา
จิตจึงซ่านซึ้งซาบภาพมายา
คอยลวงตาหลอกลวงในดวงใจ
อย่าคิดว่าอ่อนแอจึงแพ้ยับ
จึงต้องรับหมองหม่นเกินทนไหว
คิดลงโทษที่ละเมอและเผลอไป
เสียน้ำตาหลั่งไหล...ทำไมกัน
ที่ต้องมาทนเศร้าเขาไม่รัก
ถูกหาญหักอกระทมตรมโศกศัลย์
เพราะเพียงเธอให้นิยามความสำคัญ
เพ้อพร่ำในสัมพันธ์ที่ฟั่นเฟือน
ความรันทดเจ็บช้ำคอยย้ำจิต
จึงครุ่นคิดว่าเธอเสมอเหมือน
เศร้าสลดจดจำให้ย้ำเตือน
มิลืมเลือนกลับหวาดกลัวใจตัวตน
ว่าสิ้นฟ้าสิ้นดินคงสิ้นสุด
จะขอหยุดหัวใจคลายสับสน
จะไขว่คว้าความสุขเลิกทุกข์ทน
เลิกหมองหม่นสู่โลกแห่งโชคชะตา
ได้เรียนรู้รับรสรักบทแรก
อกแทบแตกหัวใจเหมือนไร้ค่า
ขอเก็บนำร้าวรานที่ผ่านมา
ให้เรียนรู้ไว้ว่าอย่ารักใคร