28 มิถุนายน 2548 22:04 น.
เรไร
รีบโทรหาครูใหญ่โรงเรียนเล็ก
ยุ่งสอนเด็กหรือเปล่าเราไม่รู้
ทางดอนเมืองรันทดน่าหดหู่
ไม่มาดูมาแลแต่ให้บอก
คราวที่แล้วถูกบุกมาปลุกปล้ำ
จากงามขำทำชายให้ช้ำชอก
เหมือนดั่งว่าใช้มนต์ดลใจหลอก
แล้วยังบอกจะกลับมาหาอีกที
ใกล้เวลานอนไม่หลับกระสับกระส่าย
ช่างวุ่นวายจะอยู่ต่อหรือขอลี้
เพื่อนไม่มาเวรกรรมทำไงดี
ก็วันนี้แล้วนะเธอจะมา
มันตื่นเต้นหวั่นไหวหัวใจสั่น
พอตะวับลับลับดับฟากฟ้า
กลัวแต่เธอทำเฉเสียเวลา
รีบอาบน้ำอาบท่าตั้งตารอ
สี่ทุ่มกว่ายุงก็ชุมกลุ้มใจนัก
มิหาญหักห้ามจิตคิดจนท้อ
ยากันยุงที่เตรียมไว้คงไม่พอ
เวลาก็ผ่านไปไวจริงจริง
จนเที่ยงคืนดึกนักอยากพักผ่อน
มาหลอกหลอนกันแท้แม่โจรหญิง
โกหกเราจะเคล้าคลอขอแอบอิง
โถมาทิ้งไปลับน่าอับอาย
นั่งหลับไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้
ฝันเห็นงูเขี้ยวโง้งคงดุร้าย
กระเสือกกระสนฉันนี้ต้องหนีตาย
คงจะหมายชีวาให้จาบัลย์
แล้วมีเสียงมาปลุกจงลุกขึ้น
ยังมึนมึนลืมตานึกว่าฝัน
แม่โจรสาวมาได้อย่างไรกัน
โอ้โหนั่นตั้งสามคนจะปล้นใคร
ตายแน่แล้วหัวใจต้องวายแน่
ทั้งเชือกแส้เข็มขัดจัดมาไว้
กระทิงแดงยาโด๊ปนั่นบานตะไท
แล้วยังไข่อีกโหลโถเตรียมมา
มิพูดพล่ามถามไถ่อะไรก่อน
มัดมือแน่แขนไว้ทั้งซ้ายขวา
อีกคนหนึ่งฉีกทึ้งดึงเสื้อผ้า
หัวเราะร่าเริงรื่นชื่นชีวัน
แขนขาถูกมัดไว้ให้อึดอัด
เห็นเธอผลัดเปลี่ยนผ้าทำท่าขัน
มองเราเป็นอาชาไนยหรือไรกัน
เริ่มหวิวหวั่นสั่นไหวทั้งใจกาย
เหมือนฉันเป็นม้าป่าท่าผยอง
ดูลำพองยามขี่ก็วิ่งส่าย
สะบัดดิ้นยิ่งขย่มข่มมิวาย
ช่างใจร้ายควบม้าไม่ปราณี
ใช้แส้ตีดังขวับดับความฮึก
กลับยิ่งคึกลิงโลดกระโดดหนี
ยิ่งกระแทกกระทั้นอย่างเร็วรี่
ยิ่งควบขี่หวังกำหราบปราบพยศ
สะบัดจนคนแรกกระแทกพื้น
ม้ายังยืนกำแหงแรงไม่หมด
คนต่อไปเรียงคิวกันพารันทด
มาจับกดขย่มซ้ำจนช้ำใน
จนสว่างคาตาดูฟ้าเหลือง
ยังขุ่นเคืองเรื่องราวจากคราวไหน
เธอสร้างรอยมลทินสิ้นเยื่อใย
ประทับตราบาบไว้ให้จดจำ
27 มิถุนายน 2548 01:41 น.
เรไร
ผมปวดหัวตัวร้อนนอนไม่หลับ
เหมือนโดนทับลักขณาด้วยราหู
พระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกแปลกจริงตู
เดี๋ยวหดหู่เดี๋ยวเหงาเจ้าอารมณ์
อยากจะไปพบหมอขอรักษา
ศรีธัญญาที่จำเพาะคงเหมาะสม
หรือป่วยไข้ทำพิษจิตจึงตรม
มันขื่นขมหรืออกเดาะเพราะเหตุใด
หมอให้เล่าให้ฟังอย่างละเอียด
มีเรื่องเครียดการงานนั้นบ้างไหม
หรือเรื่องราวทุกข์ร้อนซ่อนทรวงใน
จงบอกให้ตรวจดูรู้อาการ
จึงลำดับเรื่องราวในคราวก่อน
มันเดือดร้อนสิ้นสุขสนุกสนาน
ถูกเล่ห์กลฉ้อฉลของคนพาล
จนร้าวรานมัวหมองขุ่นข้องจิต
สารพันปัญหาพากลัดกลุ้ม
ดั่งไฟสุมรุมเร้าเข้าทำพิษ
พอจะดับเพลิงนั้นก็พลันติด
มิหมดฤทธิ์จากใจไปเสียที
หมอฟันธงไปว่าอาการแย่
จะให้แน่ควรไปฉายรังสี
ทั้งปอดตับไส้พุงถุงน้ำดี
ให้ถ้วนถี่วิเคราะห์เจาะประเด็น
ผลที่ตรวจออกมาว่าปลอดโรค
แต่เศร้าโศกไปบ้างอย่างที่เห็น
ทรมานความรู้สึกนึกลำเค็ญ
เพราะว่าเป็นมะเร็งร้ายในอารมณ์
หมอก็บอกวิธีที่รักษา
เอาธรรมะเถิดหนาเข้ามาข่ม
ดับความทุกข์ละลายกับสายลม
อย่าโง่งมเก็บไว้กับใจตัว
24 มิถุนายน 2548 01:05 น.
เรไร
ตัดไม่ตาย.......ขายไม่ขาด
สายสวาท.......ยังไม่สิ้น
ชลนา.............พาหลั่งริน
โศกถวิล..........ผินทรวงใน
เมื่อความรัก....มาหักอก
น้ำตาตก.........ซกซกไหล
มันเจิ่งนอง......ท่วมห้องใจ
หามีใคร..........ให้เหลียวแล
ณ วันนี้...............ไม่มีเขา
คงเปลี่ยวเปล่า....เศร้าทรวงแท้
รักบิดเบือน.........ทำเชือนแช
ในดวงแด............แพ้พ่ายพิษ
คงจะยาก...........หากรักษา
เกินเยียวยา........ผวาจิต
มันร้ายแรง..........คอยแผลงฤทธิ์
เฝ้าตามชิด..........ติดกมล
ดังวิหค.............นกปีกหัก
อยากหยุดพัก....กันสักหน
รักษากาย..........หายทุกข์ทน
ค่อยคิดค้น.........ดั้นด้นกัน
พอเจ็บหาย.......กายเริ่มแกร่ง
มีเรี่ยวแรง.........อย่างแข็งขัน
คืนเวหา............นภาพลัน
ตามรักนั่น.........กันอีกที
23 มิถุนายน 2548 20:55 น.
เรไร
ฉันอยากอยู่เฝ้าโยงกับโถงถ้ำ
ไม่อยากนำสังขาร์มันไปไหน
อยู่ตรงนี้มาตลอดมันปลอดภัย
แม้นร้างไร้ไปบ้างก็ช่างมัน
ไม่อยากพบปะคนด้วยจนจิต
ไม่อยากคิดเอาใจหรือใครนั่น
เพราะไม่รู้ดีร้ายไม่เท่าทัน
เพราะฉะนั้นอย่ากระชากลากไปเลย
ปล่อยฉันอยู่อย่างนี้คงดีกว่า
ขอเวลามองทุกสิ่งอย่างนิ่งเฉย
ถึงไม่ทันสมัยใครว่าเชย
ฉันคุ้นเคยชินชามาช้านาน
อยู่กับสิ่งรอบข้างอยู่อย่างเก่า
ถึงเงียบเหงาไร้สุขสนุกสนาน
ขอจ่อมจมเรื่องราวอันร้าวราน
ให้มันผ่านล่วงเลยเหมือนเคยมา
เธอจะไปกับใครก็ไปเถิด
ขอให้เพลิดเพลินใจที่ไขว่หา
จงรื่นเริงบันเทิงสุขทุกเวลา
เพียงขออย่าเหลียวหลังให้กังวล
ให้ฉันอยู่อย่างฉันทุกวันนี้
จะไม่มีคำรำพึงถึงเหตุผล
ฉันเลือกเองฉันรู้ว่าค่าของตน
อย่ามาสนทำทีมีเยื่อใย
16 มิถุนายน 2548 08:42 น.
เรไร
ณ ริมฝั่งนทีสีทันดร
ตะวันรอนเย็นย่ำใกล้ค่ำแล้ว
ตรงขอบฟ้ามองเส้นไม่เห็นแนว
พอสิ้นแววรวิลานภาลัย
ราตรีนั้นมีเจ้าเนาว์แนบข้าง
มิเกินห่างใต้แสงดาวพราวไสว
ชี้ชวนชมดาราบนฟ้าไกล
ละเลื่อมไหววิบวับงามจับตา
ชิดเชยพักตร์แก้มนางพลางจุมพิต
แนบสนิทห้วงสวาทปรารถนา
ชื่นภิรมย์ใต้แสงแห่งจันทรา
ดาวอิจฉาเดือนจ้องมองคู่เรา
ลมสวาทโหมพัดสะบัดพลิ้ว
สำเภาลิ่วกางใบวิ่งทิ้งอับเฉา
ลมกระโชกบ้างก็ซัดพัดแผ่วเบา
จนข้ามเข้าเวิ้งกว้างทางนที
แล่นใกล้หินโสโครกก็โยกหลบ
เลี้ยวตลบชักหางเสือเพื่อแล่นหนี
เย้ทางซ้ายย้ายทางขวาไม่รอรี
โดนเสียดสีเกือบตายวายชีวิน
พระพายโหมพัดกระโดงเชือกโยงขาด
เรือก็พาดขัดสันดอนชะง่อนหิน
ระลอกคลื่นโถมถาธาราริน
เรือก็ผินผงะลงในคงคา
มีแต่พายด้ามน้อยต้องคอยจ้ำ
ค่อยแจวลำกำปั่นหวั่นผวา
เมื่อใดหนอถึงฝั่งพสุธา
มิรอช้าเร่งจังหวะไม่ละวาง
ดังพายุพิโรธแสนโกรธเกรี้ยวขึ้ง
เสียงอื้ออึงลมซัดพัดเรือขวาง
มองเห็นฝั่งลับลับแทบอับปาง
พอลมร้างก็เสือกเสยเกยหาดทราย
แต่ที่ฝั่งฝันวันนี้ไม่มีเจ้า
แม้แต่เงาเลือนลางค่อยจางหาย
ยังตราติดคิดถึงซึ้งมิคลาย
คงจำไว้คืนสุดท้ายได้กอดเกย
ธารน้ำตาพร่างพรูลงสู่พื้น
โศกสะอื้นอาลัยใจเจ้าเอ๋ย
สุดเหว่ว้าแก้วตามาละเลย
ทำเมินเฉยแสร้งเสเล่ห์รักลวง
จิตร่ำร้องโหยหวนจวนเจียนบ้า
เมื่อศรัทธาภักดีที่แหนหวง
แหลกสลายสิ้นรักที่ปักทรวง
ใจทั้งดวงสลดโศกโศกา
ชลนาเนืองนองทั้งสองแก้ม
จิตเคยแจ่มกลับวิตกอกผวา
เคยชิดเชยมิ่งขวัญกลัยา
บัดนี้มาเหินห่างร้างแรมรอน
ค่ำคืนเคยร่วมเตียงเคียงเขนย
เป็นคู่เชยชิดชมสมสมร
ราตรีนี้ไร้คู่คลออรชร
ทนกอดหมอนสะอื้นหาด้วยอาลัย