24 ตุลาคม 2548 20:50 น.
เรไร
สรรพสิ่งในโลกล้วน...............มีกรรม
แล้วแต่การกระทำ.................นั่นไซร้
สิ่งดีชั่วชี้นำ............................กำหนด
เวียนว่ายตายเกิดให้.............ชดใช้กรรมเวร
ปลาปูหมูไก่นั้น.......................เกิดมา
ก็เพื่อเป็นภักษา......................มนุษย์นั้น
คงเป็นกฎนำพา......................ให้เกิด
วัฏฏะมิควรกั้น........................หยุดด้วยสิ่งใด
แปดหมื่นสี่พันข้อพระ............-ธรรมขันธ์
ข้อที่เท่าใดกัน........................เกี่ยวข้อง
มังสะวิรัติอัน...........................ประเสริฐยิ่ง
เนื้อสัตว์มิแตะต้อง..................สุดแท้แต่คิด
หากหยุดการฆ่าด้วย................หยุดกิน
สิ่งต่างบนผืนดิน......................ไม่แคล้ว
วัฏฏะแห่งชีวิน.........................คงหยุด
เมื่อไม่ต้องใช้แล้ว...................แตกสิ้นกงเกวียน
23 ตุลาคม 2548 15:01 น.
เรไร
คนย่อมมีเลือดเนื้อ............วิญญาณ
ประกอบเป็นสังขาร............แน่แท้
มีสุขทุกข์ร้าวราน................เคืองขุ่น
ว้าวุ่นในอกแม้...................อย่างนี้แหละคน
คนมีความอยากได้...............อยากดี
งามเลิศประเสริฐศรี.............ไขว่คว้า
หวังเพียงเสพสุขี...................ยอมแลก
ชีวิตตัวยังกล้า......................มอบให้ซาตาน
คนจึงได้ขัดแย้ง...................ฆ่าฟัน
ดวงจิตติดจาบัลย์.................สุขสิ้น
ต่างเข้าพิฆาตกัน.................ไม่หยุด
จนร่างต้องดับดิ้น.................มอดม้วยมรณา
เลือดต่อเลือดเนื้อต่อเนื้อ........หลั่งริน
จนหมดสิ้นชีวิน.....................น่าเศร้า
กายฝังกับผืนดิน....................ยังอาฆาต
สัมภเวสีเฝ้า...........................รุกล้ำหลอกหลอน
หลอกหลอนมนุษย์ผู้...............หวาดกลัว
ความมืดเงาสลัว....................ปกป้อง
สู้กับสิ่งหม่นมัว......................น่าวิตก
ไร้ร่างให้จับต้อง.....................คิดแล้วอนาถใจ
คนหากหาญสู้กับ....................ภูตผี
คงยากที่จะมี...........................ชนะได้
สู้กันนับเดือนปี.......................นานเนิ่น
สู้กับสิ่งร้างไร้..........................พ่ายแพ้แน่นอน
ผีย่อมมองธาตุแท้....................เห็นกัน
ถ้าหากเข้าประจัญ...................ต่อสู้
ด้วยผีย่อมเท่าทัน...................กันหมด
ผีกับผีนั้นรู้.............................แก่นแท้ของตัว
21 ตุลาคม 2548 22:52 น.
เรไร
เ สี ย ง ห วี ด ห วิ ว ดั ง ก้ อ ง ทั่ ว ท้ อ ง ฟ้ า
ส า ย ล ม พ า เ ม ฆ ป ลิ ว ล ะ ลิ่ ว ไ ห ล
ดู มื ด ค รึ้ ม ดั่ ง สิ้ น แ ร ง แ ส ง อุ ทั ย
ค ว า ม ส ว่ า ง ก ร ะ จ่ า ง ใ ส ค ล้ า ย ลั บ ล า
เห มื อ น ใ น ใ จ ด ว ง นี้ ที่ มื ด มิ ด
ดั่ ง ด ว ง จิ ต ติ ด ห้ ว ง บ่ ว งโ ห ย ห า
ด ว ง ก ม ล ห ม่ น เ ศ ร้ า เ ห ง า เ รื่ อ ย ม า
ป ร า ร ถ น า ใ ห้ ฝ น พ รำ ฉ่ำ ฤ ดี
ม า ช ะ ล้ า ง ทุ ก ข์ ต ร ม ที่ ข ม ขื่ น
ค ว า ม ก ล้ำ ก ลื น เ ลื อ น ห า ย ล ะ ล า ย ห นี
ใ ห้ เ อ่ อ ล้ น ล้ า ง ใ จ ไ ป เ สี ย ที
ทุ ก ข์ ท วี ไ ห ล ผ่ า น ธ า ร น้ำ ต า
20 ตุลาคม 2548 22:30 น.
เรไร
เจ้ากระต่ายป่า
กำเนิดเกิดมา................เขาว่าว่องไว
กระโดดโลดเต้น............เช้าเย็นร่ำไป
อยู่กลางพงไพร..............หาใครเทียมทัน
แม้ราชสีห์
หมายเอาชีวี..................ทุกวี่ทุกวัน
กลับหยิ่งผยอง...............ลำพองว่าฉัน
ผู้ใดไหนกัน..................ไล่ทันมิมี
อยู่มาวันหนึ่ง
กระโดดไปถึง.................ริมบึงวารี
เห็นเต่าเชื่องช้า..............ไปหาทันที
พร้อมเอ่ยวจี...................เจ้านี้เป็นใคร
เจ้าเต่าต้วมเตี้ยม
กระต่ายมาเยี่ยม.............จำเจียมตัวไว้
จึงเอ่ยตอบถ้อย...............ข้าน้อยเต่าไพร
ถิ่นอยู่อาศัย.....................ตรงใกล้ลำธาร
กระต่ายเห็นช่อง
จึงท้าประลอง....................แล้วมองเลยผ่าน
เห็นเต่าเชื่องช้า...............ไปมาต้องคลาน
ท้าอย่างหน้าด้าน...............จะให้เต่าอาย
เต่าไพรก็รู้
เพราะถ้าหากสู้..................อดสูแพ้พ่าย
ไม่อยากมีเรื่อง..................ให้เคืองใจกาย
แข่งกับกระต่าย.................เป็นไงเป็นกัน
พวกสัตว์ใหญ่น้อย
ทั้งหมดก็พลอย..................คอยดูแข่งขัน
กระต่ายวิ่งลิ่ว.....................ตัวปลิวเร็วพลัน
ส่วนเจ่าเต่านั้น..................ค่อยคลานตามมา
เต่ากับกระต่าย
แข่งกันแทบตาย................ที่หมายหวังคว้า
เจ้านกเล่นลม....................บินชมนภา
มองจากฟากฟ้า..................ผ่านมาพอดี
เกิดความสงสัย
จึงถามออกไป.....................เรื่องไรกันนี่
ใยถึงต้องแข่ง.....................แก่งแย่งชิงดี
ทำกันอย่างนี้......................ประโยชน์อันใด
รีบห้อตะบึง
แข่งกันไปถึง......................หมายซึ่งหลักชัย
ถ้าหากชนะ..........................แล้วจะทำไง
แพ้เสียอะไร......................ไม่เข้าใจเลย
ทำไมถึงจักต้อง..................แข่งขัน เพื่อนเฮย
เพื่อสิ่งใดไหนกัน..............อยากรู้
ต่างหาญหักโรมรัน.............หวังพิฆาต
น่าอนาถต่างต่อสู้................เพื่อได้ สิ่งใด
เมื่อต่างความคิดแล้ว..........ต่างทาง ต่างเดิน
มีจุดหมายที่วาง..................ไขว่คว้า
ลืมเสียที่เคยหมาง..............ในจิต
ต่างแสวงสวรรค์ชั้นฟ้า.......พบแล้ว เป็นไง
หันหน้าไปคนละทาง
สร้างดาวกันคนละดวง
ช่วงชิงไปสู่สรรค์
ใครไม่ทันเป็นคนหลงทาง
กระต่ายกับเต่า
คาราวาน
16 ตุลาคม 2548 23:58 น.
เรไร
เคยตั้งจิตแน่วแน่มิแปรผัน
ความผูกพันฉันเธอมิเผลอไผล
คำสาบานร่วมกันสัญญาใจ
ว่าจะไม่เลือนลับกับเวลา
แต่เพียงชั่วประเดี๋ยวก็เคี้ยวคด
เธอลืมหมดสิ้นสวาทปรารถนา
ทิ้งไว้เพียงรอยคราบอาบน้ำตา
จนเหว่ว้าไร้คู่อยู่ลำพัง
เป็นคนขาดความมั่นใจในชีวิต
มั่วครุ่นคิดจิตสลดจนหมดหวัง
ตัดสินใจสักคราละล้าละลัง
จะนอนนั่งยังสับสนกระวนกระวาย
บางครั้งดูเซ่อซ่าทำหน้าโง่
ยามอดโซหน้านิ่วหิวกระหาย
เลือกไม่ถูกแม้อาหารทานกันตาย
มีหลากหลายใต้เหนือเหลือคณา
น้ำพริกอ่องแกงโฮ๊ะ..โอ้น่าลิ้ม
อยากจะชิมจอผักกาดเป็นหนักหนา
ทั้งข้าวซอยลาบหลู่ดูเตะตา
ล้วนแต่น่ารับประทานอาหารไทย
นั่นแกงเหลืองแกงไตปลาน่าจะเผ็ด
คงรสเด็ดกลัวลิ้นกินมิไหว
คั่วกลิ้งหมูคงแซบแสบทรวงใน
อาหารใต้มองปั๊ปน่ารับทาน
นั่นแจ่วบองผักแนมแกล้มข้าวจี่
ลาบก็มีหลายหลากภาคอีสาน
ทั้งปลาส้มปลาร้ามีมานาน
โน่นตับหวานหม่ำหมูดูน่ากิน
ขนมจีนแกงไก่ใส่มะเขือ
พะแนงเนื้อชิมสักหน่อยอร่อยลิ้น
มั่สมั่นแกงหรูหมูเป็นชิ้น
อาหารถิ่นภาคกลางอย่างไทยไทย
ยังลังเลเรรวนป่วนจิตแท้
ล้วนแล้วแต่เลิศรสอดมิไหว
น่าอร่อยหากทานสำราญใจ
เลือกอย่างไรคิดมิตกอกระทม
ภาคละวันนั้นหนอก็พออิ่ม
ค่อยค่อยชิมกันไปใจสุขสม
ไอ้โน่นนิดนี่หน่อยค่อยรื่นรมย์
คำพูดข่มคงหยุดยั้งเลิกลังเล