11 มกราคม 2549 01:46 น.
เรไร
ผีเสื้อปีกบางกางปีกสวย
แต้มด้วยสีสันอันหลากหลาย
โบยบินโฉบเฉี่ยวอยู่เดียวดาย
ยามสายออกบินไกลถิ่นนอน
หลงเพลินเข้าไปอยู่ในสวน
อวบอวลชวนถวิลกลิ่นเกสร
เรียงรายเฝ้าดูหมู่ภมร
บินว่อนหมายชมหวังดมดอม
ผ่านเข้าสู่เมืองที่เรืองรุ่ง
หมายมุ่งตามหาบุบผาหอม
ฝ่าฟันอันตรายก็จำยอม
พรักพร้อมถวายทั้งกายใจ
สีสันแสนสวยรวยเสน่ห์
รีบเฉร่อนโฉบเข้าโอบใส่
ปลาบปลื้มลืมคิดถึงพิษภัย
หลงใหลเล่ห์กลมนต์มาลี
ผีเสื้อหลงผิดจึงติดกับ
ถูกจับถูกกินสิ้นทางหนี
เหลือรอยหลั่งล้นชลที
ไหลรี่ทิ้งคราบอาบกลีบงาม
10 มกราคม 2549 00:33 น.
เรไร
ไม่เคยเห็นดอกไม้...........ผลิบาน
ตั้งแต่เมื่อวันวาน.............เจ็บช้ำ
สีสันจะแสนหวาน.............สวยสด
เห็นแต่ความหมองคล้ำ.....หมดสิ้นความงาม
ชีวิตจึงเหี่ยวแห้ง..............โรยรา
รันทดโศกโศกา...............หม่นเศร้า
ความฝันที่โหยหา..............ลาจาก
สุขพรากทุกข์รุมเร้า...........ปวดร้าวทรมาน
ความหวังพังหมดแล้ว........ปัจจุบัน
เหมือนดั่งสรวงสวรรค........กลั่นแกล้ง
ขีดลิขิตจาบัลย์....................มาสู่
หดหู่เพราะสุดแล้ง..............ขาดน้ำทิพย์ชโลม
ปลอบประโลมชีพด้วย.........ความหวัง
ช่วยเก็บซากผุพัง...............กอบสร้าง
ใส่เสริมเพิ่งพลัง.................ดวงจิต
แค่หยาดหยดน้ำค้าง...........รดให้ก็พอ
รอถึงพรุ่งนี้ก่อน..................คงมี
ความเมตตาปราณี..............จากฟ้า
น้ำค้างดั่งนที.......................ชุ่มฉ่ำ
มาหล่อเลี้ยงจิตล้า................ช่วยฟื้นคืนฝัน
จะได้มองดอกไม้.................แย้มบาน
เห็นซึ่งสีแสนหวาน..............สักครั้ง
ลวดลายเด่นตระการ...........ชมชื่น
เริงรื่นลืมพลาดพลั้ง.............เริ่มต้นอีกครา
8 มกราคม 2549 17:25 น.
เรไร
อ่านคำวอนจากใจของไม้ขีด
ราวคมมีดกรีดซ้ำย้ำรอยแผล
ถูกทิ้งขว้างร้างไร้ใครเหลียวแล
เป็นเพียงแค่เศษไม้ไร้ราคา
เจ้าไม้ขีดถูกเผาเป็นเถ้าถ่าน
แม้ล่วงผ่านคืนวันยังฝันหา
ให้โคมแก้วแวววับโปรดกลับมา
ปรารถนาพลีร่างกลางอัคคี
กลักไม้ขีดเก่าเก่าดูเศร้าหมอง
เมื่อคนมองก็เมินต่างเดินหนี
ถูกทอดทิ้งเอาไว้มิใยดี
เพราะไม่มีคุณค่าราคาใด
จากวันนั้นขีดประกายให้ช่วงโชติ
จนเริงโรจน์ส่องทางสว่างไสว
ถึงวันนี้หมดประโยชน์จะโทษใคร
ถูกปล่อยให้ชุ่มฉ่ำด้วยน้ำตา
ไม่สามารถจุดประกายได้อีกแล้ว
ไม่เหลือแววก่อเกิดความเจิดจ้า
เหลือเพียงแค่รอผ่านกาลเวลา
พิพากษาลบเลือนเหมือนเช่นเคย
7 มกราคม 2549 00:01 น.
เรไร
อย่าเที่ยวเมื่อพร้อม........จะหง่อมเสียก่อน
หนทางสัญจร..................บ้างร้อนบ้างเย็น
อย่าเที่ยวเมื่อพร้อม.........ต้องยอมทุกข์เข็ญ
ยากแค้นลำเค็ญ.............ได้เห็นโลกกว้าง
อย่าอยู่อย่างอยาก............ซ้ำซากหม่นหมาง
ชีวิตจืดจาง......................เพราะห่างเพลิดเพลิน
ดิ้นรนขวนขวาย..............ปีนป่ายโขดเขิน
ก้าวย่างทางเดิน..............อย่าเมินสิ่งใด
จุดหมายปลายฝัน............อย่าหวั่นสั่นไหว
มิถึงหลักชัย.....................อย่าได้กังวล
เพียงทางที่ผ่าน................พบพานเหตุผล
คือสิ่งได้ยล......................เปี่ยมล้นประสบการณ์
หากพร้อมจะไป................ล่วงวัยวันผ่าน
คงทรมาน........................สังขารโรยลา
@@@@@@@@@@@@@@@@@
วันหนึ่งขณะเดินเข้าป่า พบคุณป้าคนหนึ่งเดินป่า
ด้วยท่าทางเหนื่อยหอบ ผมหันไปยิ้มทักทาย
ได้ยินเสียงพูดขึ้นมาลอยๆว่า
"เที่ยวเมื่อพร้อมก็อย่างนี้แหละ"
@@@@@@@@@@@@@@@@@
6 มกราคม 2549 01:34 น.
เรไร
เรเอ๋ยเรไร
เจ้าไปแห่งใดกันเล่า
หนทางสู่ความว่างเปล่า
เงียบเหงาหรือไม่ทางเดิน
จะกู่ร้องก้องไพรพฤกษ์
ร้าวลึกระหกระเหิน
ปวดร้าวทรวงในใครเกิน
คนเมินมองไม่ใยดี
โบยบินโฉบกินน้ำค้าง
เกาะกลางยอดหญ้าอย่างนี้
เหลือจากค่ำคืนราตรี
พอที่ประทังชีวา
ต้นเอ๋ยต้นไม้ต้นใหญ่
ขออยู่อาศัยเถิดหนา
เหน็ดเหนื่อยเรี่ยวแรงโรยลา
อ่อนล้าสิ้นไร้กำลัง
ขอฝากชีวิตไว้ด้วย
จงช่วยดูแลแค่หวัง
หากแม้ชีพชนม์อยู่ยัง
ฝากฝังร่างกายวิญญาณ