25 พฤษภาคม 2553 00:25 น.
เรไร
ครืนครืนฟ้าคึกครื้น...........โครมคราม
วาบแวบแสงวับวาม............ฉาบฟ้า
พลันหยดหยาดละอองตาม...ลมลิ่ว
ผ่าวผิวผืนโลกหล้า...............ดับร้อนรุ่มหาย
โปรยปรายหยดหยาดน้ำ....ฉ่ำเย็น
เปาะแปะกระซ่านเซ็น........ฉ่ำชื้น
ฝ้าฟางยากแลเห็น..............สรรพสิ่ง
ยากยิ่งแลแผ่นพื้น..............ขัดแย้งเกลียดชัง
ภวังค์เมืองเรืองรุ่งแล้ว......หม่นหมอง
เลือดหลั่งสาดไหลนอง.......ท่วมท้น
หลั่งรินเพื่อสนอง...............เหตุแห่ง ผลฤๅ
อุดมการณ์ที่แค่นค้น.........ขอดเค้นหรือไฉน
ฝนปรายพรายพร่างฟ้า.......ถามถึง
ความคิดใครคำนึง.............ระลึกบ้าง
ฝนพรำร่ำรำพึง..................โศกสลด
ฝนรดรินชะล้าง..................โศกด้วย คำฝน
13 พฤษภาคม 2553 15:17 น.
เรไร
ก่อนพิรุณโปรยปรายสยายม่าน
มาดับความร้าวรานให้ผ่านผัน
ให้หัวใจสดชื่นสักคืนวัน
ก่อนเธอฉันพลัดพรากจำจากลา
เหลือเวลาของผู้แพ้อีกแค่ไหน
ก่อนเธอไปตามทางปรารถนา
จะเหลือเพียงความทรงจำกับน้ำตา
รู้เพียงว่าขณะนี้ยังมีเรา
ระหว่างฝันวันวานยามผ่านพ้น
แม้หมองหม่นทนซ่อนหวังผ่อนเหงา
เคยร่วมครองปองรักจำหลักเนาว์
ด้วยสองเราเฝ้าคอยกลบรอยรอน
หยาดฝนโปรยโรยรินยามสิ้นหวัง
เตือนความหลังครั้งเก่าเฝ้าทอดถอน
บทเพลงรักจักหายคล้ายละคร
เมื่อจบตอนซ่อนเงื่อนเสมือนลวง
ก่อนเวลาพลัดพรากนับจากนี้
ยังพอมีความหมายให้แหนหวง
ขอหัวใจเปล่าเปลี่ยวเป็นเดียวดวง
จะซ้ำทรวงแค่ไหนใจจำยอม
ก่อนพิรุณรินรดหยดสุดท้าย
คือความหมายดนตรีที่ขับกล่อม
ขอเคียงคู่ชื่นชมก่อนตรมตรอม
เพราะใจพร้อมยอมรับกับปัจจุบัน
กอดกระชับกับทรวงยามห่วงหา
ถึงเวลาคราจากขอฝากฝัน
จงจดจำค่ำคืนฝืนจำนรรจ์
เพียงมีกันวันเก่าอย่างเข้าใจ
เก็บรอยใจไว้คอยแม้ลอยเลื่อน
ดั่งเสมือนเพื่อนเงาเฝ้าขานไข
มองบาดแผลแพ้รักหักฤทัย
จำจากไกลให้พ้นสุดหนทาง
ในอ้อมกอดพลอดพร่ำรำพันถึง
ห้วงคำนึงมิเคยเมินและเหินห่าง
ภาพความงามติดเตือนมิเลือนราง
คงกระจ่างเป็นนิมิตในจิตใจ
หากวสันต์โปรยปรายในวันพรุ่ง
สะพานรุ้งสู่ฝันเพื่อวันใหม่
ความทรงจำสถิตรู้อยู่ข้างใน
รอเธอก้าวเดินไปไม่มีกัน
26 เมษายน 2553 00:22 น.
เรไร
หากเราใช้ความรู้สึกแล้วนึกย้อน
ความอาทรนาทีนี้มีบ้างไหม
ความโกรธแค้นชิงชัง ฤ ชั่งใจ
คือสิ่งใดหลงเหลือเพื่อจดจำ
เพียงแต่สิ่งดีงามความรู้สึก
ถูกซ่อนลึกเคยปลื้มเคยดื่มด่ำ
ความชิงชังดุจกรอบตามครอบงำ
เพื่อตอกย้ำ ฤ จิตทำบิดเบือน
ปล่อยคืนวันผ่านไปอย่างไร้ค่า
ใช้เวลาหลงละเมอเสมอเหมือน
เพราะชีวิตความฝันอาจฟั่นเฟือน
อาจลืมเลือนความเคยมี..ใช่จีรัง
และเหลือความว่างเปล่าใครเล่ารู้
ซากที่อยู่ระรวยรินอย่างสิ้นหวัง
แค่เศษเนื้อกับห้วงจินต์ที่ภินทร์พัง
จมอยู่กับความหลังฝังอุรา
เราต้องการสิ่งใด หรือ ชัยชนะ
สิ่งใดจะตัดสินให้สิ้นปัญหา
แล้วใครเล่าแพ้พ่ายวายชีวา
หรือจนกว่าร่างจะคืนสู่ผืนดิน
กล่องเก็บความทรงจำอาจนำสู่
บานประตูเปิดกว้างเห็นทางถวิล
อาจเป็นหวังคอยตามทวงจากห้วงจินต์
ยังไม่สิ้นความงามงดให้จดจำ
เราได้ลองคิดทบทวนหรือเปล่า
ว่าในกล่องเก็บความทรงจำเราได้จดจำสิ่งใดบ้าง
สิ่งดี ๆ ..ที่ผ่านมาด้วยกัน
หรือสิ่งเลวร้ายที่ต่างกระทำระหว่างกัน
เราได้ถามตัวเองหรือไม่ว่า...
วันนี้ เวลานี้ เรามีความสุข ในสิ่งที่ทำหรือเปล่า
หรือที่เราทำ เพราะต้องทำ หรือว่าเพราะอะไร
และเราได้ย้อนถามตัวเองอีกครั้งไหมว่า
สิ่งใดที่เป็นความสุขที่เราต้องการจริง ๆ
หรือเพียงสิ่งที่เราทำอยู่ทุกวันนี้
เพียงเพื่อเอาชนะเท่านั้น ... ใครกันจะพ่ายแพ้
หากเราสนทนากันด้วยเหตุผล
ไม่ใช่ด้วยความรู้สึก... เหมือนที่ผ่านมา
เราจะไม่รับรู้เลยหรือว่า สิ่งไหน สิ่งใด ที่ใครต้องการ
...และสุดท้าย
ในสิ่งที่ผ่านมา ในความทรงจำเราเหลือสิ่งดี ๆ
มากน้อยเพียงไหน ให้เราได้ระลึกนึกถึง
.. หรือว่า... ไม่มี
หรือว่าเราจะอยู่อย่างอ้างว้างอย่างทุกวันนี้
จนกว่าจะไม่มี....ลมหายใจ
21 เมษายน 2553 23:00 น.
เรไร
เหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่นในคืนหนึ่ง
ตกตะลึงว่าไฉนอยู่ในสวน
มีมากมวลพวงพยอมหอมอบอวล
ระรวยกลิ่นเย้ายวนชวนให้ชม
เห็นกุหลาบสีแดงแสลงจิต
ยิ่งหวนคิดพาสะอื้นสุดขื่นขม
เคยเด็ดดอกเชยกลิ่นหอมเฝ้าดอมดม
รื่นภิรมย์ชมชื่นทุกคืนวัน
มะลิซ้อนกลีบบางกลางพุ่มเขียว
แสนเปล่าเปลี่ยวกลิ่นระรื่นยืนโศกศัลย์
คิดถึงพวงมาลัยน้อยร้อยร่วมกัน
ก่อนสัมพันธ์ที่เคยร้อยค่อยค่อยคลาย
เห็นกลุ่มดอกดาวเรืองเหลืองอร่าม
ดูงดงามตระการตาน่าใจหาย
มีดอกหนึ่งเฉาเหี่ยวอยู่เดียวดาย
ก็คงคล้ายหัวใจฉันเมื่อหันมอง
โน่นกระดังงาใกล้โรยกลับโชยกลิ่น
น่าถวิลชื่นชมภิรมย์สนอง
ก็เกินกว่าไขว่คว้ามาครอบครอง
คงจะต้องชำเลืองได้แค่สายตา
มองไกลไกลเห็นโน่นต้นไม้ใหญ่
ต้นอะไรสูงเด่นเป็นสง่า
ดอกสีแดงดอกดอกขาวพราวนภา
ประดับฟ้าหรือดอกงิ้ววาบหวิวทรวง
ระเริงหลงกลางดึกกลางพฤกษา
ช่างเหว่ว้าสุดแสนเพราะแหนหวง
ฤ จิตหลอนใจบอกคอยหลอกลวง
สิ่งทั้งปวง ณ ราตรีหรือผีอำ
คล้ายครึ่งหลับครึ่งตื่นอีกคืนนี้
เริ่มราตรีผ่านพลบล่วงพลบค่ำ
จะไปสู่สวนมาลีจิตชี้นำ
เพื่อตอกย้ำซ้ำหัวใจในนิทรา
31 มีนาคม 2553 11:56 น.
เรไร
ผมมีเรื่องปั่นป่วนให้ชวนหัว
อาจดูมั่วไปหน่อยไม่ถ่อยเถื่อน
หนีความจริงไปนิดใช่บิดเบือน
อยากชวนเพื่อนพรรคพวกพร้อมมาล้อมวง
มีนิทานคุยเฟื่องถึงเรื่องเก่า
เก็บมาเล่าเป็นนิยามตามประสงค์
เพื่อนจงคิดถึงเหตุเจตจำนงค์
อย่าเพิ่งงงเพื่อนเก่าจะเล่านิทาน
กาลครั้งหนึ่ง
ขอกล่าวถึงสองคนบนถิ่นฐาน
คนรูปหล่อเนี๊ยบจัดเป็นรัฐบาล
คนหน้าเหลี่ยมฝ่ายค้านสะท้านสภา
เกิดมีการชุมนุมประชุมใหญ่
ขึ้นเครื่องบินบินไปในเวหา
ต่างนิ่งนึกถึงเล่ห์ใช้เจรจา
จึงช่วยคิดปรึกษาหาหนทาง
ฝ่ายรูปหล่อคุยเฟื่องว่าเปรื่องปราญ์ช
จะช่วยชาติพ้นวิบัติที่ขัดขวาง
นโยบายสวยเด่นมิเว้นวาง
จะขอสร้างอภิมหาประชานิยม
นำโครงการยิ่งใหญ่ไทยเข้มแข็ง
เขียนแสดงใส่กระดาษวาดสุขสม
แล้วโปรยลงจากฟ้ามาให้ชม
เพื่อสังคมพ้นทุกข์สุขสบาย
อีกฝั่งหนึ่งถูกย่ำโดนหยามหมิ่น
กลัวสูญสิ้นกิตติศักดิ์จักเสียหาย
จึงเอาแบงค์สีแดงแกล้งโปรยปราย
กระจัดกระจายทั่วถิ่นแผ่นดินทอง
เพื่อหวังให้ประชาชีได้มีสุข
ลืมความทุกข์ยากจนเลิกหม่นหมอง
เพื่อทุกคนหญิงชายได้ครอบครอง
เป็นเจ้าของรวยทรัพย์นับอนันต์
ทั้งสองคนแยกข้างต่างคุยเฟื่อง
แสดงความปราชญ์เปรื่องเหมือนเรื่องขัน
สองนักบินรำคาญแท้ แหม๊พวกมัน
ช่างสำคัญตัวเองไม่เกรงใจ
คำสนทนาขี้โม้จึงโต้แย้ง
ตะหลบตะแลงฉ้อฉลทนมิไหว
เขาจะสร้างสุขล้นเพื่อคนไทย
แล้วคิดจะถามไหมใครต้องการ
สองนักบินตั้งสติและวิเคราะห์
ถ้าให้เหมาะสุขยั่งยืนเป็นพื้นฐาน
เพียงเราถีบสองคนพ้นอากาศยาน
คงสำราญทั่วหล้าประชาชน
จบเรื่องราวเรื่องเล่าเพียงเท่านี้
เพราะอาจมีเรื่องใหญ่โตโกลาหน
อาจมีสีเหลืองเลือดแดงระแวงตน
จะร้อนรนเพราะสิ้นคิดติดตะราง