เรื่องราวเกิดขึ้นในกาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว จนกลายเป็นเรื่องเล่า ของเหล่าชาวเปอร์เซียหรือประเทศ
อิหร่านในปัจจุบัน ยังมีชายยากจนคนหนึ่งนามว่าอารี มีอาชีพตัดฟืนไปขายในตลาด ณ เมืองเล็กๆแห่งหนึ่ง
ในวันหนึ่งขณะที่เขาขี่ลากลับบ้านได้ผ่านไปทางป่าแห่งหนึ่ง ทันใดนั้นอารีก็มองเห็นฝุ่นตลบอบอวนมาแต่ไกล
กำลังมุ่งตรงใกล้เข้ามาหาเขา จนใกล้ในระยะที่เขาสังเกตได้ ก็ปรากฏว่าคือหมู่คนขี่ม้าพร้อมอาวุธกำลังฮ้อมาเต็ม
ที่ อารีจึงรีบลงจากหลังลาและปีนขึ้นไปซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้ใหญ่ ด้วยความกลัวว่าอาจจะเป็นพวกโจรห้าร้อย
จริงทีเดียว คนขี่ม้าเหล่านั้นเป็นพวกโจร มีจำนวนทั้งสิ้นสี่สิบคน พวกเขาขี่ม้าผ่านเลยต้นไม้ใหญ่ที่อารีซ่อนอยู่
นั้น แล้วพากันไปหยุดม้าและลงจากหลังม้าบริเวณข้างๆโขดหินขนาดอันมหึมา พวกเขาต่างพากันเคลื่อนย้ายสัม
ภาระและถุงต่างๆจากหลังม้า เท่าที่เห็นดูท่าทางมันจะมีน้ำหนักเอามาก
ต่อมาอารีก็ได้ยินเสียงของคนที่ขี่ม้านำหน้า ซึ่งความจริงแล้วเขาก็คือหัวหน้าของหมู่โจร ตะโกนด้วยเสียง
อันดังว่า
“เปิด จิ้งหรีด”
พลันอารีต้องตกตะลึงเพราะประตูขนาดใหญ่ที่โขดหินค่อยๆเปิดออกอย่างช้าๆ แล้วพวกโจรทั้งสี่สิบคน ก็พากัน
ขนเอาถุงและสัมภาระจากหลังม้าเข้าไปในนั้น
ครู่ต่อมาประตูก็ปิดเข้าอย่างช้าๆ ทำให้อารียิ่งอยากจะรู้ว่าพวกเขาจะอยู่ภายในถ้ำนั้นนานสักเพียงใด
ในที่สุดประตูก็เปิดออกอีกครั้ง พวกเขาพากันเดินออกมาพร้อมถุงเปล่าๆกับสัมภาระหลังม้าเปล่าๆและคนหัว
หน้าก็ตะโกนว่า
“ปิด จิ้งหรีด”
ซึ่งประตูก็ปิด จากนั้นพวกเขาก็พากันมาขึ้นหลังม้า แล้วควบจากไป สักครู่ก็ลับสายตาของอารี
อารีจึงลงมาจากที่ซ่อนบนต้นไม้ เขาเดินไปหยุดยังโขดหินนั้น แล้วก็ตะโกนขึ้นเหมือนกับที่หัวหน้าโจรทำ
“เปิด จิ้งหรีด”
พอประตูเปิดออกเขาก็เดินเข้าไปข้างใน
สิ่งที่เห็นต่อหน้าเขาคือถ้ำขนาดใหญ่ มันไม่ได้มืดเหมือนที่บางคนคาดคิด แต่มีแสงแพรวพราวอันสวยงาม
ซึ่งเต็มไปด้วยทรัพย์สินมูลค่ามหาศาล ได้แก่ เพชรนิลจินดา ผ้าไหมชั้นดี พรมสีต่างๆ เหรียญอีกอย่างมีไม่ต่ำ
กว่าสองชนิดคือทองคำและเงิน กองพะเนินเทินทึกอยู่ภายในถ้ำ
อารีถึงกับตกตะลึงตาค้างไปกับกองทรัพย์สินมหาศาลที่เห็นอยู่ข้างหน้า เขาจึงสรุปว่า มันจักต้องเป็นการ
สั่งสมทรัพย์สิน ที่ได้จากการขโมยและปล้นจี้มา เป็นเวลาหลายต่อหลายปีโดยพวกโจรทั้งสี่สิบคนที่เขาเพิ่งเห็น
ผ่านมา หรือบางทีอาจจะสะสมมาจากโจรรุ่นพ่อและรุ่นปู่ของพวกโจรกลุ่มนี้ก็ได้
อารีจึงขนเอาทรัพย์สมบัติเหล่านั้นขึ้นบรรทุกบนหลังลา เป็นจำนวนมากเท่าที่เขาจะขนเอาไปได้ แล้วก็เดินทาง
กลับบ้าน ก่อนหันหลังให้กับโขดหินใหญ่นั้น เขาก็ไม่ลืมที่จะตะโกนว่า
“ปิด จิ้งหรีด”
ครั้นอารีนำเอาทองคำ เงิน และเพชรนิลจินดาต่างๆที่ได้มาไปอวดภรรยา เธอก็รู้สึกยินดีเป็นล้นพ้น
และให้ประหลาดใจเป็นที่ยิ่ง จึงอยากจะบอกเล่าให้เพื่อนบ้านได้รับฟัง แต่อารีกลับบอกเธอว่าอย่าให้ใครล่วงรู้
เรื่องนี้เป็นอันขาด เขาจึงคอยอยู่จนถึงเวลาค่ำคืน แล้วจึงนำทรัพย์สมบัติเหล่านั้นไปฝังดินไว้ ในสวนหลังบ้าน
เป็นการชั่วคราวก่อน
“คุณจะไม่นับมันก่อนเลยหรือ” ภรรยาของเขาถามขึ้น
“ก็มันมากมายเกินกว่าที่จะนับได้นะสิ” อารีตอบ
“ไม่เห็นเป็นไร อย่างน้อยก็ให้ฉันไปยืมถังตวง มาตวงเอาก็ได้” ภรรยายังยืนยัน ดูเหมือนจะเป็นความคิดที่
ผิดวิสัยเอามากทีเดียว แต่อารีก็ไม่อยากขัดใจภรรยา ดังนั้นเธอจึงไปที่บ้านของกาซีม ซึ่งเป็นพี่ชายของอารี
กาซีมเป็นคนที่ร่ำรวยมากแต่จิตใจคับแคบ และไม่คิดที่จะช่วยเหลือใครทั้งสิ้น แม้แต่อารีน้องชายแท้ๆผู้ยากจน
ของตัวเขาเอง
ในเวลานั้นกาซีมไม่อยู่บ้าน คงอยู่แต่ภรรยาของเขา ซึ่งเป็นคนช่างสอดรู้สอดเห็นมาก เธอจึงอยากจะรู้เหมือน
กันว่า น้องสะใภ้นั้นมายืมถังตวงไปตวงข้าว ถั่ว งา หรือธัญญาหารประเภทใดกันแน่ แต่เธอคงไม่คาดคิดหรอก
ว่า มันจะเป็นเงินทองสิ่งของอันมีค่า ดังนั้นเธอจึงแอบเอาไขมันสัตว์เหนียวๆ ขนาดแผ่นเล็กๆ ติดเอาไว้ที่ก้นถัง
ตวง เพื่อให้เมล็ดธัญพืชที่นำมาตวงเกาะติดและค้างคาอยู่ที่ก้นถังตวง โดยที่น้องสะใภ้มิอาจจะทันสังเกตเห็น
แต่แล้วเธอก็ต้องตะลึงเมื่อภรรยาของอารีนำถังตวงมาคืน สิ่งที่ติดอยู่กับไขสัตว์เหนียวที่ก้นถังตวง แทนที่จะเป็น
เมล็ดธัญพืชตามที่เธอคาดคิด แต่ทว่ามันกลับเป็นเศษชิ้นของทองคำ
“มันแปลกประหลาดเอามากทีเดียว” เธอสงสัยและอุทานขึ้น
“ตวงทองคำ จริงๆด้วย! แต่ว่าเขาก็มีฐานะแค่เพียงคนตัดฟืนจนๆเท่านั้นนี่นา”
ครั้นเศรษฐีกาซีมกลับมาถึงบ้านในคืนนั้น ภรรยาของเขาก็เล่าให้ฟังว่า
“ฉันมีข่าวดีจะเล่าให้ฟัง สามีที่รัก คุณมีน้องชายที่ร่ำรวยมากทีเดียวนะ ร่ำรวยมากถึงขนาดจำเป็นต้องมีถังตวง
ไปตวงทองคำโน่นแหละ” เมื่อกาซีมผู้มีความละโมบได้รับฟัง จึงคั่งแค้นด้วยความริษยา
พอรุ่งเช้าสิ่งแรกที่ทำก็คือตรงไปยังบ้านอารีแล้วตะโกนว่า
“แกเสแสร้งทำเป็นยากจนรึ อธิบายนี่ซิ” พร้อมกับชูเศษชิ้นของทองคำที่ติดอยู่กับไขสัตว์เหนียวๆนั่น
อารีจึงได้รู้ว่าภรรยาของเขาทำเหตุให้ความลับถูกแพร่งพรายออกไปเสียแล้ว เขาจึงยอมบอกเล่าเรื่องราวทั้ง
หมด และเสนอส่วนแบ่งทรัพย์สมบัติที่มีให้กับพี่ชาย
“มันจะง่ายไปแล้ว!” กาซีมพูด
“แกจะต้องบอกฉันมาเดี๋ยวนี้ ว่าถ้ำทรัพย์สมบัตินั้นอยู่ที่ไหน ฉันจะไปเลือกเอาด้วยตัวเอง หรือถ้าแกไม่ยอม
บอก ฉันก็จะไปแจ้งความแก่ทางการ”
จึงเป็นอันว่าอารีถูกพี่ชายบังคับขู่เข็ญ ให้บอกทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่คำสั่งวิเศษ
“เปิด จิ้งหรีด”
ในวันถัดมานั่นเอง กาซีมก็ออกเดินทางไปยังถ้ำสมบัติพร้อมกับนำลาไปด้วยสิบตัว โดยมีถุงเปล่าและสัมภาระ
เปล่าผูกไว้กับลาทุกตัว ครั้นมาถึงบริเวณโขดหินเขาก็ตะโกนคำสั่ง ประตูก็เปิดออก พอเขาผ่านเข้าไปข้างใน
ประตูก็ปิด เขาจึงนำถุงและสัมภาระเปล่ามาบรรจุเอาทรัพย์สมบัติ ให้ได้จำนวนมากที่สุดเท่าที่เขาจะสามารถนำ
เอาไปได้ มี ทองคำ เงิน และเพชรนิลจินดาต่างๆ แล้วก็วางไว้ข้างๆประตูก่อนที่เขาจะตะโกน
“เปิด ...” แต่ปรากฏว่าคำที่สอง เขาคิดอย่างไรก็คิดไม่ออกหรือบอกไม่ถูกไปจนชั่วชีวิต ด้วยจิ้งหรีด
มันก็จัดเป็นสิ่งที่มีชีวิต ซึ่งมีชื่อใกล้ชิดกับชื่อของสัตว์อื่นๆ ซึ่งกาซีมก็พยายามคิด จนนึกได้มากมายหลายชื่อ
เว้นเสียแต่ชื่อของจิ้งหรีด ชื่อที่เขานึกได้และลองใช้ดูได้แก่ เปิดจิ้งโหลน เปิดจิ้งเหลน เปิดจิ้งจก เปิดจิ้งจอก
เปิดจิงโจ้ เปิดกิ้งก่า และเปิดกิ้งกือ ตลอดจนชื่ออื่นๆอีกหลายชื่อ แต่ก็ไร้ผล ประตูก็ยังคงปิดอยู่นั่นเอง
แรกๆกาซีมก็โมโห พอเวลาผ่านไป เขาก็รู้สึกวิตกกังวลอย่างหนัก จนในที่สุดก็ลืมสิ้นเรื่องขนทรัพย์สมบัติกลับ
บ้าน เพราะความหวาดวิตกกังวลและหวั่นกลัว
พอถึงเวลาเที่ยงพวกโจรก็กลับมายังถ้ำสมบัติ พวกเขาได้เห็นหมู่ลาพร้อมสัมภาระเปล่าอยู่บนหลัง กำลังยืนรอ
อยู่ข้างนอกถ้ำ ทันทีที่ประตูเปิดออกด้วยการเปล่งคำพูดของหัวหน้าโจร กาซีมก็วิ่งถลันออกมาและปะทะเข้ากับ
อ้อมแขนของหัวหน้าโจรพอดี ด้วยความโกรธอย่างสุดขีดของขุนโจร เขาจึงชักกระบี่ออกมาสังหารกาซีมตาย
อย่างโหดเหี้ยม และเพื่อเป็นบทเรียนแก่ใครที่คิดจะเข้ามาขโมยเอาอีก พวกโจรจึงหั่นร่างกายของกาซีมออก
เป็นสี่ส่วนและห้อยโตงเตงเอาไว้ข้างนอกโขดหิน มันจึงเป็นภาพที่น่าอเนจอนาถและหวาดผวาเอามากทีเดียว
เมื่อไม่เห็นสามีกลับบ้านในคืนนั้น ภรรยาของกาซีมก็เอะใจ และหวั่นเกรงว่าจะมีภัยร้ายแรงเกิดขึ้นกับ
เขา เธอจึงวิ่งไปบ้านอารีและขอร้องเขาให้ออกไปตามหากาซีมเป็นการด่วนด้วย อารีจึงจัดแจงออกเดินทางไป
ยังโขดหินใหญ่พร้อมกับลาสองตัว พอเขาไปใกล้บริเวณโขดหิน ก็พบรอยเลือดซึ่งแสดงว่าย่อมมีเหตุร้ายเกิดขึ้น
พลันอารีก็แทบลมจับเมื่อเขาเห็นซากศพของพี่ชาย ซึ่งถูกหั่นทิ้งไว้อย่างน่าสยดสยอง แต่รวดเร็วปานความคิด
เขารีบเก็บเอาซากศพทั้งหมดของพี่ชายมาบรรทุกบนหลังลาตัวหนึ่ง แล้วปิดคลุมทับด้วยฟืนและฟาง ส่วนลาอีก
ตัวหนึ่งนั้น เขาบรรทุกมันด้วยทองคำและปิดคลุมอำพรางด้วยฟางเช่นกัน แล้วก็ขี่ลากลับบ้าน
เขานำลาตัวที่บรรทุกทองคำเข้าไปยังบ้านตัวเอง และปล่อยให้ภรรยาเป็นคนจัดการปลดของบรรทุกลงจากหลัง
ของมัน ส่วนลาอีกตัวหนึ่งเขานำมันไปที่บ้านของพี่สะใภ้ พอไปถึงก็เคาะประตู โชคดีจริงๆที่คนเปิดประตูคือสาว
ใช้ของบ้านกาซีม ชื่อมีนา ผู้ปัญญาดีและเฉลียวฉลาด อารีจึงเข้าไปใกล้ๆเธอและกระซิบว่า
“สองห่อใหญ่ที่อยู่บนหลังลานั่น คือซากศพถูกหั่นของเจ้านายเธอเอง พวกเราจะต้องทำพิธีฝังศพเขาให้เหมือน
กับการตายอย่างธรรมดา ฉันไว้เนื้อเชื่อใจเธอว่านี่เป็นความลับนะ ขอให้เตรียมการสำหรับพิธีฝังศพได้เลย”
จากนั้นอารีก็เข้าไปข้างในเพื่อปลอบโยนภรรยาหม้ายของกาซีม เขาต้องพยายามทำอย่างดีที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้
ซึ่งก็คงไม่ใช่งานง่ายเลยทีเดียว
มีนาจึงไปที่ร้านขายยาใกล้ๆบ้าน และบอกกับเจ้าของร้านว่าเธอต้องการซื้อยาสำหรับรักษาโรคอันตรายร้ายแรง
ที่สุด
“กาซีม เจ้านายของฉัน” เธอกล่าว
“กำลังป่วยอยู่ในขั้นอันตรายและน่าเป็นห่วงมาก”
พร้อมกับนำห่อยากลับบ้านไป แต่พอรุ่งเช้าเธอก็มาที่ร้านขายยาอีกครั้งหนึ่ง และอ้อนวอนเจ้าของร้านด้วยน้ำตา
นองหน้า อีกทั้งยังร้องห่มร้องไห้คร่ำครวญด้วยเสียงอันดัง ซึ่งอาจจะเป็นที่ได้ยินกันทุกคน เพื่อขอยาปัจจุบันสำ
หรับเจ้านายที่กำลังจะตาย ดังนั้นเมื่อตกตอนเย็น พอมีเสียงร้องไห้คร่ำครวญดังมาจากบ้านของกาซีม จึงไม่มีใคร
สงสัยหรือแปลกใจในการตายของเขา
รุ่งขึ้นในวันต่อมา มีนาก็ไปหาช่างเย็บรองเท้าที่ชื่อมุตาฟา และพูดกับเขาว่า
“ฉันจะให้ชิ้นส่วนของทองคำเป็นรางวัล ถ้าท่านยอมมัดตาตัวเอง แล้วไปกับฉันยังที่ใดที่หนึ่งพร้อมเข็มและด้าย
ของท่าน”
แรกทีเดียวมุตาฟาก็ยังแคลงใจและสงสัย แต่พอเธอเสนอเพิ่มจำนวนชิ้นส่วนของทองคำให้อีก เขาก็รีบตกลงทำ
ตามข้อเสนอ และยอมมัดตาตัวเอง แล้วพากันเดินไปยังบ้านของเจ้านายเธอทันที มีนาต้องระวังให้เขาอยู่ใน
สภาพมัดตาไปตลอดทาง จนกระทั่งไปอยู่ในห้องที่มีซากชิ้นส่วนศพของกาซีม ซึ่งพร้อมที่จะถูกเย็บเข้าด้วยกัน
เธอจึงให้เขาแก้มัดตาออกได้
“ท่านจะต้องเย็บชิ้นส่วนซากศพเหล่านี้เข้าด้วยกัน” เธอกล่าวกับมุตาฟา
“แล้วฉันก็จะเพิ่มทองคำให้อีกสองชิ้น” มุตาฟาจึงลงมือทำงาน แม้ว่าเขาจะอีหลักอีเหลื่อและรู้สึกพะอืดพะอม
แต่ไม่นานงานก็เสร็จเป็นที่เรียบร้อย มีนาจึงให้เขามัดตาอีกครั้ง แล้วพาเดินไปส่งกลับบ้าน ในวันถัดมาพิธี
ฌาปนกิจศพของกาซีมก็ถูกจัดขึ้น ซึ่งทุกคนก็เชื่อว่าเขาตายด้วยโรคเฉียบพลันอันมีอุบัติการณ์ที่น้อยมาก ต้อง
ขอบคุณมีนาผู้ปัญญาดี ด้วยไม่มีใครเคลือบแคลงสงสัยถึงสาเหตุการตายของกาซีม ซึ่งอันที่จริงแล้วมันน่ากลัว
และสยดสยองมาก สองหรือสามวันต่อมา อารีก็นำครอบครัวและข้าวของทั้งหมดของเขา ย้ายเข้ามาอยู่ร่วมบ้าน
หลังเดียวกันกับภรรยาหม้ายของกาซีมผู้ล่วงลับ
กล่าวถึงพวกโจรทั้งสี่สิบคน เมื่อกลับมายังถ้ำสมบัติอีกครั้ง พวกเขาก็ต้องประหลาดใจที่พบว่า ซากศพของ
กาซีมหายไปและซ้ำสมบัติก็ยังถูกขโมยไปอีกด้วย
“อย่าให้เสียเวลาเลย พวกเราจักต้องสืบหาตัวการนี้ให้ได้” หัวหน้าโจรกล่าว
“ไม่เช่นนั้นทรัพย์สมบัติที่สั่งสมมาเป็นเวลาอันยาวนานตั้งแต่รุ่นปู่ ก็จะร่อยหรอลงไปเรื่อยๆ”
สมุนโจรคนหนึ่งจึงขันอาสาที่จะเข้าไปเป็นสายลับในเมืองโดยทันที เพื่อเสาะหาเบาะแสคนที่มาขโมยเอาความ
มั่งคั่งของพวกเขาไป
“แกเป็นคนใจกล้ามาก” หัวหน้าโจรกล่าว
“แต่ฉันขอเตือนก่อนว่ากฎของพวกเราคือ ถ้างานล้มเหลวก็หมายถึงต้องชดใช้ด้วยชีวิตของแก”
สมุนโจรคนนั้นซึ่งพร้อมที่จะตอบตกลงและยอมรับเงื่อนไขอยู่แล้ว จึงได้รับการปรบมือจากกลุ่มโจรในความใจ
กล้า เขาจึงปลอมตัวแล้วก็แอบแฝงเข้าไปในตลาดทันที ช่างเป็นความบังเอิญโดยแท้ พอเข้าไปถึงตลาด
สมุนโจรได้แวะเข้าไปในร้านเย็บรองเท้าของมุตาฟา
“ดูท่านมีอายุนะ ผู้อาวุโส” เขากล่าวแก่มุตาฟา
“แต่ยังสายตาดีพอ ที่จะแหย่รูเข็มได้”
“ฉันนี่แหละเป็นช่างเย็บรองเท้าที่ดีที่สุดในเมืองนี้” มุตาฟาคุยโว
“ตอนเช้าวันนี้ ฉันเพิ่งไปเย็บซากศพคนตายมาหยกๆ อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากย่านตลาดนี้เอง”
“เป็นความจริงหรือ” สมุนโจรกล่าวในขณะที่ตื่นเต้นและเต็มไปด้วยความอยากรู้
“ฉันใคร่อยากรู้เหลือเกินว่าสถานที่แห่งนั้นมันอยู่ที่ไหน” แล้วเขาก็เสนอชิ้นส่วนทองคำให้เพื่อเป็นการ
จูงใจมุตาฟา
“ฉันเกรงว่าฉันจะไม่สามารถพาคุณไปที่นั่นได้หรอก เพราะว่าฉันถูกมัดตาเอาไว้ทั้งขาไปและขากลับในเวลา
นั้น” มุตาฟาตอบ
“ไม่เห็นเป็นไร ก็ให้ฉันมัดตาคุณอีกที” สมุนโจรกล่าวและพยายามคะยั้นคะยอ
“แล้วพวกเราก็เดินไปด้วยกันสักระยะหนึ่งเพียงสั้นๆ ใครจะไปรู้ คุณอาจจะสามารถจดจำเส้นทางขึ้นมาก็ได้”
พูดพลางเขาก็ยัดเยียดชิ้นส่วนของทองคำใส่ในมือช่างเย็บรองเท้า
มุตาฟาจึงมีผ้าเช็ดหน้ามัดตาเอาไว้ โดยมีสมุนโจรกึ่งเดินนำกึ่งเดินตามเขาไป ซึ่งเป็นอุบายให้ช่างเย็บรองเท้า
พาไปพบบ้านของกาซีม แต่ในเวลานี้ แน่นอนล่ะ อารีและครอบครัวเป็นผู้อยู่อาศัย
“คุณแน่ใจนะว่านี่คือบ้านหลังนั้น” สมุนโจรถามขึ้นในขณะที่แก้มัดออกจากตาของมุตาฟา
“ฉันรู้สึกว่านี่คือระยะทางที่ไกลพอๆกันกับที่ฉันเคยมา” คือคำตอบ
“เพราะฉันไม่ได้พักอาศัยอยู่แถวนี้ ฉันจึงไม่สามารถจะพูดอย่างมั่นใจได้”
อย่างไรก็ตาม สมุนโจรคนนั้น ก็รีบนำชอล์กมาขีดทำเป็นเครื่องหมายไว้บนประตูบ้าน แล้วก็กลับเข้าป่าไปหา
หัวหน้าโจรของเขา
ในระหว่างนั้นมีนากำลังจะกลับเข้าบ้าน เธอก็บังเอิญไปเห็นเครื่องหมายที่ขีดด้วยชอล์กบนประตูบ้านเข้าพอดี
“มันออกจะแปลกอะไรอย่างนี้” เธอสงสัย
“จักต้องมีใครสักคนวางแผนชั่วร้ายต่อเจ้านายของเราเป็นแน่”
หญิงผู้ฉลาดจึงนำชอล์กไปขีดทำเครื่องหมายอย่างเดียวกันนั้นลงบนประตูทั้งสามบานของบ้านทั้งด้านนอกและ
ด้านใน
สมุนโจรได้กลับไปรายงานแก่พวกพ้อง และคิดว่าตนเองประสบความสำเร็จในการทำงานเป็นสายลับแล้ว
พวกโจรจึงตัดสินใจพากันเข้ามาในเมืองในตอนเย็นวันนั้น เพื่อหวังจะเด็ดชีวิตศัตรูของพวกเขาให้ได้ แต่แล้ว
พวกเขาก็ต้องหมดหวัง ลองคิดดู พอมาถึงบ้านของกาซีมพวกเขาก็เห็นมีเครื่องหมายปรากฏอยู่บนประตูทุกบาน
เหมือนกันไปหมด สมุนโจรผู้ทำหน้าที่นำทางจึงเกิดความสับสนและเขาก็ต้องเตรียมตัวตายเพราะนำทางพวก
พ้องมาอย่างผิดพลาด
สมุนโจรคนนั้นถูกสังหารตายตามกฎของพวกเขาไปได้ไม่นาน ก็มีโจรอีกคนขันอาสาทำหน้าที่สายลับอีกครั้ง
ซึ่งเขาก็ไปพบกับมุตาฟา แล้วก็ยังพากันเดินไปหยุดยังจุดเดิมอีกด้วย เขาทำเครื่องหมายไว้ที่ประตูอีกเช่นกัน
แต่คราวนี้ใช้ชอล์กสีแดงขีดไว้ที่มุมล่างของประตู แต่มีนาผู้ฉลาดก็สังเกตเห็นอีก เธอจึงทำเครื่องหมายที่ประตู
ให้เหมือนกันที่ตำแหน่งเดียวกันและใช้ชอล์กสีเดียวกันอีกครั้งหนึ่ง ดังนั้นโจรคนที่สองจึงต้องสังเวยชีวิต ชดใช้
ความผิดพลาดตามกฎของเขาอีกคน เหตุนี้หัวหน้าโจรจึงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เขาจึงตัดสินใจที่จะเป็นคนไปสืบ
เรื่องราวด้วยตัวของเขาเอง หัวหน้าโจรก็ได้ไปพบกับมุตาฟาและถูกพาไปยังตำแหน่งเดียวกันอีกครั้ง
แต่คราวนี้เขาไม่ได้ทำเครื่องหมายด้วยชอล์กแต่อย่างใด เขาเพียงแต่ยืนจ้องมองเป็นเวลานานพอที่เขาคิดว่า
เขาจะไม่ลืมมัน เมื่อกลับมาเขาจึงเรียกประชุมโจรทั้งสามสิบเจ็ดคน และออกคำสั่งให้พวกเขาเดินทางไปยังหมู่
บ้านเพื่อซื้อลาสิบเก้าตัว พร้อมตุ่มขนาดใหญ่ทำจากหนังสัตว์จำนวนสามสิบแปดใบ ในจำนวนนี้ให้บรรจุน้ำมัน
ไว้เต็มหนึ่งใบ ส่วนอีกสามสิบเจ็ดใบให้เหลือไว้เป็นตุ่มเปล่า จากนั้นก็จัดการบรรทุกลาทั้งสิบเก้าตัวด้วยตุ่มเปล่า
ทั้งหมด (ที่ไหนได้มีโจรสามสิบเจ็ดคนซ่อนอยู่ในนั้น!)
และตุ่มที่บรรจุน้ำมัน ส่วนหัวหน้าโจรทำหน้าที่คุมคาราวานลาบรรทุกตุ่มออกเดินทางเข้าไปในเมืองทันทีที่ได้
เวลาพลบค่ำ หัวหน้าโจรนำคาราวานลาไปถึงบ้านกาซีม และจำเพาะมาเคาะประตูเอาตอนที่อารีออกมาเอกเขนก
นอกบ้าน หลังจากที่รับประทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว ในระหว่างที่แนะนำตัวเองต่ออารี หัวหน้าโจรพูดว่า
“ฉันเดินทางมาจากแดนไกล เพื่อมาขายน้ำมันในตลาด ขอท่านได้โปรดกรุณาให้ความอนุเคราะห์ที่พักในคืนนี้
ด้วยเถิด”
อารีจึงยินดีต้อนรับด้วยอัธยาศัยไมตรีอันอบอุ่นตามปกติวิสัยของเขา แน่นอนล่ะเขาไม่รู้หรอกว่าคนนี้คือมหา
โจร หลังจากรับประทานอาหารที่จัดต้อนรับอย่างเหลือเฟือเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็เข้านอน
แต่หัวหน้าโจรคอยอยู่ครู่หนึ่ง พอสบโอกาสก็ย่องออกไปหากองคาราวานลาที่พักอยู่ข้างนอก ขณะที่เดินผ่านลา
แต่ละตัวเขาก็แง้มฝาตุ่มและกระซิบเบาๆว่า
“เมื่อได้ยินเสียงฉันโยนก้อนหินสองสามก้อนออกมาจากทางหน้าต่าง จึงค่อยออกมาจากตุ่มอย่างเงียบๆนะ
แล้วฉันจะออกมาสมทบ”
จากนั้นเขาก็กลับเข้าไปยังห้องพัก ซึ่งอารีได้จัดเตรียมไว้ให้
ทว่าเหตุการณ์หนึ่งก็เกิดขึ้น เมื่อมีนากำลังตระเตรียมอาหารไว้สำหรับมื้อเช้า บังเอิญน้ำมันตะเกียงที่กำลังไต้อยู่
นั้นหมดลงพอดี เธอจึงออกมาข้างนอกหวังจะแบ่งเอาน้ำมันจากตุ่มใดตุ่มหนึ่งซึ่งวางอยู่กับกองคาราวานลา ทันที
ที่เธอเข้าไปใกล้ๆตุ่มแรก เธอก็ได้ยินเสียงคนพูดออกมาจากข้างในตุ่ม
“ได้เวลารึยัง”
“หา” สาวใช้ผู้ชาญฉลาดคิดในใจ
“ยุ่งล่ะสิ! เจ้านายของเรากำลังตกอยู่ในอันตรายถึงตาย”
ด้วยสติสัมปชัญญะอันมั่นคงและคิดอย่างรอบคอบ เธอจึงกระซิบตอบไปว่า
“ยัง คอยก่อนสักครู่ เร็วๆนี้ล่ะ”
แล้วเธอก็กระซิบอย่างเดียวกันนี้กับทุกๆตุ่ม เว้นเสียแต่ตุ่มสุดท้าย แน่นอนล่ะ เพราะไม่มีเสียงพูดออกมา
มันคือตุ่มที่มีน้ำมันบรรจุอยู่เต็มนั่นเอง เธอจึงแบ่งเอาน้ำมันจากตุ่มใส่ในหม้อแล้วก็นำกลับเข้าไปในบ้าน
จุดตะเกียงให้สว่างอีกครั้ง จากนั้นเธอก็ฉวยเอากาต้มน้ำออกมาใส่เอาน้ำมันจากตุ่มแล้วนำไปต้มด้วยการเร่งสุม
ไฟจากฟืนจำนวนมาก ทันที่ที่น้ำมันในกาเดือดได้ที่ เธอก็นำน้ำมันเดือดนั้นมาเทลงไปในตุ่มทีละตุ่มจนครบ
ดังนั้นพวกสมุนโจรทั้งหมดสามสิบเจ็ดคนจึงถูกน้ำมันร้อนลวกและคาอยู่ในตุ่มนั่นเอง
ครู่ต่อมาเธอก็ได้ยินเสียงก้อนหินหล่นอยู่ข้างนอกบ้าน นี่คือการส่งสัญญาณจากหัวหน้าโจร เขากำลังจะออกมา
สมทบกับกลุ่มโจร แต่ว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แน่นอนทีเดียว ก็เพราะว่าสมุนโจรพวกนั้นตายเรียบไปแล้ว
ครั้นหัวหน้าโจรไปถึงตุ่มสุดท้าย ซึ่งพบว่าน้ำมันหายไป เขาจึงเข้าใจได้ทันทีว่าโจรพวกนั้นตายเพราะเหตุใด
เขาโมโหสุดขีดจึงรีบลนลานไปควบเอาม้าและห้อหนีไปอย่างรวดเร็วเท่าที่จะเร็วได้
พอรุ่งเช้า อารีต้องประหลาดใจเมื่อพบว่า
“พ่อค้า” ออกจากบ้านเขาไปแล้วคงทิ้งไว้แต่กองคาราวานลาและตุ่มน้ำมัน เขาจึงถามมีนาว่าพอรู้เรื่องอะไร
บ้างไหมทำไมเขาถึงหนีไป
“เชิญเจ้านายตามฉันมาสิ” เธอตอบ
“แล้วท่านจะเห็นว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงพิทักษ์ชีวิตท่านไว้อย่างไร”
ทันทีที่อารีมองลงไปในตุ่ม เขาก็ต้องผวาถอยกรูดออกมาด้วยความกลัว
“ชายคนนั้นไม่สามารถทำอันตรายแก่ท่านได้หรอก” มีนากล่าว
“เขาตายแล้ว รวมทั้งพรรคพวกของเขาอีกสามสิบหกคนในตุ่มอื่นๆ”
แล้วเธอก็อธิบายทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นให้อารีฟัง นำเขาไปดูตุ่มน้ำมันซึ่งถูกใช้ไปเกือบหมดและยังบอกเขาถึง
ความจำเป็นที่จะต้องปกปิดเป็นความลับโดยไม่ให้เพื่อนบ้านล่วงรู้
“แล้วเกิดอะไรขึ้นกับพ่อค้าคนนั้น” อารียังสงสัย
“ชายคนนั้นมิใช่พ่อค้าอีกต่อไปแล้ว เพราะว่าฉัน...”
เธอไขปริศนา และยังอธิบายเรื่องทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ คือเรื่องขีดเครื่องหมายด้วยชอล์กบนประตู จนถึงเรื่อง
การทำลายล้างพวกกลุ่มโจรไปหยกๆ
อารีจึงมีความยินดีและรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณแก่มีนามาก
“เธอได้ช่วยรักษาชีวิตของฉันเอาไว้แท้ๆทีเดียว” อารีกล่าว
“ฉันขอให้เธอเป็นอิสระจากความเป็นสาวใช้ นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป”
มีนารู้สึกเป็นสุขมาก แต่ส่วนลึกในใจแล้ว เธอก็ยังรู้สึกว่า เจ้านายยังคงต้องการความช่วยเหลือจากเธอ
ดังนั้น อารีและมีนา พร้อมทั้งคนรับใช้ที่มีทั้งหมด จึงได้ช่วยกันขุดหลุมให้ลึกและทำเป็นร่องยาวแล้วก็นำศพ
พวกโจรทั้งหมดไปฝัง เพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัย พวกเขายังพากันนำตุ่มและอาวุธทั้งหมดไปซุกซ่อนไว้อย่างระมัด
ระวัง และต่อมาก็ค่อยๆทยอยนำลาไปขายทีละตัวๆจนหมด
เมื่อหัวหน้าโจรกลับมาถึงถ้ำสมบัติ เขาก็จนปัญญาไม่รู้จะทำประการใดดี มันช่างเป็นความเลวร้ายที่สุด
ที่เขาต้องอยู่คนเดียวตามลำพังโดยปราศจากสมุนโจรทั้งสามสิบเก้าคน เขาจึงคิดวางแผนการใหม่เพื่อล้างแค้น
อารี โดยตัดสินใจไปเปิดร้านใกล้ๆกับบ้านของกาซีม เนื่องจากเขาได้ข่าวมาว่าลูกชายของอารีก็มีร้านอยู่ที่นั่น
เขาจึงไปเปิดร้านค้าขายพรมและผ้าไหมชั้นเลิศ ตลอดจนสินค้าอันมีราคาแพงอื่นๆ และพยายามทำให้ธุรกิจของ
เขาดูประหนึ่งว่าเป็นพ่อค้าผู้มั่งคั่ง ในที่สุดเขาก็มีโอกาสคบค้าสมาคมเป็นเพื่อนกับลูกชายของอารี เขาให้ของ
ขวัญและเชิญลูกชายของอารีไปรับประทานอาหารที่บ้านหลายต่อหลายครั้ง ลูกชายของอารีจึงมีความรู้สึกว่าเขา
เป็นหนี้ในความมีอัธยาศัยไมตรีและมิตรภาพของชายผู้มั่งคั่งคนนี้ เขาจึงถามพ่อของเขาว่า ถ้าจะเชิญเพื่อนพ่อ
ค้าผู้มั่งคั่ง มาที่บ้านเพื่อเป็นการตอบแทนในมิตรภาพของเขา พ่อจะมีความเห็นอย่างไร อารีจึงบอกกับลูกชาย
ของเขาว่า
“ยินดีต้อนรับเต็มที่เลยลูกรัก เชิญเขามาที่บ้านพ่อพรุ่งนี้เลยสิ พ่อจักให้คนเตรียมอาหารการกินอันเลิศหรูไว้
ต้อนรับ”
ดังนั้นพอตกตอนเย็นของวันต่อมา ลูกชายของอารีก็ได้พาเพื่อนที่แสร้งทำตัวเป็นพ่อค้ามายังบ้านของพ่อเขา
ตามนัด เป็นที่น่าแปลก ทันทีที่ทั้งสองมาถึงหน้าประตู พ่อค้ากลับแสดงท่าทีอีหลักอีเหลื่อ และกำลังจะหันหลังกลับ
แต่ก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่อารีโผล่ออกมาจากบ้านพอดี อารีจึงรีบเข้าไปให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น
และกล่าวขอบคุณแก่เขาที่ได้ให้ความเมตตาแก่ลูกชาย
“ฉันดีใจมากที่ท่านให้เกียรติมาร่วมรับประทานอาหารเย็นด้วยในวันนี้” อารีกล่าว
“ฉันก็ดีใจ” พ่อค้าตัวปลอมกล่าว
“แต่ฉันได้ปฏิญาณตนไว้ว่าจะไม่รับประทานเกลือ เหตุนั้นฉันจึงไม่อาจจะนั่งโต๊ะของท่านได้”
(ทว่าธรรมเนียมดั้งเดิมที่ปฏิบัติสืบทอดกันมา ในประเทศนี้นั้น การแสดงออกถึงมิตรภาพอันดีงามคือ นั่งโต๊ะ
ของเจ้าบ้านและร่วมรับประทานเกลือ)
“แต่การขอบคุณพระเจ้าร่วมกัน ก็ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องงดเว้นการรับประทานเกลือของท่านนี่นา” อารีกล่าว
“ฉันจะสั่งคนห้ามใส่เกลือลงในกับข้าว สำหรับท่านก็แล้วกัน”
ในเวลานั้น มีนากำลังช่วยทำกับข้าวอยู่ในครัว ครั้นได้รับทราบคำร้องขอ ฟังดูชอบกลเช่นนั้น ก็ใคร่จะรู้ว่าชาย
ผู้นี้เป็นใครและเหตุใดจึงไม่รับประทานเกลือ เธอจึงทำเป็นช่วยนำจานอาหารออกมาเสริฟ ทันทีที่เธอเห็นชาย
พ่อค้าคนนั้นเธอก็จำได้ว่าเขาคือหัวหน้าโจร และระหว่างที่เธอผ่านเข้าไปใกล้ๆ สายตาพญาอินทรีย์ของเธอก็
รับรู้ถึงการซุกซ่อนมีดสั้นซึ่งอยู่ภายใต้เสื้อนอกของเขา สาวน้อยผู้หลักแหลมจึงคิดวางแผนโดยฉับพลัน
เพื่อทำลายอุบายชั่วของขุนโจร ที่กำลังมุ่งร้ายต่อเจ้านายของเธอ ครั้นเดินคล้อยหลังลงไปข้างล่าง เธอจึงปลอมตัว
เป็นนางรำ และนำกริชขนาดเล็กมาเหน็บที่เอวซึ่งคาดด้วยเข็มขัดเงินอันงดงาม ส่วนคนรับใช้ที่มีก็ทำหน้าที่เล่น
ดนตรี ต่างคนต่างเคาะตี สี เป่า ด้วยจังหวะเร่งเร้าเต้นรำระบำกลอง มีนากรีดกรายร่ายรำอย่างสวยงาม เข้าไป
ในห้องรับประทานอาหาร พลันเธอกระโดดขึ้นอย่างไม่คาดคิด พอเท้าถึงพื้นก็กลับตัวด้วยปลายเท้าอย่างรวดเร็ว
ซึ่งขณะนี้กริชอยู่ในมือของเธอแล้ว ทันใดนั้นเธอก็นำกริชมาจี้ตรงหัวใจของเธออย่างน่าหวาดเสียว แต่เพียง
เสี้ยววินาทีนั่นเอง เธอก็หันเหมันไปทางพ่อค้าที่กำลังนั่งอยู่ แล้วก็ปักมันลงไปตรงหัวใจของเขาจนจมมิด
อารีและลูกชายของเขาถึงกับตกตะลึงแทบพูดไม่ออกและบอกไม่ถูกว่าจะทำประการใดดี
“โอ นางผู้มีทุกข์! เธอทำอะไรลงไป! นี่มันหมายถึงความหายนะของฉันและครอบครัวเชียวนะ!”
เสียงเจ้านายตวาด
“อย่าเพิ่งด่วนโมโหไปเลย นายท่าน” มีนากล่าว
“ฉันทำลงไปก็เพื่อปกป้องและรักษาชีวิตของท่าน”
พร้อมกับดึงเสื้อนอกของคนตายออกและเผยให้เห็นมีดสั้นที่ซ่อนมา
“ชายคนนี้คือหัวหน้าของกลุ่มโจรทั้งสี่สิบ ซึ่งเคยปลอมตัวเป็นพ่อค้าขายน้ำมัน คราวนี้ท่านคงจะเข้าใจดี
ว่าทำไมเขาถึงไม่รับประทานเกลือที่โต๊ะของท่าน”
อารีจึงรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณแก่มีนามาก เพราะเธอได้ช่วยเหลือให้เขารอดชีวิตมาได้เป็นครั้งที่สอง
“ไม่เพียงแต่ปลดปล่อยให้เธอเป็นอิสระได้เท่านั้น” อารีเอ่ยขึ้น
“แต่ถือว่าเป็นการให้เกียรติต่อพวกเรามาก หากเธอจะแต่งงานกับลูกชายของฉัน”
ดังนั้นวันวิวาห์พาสุข ที่หลายฝ่ายเฝ้าตั้งตารอคอยอย่างชื่นชม ก็ได้ถูกกำหนดขึ้น ทุกคนที่เกี่ยวข้องต่างก็ช่วยกัน
จัดเตรียมข้าวของสำหรับใช้ในพิธีตลอดจนอาหารการกินสำหรับเลี้ยงรับรองแขกเหลื่อ พอถึงวันแต่งงาน
ได้มีการเลี้ยงฉลองกันอย่างเอิกเกริกพร้อมอาหารการกินอย่างบริบูรณ์ การเต้นรำอย่างสนุกสนาน และการ
ร่วมอำนวยพรกันอย่างล้นหลาม และเป็นเรื่องที่ผู้คนยังบอกเล่ากล่าวขวัญกัน ในเวลาต่อมาอีกหลายต่อหลายปี
ส่วนคำว่า “เปิด จิ้งหรีด” ที่ใช้กับถ้ำมหาสมบัติ อารีก็ได้ถ่ายทอดความลับนี้ให้กับลูกหลานในครอบครัวของ
เขาและสืบทอดต่อมาอีกหลายต่อหลายชั่วอายุคน นอกจากนั้นพวกเขายังนำเอาความมั่งคั่งอันไพศาลนี้ ไปช่วย
เหลือเกื้อกูลคนอื่นๆที่โชคไม่ดีเหมือนพวกเขา ให้ได้รับความผาสุกกันโดยทั่วไปอีกด้วย เอวังก็มีด้วยประการ
ฉะนี้