พูดถึงกลิ่นก็มีเพียงสองประเภทคือ กลิ่นอันพึงประสงค์และกลิ่นไม่พึงประสงค์
ที่จมูกสัมผัสอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่วันนี้ฉันกำลังพูดถึงกลิ่นชนิดพิเศษซึ่งอาจมีบาง
คนเท่านั้นที่สัมผัสได้ ขออย่าคิดว่าฉันเป็นมนุษย์พันธุ์พิเศษหรืออ้างอุตริอย่างที่
นักหลอกลวงทั้งหลายเขาหลอกกันเล่น แต่เป็นเรื่องที่ฉันถูกหลอกโดยที่ฉันก็ไม่รู้
ว่าทำไม และเพราะอะไรจึงต้องหลอกฉัน หรือเขาไม่ได้หลอกแต่ฉันคิดไปเอง
บางคนคงเคยทราบแล้วว่า ฉันเป็นทายาทเจ้าของโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งใน
ต่างจังหวัด เดิมมีโรงเรียนชายล้วนสอนระดับมัธยมต้นและปลาย และโรงเรียน
สตรีสอนตั้งแต่ระดับอนุบาลถึงมัธยมต้น ซึ่งอยู่ห่างออกไปคนละฝั่งของตัวเมือง
เมื่อฉันเรียนจบมาทำงาน จึงเปิดสอนสายอาชีวะเพิ่มต้อนรับฉัน โดยแบ่งพื้นที่
จากโรงเรียนชายเดิมไปครึ่งหนึ่ง จึงเป็นโรงเรียนสองโรงอยู่ในบริเวณเดียวกัน
ในบริเวณเดียวกันนี้มีบ้านพักครูอยู่สี่หลัง รวม กับบ้านฉันอีกหนึ่งซึ่งระเห็จจากบ้าน
ที่เคยอยู่เดิมมาสร้างหลังเล็ก ๆ ขึ้นใหม่ในบริเวณโรงเรียน ฉันจึงทำหน้าที่ทุก
ตำแหน่งในโรงเรียนเพราะกินนอนอยู่ที่นั่น และบุตรเล็ก ๆของครูที่นี่ทุกคน ก็ไปเรียน
ระดับชั้นอนุบาลที่โรงเรียนสตรีโดยมีรถตู้ของฉันบริการรับส่งให้ฟรี เพื่อครูมิต้องทิ้ง
หน้าที่ไปรับส่งลูกหลานช่วงเช้า-เย็น
ปกติเวลารถจะไปรับเด็ก ๆ ตอนเลิกเรียน ซึ่ง เด็กอนุบาลเลิกเรียนประมาณบ่าย
สามโมง แต่นักเรียนระดับอื่นยังไม่เลิก ฉันจะนั่งรถไปด้วยคล้ายทำหน้าที่พี่เลี้ยงเด็ก
ไปในตัว วันไหนคนขับรถที่มีอยู่สองคนไม่ว่างเพราะติดงานอื่น ครููในโรงเรียนที่
ขับรถได้ก็จะขับแทน เพราะเราอยู่กันแบบพี่น้อง วันนี้คนขับรถของฉันจึงเป็น
ผู้อำนวยการโรงเรียนอาชีวะ เราไปรับเด็ก ๆเหมือนวันอื่น ๆ ตามปกติ เมื่อนั่งรถ
กลับจะถึงอาคารตึกสี่ชั้นของโรงเรียนอาชีวะ ก่อนที่จะถึงส่วนที่เป็นโรงเรียนมัธยม
ชายและบ้านพักครู ฉันนั่งข้างคนขับมองขึ้นไปบนระเบียงตึกอาคารเรียนชั้นสาม
ขณะรถกำลังจะเลี้ยวจากถนนใหญ่ เข้าถนนหน้าตึกอาคารเรียน เห็นนักเรียนอาชีวะ
กลุ่มใหญ่ ทั้งชายและหญิงกำลังมุงดูอะไรสักอย่าง หลายคนเอาผ้าเช็ดหน้าปิดจมูก
ปิดปาก ก่อนรถจะผ่านเข้าไปบนถนนหน้าตึกอาคารเรียนนั้น มีแนวคูระบายน้ำขนาน
กับรั้วโรงเรียน พอรถเลี้ยวเข้าช่วงที่เป็นถนนตัดผ่านคูน้ำ ฉันก็ได้กลิ่นเหม็นอย่าง
รุนแรงวูบมาเข้าจมูก เพราะรถที่ฉันนั่งเป็นรถตู้โฟล์คสวาเกนรุ่นเก่าไม่มีแอร์ เวลานั่ง
จึงต้องเปิดหน้าต่างรถเสมอ
" กลิ่นอะไร เหม็นจัง " ฉันบ่นกึ่งถาม พร้อมกับส่ายตาดูในคูน้ำสองข้างรถก็
ไม่มีแม้แต่หมาตายสักตัว ทั้งที่คิดว่าแม้จะมีหมาตายในคู ก็ไม่น่าจะเหม็นเข้ามาใน
รถได้ขนาดนี้ พวกเด็ก ๆ เขาก็เล่นกันตามปกติ ไม่ได้สนใจสิ่งที่ฉันพูด
"หนูตายมังครับ" ผอ. พูด ฉันไม่ได้พูดต่อแต่ใจคิดว่าขนาดหมาตายยังไม่น่า
จะเป็นไปได้ เพราะไม่มีซากให้เห็น แล้วยิ่งบอกว่าเป็นหนูตายตัวกระจิ๊ดอะไรจะเหม็น
รุนแรงและไกลขนาดนั้น เหมือนกลิ่นนั้นจงใจเข้าจมูกฉันโดยตรงเลยทีเดียว แล้วรถ
ก็ผ่านเข้าไปจอดหน้าบันไดตึกที่ฉันเห็นเด็กมุงกันเมื่อสักครู่
"ผมขอขึ้นไปดูเด็กกลุ่มนั้นก่อนนะครับ " ผอ.พูดแล้วเปิดประตูรถลงไปฉันยังคง
นั่งอยู่ในรถกับเด็ก ๆ ฉันเองก็อยากรู้ว่าเด็กอาชีวะกลุ่มนั้นทำอะไร ตอนนี้ฉันลืมเรื่อง
กลิ่นเหม็น ที่เข้าจมูกเมื่อรถผ่านคูนั่นแล้ว และกลิ่นนั่นก็หายสนิทแล้วจากจมูกฉัน
ผอ. เดินขึ้นบันไดตึกไป ฉันมองตาม เห็นเขาไปพูดอะไรบางอย่างกับเด็กกลุ่ม
นั้น และมีอาจารย์อีกสองคนมารับฟังอยู่ด้วย ฉันก็เลยหมดความสนใจคิดว่าเขาสั่ง
งานการตามปกติ แล้วเขาก็กลับลงมาขับรถพาฉันกับเด็ก ๆ ไปส่งที่บ้านพักตามปกติ
โดยไม่ได้พูดอะไร
หลังจากโรงเรียนเลิกแล้วในเย็นวันนั้น ฉันจึงมีโอกาสถามเขา เขาเล่าให้ฟังว่า
เมื่อเขาเดินขึ้นบันไดตึกไปถึงชั้นสอง มีกลิ่นเหม็นอย่างรุนแรงเหมือนกลิ่นศพเน่าสวน
ลงมา เขาเดินไปถึงเด็กกลุ่มนั้น มีเด็กคนหนึ่งยังนอนไม่ได้สติ และเด็กคนนี้คือต้นตอ
ของกลิ่นเหม็นที่เพื่อน ๆ ต้องเอาผ้าปิดจมูก ที่ฉันมองเห็นจากรถ ซึ่งระยะทางจากที่
เด็กคนนั้นอยู่ กับตอนที่ฉันได้กลิ่นเหม็นอย่างรุนแรง ขณะเมื่อยังนั่งอยู่ในรถก็ไกลกัน
พอสมควร ที่กลิ่นประหลาดจากเด็กคนนั้นไม่ควรจะไปถีง เมื่อ ผอ.ซึ่งเป็นเจ้าของ
สถานที่เดินขึ้นไป กลิ่นที่อยู่ในตัวเด็กคนนั้นก็ออกและสวนลงบันไดลงมา แต่เด็กยัง
ไม่ได้สติ ส่วนกลิ่นหายไปแล้ว เขาจึงสั่งให้ครูทำพิธีกรรมบางอย่าง ที่เป็นความเชื่อ
ของผู้คนถิ่นนี้ แล้วเด็กคนนั้นก็หายเป็นปกติ
"ไม่น่าเชื่อเลย" ฉันพูด อย่างที่ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรมากกว่านั้น
"พอดี วันนี้เป็นวันบุญข้าวประดับดินครับ " เขาบอก ซึ่งฉันไม่เคยรู้เพราะฉันเติบ
โตมาจากหลายจังหวัด ชุมพร นครศรีธรรมราช กรุงเทพ ฯ ได้อยู่ที่นี่น้อยมาก
คนลาวและไทยอิสาน มีความเชื่อถือสืบต่อกันมา แต่โบราณกาลแล้วว่ากลางคืน
ของเดือนเก้าดับคือวันแรมสิบสี่ค่ำเดือนเก้า (ประมาณเดือนสิงหาคม) เป็นวันที่ประตู
นรกเปิด ยมบาลจะปล่อยให้ผีนรกออกมาเยี่ยมญาติในโลกมนุษย์ ในคืนนี้คืนเดียว
เท่านั้นในรอบปี จึงนำข้าวปลาอาหารคาวหวาน ผลไม้ หมากพลูบุหรี่ อย่างละเล็ก
ละน้อย แล้วห่อด้วยใบตอง ทำเป็นห่อเล็ก ๆ นำไปวางตามโคนต้นไม้ใหญ่ หรือตาม
พื้นดินบริเวณรอบ ๆ เจดีย์หรือโบสถ์ เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว เรียกว่า
บุญเดือนเก้าหรือบุญข้าวประดับดิน
มีเรื่องเล่าไว้ในพระธรรมบทว่าญาติของพระเจ้าพิมพิสารกินของสงฆ์ เมื่อตายแล้ว
ไป เกิดในนรก ครั้นพระเจ้าพิมพิสารถวายทานแด่พระพุทธเจ้าแล้ว มิได้อุทิศให้ญาติที่
ตาย กลางคืนพวกญาติที่ตายมาแสดงตัวเปล่งเสียงน่ากลัวให้ปรากฏใกล้พระราชนิเวศน์
รุ่งเช้าพระองค์ได้เสด็จไปทูลถามพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ทูลเหตุให้ทราบ พระเจ้า
พิมพิสารจึงถวายทานอีกแล้วอุทิศส่วนกุศลไปให้ญาติที่ตายไปแล้วจึงได้รับส่วนกุศลนั้น